ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Harry Potter] Captain [Colin x OC] [END]

    ลำดับตอนที่ #8 : 8 ll Meet

    • อัปเดตล่าสุด 5 พ.ค. 64



    8


    Meet



           

           ด้กลับบ้านช่วงเทศกาลคริสต์มาสคือช่วงเวลาที่จะได้เล่นสนุก เดินเตร็ดเตร่ไปทั่วหรือแม้กระทั่งนอนเอกขเนกเอื่อยเฉื่อย

    ให้ความขี้เกียจได้ไหลไปพร้อมกับเข็มนาฬิกา

               

           คาเรนนึกดีใจที่วันหยุดยาวคราวนี้จะได้วางกลยุทธ์ควิดดิชอย่างสงบที่บ้านแถบชานเมืองหรือไม่ก็นั่งผิงไฟอุ่นๆ 

    ดื่มช็อกโกแลตร้อนแล้วคุยเล่นกับเพเนโลพี พี่สาวของเธอขณะที่แม่ออกไปงานสังสรรค์ที่เป็นเหมือนงานอดิเรกไปแล้ว

    กับพ่อที่ทุ่มเวลาให้กับการศึกษาเรื่องหมากรุกพ่อมดที่สมาคมลับในเมืองถัดไป

                

           หากแต่ทุกอย่างกลับผิดแผนไปหมด บ่ายวันที่ยี่สิบสองธันวาคมเธอกับพี่สาวถูกแม่จับแต่งตัวด้วยชุดออกงานสีม่วง

    เพื่อไปงานเลี้ยงคริสต์มาสกับกลุ่มเพื่อนมักเกิ้ลของแม่ที่คาเรนต้องไม่เป็นตัวของตัวเอง ยืนเกร็งทุกทีที่ถูกแขกในงานถาม

    เพราะเหมือนมีหนังสือสมบัติผู้ดีมากางไว้ตรงหน้าตลอด ให้ตายสินอกจากกระโปรงนักเรียนเธอก็ไม่ชอบใส่กระโปรงไปไหนเลย

    ยกเว้นก็แต่ตอนที่แม่ขอร้องแบบเอือมระอากับลูกสาวที่ไม่มีความเรียบร้อยในสายตาคนเป็นแม่ จนลูกสาวคนเล็กอย่างเธอต้องบอกว่า 

    ‘ แค่พี่เพนนีเรียบร้อยคนเดียวก็พอแล้วนี่คะ ’ สุดท้ายก็มาลงเอยที่ชุดเดรสเหมือนตอนนี้อยู่ดี...   


           “ให้หนูกลับไปเฝ้าบ้านก็ได้นะแม่ หนูไม่ว่าอะไรหรอกถ้าให้พี่เพนนีเป็นตัวแทนของหนู” คาเรนอ้อนวอนผู้เป็นแม่ทั้งที่มาถึงสถานที่

    จัดงานอันโอ่อ่าราวกับคฤหาสน์


           “พูดอะไรไร้สาระอย่างนั้น แม่ไม่อนุญาตแน่ละ”


           “แต่หนูไม่มีเพื่อนอยู่ในงานเหมือนแม่หรือพี่เพนนีนี่”


           “ทำไมจะไม่มี ก็หนูคาเมรอนไง ทำเป็นลืมไปได้”


           “เขาไม่ใช่เพื่อนหนู อย่างน้อยถ้าเขาเห็นหนูเป็นเพื่อนต้องไม่มีทางโกงจนชนะเกมควิดดิชที่แข่งกับกริฟฟินดอร์แน่...” 

    คาเรนหุบปากลงอัตโนมัติเพราะแม่ชูนิ้วชี้ขึ้นมา


           “พอทีกับเรื่องควิดดิช เลิกคิดถึงควิดดิชซักสองสามชั่วโมงจะได้ไหม ถ้าไม่อยากโดนโกงก็เลิกเล่นซะสิ”


           “เอ๊า แล้วหนูผิดอะไร”


           “ผิดที่ไม่เชื่อฟังแม่ว่าให้ตั้งใจเรียนดีกว่าจะเอาเวลาไปทุ่มกับควิดดิชอะไรนั่นในโลกเวทมนตร์ของลูก ยังไงในสายตาแม่

    หนูคาเมรอนก็เป็นเด็กผู้ชายที่น่ารักแล้วก็มีสัมมาคารวะที่สุดแล้ว ลูกควรจะทำดีกับเขาให้มากๆ ไม่ใช่เอาแต่ตวาดใส่หรือใจร้ายกับเขา”


           “ถ้าแม่มองว่าเขาดีงั้นหนูว่าแม่ต้องไปตัดแว่นแล้วละ อีกอย่างหนูคาเมรอนของแม่ก็เล่นควิดดิชด้วยเหมือนกับหนูนั่นแหละ...”


           “คาเรนอย่าให้แม่ต้องสั่งห้ามลูกแบบเด็ดขาดเรื่องควิดดิชนะ” คุณนายเคลียร์วอเทอร์ขึ้นเสียงจนลูกสาวทั้งสองสะดุ้ง 

    เธอจ้องคาเรนเขม็งจนแน่ใจว่าจะไม่เถียงอีกก่อนผ่อนลมหายใจ ทำหน้ายิ้มแย้มแล้วผลักประตูเข้าไปในงานเลี้ยง


           คาเรนกัดฟันพลางหลับตาลงไม่ให้น้ำตารื้น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนลมหายใจอย่างอับจนหนทาง นอกจากเพื่อนแม่แล้ว

    คนที่ไม่อยากเจอคือคาเมรอน เบรฟลีย์กับครอบครัวที่ไม่มีทางพลาดงานนี้อยู่แล้ว


           เพเนโลพีโอบไหล่ให้กำลังใจน้องสาว “พี่รู้ว่ายังเหลือเวลาปีหน้าอีกปีกว่าเธอจะเรียนจบแล้วไปทำงาน แต่พี่รู้ว่าเธอ

    เป็นนักกีฬาควิดดิชได้แน่ ถ้าเธอจะทำน่ะนะ -- ส่วนคาเมรอน ถ้าเขาทำตัวไม่ดีกับเธอหรือคนอื่นอย่างที่เธอเล่าให้พี่ฟังจริงๆ ละก็

