คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : 8 ll Meet
8
Meet
ได้กลับบ้านช่วงเทศกาลคริสต์มาสคือช่วงเวลาที่จะได้เล่นสนุก เดินเตร็ดเตร่ไปทั่วหรือแม้กระทั่งนอนเอกขเนกเอื่อยเฉื่อย
ให้ความขี้เกียจได้ไหลไปพร้อมกับเข็มนาฬิกา
คาเรนนึกดีใจที่วันหยุดยาวคราวนี้จะได้วางกลยุทธ์ควิดดิชอย่างสงบที่บ้านแถบชานเมืองหรือไม่ก็นั่งผิงไฟอุ่นๆ
ดื่มช็อกโกแลตร้อนแล้วคุยเล่นกับเพเนโลพี พี่สาวของเธอขณะที่แม่ออกไปงานสังสรรค์ที่เป็นเหมือนงานอดิเรกไปแล้ว
กับพ่อที่ทุ่มเวลาให้กับการศึกษาเรื่องหมากรุกพ่อมดที่สมาคมลับในเมืองถัดไป
หากแต่ทุกอย่างกลับผิดแผนไปหมด บ่ายวันที่ยี่สิบสองธันวาคมเธอกับพี่สาวถูกแม่จับแต่งตัวด้วยชุดออกงานสีม่วง
เพื่อไปงานเลี้ยงคริสต์มาสกับกลุ่มเพื่อนมักเกิ้ลของแม่ที่คาเรนต้องไม่เป็นตัวของตัวเอง ยืนเกร็งทุกทีที่ถูกแขกในงานถาม
เพราะเหมือนมีหนังสือสมบัติผู้ดีมากางไว้ตรงหน้าตลอด ให้ตายสิ! นอกจากกระโปรงนักเรียนเธอก็ไม่ชอบใส่กระโปรงไปไหนเลย
ยกเว้นก็แต่ตอนที่แม่ขอร้องแบบเอือมระอากับลูกสาวที่ไม่มีความเรียบร้อยในสายตาคนเป็นแม่ จนลูกสาวคนเล็กอย่างเธอต้องบอกว่า
‘ แค่พี่เพนนีเรียบร้อยคนเดียวก็พอแล้วนี่คะ ’ สุดท้ายก็มาลงเอยที่ชุดเดรสเหมือนตอนนี้อยู่ดี...
“ให้หนูกลับไปเฝ้าบ้านก็ได้นะแม่ หนูไม่ว่าอะไรหรอกถ้าให้พี่เพนนีเป็นตัวแทนของหนู” คาเรนอ้อนวอนผู้เป็นแม่ทั้งที่มาถึงสถานที่
จัดงานอันโอ่อ่าราวกับคฤหาสน์
“พูดอะไรไร้สาระอย่างนั้น แม่ไม่อนุญาตแน่ละ”
“แต่หนูไม่มีเพื่อนอยู่ในงานเหมือนแม่หรือพี่เพนนีนี่”
“ทำไมจะไม่มี ก็หนูคาเมรอนไง ทำเป็นลืมไปได้”
“เขาไม่ใช่เพื่อนหนู อย่างน้อยถ้าเขาเห็นหนูเป็นเพื่อนต้องไม่มีทางโกงจนชนะเกมควิดดิชที่แข่งกับกริฟฟินดอร์แน่...”
คาเรนหุบปากลงอัตโนมัติเพราะแม่ชูนิ้วชี้ขึ้นมา
“พอทีกับเรื่องควิดดิช เลิกคิดถึงควิดดิชซักสองสามชั่วโมงจะได้ไหม ถ้าไม่อยากโดนโกงก็เลิกเล่นซะสิ”
“เอ๊า แล้วหนูผิดอะไร”
“ผิดที่ไม่เชื่อฟังแม่ว่าให้ตั้งใจเรียนดีกว่าจะเอาเวลาไปทุ่มกับควิดดิชอะไรนั่นในโลกเวทมนตร์ของลูก ยังไงในสายตาแม่
หนูคาเมรอนก็เป็นเด็กผู้ชายที่น่ารักแล้วก็มีสัมมาคารวะที่สุดแล้ว ลูกควรจะทำดีกับเขาให้มากๆ ไม่ใช่เอาแต่ตวาดใส่หรือใจร้ายกับเขา”
“ถ้าแม่มองว่าเขาดีงั้นหนูว่าแม่ต้องไปตัดแว่นแล้วละ อีกอย่างหนูคาเมรอนของแม่ก็เล่นควิดดิชด้วยเหมือนกับหนูนั่นแหละ...”
