คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : 9 ll Snow Globe
9
Snow Globe
หิมะตกหนักตลอดคืนทำให้เช้าวันคริสต์มาสอีฟมีสีขาวโพลนไปทั่วทั้งเมืองด้วยหิมะหนาเตอะ เด็กเล็กๆ ไปจนถึงวัยรุ่นออกมา
เล่นกันนอกบ้าน บ้างก็มาวิ่งเล่นปาหิมะ ปั้นตุ๊กตาหิมะหรือที่ยอดฮิตไม่แพ้กันคือทิ้งตัวลงไปนอนหงายบนพื้นหิมะนุ่มๆ กวาดแขนขึ้นลง
แล้วกวาดขาทั้งสองไปทางซ้ายขวาเกิดเป็นร่องรอยเหมือนมีนางฟ้าหิมะ เด็กผู้หญิงตัวน้อยคนหนึ่งหัวเราะร่าล้อพี่ชายของเธอที่ลุกขึ้นมา
แล้วมีหิมะติดผมว่าเหมือนรังแค
มือเพเนโลพีประคองถ้วยกาแฟอุ่นๆ เธอยืนพิงกระจกหน้าต่าง มองเห็นคอลินเดินเอามือซุกกระเป๋าเสื้อโค้ทผ่านสองพี่น้อง
ที่กำลังนอนลงไปทำนางฟ้าหิมะอีกครั้ง เด็กหนุ่มแวะถ่ายรูปก่อนมาหยุดยืนอยู่ตรงบันไดหน้าประตูบ้านเคลียร์วอเทอร์ ยกมือจัดทรงผม
ให้เป็นทรง จับผ้าพันคออีกนิดหน่อยแล้วตรวจดูของในกระเป๋า
เพเนโลพีเลิกคิ้ว สงสัยว่ามีเหตุผลอะไรที่เด็กหนุ่มจากหมู่บ้านข้างๆ ถ่อมาถึงที่นี่ตั้งแต่เช้า กระทั่งได้ยินเสียงวิ่งดังตึงตังลงบันได
มาทางห้องโถงตรงเข้ามากอดเธอ
“อรุณสวัสดิ์ พี่เพนนี!”
“อะไรกัน แต่งตัวจะไปไหนแต่เช้าล่ะฮึ”
“ไปงานเทศกาลที่ทุ่งกว้างทุ่งเดียวกับตอนมีงานควิดดิชเวิลด์คัพครั้งก่อน ลืมบอกพี่ไปเลยเพราะตอนแรกกะจะชวนพี่ไปด้วย
แต่เห็นพี่ยุ่งๆ เรื่องที่กระทรวงก็เลยลืม คอลินเขาชวนหนูเมื่อวานนี้ บอกว่าจะมารับตอนเก้าโมงเช้า ค่อยยังชั่วที่ยังเหลือเวลาอีกสิบนาที”
“อ้อ งั้นนี่ก็คงเป็นเหตุผลที่มีเด็กหนุ่มสะพายกล้องมารออยู่หน้าบ้านเราแต่เช้าสินะ”
“เขามาถึงแล้วหรือ” คาเรนเอาหน้าแนบกระจก เห็นคอลินกำลังยื่นมือมากดออดตรงหน้าประตู “หนูไปก่อนนะ พี่เพนนี”
“ช้าก่อน -- ถ้าแม่กลับมาจะให้พี่บอกว่าไง” เพเนโลพีคว้าแขนน้องสาวที่กำลังจะพุ่งไปทางประตูให้กลับมา
ระหว่างนี้ก็ช่วยติดกระดุมเสื้อโค้ทตัวยาวสีแดงให้เรียบร้อย จัดทรงหมวกไหมพรมให้เข้าที่เข้าทางดีๆ
“บอกความจริงไปเลยว่าหนูไปงานเทศกาลแล้วช่วงเย็นก็จะแวะไปดูเด็กๆ แสดงละครเวทีที่โรงละครเพอร์คินส์ต่อ คุณเพอร์คินส์
บอกด้วยว่าจะเลี้ยงมื้อเย็นต่อเพราะงั้นหนูอาจกลับช้านะ”
“จะไปโรงละครต่อ? ไปกับ?”
“แฟน” คาเรนตอบหน้าตาเฉยกะเรียกรอยยิ้มจากพี่สาวทว่าอีกฝ่ายกลับอึ้งจริงๆ
เพเนโลพีตาโต “เธอสองคนคบกันอยู่หรือ” เธอเอียงตัวชำเลืองมองคอลินที่อยู่ข้างนอกพอดีกับจังหวะที่คอลินหันมามองพอดี
เจ้าตัวยิ้มพร้อมโบกมือให้ เพเนโลพีเลยโบกมือกลับแบบงงๆ แล้วหันมาคุยกับน้องสาวต่อ “ให้ตายสิ ไม่เห็นเคยบอกพี่เลย มิน่าทำไมถึงดู
สนิทกันขนาดนั้น”
“ไปกันใหญ่แล้ว หนูล้อเล่นน่า”
“ทีหลังอย่าล้อกันเล่นแบบนี้สิ พี่เกือบดีใจอยู่แล้วนะเมื่อกี้”
“หมายความว่าไง”
“เปล่านี่ เที่ยวให้สนุกนะ”
“ได้เลย รักพี่นะ” คาเรนอ้าแขนกอดพี่สาวแรงๆ โบกมือบ๊ายบาย ยกกระป๋าสะพายขึ้นพาดบ่าแล้วออกจากบ้าน กระโดดลงบันได
ไปหาคอลิน “อรุณสวัสดิ์! รอนานไหม เมื่อกี้ต้องรายงานตัวกับพี่นิดหน่อยเลยออกมาช้า”
“ไม่เลย” รอทั้งวันก็ยังได้...
“งั้นก็ไปกันเถอะ เราต้องเดินไปอีกเป็นชั่วโมงเลยนี่” คาเรนว่าพลางออกเดินนำไปอย่างร่าเริง โบกมือทักคู่พี่ชายน้องสาว
ที่กำลังเล่นปาหิมะ
เหลือคอลินที่ยังอ้อยอิ่งอยู่หน้าประตูบ้าน สายตามองดิ่งลงไปบนพื้นเห็นรอยรองเท้าคู่เล็กกว่าประทับอยู่ข้างจุดที่เขายืนอยู่
เพราะเมื่อกี้คาเรนกระโดดตุ้บลงมา เด็กหนุ่มก้าวขาขยับออกจากจุดที่ยืนอยู่เห็นเป็นรอยเท้าสองคู่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเก็บไว้
ก่อนวิ่งเหยาะๆ ตามคาเรนไป
ต่อให้อากาศหนาวจนปลายจมูกแดงแค่ไหนทว่าคาเรนก็ยังร่าเริงได้ตั้งแต่เช้าทั้งที่รู้ว่าทางเดินไปงานเทศกาลเช้านี้ยังอีกยาวไกล
คาเรนมองคอลินแล้วหันไปมองรอบๆ “เดนนิสไม่ได้มาด้วยหรือ”
“นัดกับเพื่อนมักเกิ้ลแถวบ้านไปตกปลากัน เห็นว่าเป็นกิจกรรมหน้าหนาวที่ห้ามพลาด”
“งั้นวันนี้นายก็พลาดกิจกรรมยอดฮิตในหน้าหนาวแล้วสิ”
“ใครว่า ถ้าฉันไม่มากับเธอสิพลาดกว่า”
“หือ?”