    ไม่ต้องไปผูกมิตรกับเขาอย่างที่แม่บอกหรอก ไม่ต้องฝืนใจชอบเหมือนที่แม่อยากให้เป็นด้วย อย่าให้แม่ควบคุมจนต้อง

    ไปทำงานที่ไม่ได้ชอบเหมือนพี่ เธอจะชอบใครก็ชอบไปเลย อย่าให้แม่มาบีบบังคับให้เลิกเหมือนพี่กับเพอร์ซี่...” เพเนโลพีหยุดพูดเมื่อนึกถึง

    เพอร์ซี่ วีสลีย์ แฟนหนุ่มที่แม่ไม่ยอมรับเพราะฐานะต่างกัน เธอต้องโกหกใจตัวเองว่าไม่ได้รักเขาและบอกเลิกไปทั้งที่ยังรักอยู่


           กลายเป็นฝ่ายคาเรนต้องปลอบกลับ เธอสวมกอดพี่สาวแรงๆ โยกตัวไปมาพลางตบหลังอย่างแผ่วเบา สองพี่น้องให้กำลังใจ

    กันและกันก่อนจับมือพากันเข้าไปในงาน


           คาเรนปล่อยให้เพเนโลพีไปหาเพื่อน ส่วนเธอก็นั่งห่อเหี่ยวเหมือนผักขาดน้ำอยู่ตรงโซฟาในมุมหนึ่งของห้อง ฟังเสียงเปียโนบรรเลง

    ที่ให้ความรู้สึกว่าเธอต้องทำตัวเรียบร้อยอยู่ตลอดเวลาทั้งที่ในใจได้แต่นึกถึงเสียงแบนโจกับเสียงปรบมือของผู้คนที่เต้นรำอย่างมีชีวิตชีว

    ไปกับวงดนตรีของชาวไอริชมากกว่า


           “หวัดดี คาเรน” คาเมรอนทัก วันนี้เขามาในชุดสูทออกงานสีน้ำเงินเข้มดูเรียบหรู


           “หวัดดี”


           “วันนี้เธอสวยมากเลย”


           ดวงตาสีเขียวเหลืองมองเด็กหนุ่มขึ้นลงหนึ่งรอบถ้วน “นายก็ดูดีใช้ได้”


           “ไม่นึกว่าจะได้ยินเธอชมฉัน ขอนั่งด้วยนะ” เขาเข้ามานั่งลงข้างๆ ขณะที่ฝ่ายหญิงผุดลุกขึ้นทันที วันนี้คาเรนพยายามเต็มที่

    ที่จะผูกมิตรกับเขาตามคำขอของแม่มากพอแล้ว


           “ฉันจะไปหาพี่เพนนี” พูดจบก็หมุนตัวเดินไปหาพี่สาว อย่างน้อยยืนอยู่กับพี่ก็ยังสบายใจกว่านั่งกับคาเมรอน


           ในตอนที่คาเรนกำลังเบื่อได้ที่ สายตาพลันเหลือบไปเห็นผู้ชายสองคนเดินถือกล้องผ่านหน้าต่างบานใหญ่อยู่ด้านนอก 

    อารมณ์คาเรนพลันเบิกบานขึ้นมาทันทีราวกับภาพที่เห็นเป็นแสงสว่างในวันที่มืดมนของเธอ


           “คอลิน เดนนิส” เธอหันไปจับแขนพี่สาว “พี่เพนนี หนูออกไปข้างนอกนะ”


           “จะไปไหน”


           “ไปหาคอลินกับเดนนิส”


           “ใครนะ?”


           “รุ่นพี่แล้วก็รุ่นน้องหนูที่โรงเรียน”


           “ผู้ชายหรือ?”


           “ใช่ แต่พี่วางใจได้ คอลินเป็นเพื่อนร่วมทีมควิดดิชของหนู เขาไว้ใจได้มากกว่าคาเมรอนสิบคนรวมกันซะอีก ถ้าพี่ไม่เชื่อ...”


           “เชื่อ พี่เชื่อ แล้วจะไปนานไหม”


           “กลับมาทันก่อนกลับแน่ๆ”


           “เดินออกไประวังอย่าให้แม่จับได้ล่ะ โชคดีน้องรัก”


           คาเรนยิ้มให้พี่สาว เขย่งเท้าหอมแก้มขอบคุณฟอดใหญ่ จับชายกระโปรงขึ้นแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งแทรกผ่านบรรดาผู้ร่วมงาน

    ที่กำลังพ่นคำพูดสวยหรูที่แต่ละคนปั้นแต่งให้ครอบครัวตัวเองดูดีมีราคาจนผ่านออกไปนอกประตูได้สำเร็จ


              “คอลิน!” เด็กสาวตะโกนเรียกรุ่นพี่ที่กำลังรอข้ามถนนไปอีกฝั่ง


           คอลินลดกล้องลงจากระดับสายตา ขมวดคิ้วใส่น้องชาย “เหมือนได้ยินใครเรียกพี่ไหม เสียงยังกับโดนเรียกตอนเล่นควิดดิชเลย”


           เดนนิสจับไหล่สองข้างหมุนตัวคอลินไปมองข้างหลัง “ก็คุณกัปตันของพี่ไง -- แต่วันนี้สงสัยจะเปลี่ยนเป็นนางฟ้าแล้วล่ะมั้ง 

    เมื่อกี้พี่เพิ่งบ่นคิดถึงเธออยู่หยกๆ นี่ ช่างบังเอิญอะไรขนาดนี้”


           คอลินอึ้งไปแล้ว ถ้าไม่เห็นกับตาว่าคาเรนกำลังวิ่งมาหาบวกกับเสียงส้นสูงที่กระทบพื้นดังเข้ามาในโสตประสาทคงคิดว่า

    กำลังโดนเดนนิสหลอกแน่ๆ -- อาการอยากถ่ายรูปกำเริบขึ้นมายิ่งกว่าความตั้งใจแรกที่จะมาถ่ายภาพบ้านเมืองเอาไปทำเป็นโปสการ์ด

    ฝากคาเรนซะอีก เพราะตอนนี้เขากลับอยากถ่ายเจ้าของโปสการ์ดซะเอง มือขวาที่ถือกล้องยกขึ้นแล้วกดชัตเตอร์หนึ่งที


           “หวัดดีคาเรน” เดนนิสโบกมือทักทาย


           เธอยกมือกุมซี่โครงตัวเองหลังมาหยุดอยู่ข้างหน้า ลมหายใจพวยพุ่งออกมาเป็นไอขาว มือข้างที่ว่างยกขึ้นชี้คอลิน 

    “ฉันเห็นนะ เมื่อกี้นี้ถ่ายไว้ด้วยใช่ไหม”


           “โทษทีฉัน...”