“คาเรน! อย่าให้แม่ต้องสั่งห้ามลูกแบบเด็ดขาดเรื่องควิดดิชนะ” คุณนายเคลียร์วอเทอร์ขึ้นเสียงจนลูกสาวทั้งสองสะดุ้ง
เธอจ้องคาเรนเขม็งจนแน่ใจว่าจะไม่เถียงอีกก่อนผ่อนลมหายใจ ทำหน้ายิ้มแย้มแล้วผลักประตูเข้าไปในงานเลี้ยง
คาเรนกัดฟันพลางหลับตาลงไม่ให้น้ำตารื้น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนลมหายใจอย่างอับจนหนทาง นอกจากเพื่อนแม่แล้ว
คนที่ไม่อยากเจอคือคาเมรอน เบรฟลีย์กับครอบครัวที่ไม่มีทางพลาดงานนี้อยู่แล้ว
เพเนโลพีโอบไหล่ให้กำลังใจน้องสาว “พี่รู้ว่ายังเหลือเวลาปีหน้าอีกปีกว่าเธอจะเรียนจบแล้วไปทำงาน แต่พี่รู้ว่าเธอ
เป็นนักกีฬาควิดดิชได้แน่ ถ้าเธอจะทำน่ะนะ -- ส่วนคาเมรอน ถ้าเขาทำตัวไม่ดีกับเธอหรือคนอื่นอย่างที่เธอเล่าให้พี่ฟังจริงๆ ละก็
ไม่ต้องไปผูกมิตรกับเขาอย่างที่แม่บอกหรอก ไม่ต้องฝืนใจชอบเหมือนที่แม่อยากให้เป็นด้วย อย่าให้แม่ควบคุมจนต้อง
ไปทำงานที่ไม่ได้ชอบเหมือนพี่ เธอจะชอบใครก็ชอบไปเลย อย่าให้แม่มาบีบบังคับให้เลิกเหมือนพี่กับเพอร์ซี่...” เพเนโลพีหยุดพูดเมื่อนึกถึง
เพอร์ซี่ วีสลีย์ แฟนหนุ่มที่แม่ไม่ยอมรับเพราะฐานะต่างกัน เธอต้องโกหกใจตัวเองว่าไม่ได้รักเขาและบอกเลิกไปทั้งที่ยังรักอยู่
กลายเป็นฝ่ายคาเรนต้องปลอบกลับ เธอสวมกอดพี่สาวแรงๆ โยกตัวไปมาพลางตบหลังอย่างแผ่วเบา สองพี่น้องให้กำลังใจ
กันและกันก่อนจับมือพากันเข้าไปในงาน
คาเรนปล่อยให้เพเนโลพีไปหาเพื่อน ส่วนเธอก็นั่งห่อเหี่ยวเหมือนผักขาดน้ำอยู่ตรงโซฟาในมุมหนึ่งของห้อง ฟังเสียงเปียโนบรรเลง
ที่ให้ความรู้สึกว่าเธอต้องทำตัวเรียบร้อยอยู่ตลอดเวลาทั้งที่ในใจได้แต่นึกถึงเสียงแบนโจกับเสียงปรบมือของผู้คนที่เต้นรำอย่างมีชีวิตชีวา
ไปกับวงดนตรีของชาวไอริชมากกว่า
“หวัดดี คาเรน” คาเมรอนทัก วันนี้เขามาในชุดสูทออกงานสีน้ำเงินเข้มดูเรียบหรู
“หวัดดี”
“วันนี้เธอสวยมากเลย”
ดวงตาสีเขียวเหลืองมองเด็กหนุ่มขึ้นลงหนึ่งรอบถ้วน “นายก็ดูดีใช้ได้”
“ไม่นึกว่าจะได้ยินเธอชมฉัน ขอนั่งด้วยนะ” เขาเข้ามานั่งลงข้างๆ ขณะที่ฝ่ายหญิงผุดลุกขึ้นทันที วันนี้คาเรนพยายามเต็มที่
ที่จะผูกมิตรกับเขาตามคำขอของแม่มากพอแล้ว
“ฉันจะไปหาพี่เพนนี” พูดจบก็หมุนตัวเดินไปหาพี่สาว อย่างน้อยยืนอยู่กับพี่ก็ยังสบายใจกว่านั่งกับคาเมรอน
ในตอนที่คาเรนกำลังเบื่อได้ที่ สายตาพลันเหลือบไปเห็นผู้ชายสองคนเดินถือกล้องผ่านหน้าต่างบานใหญ่อยู่ด้านนอก
อารมณ์คาเรนพลันเบิกบานขึ้นมาทันทีราวกับภาพที่เห็นเป็นแสงสว่างในวันที่มืดมนของเธอ
“คอลิน เดนนิส” เธอหันไปจับแขนพี่สาว “พี่เพนนี หนูออกไปข้างนอกนะ”
“จะไปไหน”
“ไปหาคอลินกับเดนนิส”
“ใครนะ?”