“เอ้อ เธอกินอะไรมารึยัง ตั้งแต่ตื่นยังไม่มีอะไรตกถึงท้องฉันเลย”
“ก็ยัง”
“พอดีเลย ไปซื้อช็อกโกแลตร้อนที่ร้านนั้นกัน ฉันเลี้ยงเอง” คอลินเดินย่ำหิมะไปทางบรรดาร้านรวงที่ตั้งอยู่ทางขวามือ ใบหน้าซุกไว้
ใต้ผ้าพันคอด้วยความเขินที่ดันพูดความคิดในหัวออกไปจนต้องรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“ร้านอยู่ทางซ้ายนะ คอลิน”
“อ้อ” เขาเดินย้อนกลับมาทางเดิมแบบอายๆ โชคดีที่คาเรนไม่คิดจะล้อ
ทั้งคู่ออกมาจากร้านกาแฟอันอบอุ่นพร้อมช็อกโกแลตร้อนคนละแก้ว ถึงจะใส่ถุงมือกันหนาวแล้วแต่มีแก้วร้อนๆ มาให้ถือ
นั้นรู้สึกดีกว่าเป็นไหนๆ
“อุ่นขึ้นไหม” คอลินหลุบตาลงถามคนตัวเล็กกว่าที่เดินเคียงกันมา เธอพยักหน้าหงึกหงักตอบระหว่างจิบเครื่องดื่มอุ่นๆ
สีหน้าเธอดูดีขึ้นเยอะกว่าตอนแรก
“ฉันไม่เคยไปงานแบบนี้มาก่อน ปกติแล้วที่งานเทศกาลมีอะไรบ้างเหรอ”
“ล้อเล่นน่า”
“จริงๆ นะ คริสต์มาสทีไรถ้าอยู่บ้านแม่ชอบพาฉันตระเวนไปงานเลี้ยงของมักเกิ้ลทุกที มีครั้งนึงที่พ่อชวนไปงานเทศกาล
แต่สุดท้ายแม่ก็ชนะเอาฉันกับพี่ไปงานเลี้ยงจนได้”
“ฟังแล้วกดดันแปลกๆ ถ้าฉันพาเธอไปงานเทศกาลแล้วเธอเกิดไม่ชอบขึ้นมาล่ะ”
“ฉันก็จะไม่ไปไหนกับนายอีกเลย” คาเรนเหล่มองคนข้างตัวที่อยู่ดีๆ ก็เงียบ “คงไม่ได้เชื่อว่าฉันพูดจริงหรอกใช่ไหม”
“แน่อยู่แล้ว” น้ำเสียงจริงจังเปล่งออกมาทว่าในใจหาได้ตรงกับคำพูดนั้นไม่ มีทางเดียวที่คิดออกคือเปลี่ยนเรื่องคุย “ที่งานมีม้าหมุน
แต่ฉันว่าเด็กๆ คงจะจองกันตลอดทั้งวันไปแล้วล่ะ มีแสดงมายากล กายกรรม มีซุ้มขายของ แล้วก็นะอัลมอนด์เคลือบคาราเมลอร่อยมาก
อ้อ ปีก่อนฉันเห็นซุ้มดูดวงด้วยละ ถึงจะไม่ได้ดูตระการตาเหมือนงานควิดดิชเวิลด์คัพแต่ฉันว่าเธอน่าจะชอบ”
ระยะทางที่แค่ฟังก็เมื่อยขาไม่ได้เป็นอุปสรรคให้สองหนุ่มสาวเพราะตอนอยู่ฮอกวอตส์ก็วิ่งกันรอบปราสาทเป็นประจำอยู่แล้ว
เดินแค่นี้ไม่เป็นปัญหาแถมยังได้ดูบ้านเมืองที่ไม่คุ้นตาเป็นของแถมอีกต่างหาก นับว่าเป็นเช้าที่ได้ใช้เวลาคุ้มจะตาย
ทุ่งกว้างที่เคยใช้เป็นสนามแข่งควิดดิชเวิลด์คัพคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่เดินทางมาจากทุกสารทิศต่อให้อากาศจะหนาวจนขี้เกียจลุก
ออกจากเตียง หลายปีก่อนคอลินกับคาเรนเคยเห็นทุ่งกว้างข้างหน้านี้เต็มไปด้วยพ่อมดแม่มดผู้วิเศษที่มาเชียร์ควิดดิช มีของเล่นแปลกตา
ลอยว่อนอยู่เต็มฟ้า นักกายกรรมเดินบนไม้สูงเท่าบ้านสี่ชั้นก็ไม่ตก หากแต่คราวนี้กระทรวงเวทมนตร์ไม่ได้จัดงานแต่เป็นมักเกิ้ล
ที่เป็นคนจัดงาน
เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูที่ตกแต่งด้วยเถาฮอลลี่ข้างหน้างาน ทุกคนจะได้อมยิ้มรูปไม้เท้าเป็นของต้อนรับ เข้ามาในงานไม่ถึงห้านาทีแรก
ก็ได้ใช้เงินมักเกิ้ลซื้อขนมปังหวานรูปตัวตลกมากินกันแล้วราวกับช็อกโกแลตร้อนที่ดื่มไปตอนเดินมาได้ย่อยไปหมดแล้ว คาเรนกวาดตามอง
ทุกอย่างด้วยแววตาเป็นประกายวิบวับ ถึงครึ่งนึงของเธอจะเป็นมักเกิ้ลแต่ตลอดสิบหกปีกลับไม่เคยรู้มาก่อนว่างานเทศกาลของมักเกิ้ล
ก็วิเศษไม่แพ้โลกของผู้วิเศษ
นักกายกรรมสามคนสวมชุดสีแดง สีเขียวและสีทองอันเป็นสัญลักษณ์วันคริสต์มาส เดินทรงตัวอยู่บนไม้ยาวที่ต่อลงมา
เป็นเหมือนขาผ่านหน้าคอลินกับคาเรนผู้สงสัยว่ามักเกิ้ลที่ไม่มีเวทมนตร์สามารถเดินอยู่บนไม้ที่ไม่มีเวทมนตร์อะไรเลยได้ยังไง
ในตอนนั้นเองที่นักกายกรรมในชุดสีแดงเห็นเด็กสาวผมบลอนด์ยืนอ้าปากค้างเลยย้อนกลับมาหา แถมยังโน้มตัวก้มลงมาแปะมือกับคาเรน
แล้วโบกมือให้กล้องคอลินก่อนเดินต่อไปอย่างง่ายดายเหมือนเดินบนพื้นธรรมดา
“ฉันชักชอบที่นี่แล้วสิ” คาเรนพึมพำกับตัวเองก็พอดีกับจังหวะที่คอลินกดชัตเตอร์ถ่ายสีหน้ากระตือรือร้นและสนใจทุกสิ่งทุกอย่าง
ของเธอเก็บเอาไว้
ถัดออกไปมีนักมายากลวัยรุ่นเจ้าของผมสีแดงเพลิงคนหนึ่งกำลังแสดงกลเล็กๆ น้อยๆเกี่ยวกับไฟให้ผู้ชมทุกวัยที่มองกันอย่างตกตะลึง
นับถือปนชื่นชมที่เขาแสดงได้อย่างไร้ที่ติ จับผิดไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว...ก็แน่ล่ะ! เพราะคนที่แสดงอยู่คือเฟร็ด วีสลีย์ !