           “ช่างเถอะ”


           “เธอมาทำอะไรแถวนี้น่ะ” เขายื่นแขนให้อีกฝ่ายจับเพื่อช่วยพยุงตัวระหว่างยืนหอบ


           “ฉันมางานเลี้ยงกับแม่” เธอสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ “นรกชัดๆ ในงานมีคาเมรอนด้วย -- หวัดดีเดนนิส”


           “เธอวิ่งมาแบบนี้จะดีหรือ” เดนนิสถาม เอียงตัวมองไปข้างหลังว่ามีใครตามมาไหม


           “ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว พวกนายกำลังไปไหนกัน”


           “งานเลี้ยงของคุณเพอร์คินส์ เขาจัดงานเลี้ยงคริสต์มาสเล็กๆ ที่โรงละครในซอยข้างหน้านี่เอง มีวงดนตรีของชาวไอริชด้วย 

    อย่างน้อยวันนี้ฉันต้องได้รูปไม่ต่ำกว่าร้อยรูปไปฝากที่บ้าน” ว่าแล้วคอลินก็ชูกล้องในมือ


           ได้ยินว่าจะมีวงดนตรีของขาวไอริชแววตาคาเรนก็เป็นประกาย “ฉันไปด้วยได้ไหม”


           สองพี่น้องหันมองหน้ากัน


           “แล้วงานเลี้ยงของเธอล่ะ” เดนนิสถามอย่างไม่แน่ใจ


           “ใครจะสน แค่ฉันกลับไปที่นั่นก่อนมืดก็พอแล้ว”


           คอลินผุดยิ้ม “งั้นก็เชิญเลย คุณเพอร์คินส์เขาใจดีอยู่แล้ว เขาต้องดีใจที่มีคนอยากมาร่วมงานเพิ่มแน่ๆ”


           หลังตกลงกันได้ว่าคอลินกับเดนนิสจะเดินมาส่งคาเรนกลับงานเลี้ยงของเธอ ทั้งสามก็เริ่มออกเดินอีกครั้ง


           คอลินพยายามก้าวให้ช้าลงเพราะคาเรนเริ่มรั้งท้ายเพราะส้นสูงของเธอทำให้เดินท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ก้าวไม่ได้อย่างใจหวัง 

    “เธอเดินดูไม่ค่อยสบายเลยนะ”


           “นิดหน่อย แค่รองเท้าคู่นี้พาฉันมาถึงตรงนี้ได้ก็ดีมากแล้ว -- อะไรหรือ?” คาเรนชะงัก มองดูแขนคอลินที่ยกแขนขวาขึ้นข้างหน้าเธอ

    แล้วใช้มืออีกข้างตบลงแปะๆ


           “วางมือบนแขนฉันก็ได้ ถ้าเธอล้มฉันจะได้ช่วยทัน”


           เด็กสาวผมบลอนด์กะพริบตาปริบๆ “เป็นความคิดที่ดีนี่” เธอยกมือหมายจะจับแขนคอลินแต่เขากลับหดมือกลับไป 

    ...คิดจะแกล้งกันเรอะ?


           หากแต่เปล่าเลย คอลินถอดเสื้อโค้ทตัวยาวของตัวเองคลุมให้คาเรนโดยที่เธอไม่ได้ร้องขอทั้งยังไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ปฏิเสธด้วยซ้ำ 

    “ถึงฉันจะเหลือแค่เสื้อเชิ้ตกับเสื้อกันหนาวตัวเดียวก็ยังดูอุ่นกว่าเธอตั้งเยอะแน่ะ”


           “แน่ใจนะว่านายจะไม่หนาว”


           “ไม่อะ ฉันคงจะหนาวแน่ๆ แต่ฉันทนดูไม่ได้ถ้าเห็นเธอหนาวกว่า”


           เดนนิสกระแอมไออย่างจงใจ บอกให้รู้ว่ายังมีเขาตัวเป็นๆอยู่ตรงนี้ด้วย คอลินยกมือเกาท้ายทอยแก้เขินก่อนตั้งสติ

    ยกแขนตั้งฉากให้หญิงสาวหนึ่งเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้ คาเรนขำน้อยๆ ร่างกายเริ่มอบอุ่นขึ้นมาก็จริงแต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนหน้าเธอร้อนยิ่งกว่า  


           “ขอบคุณนะ”


           “เอ้า” เดนนิสขัดจังหวะพร้อมกับสละผ้าพันคอตัวเองยื่นให้คาเรนจนสุดแขน ถึงตอนนี้คาเรนจะไม่ใช่พี่สาวแต่เขาก็มองเป็น

    พี่สาวตัวเองไปเรียบร้อยแล้วต่อให้ห่างกันแค่ปีเดียวก็เถอะ “รีบรับไปสิ เดี๋ยวฉันก็เปลี่ยนใจขึ้นมาหรอก” ว่าแล้วเขาก็ยัดมันใส่มือเธอ

    ก่อนหดคอดึงปกเสื้อโค้ทขึ้นมาคลุมกันลมหนาวจนถึงจมูก


           ระหว่างทางที่ชวนให้คาเรนอุ่นใจกับสองพี่น้องครีฟวีย์เธอก็ถามเรื่องที่ตัวเองสงสัย “บ้านพวกนายอยู่แถวนี้หรือ”


           “หมู่บ้านข้างๆ น่ะ”


           “เจ๋ง ส่วนบ้านฉันอยู่ลึกเข้าไปสุดซอยนู่น ไม่ยักรู้ว่าเราอยู่ใกล้กันขนาดนี้”


           “ฉันก็เหมือนกัน”