“รุ่นพี่แล้วก็รุ่นน้องหนูที่โรงเรียน”
“ผู้ชายหรือ?”
“ใช่ แต่พี่วางใจได้ คอลินเป็นเพื่อนร่วมทีมควิดดิชของหนู เขาไว้ใจได้มากกว่าคาเมรอนสิบคนรวมกันซะอีก ถ้าพี่ไม่เชื่อ...”
“เชื่อ พี่เชื่อ แล้วจะไปนานไหม”
“กลับมาทันก่อนกลับแน่ๆ”
“เดินออกไประวังอย่าให้แม่จับได้ล่ะ โชคดีน้องรัก”
คาเรนยิ้มให้พี่สาว เขย่งเท้าหอมแก้มขอบคุณฟอดใหญ่ จับชายกระโปรงขึ้นแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งแทรกผ่านบรรดาผู้ร่วมงาน
ที่กำลังพ่นคำพูดสวยหรูที่แต่ละคนปั้นแต่งให้ครอบครัวตัวเองดูดีมีราคาจนผ่านออกไปนอกประตูได้สำเร็จ
“คอลิน!” เด็กสาวตะโกนเรียกรุ่นพี่ที่กำลังรอข้ามถนนไปอีกฝั่ง
คอลินลดกล้องลงจากระดับสายตา ขมวดคิ้วใส่น้องชาย “เหมือนได้ยินใครเรียกพี่ไหม เสียงยังกับโดนเรียกตอนเล่นควิดดิชเลย”
เดนนิสจับไหล่สองข้างหมุนตัวคอลินไปมองข้างหลัง “ก็คุณกัปตันของพี่ไง -- แต่วันนี้สงสัยจะเปลี่ยนเป็นนางฟ้าแล้วล่ะมั้ง
เมื่อกี้พี่เพิ่งบ่นคิดถึงเธออยู่หยกๆ นี่ ช่างบังเอิญอะไรขนาดนี้”
คอลินอึ้งไปแล้ว ถ้าไม่เห็นกับตาว่าคาเรนกำลังวิ่งมาหาบวกกับเสียงส้นสูงที่กระทบพื้นดังเข้ามาในโสตประสาทคงคิดว่า
กำลังโดนเดนนิสหลอกแน่ๆ -- อาการอยากถ่ายรูปกำเริบขึ้นมายิ่งกว่าความตั้งใจแรกที่จะมาถ่ายภาพบ้านเมืองเอาไปทำเป็นโปสการ์ด
ฝากคาเรนซะอีก เพราะตอนนี้เขากลับอยากถ่ายเจ้าของโปสการ์ดซะเอง มือขวาที่ถือกล้องยกขึ้นแล้วกดชัตเตอร์หนึ่งที
“หวัดดีคาเรน” เดนนิสโบกมือทักทาย
เธอยกมือกุมซี่โครงตัวเองหลังมาหยุดอยู่ข้างหน้า ลมหายใจพวยพุ่งออกมาเป็นไอขาว มือข้างที่ว่างยกขึ้นชี้คอลิน
“ฉันเห็นนะ เมื่อกี้นี้ถ่ายไว้ด้วยใช่ไหม”
“โทษทีฉัน...”