และถัดไปไม่ไกลกันก็คือจอร์จ วีสลีย์ ที่รายล้อมไปด้วยเด็กตัวน้อย เขาเปิดฉากเล่านิทานของบีเดิ้ลยอดกวีพร้อมกับแสดงกลเล็กๆ
(เวทมนตร์) เด็กๆ ตื่นตาตื่นใจตบมือตามไปด้วยเวลามีพลุเล็กๆ ถูกจุดขึ้นแล้วแตกกระจายออกเป็นดวงดาวระยิบระยับตรงหน้า
ไม่มีใครสงสัยหรือเอะใจกับนิทานแปลกหูที่ไม่เคยมีพ่อหรือแม่คนไหนเล่าให้ฟังเพราะต่างก็คิดไปว่าเป็นนิทานแฟนตาซี
เมื่อเล่าจบเรื่องนึงก็มีเสียงปรบมือดังล้นหลามพร้อมเสียงตะโกนร่ำร้องอยากฟังอีก จอร์จเลยเริ่มเล่าอีกเรื่องอย่างร่าเริงโดยมี
ลูน่า เลิฟกู๊ด แฟนสาวผู้ที่เหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งกำลังนั่งให้กำลังใจเขาอยู่ในหมู่ผู้ชม
ขณะที่ผู้ชมในวงนอกอย่างคอลินกับคาเรนต่างก็พูดไม่ออก ทำไมคนพวกนี้ถึงมาอยู่ตรงนี้กันได้เล่า? ท่ามกลางความสงสัยนั้น
คอลินก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายภาพฝาแฝดเก็บไว้ก่อนบอกให้คาเรนไปดูอย่างอื่นดีกว่า -- ไม่อย่างนั้นเฟร็ดกับจอร์จที่รู้ความลับและเป็นบุคคล
ที่เขาไปปรึกษาเรื่องจะจีบคาเรนยังไงดีจะต้องเข้ามาแซวเขาไม่หยุดแน่
ม้าหมุนเป็นตัวเลือกที่ไม่ดีเท่าไรเพราะนอกจากคนเต็มแล้วยังอยู่ใกล้กับฝาแฝดวีสลีย์อีก
ฝั่งซ้ายมือ ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เหลือแต่กิ่งก้านกับหิมะขาวที่ปกคลุมอยู่มีกระโจมผ้ากำมะหยี่สีม่วงดูลึกลับซ่อนตัวอยู่ เหนือผ้าม่าน
ที่ใช้ต่างประตูมีรูปดวงตาใหญ่เบ้อเริ่ม -- ณ ที่แห่งนั้นมีเด็กสาวสามคนเดินออกมา คนหนึ่งมีใบหน้าหงุดหงิด
“มีอย่างที่ไหน มาบอกว่าฉันจะเลิกกับแฟนเพราะเขาไปจูบกับคนอื่นเนี่ยนะ จ้างให้ฉันก็ไม่...”
สายตาคอลินกับคาเรนแอบเหลือบมองไปตามกลุ่มพวกเธอ เห็นชายหญิงคู่นึงกำลังจูบกันอยู่ก่อนที่ฝ่ายชายจะถูกหนึ่งในสามสาว
ที่เพิ่งดูดวงเข้าไปจับแยกเพื่อไปเคลียร์
“แม่นยังกับตาเห็น” คาเรนพึมพำ
คอลินกระแอม “อยากลองเข้าไปไหม”
เขาถามแบบไม่คาดหวังกับคำตอบ ถ้าคาเรนอยากลองเข้าไปดูดวงเขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามีความหวังเรื่องรักๆ ใคร่ๆ
บ้างไหมต่อให้คนที่ทำให้เขาหวังจะนั่งอยู่ด้วยกันข้างๆ ก็เถอะ
“เอาสิ น่ารู้ว่ามักเกิ้ลกับศาสตราจารย์ทรีลอว์นีย์ใครจะเจ๋งกว่ากัน นายว่านักพยากรณ์จะบอกเราได้ไหมว่าเราจะได้ถ้วยควิดดิช
ประจำปีรึเปล่า”
“ฉันว่ามักเกิ้ลไม่รู้จักควิดดิชหรอกนะ”
“เอ้อ...ถูกของนาย”
คอลินจับผ้าตรงทางเข้ากระโจมขึ้นแล้วนำเข้าไปก่อนเผื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากลคาเรนจะได้ไม่ต้องเข้ามา ภายในกระโจม
สว่างด้วยแสงสลัวจากตะเกียงรอบโต๊ะตัวเล็กตรงกลาง เบื้องหลังโต๊ะมีหญิงวัยกลางคนแต่งตัวด้วยเสื้อคลุมดูรุ่มร่ามคล้าย
ศาสตราจารย์ทรีลอว์นีย์ บนชั้นวางของข้างหลังเธอคือลูกแก้วร่วมยี่สิบลูกเรียงรายกันอยู่ และมีโหลใส่ถั่วสำหรับการทำนายอีกนับสิบ
“เข้ามาเลย ไม่ต้องเกร็ง” เจ้าของเสียงแหบพร่าบอกกับผู้มาใหม่ทั้งสอง “นั่งลง ทำใจให้สบาย ส่วนฉันจะขอใช้เวลา
ให้ดวงตาพยากรณ์ที่เปิดกว้างของฉันได้เลือกลูกแก้วที่ดีที่สุดที่เหมาะกับเธอสองคนมาซะก่อน”
นักพยากรณ์ยืนขึ้นขณะที่คอลินกับคาเรนนั่งลง คลี่ยิ้มให้ทั้งสองอย่างเป็นมิตรทว่าเวลาเดียวกันก็ดูลึกลับ
เธอเดินหายเข้าไปด้านหลังผ้าม่านที่อยู่หลังชั้นวางของอีกทีก่อนออกมาพร้อมกับลูกแก้วที่มีควันสีขาวขุ่นลอยเอื่อยๆ อัดแน่นอยู่ข้างใน
“เอาล่ะ ไม่ต้องบอกเรื่องที่เธออยากรู้แต่ฉันจะใช้ดวงตาพยากรณ์มองลึกลงไปข้างในถึงความปรารถนาในใจพวกเธอให้เอง