              วงดนตรีของชาวไอริชกำลังบรรเลงเพลงท่วงทำนองสนุกสนานทั้งไวโอลิน ฟลุต แอคคอร์เดียนแต่ที่ดึงความสนใจคาเรนไปจนหมด

    คือแบนโจ ทำเอาเธอหลงใหลและรักสถานที่นี้เข้าเต็มเปาตั้งแต่ก้าวแรกที่ผ่านเข้าประตูไม้สีขาวมา ชายหญิงนับสิบกำลังเต้นรำกันอยู่

    กลางฟลอร์ที่อดีตเคยใช้เป็นที่วางเก้าอี้สำหรับนั่งชมละครเวที รอบข้างมีคนร่วมงานถือเบียร์และส่งเสียงร้องเพลงไปร่วมกับทุกคน 

    มีช็อกโกแลตร้อนสำหรับเด็กๆ และขนมหอมกรุ่นที่มีไม่อั้น ระหว่างที่คาเรนกำลังตื่นตาตื่นใจไปกับทุกอย่างในโรงละครขนาดกะทัดรัดแห่งนี้ 

    ชายร่างท้วมวัยกลางคนผู้สวมชุดสีสันสดใสที่สุดในงานที่ชื่อเพอร์คินส์ก็เข้ามาทักทาย


              “สวัสดีครีฟวีย์เด็กๆ ที่รัก! ดีใจที่พวกเธอมากันได้นะ พ่อกับแม่สบายดีไหม”


           “ครับ”


           เจ้าของใบหน้ายิ้มแย้มดูอารมณ์ดีตลอดเวลาไล่จับมือกับคอลิน เดนนิสแล้วมาก็จบที่คาเรน


           “สวัสดีค่ะ หนูคาเรน เคลียร์วอเทอร์” เธอยื่นมือจับกับคุณเพอร์คินส์อย่างร่าเริง ดวงตามีประกายสดใส เขาจับมือตอบพลางมองเธอ

    ราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง


              “เคราเมอร์ลินนี่หนูเคลียร์วอเทอร์จริงหรือ ฉันกับภรรยาเขียนจดหมายเชิญครอบครัวหนูมาตลอดหลายสิบปี ไม่คิดว่าในที่สุด

    วันนี้หนูก็มา”


           “คุณเชิญพวกเราด้วยเหรอคะ”


              “ถูกเผง มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เชิญด้วยหรือ หนูคงไม่รู้ล่ะสิ แม่ของหนูใจดีมากที่อุตส่าห์เขียนจดหมายขอโทษตอบกลับมา

    อย่างสุภาพทุกครั้งว่ามาไม่ได้เพราะติดธุระ แหม! ดีใจจริงที่หนูมา”


           “ขอโทษด้วยนะคะที่หนูมาโดยไม่ได้บอก”


              “ขอโทษในสิ่งที่หนูไม่ผิดน่ะหรือ? ช่างน่าขันอะไรอย่างนี้ มาเถอะ! เข้ามาข้างในมาดื่มช็อกโกแลตร้อนๆ ให้ร่างกายอบอุ่นกันก่อน

    แล้วค่อยไปเต้นรำ ก่อนกลับเอาขนมกลับไปฝากที่บ้านกันด้วยนะ อ้อ รวมถึงฝากตัวเองในวันหลังด้วย ปีที่แล้วเธอกินจนต้อง

    ปลดกระดุมกางเกงตอนเดินกลับบ้านเลยใช่ไหม เดนนิส? แหม กินยังกะสัตว์ตัวน้อยที่จะกลับไปจำศีลตลอดฤดูหนาวยังงั้นละ!


           คุณเพอร์คินส์หยิบแก้วช็อกโกแลตร้อนให้เด็กทั้งสามพลางผายมือให้นั่งบนขอบเวที จะได้มองดูผู้คนเต้นรำได้ถนัดๆ 

    มีทั้งคู่เต้นรำชายหญิง หญิงหญิงที่เต้นรำกันเองภายในกลุ่มเพื่อน ชายชายหรือแม้แต่คนที่มีความสุขกับการเต้นรำคนเดียว


           “ฮอกวอตส์เรียบร้อยดีนะ”


           “คุณรู้เรื่องฮอกวอตส์ด้วยหรือคะ งั้นคุณก็เป็น...”


           “สควิป” อีกฝ่ายตอบแบบไม่ทุกข์ร้อนใจ


              “อ้อ” คาเรนอึ้งไปชั่วขณะที่ได้ยินคำตอบเหนือความคาดหมายยิ่งกว่าที่รู้ว่าเขารู้เรื่องฮอกวอตส์เสียอีก อันที่จริงเธอน่าจะฉุกคิดได้

    ว่าเขาไม่ใช่มักเกิ้ลตั้งแต่แรกที่ได้ยินเขาอุทานว่า ‘ เคราเมอร์ลิน  ด้วยซ้ำ “ขอโทษค่ะที่ถาม”


              “วันนี้เธอใช้คำขอโทษเปลืองเกินไปแล้วแม่หนู ฉันเป็นสควิปที่มีความสุขที่สุดในโลกแล้วล่ะมั้ง ได้มีโรงละครเป็นของตัวเอง

    อย่างที่ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก มีภรรยาที่น่ารัก มีกินโดยไม่อดสักมื้อแค่นี้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องเสียใจที่ไม่มีเวทมนตร์แล้ว ไม่ใช่สิ 

    ความเสียใจอย่างเดียวของฉันที่เป็นสควิปคือไม่มีจดหมายจากฮอกวอตส์มาส่งที่บ้านตอนอายุสิบเอ็ดปีเหมือนอย่างพ่อมดแม่มดคนอื่นๆ 

    ในรุ่นเดียวกัน...แต่ก็นะ ตอนนี้มีความสุขก็พอแล้วล่ะ -- เอ้า ไปเต้นรำกันเถอะ!