“ช่างเถอะ”
“เธอมาทำอะไรแถวนี้น่ะ” เขายื่นแขนให้อีกฝ่ายจับเพื่อช่วยพยุงตัวระหว่างยืนหอบ
“ฉันมางานเลี้ยงกับแม่” เธอสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ “นรกชัดๆ ในงานมีคาเมรอนด้วย -- หวัดดีเดนนิส”
“เธอวิ่งมาแบบนี้จะดีหรือ” เดนนิสถาม เอียงตัวมองไปข้างหลังว่ามีใครตามมาไหม
“ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว พวกนายกำลังไปไหนกัน”
“งานเลี้ยงของคุณเพอร์คินส์ เขาจัดงานเลี้ยงคริสต์มาสเล็กๆ ที่โรงละครในซอยข้างหน้านี่เอง มีวงดนตรีของชาวไอริชด้วย
อย่างน้อยวันนี้ฉันต้องได้รูปไม่ต่ำกว่าร้อยรูปไปฝากที่บ้าน” ว่าแล้วคอลินก็ชูกล้องในมือ
ได้ยินว่าจะมีวงดนตรีของขาวไอริชแววตาคาเรนก็เป็นประกาย “ฉันไปด้วยได้ไหม”
สองพี่น้องหันมองหน้ากัน
“แล้วงานเลี้ยงของเธอล่ะ” เดนนิสถามอย่างไม่แน่ใจ
“ใครจะสน แค่ฉันกลับไปที่นั่นก่อนมืดก็พอแล้ว”
คอลินผุดยิ้ม “งั้นก็เชิญเลย คุณเพอร์คินส์เขาใจดีอยู่แล้ว เขาต้องดีใจที่มีคนอยากมาร่วมงานเพิ่มแน่ๆ”
หลังตกลงกันได้ว่าคอลินกับเดนนิสจะเดินมาส่งคาเรนกลับงานเลี้ยงของเธอ ทั้งสามก็เริ่มออกเดินอีกครั้ง
คอลินพยายามก้าวให้ช้าลงเพราะคาเรนเริ่มรั้งท้ายเพราะส้นสูงของเธอทำให้เดินท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ก้าวไม่ได้อย่างใจหวัง
“เธอเดินดูไม่ค่อยสบายเลยนะ”
“นิดหน่อย แค่รองเท้าคู่นี้พาฉันมาถึงตรงนี้ได้ก็ดีมากแล้ว -- อะไรหรือ?” คาเรนชะงัก มองดูแขนคอลินที่ยกแขนขวาขึ้นข้างหน้าเธอ
แล้วใช้มืออีกข้างตบลงแปะๆ
“วางมือบนแขนฉันก็ได้ ถ้าเธอล้มฉันจะได้ช่วยทัน”
เด็กสาวผมบลอนด์กะพริบตาปริบๆ “เป็นความคิดที่ดีนี่” เธอยกมือหมายจะจับแขนคอลินแต่เขากลับหดมือกลับไป
...คิดจะแกล้งกันเรอะ?