จะให้ฉันทำนายใครก่อนดี”
“หนูก็ได้ค่ะ” คาเรนตอบฉะฉาน ระหว่างที่นักพยากรณ์ใช้มือลูบคลำพลางเพ่งมองเข้าไปในลูกแก้ว เด็กสาวพลันได้กลิ่น
เหมือนอะไรสักอย่างไหม้ และคอลินก็สายตาดีมองเห็นกองกระดาษที่ถูกเผาอยู่ในถังข้างนอกกระโจมจากช่องโหว่เล็กๆ ของผ้าม่าน
ทั้งคู่เลยสรุปได้ว่าควันในลูกแก้วคงมีที่มาจากกระดาษที่ถูกเผานั่นแหละ
“ฉันมองเห็นแล้ว!” จู่ๆ เธอก็โพล่งออกมาทำเอาเด็กสองคนสะดุ้งเฮือกเลิ่กลั่กหันมาสนใจเธอกันหมด “ทำหน้าสงสัยอะไรกัน
ฉันก็เห็นสิ่งที่เธออยากรู้น่ะสิ! ฉันมองเห็นแสงสว่างรออยู่ อันที่จริงฉันบอกได้แค่สิ่งที่เธอปรารถนาอยากจะรู้ที่สุดแต่ฉันมองเห็นอะไร
ที่มาใกล้กว่า ช่วงนี้เธอต้องระวังตัวให้ดี สาวน้อย สุขภาพร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ ระหว่างนี้จงดูแลตัวเองให้ดีเพราะอุบัติเหตุกำลังใกล้เข้ามา
จงมีสมาธิกับทุกย่างก้าว”
คอลินหันขวับมองรุ่นน้องข้างตัวด้วยความเป็นห่วงราวกับลืมเรื่องที่มาของควันไปจนหมดแล้ว “ให้ตายสิ ฉันพาเธอมาเสี่ยงอันตราย
หรอกหรือนี่”
คาเรนอาศัยช่วงที่นักพยากรณ์กำลังเพ่งมองลูกแก้วกระซิบกับคอลิน
“นายคิดว่าอนาคตของฉันขึ้นอยู่กับควันนั่นหรือไง”
ทันใดนั้นนักพยากรณ์หยิบไม้แท่งหนึ่งดูคล้ายกับไม้กายสิทธิ์ที่พวกพ่อมดแม่มดใช้ขึ้นมา เธอโบกมันหนึ่งครั้ง ถั่วเขียวเม็ดเล็ก
ในโหลพากันลอยออกมาเรียงเป็นตัวอักษรบนโต๊ะได้เป็นประโยคหนึ่งว่า
‘ ฉันไม่ใช่มักเกิ้ล ’
เอาล่ะ! นอกจากตอนนี้จะรู้ว่าหญิงตรงหน้าจะไม่ใช่มักเกิ้ลแล้วเธอยังเพิ่มความอึ้งให้อีก
“ฉันรู้จักกับทรีลอว์นีย์ สมัยเรียนเราเคยเป็นเพื่อนรักกันเชียวละ โชคดีที่เพื่อนของฉันทำงานที่ฮอกวอตส์ได้นานขนาดนี้
พวกเธอเองก็มาจากฮอกวอตส์เหมือนกันนี่ หวังว่าเพื่อนของฉันคงไม่ต้องปวดหัวเพราะเด็กนักเรียนจอมแสบหรอกนะ”
เธอยิ้มให้ก่อนยื่นมือมาตบหลังมือคอลินสองสามทีราวกับอยากปลอบใจ “ฉันมองเห็นจากลูกแก้วแล้ว เรื่องที่เธออยากรู้จากก้นบึ้งของหัวใจ
-- อย่าเพิ่งหมดหวังไปซะก่อน เป็นตัวของตัวเองแล้วทุกอย่างจะดีเอง -- จบแล้ว ไม่อนุญาตให้ถามเพิ่มอีกและพวกเธอไม่จำเป็นต้องจ่าย
ด้วยเงินของมักเกิ้ลหรือทองเกลเลียนเพราะนานๆ ฉันจะเจอเด็กน้อยสองคนจากฮอกวอตส์สักที ดูให้ฟรีก็ไม่เสียหายอะไรหรอก”
※
“ฉัน? ฉันหรือ...ฉัน...อ้อ...ฉันอยากรู้เรื่องอาชีพของฉัน” คอลินตอบแบบตะกุกตะกักเมื่อคาเรนถามถึงเรื่องที่แม่มดทำนายมา
ว่าเกี่ยวกับอะไร แน่นอนว่าเขาโกหก
“เรื่องแบบนั้นไม่เห็นต้องถามเลย อนาคตช่างถ่ายภาพไม่หนีนายไปไหนไกลหรอก”
“เธอคิดงั้นหรือ”
“แน่นอน ฉันถึงได้เคยสงสัยว่าทำไมวันดีคืนดีนายถึงอยากเข้าทีมควิดดิช”
“ดีใจจังที่ได้ยินอย่างงั้น” คอลินผุดยิ้มแต่นึกไปนึกมาก็เขิน “เอ้อ เธอหิวไหม ฉันว่าฉันไปซื้ออะไรมากินกันดีกว่า เธอรออยู่แถวนี้ก่อน
เดี๋ยวฉันมา” เขาแยกออกไปทันทีแบบไม่รอคำตอบ ทิ้งให้คาเรนยืนงงกับความปุบปับของเขาอยู่ตรงนั้น
เด็กสาวหาที่ยืนหลบแถวต้นไม้จะได้ไม่ขวางทางคนอื่น ขณะที่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศรื่นเริงที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
และรอยยิ้มอยู่นั้นก็มีเด็กหนุ่มผมทองวัยมหาลัยหุ่นดีเหมือนนักกีฬาคนหนึ่งเข้ามายืนบังภาพทุกอย่างจนหมด
“หวัดดี ฉันแมทธิว”
ถึงจะงงแต่คาเรนก็ทักกลับอย่างคนมีอัธยาศัยดี “หวัดดี ฉันคาเรน”
“ฉันขอเบอร์เธอหน่อยได้ไหม”
“หา?”