           เขาบอกกับเด็กๆ ลุกขึ้นยืนพลางจับสายเอี๊ยมที่มีไว้สำหรับรั้งกางเกงไม่ให้หลุดให้เข้าที่ หันไปหาคุณนายเพอร์คินส์แต่เธอบอกว่า

    เต้นจนเหนื่อยแล้วและขอนั่งดูแทน คุณเพอร์คินส์เลยส่งมือมาทางคาเรนแทน “สนใจจะเต้นรำกับลุงที่เป็นสควิปแก่ๆ สักเพลงไหม”


           “ถึงคุณจะเป็นสควิปแต่ก็เป็นสควิปที่เท่มากต่างหากละคะ เอ่อ คุณจะว่าอะไรไหมถ้าหนูถอดรองเท้า”


           คุณเพอร์คินส์ผายมือไปยังคนอื่นๆ ให้เธอดู “เธอจะทำอะไรก็ได้ที่นี่ ไม่มีใครมาสนใจหรอกว่าใครจะใส่รองเท้าแบบไหนหรือ

    เปลือยเท้าเต้นรำ มีก็แค่ฉันที่สนใจว่าแขกของฉันทุกคนมีความสุขไหมต่างหาก”


           คาเรนไม่รอช้ากระโดดลงจากเวทีส่งมือให้เพอร์คินส์ผู้ใจดีแล้วเริ่มเต้นรำแบบเงอะๆ งะๆ กระทั่งพอเริ่มจับจังหวะได้ก็สนุกแล้ว 

    เด็กสาวจึงดูผ่อนคลายเมื่อปล่อยให้ท่วงทำนองพาเธอไปแทนที่จะมากังวลว่าก้าวเท้าถูกไหม


           คอลินกดชัตเตอร์ถ่ายรูปคาเรนที่แสนจะมีชีวิตชีวาไว้ได้หลายรูป ทีแรกเขานึกว่าเธออาจอยากกลับถ้าได้มาเห็นที่นี่และบัดนี้รู้แล้ว

    ว่าตัวเองคิดผิด ในทางกลับกันก็คิดถูกที่ให้เธอตามมาด้วย ถึงจะไม่ได้เต้นรำด้วยกันแต่ได้เห็นคนผมบลอนด์ยิ้มกว้างได้เหมือน

    ตอนเล่นควิดดิชที่เธอรัก เขาก็มีความสุขแล้วจนเผลอยิ้มตามไปด้วย


           เพลงจบลงคุณนายเพอร์คินส์ก็เดินเข้ามาสะกิดไหล่คอลิน “รออะไรอยู่ ไปเต้นรำกับแฟนสิ อย่าให้โดนแย่งไปได้เชียว”


           “คุณเข้าใจผิดแล้ว เธอไม่ใช่แฟนผมครับ”


            เดนนิสพยักหน้าสนับสนุนแต่แล้วก็ชะโงกหน้าไปกระซิบแบบที่คนถูกนินทาก็ยังได้ยินชัดเจน “คอลินแค่ชอบอยู่ฝ่ายเดียวน่ะครับ โอ๊ย!” 

    เขายกมือมาลูบแขนป้อยๆ เพราะโดนคอลินชกแขน


           คุณนายเพอร์คินส์ยิ้มด้วยความเอ็นดู “งั้นก็รีบไปขอเต้นรำซะสิ พ่อหนุ่ม สมัยวัยรุ่นฉันก็ตกหลุมรักตาเพอร์คินส์ก็เพราะ

    ได้เต้นรำกับเขานี่แหละ”


              ถ้าคนเราจะตกหลุมรักได้ง่ายแบบนั้นก็ดีสิ! คอลินลังเลไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหนสักทีเลยลำบากเดนนิสต้องช่วยดันหลัง 


           “ไปสิคอลินนี่” ไม่ว่าเปล่าเขายังยึดกล้องจากมือคนพี่มาถือไว้เอง “ต่อจากนี้ยกให้เป็นหน้าที่ฉันเถอะ วางใจช่างกล้องอันดับสอง

    ของฮอกวอตส์ได้เลย”


           คอลินถอดเสื้อกันหนาวฝากให้เดนนิสเพราะในนี้อุ่นมากพอ เผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวกับสายเอี๊ยมสีดำสองเส้นที่รั้งจากขอบกางเกง

    ข้างหน้าพาดไหล่ไปข้างหลังดูเข้ากันดีกับผมที่เช็ตมาเป็นทรง


           “ฉันไม่ได้ดูแย่ใช่ไหม”


           “ยังจะมัวห่วงอยู่อีก ไปเร็วเข้า มีคนกำลังจะขอคาเรนเต้นรำแล้ว ไม่ต้องห่วงทางนี้นะฉันจะถ่ายพี่กับคาเรนให้เหมือนในงานเลี้ยง

    ฉลองงานแต่งเชียวละ”


           คอลินมองตาขวางนึกจะตำหนิน้องแต่ดันหลุดยิ้มออกมาซะก่อนเลยชูนิ้วโป้งให้แทนก่อนวิ่งไปตรงหน้าคาเรนได้ทันเวลาพอดิบพอดี 

    เขาโค้งให้เธอพร้อมชูมือไปข้างหน้า


           “เต้นรำกับฉันนะ”


           “ได้เลย ถ้านายไม่ถือสาที่ฉันเต้นรำไม่เก่งละก็นะ”


           เมื่อเพลงเริ่มเดนนิสก็เริ่มทำงานทันทีอย่างมีความสุข ภาพที่ถ่ายออกมายังกับพ่อกับแม่ของเขาสมัยจีบกันใหม่ๆ ที่เคยได้เห็นจาก

    การแอบเอาฟิล์มถ่ายภาพเก่าๆ มาล้างใหม่อีกรอบด้วยน้ำยาชนิดพิเศษที่ทำให้รูปภาพขยับได้


           งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ฟ้าข้างนอกเริ่มมืดลง ไฟประดับตามบ้านกับเสาไฟเปิดส่องสว่างราวกับดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า 

    คุณและคุณนายเพอร์คิสน์ออกมายืนส่งแขกทุกคนพร้อมกับให้คุกกี้กลับบ้านไปกันอีกคนละหนึ่งถุงใหญ่


           “ห้าโมงเย็นวันคริสต์มาสอีฟที่นี่จะมีเด็กๆ ในหมู่บ้านมาแสดงละครแน่ะ ถ้าว่างก็เชิญมาดูได้นะ ตั๋วฟรีเป็นกรณีพิเศษ”


           “ขอบคุณนะคะ” คาเรนบอกกับคุณนายเพอร์คินส์ที่ส่งคุกกี้ให้ก่อนหันไปตอบรับคำชวนของคุณเพอร์คินส์ “หนูจะมาแน่ๆ ค่ะ”