หากแต่เปล่าเลย คอลินถอดเสื้อโค้ทตัวยาวของตัวเองคลุมให้คาเรนโดยที่เธอไม่ได้ร้องขอทั้งยังไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ปฏิเสธด้วยซ้ำ
“ถึงฉันจะเหลือแค่เสื้อเชิ้ตกับเสื้อกันหนาวตัวเดียวก็ยังดูอุ่นกว่าเธอตั้งเยอะแน่ะ”
“แน่ใจนะว่านายจะไม่หนาว”
“ไม่อะ ฉันคงจะหนาวแน่ๆ แต่ฉันทนดูไม่ได้ถ้าเห็นเธอหนาวกว่า”
เดนนิสกระแอมไออย่างจงใจ บอกให้รู้ว่ายังมีเขาตัวเป็นๆอยู่ตรงนี้ด้วย คอลินยกมือเกาท้ายทอยแก้เขินก่อนตั้งสติ
ยกแขนตั้งฉากให้หญิงสาวหนึ่งเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้ คาเรนขำน้อยๆ ร่างกายเริ่มอบอุ่นขึ้นมาก็จริงแต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนหน้าเธอร้อนยิ่งกว่า
“ขอบคุณนะ”
“เอ้า” เดนนิสขัดจังหวะพร้อมกับสละผ้าพันคอตัวเองยื่นให้คาเรนจนสุดแขน ถึงตอนนี้คาเรนจะไม่ใช่พี่สาวแต่เขาก็มองเป็น
พี่สาวตัวเองไปเรียบร้อยแล้วต่อให้ห่างกันแค่ปีเดียวก็เถอะ “รีบรับไปสิ เดี๋ยวฉันก็เปลี่ยนใจขึ้นมาหรอก” ว่าแล้วเขาก็ยัดมันใส่มือเธอ
ก่อนหดคอดึงปกเสื้อโค้ทขึ้นมาคลุมกันลมหนาวจนถึงจมูก
ระหว่างทางที่ชวนให้คาเรนอุ่นใจกับสองพี่น้องครีฟวีย์เธอก็ถามเรื่องที่ตัวเองสงสัย “บ้านพวกนายอยู่แถวนี้หรือ”
“หมู่บ้านข้างๆ น่ะ”
“เจ๋ง ส่วนบ้านฉันอยู่ลึกเข้าไปสุดซอยนู่น ไม่ยักรู้ว่าเราอยู่ใกล้กันขนาดนี้”
“ฉันก็เหมือนกัน”
※
วงดนตรีของชาวไอริชกำลังบรรเลงเพลงท่วงทำนองสนุกสนานทั้งไวโอลิน ฟลุต แอคคอร์เดียนแต่ที่ดึงความสนใจคาเรนไปจนหมด
คือแบนโจ ทำเอาเธอหลงใหลและรักสถานที่นี้เข้าเต็มเปาตั้งแต่ก้าวแรกที่ผ่านเข้าประตูไม้สีขาวมา ชายหญิงนับสิบกำลังเต้นรำกันอยู่
กลางฟลอร์ที่อดีตเคยใช้เป็นที่วางเก้าอี้สำหรับนั่งชมละครเวที รอบข้างมีคนร่วมงานถือเบียร์และส่งเสียงร้องเพลงไปร่วมกับทุกคน
มีช็อกโกแลตร้อนสำหรับเด็กๆ และขนมหอมกรุ่นที่มีไม่อั้น ระหว่างที่คาเรนกำลังตื่นตาตื่นใจไปกับทุกอย่างในโรงละครขนาดกะทัดรัดแห่งนี้
ชายร่างท้วมวัยกลางคนผู้สวมชุดสีสันสดใสที่สุดในงานที่ชื่อเพอร์คินส์ก็เข้ามาทักทาย
“สวัสดีครีฟวีย์! เด็กๆ ที่รัก! ดีใจที่พวกเธอมากันได้นะ พ่อกับแม่สบายดีไหม”
“ครับ”
เจ้าของใบหน้ายิ้มแย้มดูอารมณ์ดีตลอดเวลาไล่จับมือกับคอลิน เดนนิสแล้วมาก็จบที่คาเรน
“สวัสดีค่ะ หนูคาเรน เคลียร์วอเทอร์” เธอยื่นมือจับกับคุณเพอร์คินส์อย่างร่าเริง ดวงตามีประกายสดใส เขาจับมือตอบพลางมองเธอ
ราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“เคราเมอร์ลิน! นี่หนูเคลียร์วอเทอร์จริงหรือ ฉันกับภรรยาเขียนจดหมายเชิญครอบครัวหนูมาตลอดหลายสิบปี ไม่คิดว่าในที่สุด
วันนี้หนูก็มา”
“คุณเชิญพวกเราด้วยเหรอคะ”
“ถูกเผง มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เชิญด้วยหรือ หนูคงไม่รู้ล่ะสิ แม่ของหนูใจดีมากที่อุตส่าห์เขียนจดหมายขอโทษตอบกลับมา
อย่างสุภาพทุกครั้งว่ามาไม่ได้เพราะติดธุระ แหม! ดีใจจริงที่หนูมา”
“ขอโทษด้วยนะคะที่หนูมาโดยไม่ได้บอก”
“ขอโทษในสิ่งที่หนูไม่ผิดน่ะหรือ? ช่างน่าขันอะไรอย่างนี้ มาเถอะ! เข้ามาข้างในมาดื่มช็อกโกแลตร้อนๆ ให้ร่างกายอบอุ่นกันก่อน
แล้วค่อยไปเต้นรำ ก่อนกลับเอาขนมกลับไปฝากที่บ้านกันด้วยนะ อ้อ รวมถึงฝากตัวเองในวันหลังด้วย ปีที่แล้วเธอกินจนต้อง
ปลดกระดุมกางเกงตอนเดินกลับบ้านเลยใช่ไหม เดนนิส? แหม กินยังกะสัตว์ตัวน้อยที่จะกลับไปจำศีลตลอดฤดูหนาวยังงั้นละ!”