“ได้โปรดอย่าเข้าใจฉันผิด ฉันไม่ใช่พวกหลอกลวงต้มตุ๋นแล้วก็ไม่ใช่พวกเจ้าชู้ที่ขอเบอร์หญิงไปทั่วด้วย คือฉันเห็นเธอยืนอยู่คนเดียว
เพราะงั้นฉันคงไม่ได้เข้าใจผิดไปเองใช่ไหมถ้าจะคิดว่าเธอโสด”
“อ้อ งั้นคุณก็เข้าใจ --”
“ขอโทษนะ เธอคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าฉันจะขอให้เธอบอกเบอร์มาตอนนี้เลย” ในมือเด็กหนุ่มมีกระดาษกับปากกาเตรียมพร้อมจด
“ฉันมีงานด่วนที่มหาลัยเลยต้องรีบกลับไปน่ะ แต่ฉันไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้รู้จักเธอเพราะฉันไม่รู้ว่าจะได้เจอเธออีกไหม”
คาเรนอ้าปากพะงาบๆ แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง เขียนเบอร์ให้เขาก่อนแมทธิวจะจากไปพร้อมกับการขยิบตาให้และบอกว่า
จะโทรกลับมาภายในคืนนี้ เธอโบกมือตอบกลับทว่าพอคนเก่าจากไปคนใหม่ก็เข้ามาแทนที่
“โชคดีจริงๆ ฉันไม่คิดว่าจะได้เจอเธอที่นี่”
“ยินดีด้วยนะที่นายเจอ” คาเรนตอบออกไปก่อนแม้ในหัวจะมีคำถามเต็มไปหมด เจ้าคนผมดำตรงหน้านี่ใครกัน??
“แต่ขอโทษที ฉันไม่เห็นรู้จักนายมาก่อน”
“นั่นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ฉันเจส เราเจอกันครั้งแรกที่งานเลี้ยงของคุณเพอร์คินส์ ในงานเธอสวยมาก ฉันจำได้แม่นเลยว่าเธอคือ
สาวงามที่เต้นรำด้วยเท้าเปลือยเปล่าวันนั้น ไม่แปลกเลยที่เธอจะมองไม่เห็นฉันเพราะฉันเองที่เป็นคนมองเธออยู่ฝ่ายเดียวจนฉัน
เก็บเอาไปฝัน ฉันฝันว่าเราได้เต้นรำด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่ฉันรู้เกี่ยวกับเธอมีแค่ชื่อจริงของเธอ คาเรน”
คาเรนกะพริบตาปริบๆ มองเด็กหนุ่มที่พูดจาชวนขนลุกและออกจะน่ากลัวขึ้นมาแล้วสำหรับเธอ เด็กสาวไม่ได้เขิน ไม่ได้ยินดีอีกแล้ว
ที่เจอเขาแถมยังอยากออกไปจากตรงนี้เอามากๆ “ขอบคุณที่ชมนะ แต่เห็นทีฉันคงต้องขอตัวก่อน”
“เดี๋ยวก่อนสิ ฉันอยากรู้ว่าเราจะมีโอกาสได้คุยกันอีกไหม บ้านเธออยู่ตรงไหนหรือ? ถ้าเธอไปงานคุณเพอร์คินส์ได้ บ้านของเราก็คง
ไม่ไกลกันเท่าไร”
คาเรนก้าวถอยหลังออกห่างจากเด็กหนุ่มไม่น่าไว้ใจที่ชื่อเจส จะใช้เวทมนตร์นอกโรงเรียนก็ไม่ได้อีกเลยตัดสินใจหมุนตัว
เตรียมเดินหนีจากสถานการณ์ชวนอึดอัด อย่างน้อยก็ไปหาคอลินให้เจอก่อน แต่ไม่ต้องไปหาไกลเขาก็มาหาเธอถึงที่แล้ว
คอลินยกแขนหมายจะโอบไหล่คนตัวเล็กกว่าทว่าคาเรนหันมาก่อน เธอเลยชะงักเพราะแขนเขามาพาดคอจากข้างหน้า
ทันทีที่เด็กสาวเงยหน้ามองเจ้าของมือที่ดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขนขวาพลันรู้สึกอุ่นวาบเข้ามาในใจจนอยากยกแขนกอดที่เขามาได้
ถูกจังหวะพอดี แต่เธอไม่อยากอยู่สานต่อบทสนทนาตรงนี้นานเลยยกมือควงแขนเขาหวังจะดึงไปอีกทาง -- ไม่รู้คอลินไปเอาแรงมาจากไหน
ถึงได้ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับสักนิด สายตาจ้องตรงไปยังเด็กหนุ่มแปลกหน้า
“นั่นมันมากไปหน่อยมั้งสำหรับคนที่รู้จักกันแค่ชื่อจริง แต่ถ้าอยากได้จริงๆ เอาที่อยู่บ้านฉันไปก่อนไหม” คอลินเลิกคิ้วใส่อีกฝ่าย
แต่ในเมื่อไม่ตอบเขาเลยเบนความสนใจมาที่คาเรน “ฉันตามหาตั้งนานแน่ะ เธอนี่น้า จะทำตัวให้แฟนเป็นห่วงไปถึงไหนกัน”
คาเรนนิ่งราวกับถูกสาป เธอมองคอลินตาค้างกระทั่งเห็นเขาส่งสายตาเป็นนัยก็เลยเข้าใจแจ่มแจ้งยอมแสดงไปตามน้ำ
ยื่นมือบีบแก้มคอลินทำทีเป็นเอ็นดูปนมันเขี้ยว “แต่นายก็ตามหาฉันจนเจออยู่นี่แล้วไง จริงไหม”
เมื่อเปิดโหมดออดอ้อนที่คาเรนไม่เคยทำกับใครมาก่อนนอกจากอ้อนพี่สาวแล้วก็เกิดติดลมขึ้นมาซะจนคอลินใจแทบเหลวเป็นน้ำ
นะ...นี่มันมากเกินไปแล้ว
เขาไม่คิดว่าคาเรนจะยอมเล่นตามถึงขนาดนี้ มันมากเกินไปแล้ว!