           “เจอกันพรุ่งนี้นะจ๊ะ” คุณนายเคลียร์วอเทอร์บอกกับคาเมรอนและแม่ของเขาก่อนครอบครัวเบรฟลีย์จะแยกตัวออกไป

    ตรงหน้าบ้านที่มีงานเลี้ยง “น้องสาวลูกไปไหนซะล่ะ” เธอถามเพเนโลพีที่เริ่มกระวนกระวายเพราะยังไม่เห็นวี่แววว่าน้องสาวจะกลับมา


           “นั่นไงคะ”


           “อ้อ มาแล้วเหรอ ลูกหายไปไหนมา แม่ไม่รู้จะตอบคำถามคุณนายเบรฟลีย์ยังไงเลยรู้ไหม”


           “หนูไปงานเลี้ยงของคุณเพอร์คินส์มาค่ะ งานที่แม่ปฏิเสธไปตลอดหลายปีที่เขาใจดีเขียนจดหมายเชิญพวกเราน่ะค่ะ 

    แล้วนี่ก็เพื่อนของหนูเอง คอลินกับเดนนิส ครีฟวีย์”


           สองพี่น้องเกิดทำตัวไม่ถูกขึ้นมาที่อยู่ดีๆ ก็ถูกแนะนำตัว คอลินกับเดนนิสโค้งให้แม่คาเรน


           “สวัสดีครับ ขอโทษด้วยที่พาคาเรน...”


           “หนูขอตามพวกเขาไปเองค่ะ” คาเรนพูดแทรก


           คุณนายเคลียร์วอเทอร์อ้าปากพะงาบๆ แต่ไม่ตำหนิลูกสาวเพราะแขกที่มางานต่างก็ทยอยกันออกมา เธอปั้นหน้ายิ้ม 

    “แม่ชวนคุณนายเบรฟลีย์กับหนูคาเมรอนมางานเลี้ยงที่บ้านเราพรุ่งนี้ด้วยนะ”


           “แม่เชิญคาเมรอนทำไมคะ”


           “ก็เพราะเขาเป็นเพื่อนลูกน่ะสิ ส่วนหนูสองคน ถ้าพรุ่งนี้ตอนห้าโมงเย็นว่างก็เชิญมากินเลี้ยงที่บ้านเราด้วยนะจ๊ะ 

    ฉันจะได้รู้จักเพื่อนๆ ของคาเรนเพิ่มด้วย”


           “คะ...ครับ ขอบคุณนะครับที่เชิญ”


           “หนูรู้ใช่ไหมว่าบ้านเราอยู่ตรงไหน”


           “ไม่ทราบครับ”


           “งั้นฉันจะเขียนที่อยู่ให้” ว่าแล้วคาเรนก็หยิบกระดาษกับดินสอที่พกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลาเผื่อเกิดคิดแผนควิดดิชเด็ดๆ ออก 

    เธอเขียนที่อยู่ส่งให้คอลินแล้วยิ้มแป้น “เจอกันพรุ่งนี้”


           เย็นวันต่อมาสองพี่น้องครีฟวีย์มาถึงหน้าบ้านตระกูลเคลียร์วอเทอร์ตามเวลากับนัดที่มาแบบปุบปับทำเอาตั้งตัวแทบไม่ทัน 

    แต่มาบ้านคาเรนทั้งทีจะมาตัวเปล่าก็คงแปลก คอลินเลยถือดอกไม้ช่อใหญ่มาด้วย


           ดวงตาสีน้ำตาลสองคู่มองกระดาษที่มีแผนที่เขียนเอาไว้สลับกับมองตัวบ้านอย่างไม่อยากเชื่อสายตา


           “นี่มันคฤหาสน์ชัดๆ” เดนนิสมองอย่างอึ้งๆ “แน่ใจนะว่าเรามาถูกบ้าน”


           “แน่ใจสิ”


           “บ้านเลขที่ล่ะถูกรึเปล่า”


              “ก็ต้องใช่แหละ ไม่เห็นป้ายหน้าบ้านนี่หรือเดนนิส มันเขียนเอาไว้ว่า ‘ เคลียร์วอเทอร์ ’  แล้วเราจะเอาไง”


           “พี่กดออดสิ”


           “นายเป็นน้อง นายนั่นแหละ”


           “พี่น่ะสิที่ต้องกด”


           “เอาละ พี่ว่าวันนี้เรากลับกันก่อนดีกว่า ถ้าเจอคาเรนแล้วเราค่อยขอโทษทีหลังที่มางานไม่ได้”


           ขณะที่ทั้งคู่ใจฝ่อเพียงแค่เห็นขนาดบ้านและเตรียมตัวหมุนตัวเดินกลับบ้านไปตั้งหลัก เจ้าของบ้านก็เปิดประตูผัวะออกมา

    พร้อมด้วยเสียงสดใสของคาเรน


              “กำลังรออยู่พอดีเลย! รีบเข้ามาข้างในสิ ข้างนอกหนาวจะตาย” คาเรนกวักมือเรียกให้ทั้งคู่เข้ามาในบ้าน ต่อให้อีกฝ่าย

    อยากปฏิเสธแค่ไหนก็ไม่ทันแล้ว “เสื้อคลุมถอดแขวนไว้ตรงนี้นะ”


           ยิ่งเข้ามาในบ้านยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ คอลินหันมองซ้ายทีขวาทีอย่างไม่รู้จะเอาสายตาไปหยุดไว้ตรงไหน วันนี้อุตส่าห์

    แต่งตัวดีแล้วก็ยังรู้สึกว่าน้อยไปด้วยซ้ำ เขาหันกลับไปหาคาเรนที่คอยจัดแจงแขวนเสื้อคลุมให้แขกทั้งสอง คิดจะเดินย้อนกลับไป

    ทว่าพี่สาวของเธอเข้ามาทักซะก่อน        


              “สวัสดี”


           “สวัสดีครับ เอ่อ ผมเอาดอกไม้มาให้ด้วย”


           “ขอบใจจ้ะ สวยมากเลย ฉันจะเอาไปปักแจกันนะ” เพเนโลพีรับไว้ด้วยความขอบคุณพยายามหาเรื่องมาชวนคุยไม่ให้แขก