คุณเพอร์คินส์หยิบแก้วช็อกโกแลตร้อนให้เด็กทั้งสามพลางผายมือให้นั่งบนขอบเวที จะได้มองดูผู้คนเต้นรำได้ถนัดๆ
มีทั้งคู่เต้นรำชายหญิง หญิงหญิงที่เต้นรำกันเองภายในกลุ่มเพื่อน ชายชายหรือแม้แต่คนที่มีความสุขกับการเต้นรำคนเดียว
“ฮอกวอตส์เรียบร้อยดีนะ”
“คุณรู้เรื่องฮอกวอตส์ด้วยหรือคะ งั้นคุณก็เป็น...”
“สควิป” อีกฝ่ายตอบแบบไม่ทุกข์ร้อนใจ
“อ้อ” คาเรนอึ้งไปชั่วขณะที่ได้ยินคำตอบเหนือความคาดหมายยิ่งกว่าที่รู้ว่าเขารู้เรื่องฮอกวอตส์เสียอีก อันที่จริงเธอน่าจะฉุกคิดได้
ว่าเขาไม่ใช่มักเกิ้ลตั้งแต่แรกที่ได้ยินเขาอุทานว่า ‘ เคราเมอร์ลิน ’ ด้วยซ้ำ “ขอโทษค่ะที่ถาม”
“วันนี้เธอใช้คำขอโทษเปลืองเกินไปแล้วแม่หนู ฉันเป็นสควิปที่มีความสุขที่สุดในโลกแล้วล่ะมั้ง ได้มีโรงละครเป็นของตัวเอง
อย่างที่ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก มีภรรยาที่น่ารัก มีกินโดยไม่อดสักมื้อแค่นี้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องเสียใจที่ไม่มีเวทมนตร์แล้ว ไม่ใช่สิ
ความเสียใจอย่างเดียวของฉันที่เป็นสควิปคือไม่มีจดหมายจากฮอกวอตส์มาส่งที่บ้านตอนอายุสิบเอ็ดปีเหมือนอย่างพ่อมดแม่มดคนอื่นๆ
ในรุ่นเดียวกัน...แต่ก็นะ ตอนนี้มีความสุขก็พอแล้วล่ะ -- เอ้า ไปเต้นรำกันเถอะ!”
เขาบอกกับเด็กๆ ลุกขึ้นยืนพลางจับสายเอี๊ยมที่มีไว้สำหรับรั้งกางเกงไม่ให้หลุดให้เข้าที่ หันไปหาคุณนายเพอร์คินส์แต่เธอบอกว่า
เต้นจนเหนื่อยแล้วและขอนั่งดูแทน คุณเพอร์คินส์เลยส่งมือมาทางคาเรนแทน “สนใจจะเต้นรำกับลุงที่เป็นสควิปแก่ๆ สักเพลงไหม”
“ถึงคุณจะเป็นสควิปแต่ก็เป็นสควิปที่เท่มากต่างหากละคะ เอ่อ คุณจะว่าอะไรไหมถ้าหนูถอดรองเท้า”
คุณเพอร์คินส์ผายมือไปยังคนอื่นๆ ให้เธอดู “เธอจะทำอะไรก็ได้ที่นี่ ไม่มีใครมาสนใจหรอกว่าใครจะใส่รองเท้าแบบไหนหรือ
เปลือยเท้าเต้นรำ มีก็แค่ฉันที่สนใจว่าแขกของฉันทุกคนมีความสุขไหมต่างหาก”
คาเรนไม่รอช้ากระโดดลงจากเวทีส่งมือให้เพอร์คินส์ผู้ใจดีแล้วเริ่มเต้นรำแบบเงอะๆ งะๆ กระทั่งพอเริ่มจับจังหวะได้ก็สนุกแล้ว
เด็กสาวจึงดูผ่อนคลายเมื่อปล่อยให้ท่วงทำนองพาเธอไปแทนที่จะมากังวลว่าก้าวเท้าถูกไหม