“ชะ -- ใช่”
ดวงตาสีเขียวเหลือบไปเห็นแซนด์วิชในมือซ้ายคอลินเลยยื่นหน้าเข้าไปกัดเต็มคำ
“อร่อยจัง นายนี่รู้ใจฉันจริงๆ ฉันกำลังหิวอยู่พอดีเลย”
“ชะ -- ใช่ไหมล่ะ ไม่มีใครรู้ใจเธอไปมากกว่าฉันแล้ว ไปหาที่นั่งกินกันเถอะ”
“อื้อ” คาเรนพยักหน้ารัวๆ ดึงแขนคอลินเดินไปอีกทางโดยไม่ได้สนใจเจสอีกเลยราวกับเขาเป็นอากาศ
“เธอนี่เสน่ห์แรงชะมัด” คอลินพูดความในใจหลังหาเก้าอี้ไม้ตัวยาวตัวหนึ่งให้นั่งปักหลักกินแซนด์วิชได้แล้ว เขาเขยิบออกห่าง
จากคาเรนไปนั่งชิดริมสุดอีกฝั่งเพราะยังปรับตัวรับคาเรนอีกคนไม่ทันต่อให้เธอจะกลับมาเป็นคาเรนคนเดิมแล้วก็ตาม
“ฉันไม่นับว่านั่นเป็นคำชมหรอกนะ” ว่าแล้วเธอก็กัดแซนด์วิชอีกคำ “นับว่ายังเป็นโชคดีของฉันที่นายหาฉันเจอพอดี --
อัลมอนด์เคลือบคาราเมลล่ะ ฉันนึกว่านายซื้อมาด้วยซะอีก”
“ฉันไปต่อแถวมาแล้ว แต่บังเอิญเห็นเธอพอดีแล้วก็คิดว่าเธออาจกำลังต้องการความช่วยเหลือก็เลยเดินออกจากแถวมาเลย”
“งั้นหรอกหรือ ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันไปซื้อเอง” คาเรนกินแซนด์วิชคำสุดท้าย ปัดเศษขนมปังออกจากมือแล้วลุกยืน “นายนั่งรออยู่นี่แหละ
ฉันเห็นลูน่ากำลังยืนต่อแถวอยู่ร้านนั้นเหมือนกัน ทีนี้คงไม่มีใครคิดว่าฉันมาคนเดียวอีกแล้ว”
คอลินถอนหายใจที่เห็นคาเรนเดินออกไปไกล ปากก็เคี้ยวแซนด์วิชที่เหลือตุ้ยๆ ด้วยอาการงอนที่เริ่มผุดขึ้นมาในใจยังกับดอกเห็ด
เพราะตรงที่คอลินนั่งอยู่ไม่ได้เป็นที่สนใจของผู้คน จู่ๆ เฟร็ดกับจอร์จก็หายตัวมาโผล่ข้างหลังเขาทำเอาหัวใจแทบวาย
ฝาแฝดวีสลีย์ตบบ่ารุ่นน้องคนละข้างพร้อมกับชมไม่หยุดปากที่คอลินเข้าไปแสดงตัวในฐานะแฟนหนุ่ม(ปลอมๆ)ต่อหน้าคนที่เข้ามา
จีบคาเรน คนผมแดงกระโดดข้ามเก้าอี้ลงมานั่งขนาบข้างคอลินคนละฝั่งเพื่อให้คำแนะนำเล็กน้อยกับการพิชิตใจสาวและเล่าให้ฟัง
ว่าทำไมเช้าวันคริสต์มาสอีฟถึงมาอยู่ที่นี่แทนที่จะอยู่บ้าน ตบท้ายด้วยการตบบ่าอวยพรให้โชคดีก่อนที่จอร์จจะวิ่งนำเฟร็ด
ไปหาลูน่าตรงกลางทาง ทักทายคาเรนแล้วแยกกันตรงนั้น
คอลินนั่งกอดอกมองดูคาเรนเดินกลับมาหาเขาพร้อมกับถ้วยใส่อัลมอนด์เคลือบคาราเมลถ้วยใหญ่ -- เด็กสาวกลับมานั่งตามเดิม
แบ่งให้คอลินกินด้วยแต่เขากลับทำหน้าบึ้งใส่ ถึงจะยังไม่เข้าใจว่าตัวเธอเองผิดอะไรแต่ก็หยิบอัลมอนด์ป้อน(ยัด)ใส่ปากคอลินไปก่อน
“เป็นอะไรไป งอนกันหรือ ฉันก็ว่าฉันไม่ได้หายไปนานซะหน่อย”
คอลินกำลังงอนคาเรนอยู่แต่ก็เคี้ยวอัลมอนด์ไปด้วย รู้สึกหงุดหงิดแต่ก็เขินไปพร้อมๆ กัน นี่เขากำลังได้ของขวัญคริสต์มาสก่อนใคร
ในโลกหรือเปล่าหนอ?
“ฉันกำลังคิดเรื่องควิดดิชนัดต่อไปกับฮัฟเฟิลพัฟอยู่ไม่ได้งอนอะไรเธอหรอก แต่ว่านะ ฉันมีเรื่องอยากถาม”
“ฮื่อ ถามมาเลย ถ้าเรื่องกลยุทธ์ควิดดิชนัดถัดไปล่ะก็ฉันกำลังพยายามแก้อยู่ น่าจะลงตัวก่อนซ้อมครั้งแรกหลังเปิดเทอมนี้นี่แหละ”
“ต่อให้ฉันจะสนใจควิดดิชอยู่มากๆ ก็เถอะ -- แต่ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก”
“อ้าว แล้วนายอยากรู้อะไร”
“เธอให้เบอร์ผู้ชายคนแรกที่มาจีบเธอได้ยังไง”
“หือ?”