    ผู้มาใหม่เกร็ง “คาเรนเล่าให้พี่ฟังหมดแล้วเรื่องเมื่อวานนี้ ฉันอิจฉาจังที่พวกเธอได้ไปงานเลี้ยงสนุกๆ แบบนั้น รู้งี้แอบออกไปด้วยก็ดีหรอก 

    เท่าที่ฟังมาแล้วคุณเพอร์คินส์นี่คงจะใจดีมากเลยใช่ไหม”


           “ครับ เขาใจดีมากจนหมู่บ้านรอบข้างแถวนี้รู้กันหมด” เดนนิสตอบแทน “น้อยคนที่จะไม่รู้”


           “น่าเสียดายที่บ้านเราเป็นส่วนน้อย” เพเนโลพีตอบด้วยความเสียดาย “แต่ตอนนี้เราก็รู้แล้ว หวังว่าครั้งหน้าจะได้ไปงานเลี้ยง

    ของเขาบ้าง คงจะดีถ้าได้ทำความรู้จักเอาไว้ เข้ามาข้างในสิ โต๊ะอาหารเตรียมพร้อมเสร็จหมดแล้ว”


           เพเนโลพีเดินนำเข้าไปในบ้าน แต่คาเรนรั้งตัวทั้งคู่เอาไว้เพราะมีเรื่องอยากคุยด้วย


           “หรือเธออยากให้พวกเรากลับ?” คอลินถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ


           “ไม่มีทางที่ฉันจะคิดงั้น ฉันดีใจจะตายที่พวกนายมา ที่ฉันอยากบอกคือขอโทษ พวกนายอาจอึดอัดหรือลำบากใจถ้าต้องมานั่ง

    ร่วมโต๊ะกับเบรฟลีย์แต่เมื่อวานนี้ฉันกลับเออออไปกับแม่เพราะคิดว่าถ้ามีนายสองคนมาด้วยก็คงดี”


           “เธอเองก็ไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกับเขาไม่ใช่หรือ”


           “ฮื่อ”


           “งั้นก็ช่างมันสิ ฉันยอมรับว่าอึดอัดนิดหน่อยถ้าได้เจอหน้าเขา แต่ฉันก็ยินดีถ้าได้รู้สึกร่วมกับเธอไปด้วย”


           “พี่คอลินพูดถูกที่สุด” เดนนิสพยักหน้าหงึกหงักอยู่ข้างกัน “มีพวกเราอยู่นี่เธอก็ไม่ต้องหงุดหงิดที่เห็นเขาแล้ว”


           “ขอบคุณนะ”


           ไก่งวงตัวโต พายไก่อบเสร็จใหม่ๆ ควันฉุย สตูเนื้อ สลัด ถูกจัดเรียงไว้เต็มโต๊ะ ที่หัวโต๊ะฝั่งนึงมีนายเคลียร์วอเทอร์ที่แต่งตัวสมกับ

    เป็นพ่อมดแบบที่ไม่แคร์ว่าภรรยาที่เป็นมักเกิ้ลจะติอะไรมาก็ตาม แต่เขาก็ยังพอใจที่จะใส่เสื้อคลุมแบบที่พวกพ่อมดชอบใส่กัน 

    ถัดมาเป็นคาเรน คอลินกับเดนนิสและตรงข้ามคาเรนคือเพเนโลพี หัวโต๊ะอีกฝั่งมีคุณนายเคลียร์วอเทอร์ ถัดลงมาเป็นคุณนายเบรฟลีย์

    กับสามี และคาเมรอนที่นั่งตรงข้ามพอดิบพอดีกับคอลินที่มีเดนนิสกับคาเรนนั่งขนาบสองข้าง


           คาเมรอนไม่ได้สนใจหรือใส่ใจนักที่มีพวกครีฟวีย์นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยเพราะความสนใจทั้งหมดอยู่ที่คาเรน ผู้ที่ไม่เคยมองเขาเลย

    ตั้งแต่เหยียบเข้ามาในบ้าน เด็กหนุ่มจนใจไม่รู้จะหาวิธีไหนมาเรียกความสนใจจากเธอในเวลานี้ได้ คาเรนตอนที่เวลาอยู่กับพ่อหรือแม่

    ของเขาก็คุยปกติดีแต่พอมีเขาร่วมวงด้วยเมื่อไรก็มีอันเป็นคนพูดน้อยไปซะเฉยๆ


           “ไปสนิทกับคาเรนได้ยังไงล่ะเรา” พ่อของคาเรนเอ่ยปากถามคอลินเพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลายหลังบอกให้ทุกคนเริ่มทานอาหารได้ 

    ภรรยาของเขาก็เอาแต่คุยกับสองแม่ลูกเบรฟลีย์ หรืออีกนัยหนึ่งคือนายเคลียร์วอเทอร์ค่อนข้างสนใจอย่างยิ่งและสงสัยว่าทำไมลูกสาว

    ของเขาถึงได้มีเพื่อนผู้ชายที่ดูสนิทสนมกันดีถึงขนาดยอมหนีจากงานเลี้ยงที่ไปกับแม่แล้วไปโผล่ในงานเลี้ยงของเพอร์คินส์ได้ 

    แถมลูกสาวตัวน้อยของเขาก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเกี่ยวกับผู้ชายสองคนนี้เลยสักนิดเดียว โดยเฉพาะครีฟวีย์คนพี่ที่ดึงดูดความสนใจเขา

    ได้มากที่สุด...หรือต้องถามเพเนโลพีกันนะ น้องสาวอาจจะพูดกับพี่สาวมากกว่า


           คอลินรีบกลืนเนื้อคำโตตามด้วยน้ำส้มอีกอึกใหญ่ “ผมกับคาเรนเราเล่นควิดดิชเหมือนกันครับ”


           นายเคลียร์วอเทอร์เลิกคิ้ว “ยอดเลย เล่นตำแหน่งอะไรล่ะ สมัยฉันเป็นนักเรียนฉันเคยเป็นเชสเซอร์ทีมเรเวนคลอมาก่อน”