“ฉันบังเอิญได้ยินเข้าพอดี เธอบอกเบอร์เขาไปได้ยังไง เขาเป็นใครก็ไม่รู้ ไว้ใจได้หรือเปล่ายิ่งไม่รู้กันไปใหญ่ -- ขนาดฉันรู้จักเธอ
มาเป็นปียังไม่มีเบอร์เธอเลย...ฉันไม่ได้งอนเธอเรื่องนี้หรอกนะ เผื่อเธอจะเข้าใจผิด”
“นายนั่นแหละที่เข้าใจผิด อย่าทึ่มไปหน่อยเลยน่า นั่นมันเบอร์ฉันซะที่ไหน ฉันไม่มีทางให้เบอร์บ้านตัวเองกับคนอื่นง่ายๆ หรอก”
ได้ยินอย่างนั้นคิ้วที่เผลอขมวดยุ่งโดยไม่รู้ตัวก็คลายออกทันควัน “อ้าว งั้นเธอให้เบอร์ใครไป”
“บริษัทกำจัดแมลง” คาเรนยิ้มแป้นทำหน้าทะเล้น “ฉันเห็นเบอร์นั่นอยู่บนป้ายข้างหลังพอดี ฉันว่าคืนนี้เขาคงได้บอกแผนที่บ้าน
กับเจ้าหน้าที่ให้ไปกำจัดแมลงที่บ้านตัวเองแหง เขาต้องนึกขอบคุณฉันแน่ที่ตลอดหน้าหนาวนี้ที่บ้านเขาจะไม่มีแมลงมากวนใจอีกต่อไป”
“ร้ายกาจ”
“ขอบคุณ นั่นค่อยถือเป็นคำชมหน่อย”
คอลินนึกมันเขี้ยวรุ่นน้องขึ้นมา ทำให้คนเขาเข้าใจผิดแล้วยังมาทำหน้าภูมิใจอยู่อีก ตอนนั้นเองที่นาฬิกาเรือนใหญ่กลางงาน
ตีบอกเวลาบ่ายสามโมง “ฉันว่าถ้าเราอยากไปให้ทันการแสดงเริ่มคงต้องเริ่มเดินไปตอนนี้”
คาเรนพยักหน้าคว้ากระเป๋าสะพายแล้วเดินไปตรงทางออก มุ่งหน้ากลับทางเดิมเหมือนขามาแต่คอลินกลับคว้าข้อมือรั้งเธอเอาไว้
พลางเอียงหัวไปอีกทาง
“ฉันรู้ทางลัดที่จะไปออกตรงโรงละครเพอร์คินส์ได้เร็วกว่าทางเก่า ไปทางนี้ดีกว่า”
เพราะไม่เชี่ยวชาญเส้นทาง คาเรนเลยเชื่ออีกฝ่ายสนิทใจ เดินตามไปแบบไม่มีข้อสงสัยระหว่างมีความสุขกับการกินอัลมอนด์
หอมหวาน บางทีก็แบ่งให้คอลินกินด้วย
ทั้งคู่มาถึงโรงละครเพอร์คินส์ได้ทันเวลาพอดี มีเดนนิสที่เสร็จจากภารกิจตกปลามารอเจออยู่ก่อนแล้ว คาเรนเดินนำสองพี่น้อง
เข้าโรงละคร เดนนิสที่เดินตามหลังส่งสายตาแซวพี่ชายที่วันนี้ทั้งวันได้อยู่กับคาเรนสมใจก่อนถูกพี่ชายดันหลังให้รีบเข้าโรงละคร
การแสดงละครเวทีของเด็กๆ ตัวน้อยกำลังจะเริ่มในอีกไม่กี่นาทีนี้แล้ว ไฟบนเพดานยังคงเปิดส่องสว่างทำให้คอลินมองเห็น
ใบหน้าที่ได้เห็นเพียงครั้งเดียวก็จำได้ขึ้นใจ
หมอนั่นมันคนที่บอกว่าคาเรนคือสาวงามนี่
ราวกับมีกระแสจิตส่งจากคอลินไปถึงเจส เด็กหนุ่มผมดำที่มาดูละครเวทีเพราะน้องสาวของเขาขึ้นแสดง เจสหันมาข้างหลัง
แล้วสายตาก็ล็อกเป้าเข้าที่คาเรนทันที เขาคิดจะลุกมาทักอยู่แล้วเชียวถ้าไม่บังเอิญสบตาผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างเธอ
คอลินส่งสายตาราวกับสิงโตจ้องจะกินเหยื่อ ยกนิ้วชี้ไปที่คาเรนแล้วชี้กลับมาที่ตัวเองตามด้วยยกนิ้วชี้กับนิ้วกลางชี้มาที่ตาตัวเอง
แล้วหันไปชี้ใส่เจสเป็นเชิงบอกว่าเขากำลังจับตามองอยู่ชนิดที่จะไม่คลาดสายตาเชียวล่ะ! คาเรนไม่รู้เรื่องนี้แต่มารู้เอาทีหลังว่าเจสอยู่ที่นี่ด้วย
ก็ตอนงานเลิก เธอมองเห็นน้องสาวตัวน้อยงอแงอยากกลับบ้าน คนเป็นพี่เลยตามใจอุ้มกลับบ้านไปแล้ว
เด็กสาวถอนหายใจอย่างโล่งอกหันไปหาคอลินกับเดนนิส ยกมือเตรียมบอกลาแต่ถูกคอลินพูดดักเอาไว้ก่อน
“กำลังจะบอกลากันตรงนี้ล่ะสิ ฉันไม่บ๊ายบายเธอกลับหรอกนะ -- เดี๋ยวฉันไปส่ง”
“ไม่เป็นไร คงไม่มีใครตามฉันมาแล้วล่ะ”
“เชื่อฉันเถอะน่า ไม่งั้นฉันจะสบายใจได้ยังไง” จากที่เริ่มมาอย่างดีพอเห็นตาใสๆ ของรุ่นน้องมองมาคอลินก็เกิดประหม่าซะงั้น
“ว่า -- ว่ารุ่นน้องกลับถึงบ้านแล้ว -- โดยปลอดภัย ที่สำคัญฉันรู้ทางมากกว่าเธอ ตอนเธอกลับไปครั้งที่แล้วก็มีฉันเดินไปส่งเธอถึงงานเลี้ยง
ที่มีแม่กับพี่สาวเธอรออยู่”
คาเรนเถียงไม่ออกเพราะตัวเองยังไม่แน่ใจเลยว่าจะกลับบ้านถูกไหมเลยยอมให้สองพี่น้องเดินไปส่ง ทว่าเดนนิสกลับขอแยกตัว
ออกไป บอกว่าจะแวะบ้านเพื่อนแถวนี้ก่อนแล้วค่อยนัดเจอกับคอลินตรงน้ำพุกลางซอยโดยไม่ลืมชูกำปั้นให้กำลังใจคอลิน
แล้วตัวเองก็เดินไปนั่งรอบนขอบน้ำพุทันที แวะบ้านเพื่อนมีอยู่จริงที่ไหนกัน...
“ขอบคุณนะที่ชวนฉันไปงานเทศกาล” คาเรนบอกกับคอลินตรงระเบียงหน้าประตูบ้าน เงยหน้าสบตากับเขาตรงๆ
“ถ้านายไม่ชวนก็ไม่รู้ว่าฉันจะได้ไปงานแบบนี้เมื่อไร ขอบคุณด้วยที่ตอนเช้ามารับแล้วขากลับก็เดินมาส่ง ขอบคุณที่ตอนเช้า
เลี้ยงช็อกโกแลตร้อน แซนด์วิชตอนกลางวันแล้วก็ที่มาช่วยให้ฉันหลุดพ้นจากผู้ชายคนนั้น ขอบคุณที่...”
“ยังไม่หมดอีกหรือ”
“สำหรับวันนี้คงหมดแล้วละมั้ง อ้อ” เธอเว้นช่วง คลี่ยิ้มบางๆ “ขอบคุณที่เป็นคอลินให้ฉันได้รู้จัก”
วินาทีนั้นคอลินตัวแทบลอยแล้วถ้าไม่ติดว่ามีของหนักๆ อยู่ในกระเป๋เป้ที่เขาแบกติดตัวไปด้วยทั้งวัน เด็กหนุ่มเปิดกระเป๋า
หยิบกล่องของขวัญสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือส่งให้คาเรน
“ของขวัญคริสต์มาสล่วงหน้า ที่จริงฉันก็กะจะส่งมาให้พรุ่งนี้แต่ไหนๆ วันนี้เธอก็อยู่ตรงนี้แล้วเลยคิดว่าให้เลยดีกว่า”
คาเรนยื่นมือมารับของขวัญคริสต์มาสชิ้นแรกของปีนี้ จ้องมันราวกับจะมองทะลุให้ได้แต่ก็ไร้ผล เลยเงยหน้ามองคนให้
“เปิดดูเลยได้ไหม”
“ได้สิ แต่อย่าเพิ่งอ่านการ์ดนะ”
ได้ยินคำอนุญาตคาเรนจึงไม่รอช้า ดึงริบบิ้นสีแดงออกแล้วดึงฝากล่องที่ถูกปิดแบบสวมลงมาจากข้างบนออกต่อหน้าคนให้
ที่ใจกำลังเต้นตึกตักลุ้นอย่างใจจดใจจ่อว่าเธอจะชอบของที่เขาให้ไหม -- เสียงอุทานอย่างแผ่วเบาหลุดออกมาจากปากทันทีที่รู้ว่าข้างใน
คืออะไร คาเรนหยิบลูกแก้วหิมะออกมาดูด้วยดวงตาเป็นประกาย ข้างในคือสนามควิดดิชแบบจำลอง มีนักกีฬาควิดดิชตัวเล็กแบบครบทีม
ขี่ไม้กวาดอยู่ในนั้น ยิ่งไปกว่านั้นหิมะที่ดูเหมือนจริงจะโปรยปรายอยู่ในลูกแก้วตลอดเวลาด้วยเวทมนตร์ต่อให้ไม่เขย่าหรือคว่ำมันลง
“ฉันชอบมากเลย” เด็กสาวยิ้มกว้าง “ขอบคุณนะ”
“เห็นเธอชอบก็ค่อยโล่งใจหน่อย”
“ทำไมฉันถึงจะไม่ชอบกันเล่า” ฉับพลันนั้นอยู่ดีๆ คาเรนก็เหมือนจะซึมลง “ให้ตอนนี้แล้วฉันจะไปเตรียมของขวัญมาให้นายทันได้ยังไง
คริสต์มาสก็ตั้งพรุ่งนี้”
“เธอมีของขวัญให้ฉันด้วยหรือ”
“แน่นอน ฉันเตรียมของขวัญไว้ให้สมาชิกในทีมควิดดิชทุกคนอยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้ห่อของขวัญเลย”
“ไม่เป็นไร ฉันรอพรุ่งนี้ก็ได้”
“แต่ของที่ฉันจะให้นายมันเทียบไม่ได้เลยกับลูกแก้วนี่ เอางี้ เปิดเทอมไปฉันจะลดชั่วโมงซ้อมของนายให้น้อยลง”
“ไม่เอาหรอก ที่เธอให้ฝึกก็เพราะฉันจะได้เก่งๆ ไม่ใช่รึไง”
“ก็ใช่ แต่ใครจะไปรู้ ปกติเรียกซ้อมทีไรนายก็สะลึมสะลือเหมือนยังไม่ตื่นดีทุกที หรือฉันต้องหาอะไรเพิ่มให้นายดี อะไรดีล่ะ”
“เบอร์โทรศัพท์ที่บ้านเธอ” คอลินตอบ “นั่นแหละที่ฉันอยากได้ -- แบบว่าฉันจะได้โทรถามเธอเรื่องกลยุทธ์ควิดดิชนัดหน้าระหว่างที่
โรงเรียนยังปิดอยู่ บางทีอาจให้คำปรึกษากับเธอด้วยก็ได้”
※
มือที่ซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อกันหนาวกำกระดาษที่จดเบอร์บ้านเคลียร์วอเทอร์เอาไว้ไม่ปล่อย ใบหน้าที่ซ่อนไว้ใต้ผ้าพันคอยิ้มร่า
อย่างมีความสุขระหว่างเดินกลับไปยังจุดนัดพบตรงน้ำพุ -- ระหว่างทางคอลินได้เจอเพเนโลพีเดินสวนกันมาพอดีเลยเป็นฝ่ายทักทายก่อน
อย่างอารมณ์ดี
“อ้อ หวัดดีคอลิน ไปส่งคาเรนมาเหรอ”
“ครับ”
“ค่อยสบายใจหน่อย นึกว่าจะไปหลงที่ไหนซะแล้วน้องฉัน วันนี้เป็นไงบ้าง หวังว่าคาเรนคงไม่ไปเล่นซนเผลอใช้เวทมนตร์นะ
ไปเที่ยวสนุกไหม”
“ครับ สบายใจได้ว่าเราไม่ได้ใช้เวทมนตร์เลยสักคาถา แล้วก็ถึงจะไม่ได้เล่นเครื่องเล่นแต่คาเรนก็ดูสนุกดีครับ คิดว่านะ”
“ดีจัง ปกติกลับมาบ้านช่วงคริสต์มาสทีไรคาเรนหน้าบูดตลอดเพราะแม่ชอบดึงตัวไปงานเลี้ยง ขอบใจที่พาน้องสาวพี่ไปเที่ยวนะ”
เพเนโลพีมองเห็นกล้องที่ห้อยคอคอลินอยู่ “อยากรู้จังว่าถ่ายรูปคาเรนไว้บ้างหรือเปล่า”
“เยอะเลยครับ” คอลินโพล่งออกไปแต่แล้วก็รีบหุบยิ้ม ตอบแบบอึกอักพร้อมกับใบหูที่เริ่มแดง “ก็ประมาณนึงครับ”
ขณะเดียวกันทางฝั่งของคาเรน ทันทีที่เข้าบ้านเธอก็หมกตัวอยู่ในห้องนอน นั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือเอามือเท้าคางมองลูกแก้วหิมะ
ที่เพิ่งได้มาเป็นของขวัญอย่างมีความสุข ข้างกันนั้นมีการ์ดใบเล็กที่เปิดอ่านแล้ววางอยู่ ในนั้นมีตัวหนังสือตัวเล็กที่เขียนด้วยลายมือว่า
. . . . . . . . . . . . . .
สุขสันต์วันคริสต์มาส!
ขอบคุณที่ทำให้ชีวิตปีที่เจ็ดในฮอกวอตส์ของฉันมีความหมายมากกว่าเดิม
ปีหน้าก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ
คุณกัปตัน!
. . . . . . . . . . . . . .
เพเนโลพีเคาะประตูห้องน้องสาวมาได้ราวห้านาทีแล้วแต่ก็ยังไร้วี่แววว่าคนในห้องจะมาเปิดประตูให้ แต่ไฟในห้องยังเปิดอยู่
หญิงสาวเลยจับลูกบิดประตู มันไม่ได้ล็อคอย่างที่คิดเลยถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป เธอคิดว่าน้องสาวอาจจะผล็อยหลับไปจะได้ปิดไฟให้
แต่ที่ไหนได้กลับนั่งอมยิ้มให้ลูกแก้วหิมะ
“ถ้าคนให้รู้ว่าน้องสาวพี่ชอบขนาดนี้คงดีใจแย่”
※
ความคิดเห็น