           “ผมเล่นตำแหน่งบีตเตอร์ครับ แต่ยังไม่เก่งเท่าครึ่งนึงของคาเรนด้วยซ้ำ เธอเล่นเก่งกว่าผมมากเลย อนาคตต้องเป็น

    นักกีฬาควิดดิชอาชีพได้แน่ๆ”


           เสียงสำลักน้ำดังมาจากหัวโต๊ะอีกฝั่ง คาเมรอนรีบลุกหยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้คุณนายเคลียร์วอเทอร์ทำให้ได้คะแนนความนิยม

    เพิ่มไปอีก


           เพเนโลพีเลื่อนถาดพายให้เดนนิส “ลองกินพายดูสิ สูตรที่นี่ไม่เหมือนที่อื่นนะเพราะเป็นสูตรจากคุณทวดแน่ะ”


           คอลินเลิ่กลั่กเอียงตัวกระซิบถามคาเรน “ฉันพูดอะไรผิดไปงั้นหรือ”


           “ไม่หรอก นายพูดดีมากๆ เลยล่ะ -- เนอะพ่อ” คาเรนยิ้มแป้นให้พ่อของเธอที่แอบเห็นดีเห็นงามด้วย เขายิ้มให้แต่ก็ส่ายหน้า

    อย่างเหนื่อยใจก่อนช่วยไขข้อข้องใจให้กับคอลิน


           “แม่คาเรนน่ะอยากให้ทำงานที่กระทรวง ทางที่ดีเก็บเรื่องควิดดิชไว้คุยกันตอนที่แม่ไม่อยู่จะดีกว่า”


           พอได้รู้เหตุผลคอลินก็ตัวหดเล็กลง “ครับ” เขาลืมที่คาเรนเคยเล่าให้ฟังได้ยังไงกันนะ


           ขณะที่คอลินรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรมางานเลี้ยง คาเรนกลับคิดตรงกันข้ามเพราะเมื่อมีเขาอยู่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีคนที่คิดเหมือนกัน

    เพิ่มมาอีกหนึ่งคน ของคาวหมดไปก็ถึงเวลาของหวาน


           ขนมเค้กคริสต์มาสเป็นขนมยอดฮิตตลอดกาลของครอบครัวเคลียร์วอเทอร์ ทุกคนต่างกินขนมเค้กและคุยกันอย่างสนุกสนาน 

    มีเพียงคอลินที่ยังติดใจคุกกี้ขนมปังขิงจนตัดใจไปลิ้มรสขนมเค้กอย่างยากลำบาก สุดท้ายก็กลับมาตายรังที่คุกกี้กับช็อกโกแลตร้อน

    โดยไม่รู้ตัวเลยว่าความโปรดปรานของเขากำลังทำให้คนอบขนมใจชื้นหลังจากเห็นทุกคนเอาแต่ชมขนมเค้กที่เพเนโลพีเป็นคนทำ


           “ขนมเค้กที่เธอทำนี่อร่อยจริงๆ สู้คุกกี้ขนมปังขิงไม่ได้เลย” คาเมรอนพูดชมคาเรนตรงหน้าประตูบ้านเมื่อถึงเวลาแยกย้าย


           “คุกกี้ขนมปังขิงนี่อร่อยจะตายไป” คอลินเถียงกลับทันควัน


           “กินยังไงของนาย เค้กอร่อยกว่าชัดๆ เธอทำใช่ไหมคาเรน ฉันรู้หรอก”


           “ประเมินฉันสูงไปแล้วล่ะ พอดีว่าคุกกี้ขนมปังขิงที่นายบอกว่าเค้กอร่อยกว่าเป็นไหนๆ นั่นฉันเป็นคนอบเองแหละ 

    ยังไงก็ขอบคุณที่มานะ ลาก่อน” คาเรนโบกมือลาให้คาเมรอนเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไรจะพูดด้วยแล้ว


           คาเมรอนโบกมือกลับก่อนจำใจเดินไปหาพ่อกับแม่เพราะในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากพูดด้วยก็ไม่รู้จะยืนอยู่ไปทำไม


           “รสชาติคุกกี้ขนมปังขิงนั่นคงจะทำให้นายเดาได้ล่ะสิว่าเป็นฝีมือฉัน”


           “เปล่านะ ฉันชมจริงๆ ฉันไม่รู้หรอกว่าเธอเป็นคนทำ ฝีมือเธอก็ไม่ได้แย่ซะหน่อย”


           คาเรนยิ้มอ่อนโยน “ขอบคุณที่ชม แล้วก็ขอบคุณที่มา เมอร์รี่คริสต์มาสล่วงหน้าด้วยเลยละกัน”


           “อื้อ สุขสันต์คริสต์มาส คุณกัปตัน”


              “เมอร์รี่คริสต์มาส คาเรน!


           คาเรนมองส่งสองพี่น้องเดินไปตามถนนที่ปูด้วยหิน เธอกำลังจะหมุนตัวกลับเข้าบ้านอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าอยู่ดีๆ คอลินดันเดินย้อน

    กลับมา


           “ลืมอะไรหรือเปล่า”


           “ใช่”


           “นายลืมอะไร เดี๋ยวฉันเข้าไปเอาให้”


           “ไม่ต้อง -- ฉันหมายถึงไม่เป็นไร ฉันไม่ได้ลืมของ แต่ฉันลืมถามเธอว่าพรุ่งนี้เธออยากไปเที่ยวงานเทศกาลกับฉันไหม”


           “งานเทศกาล?”


           “ปีนี้ที่ทุ่งกว้างที่เคยจัดงานควิดดิชเวิลด์คัพจะมีงานเทศกาลฤดูหนาว ฉันก็เลยมาชวนเธอ...ถ้าเธออยากไปน่ะนะ”


              “พูดอะไรอย่างงั้น ฉันก็ต้องอยากไปอยู่แล้วสิ!


           ทันทีที่ได้ยินคำตอบกลับมา รอยยิ้มที่มีประกายแห่งความดีใจพลันประดับอยู่ทั่วหน้า แต่คอลินต้องเก็บอาการเอาไว้

    แม้รู้ว่าไม่มีทางทำได้เลย เขายิ้มแฉ่ง “งั้นพรุ่งนี้จะมารับตอนเก้าโมงเช้านะ”



     


    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×