คอลินกดชัตเตอร์ถ่ายรูปคาเรนที่แสนจะมีชีวิตชีวาไว้ได้หลายรูป ทีแรกเขานึกว่าเธออาจอยากกลับถ้าได้มาเห็นที่นี่และบัดนี้รู้แล้ว
ว่าตัวเองคิดผิด ในทางกลับกันก็คิดถูกที่ให้เธอตามมาด้วย ถึงจะไม่ได้เต้นรำด้วยกันแต่ได้เห็นคนผมบลอนด์ยิ้มกว้างได้เหมือน
ตอนเล่นควิดดิชที่เธอรัก เขาก็มีความสุขแล้วจนเผลอยิ้มตามไปด้วย
เพลงจบลงคุณนายเพอร์คินส์ก็เดินเข้ามาสะกิดไหล่คอลิน “รออะไรอยู่ ไปเต้นรำกับแฟนสิ อย่าให้โดนแย่งไปได้เชียว”
“คุณเข้าใจผิดแล้ว เธอไม่ใช่แฟนผมครับ”
เดนนิสพยักหน้าสนับสนุนแต่แล้วก็ชะโงกหน้าไปกระซิบแบบที่คนถูกนินทาก็ยังได้ยินชัดเจน “คอลินแค่ชอบอยู่ฝ่ายเดียวน่ะครับ โอ๊ย!”
เขายกมือมาลูบแขนป้อยๆ เพราะโดนคอลินชกแขน
คุณนายเพอร์คินส์ยิ้มด้วยความเอ็นดู “งั้นก็รีบไปขอเต้นรำซะสิ พ่อหนุ่ม สมัยวัยรุ่นฉันก็ตกหลุมรักตาเพอร์คินส์ก็เพราะ
ได้เต้นรำกับเขานี่แหละ”
ถ้าคนเราจะตกหลุมรักได้ง่ายแบบนั้นก็ดีสิ! คอลินลังเลไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหนสักทีเลยลำบากเดนนิสต้องช่วยดันหลัง
“ไปสิคอลินนี่” ไม่ว่าเปล่าเขายังยึดกล้องจากมือคนพี่มาถือไว้เอง “ต่อจากนี้ยกให้เป็นหน้าที่ฉันเถอะ วางใจช่างกล้องอันดับสอง
ของฮอกวอตส์ได้เลย”
คอลินถอดเสื้อกันหนาวฝากให้เดนนิสเพราะในนี้อุ่นมากพอ เผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวกับสายเอี๊ยมสีดำสองเส้นที่รั้งจากขอบกางเกง
ข้างหน้าพาดไหล่ไปข้างหลังดูเข้ากันดีกับผมที่เช็ตมาเป็นทรง
“ฉันไม่ได้ดูแย่ใช่ไหม”
“ยังจะมัวห่วงอยู่อีก ไปเร็วเข้า มีคนกำลังจะขอคาเรนเต้นรำแล้ว ไม่ต้องห่วงทางนี้นะฉันจะถ่ายพี่กับคาเรนให้เหมือนในงานเลี้ยง
ฉลองงานแต่งเชียวละ”
คอลินมองตาขวางนึกจะตำหนิน้องแต่ดันหลุดยิ้มออกมาซะก่อนเลยชูนิ้วโป้งให้แทนก่อนวิ่งไปตรงหน้าคาเรนได้ทันเวลาพอดิบพอดี
เขาโค้งให้เธอพร้อมชูมือไปข้างหน้า
“เต้นรำกับฉันนะ”
“ได้เลย ถ้านายไม่ถือสาที่ฉันเต้นรำไม่เก่งละก็นะ”
เมื่อเพลงเริ่มเดนนิสก็เริ่มทำงานทันทีอย่างมีความสุข ภาพที่ถ่ายออกมายังกับพ่อกับแม่ของเขาสมัยจีบกันใหม่ๆ ที่เคยได้เห็นจาก
การแอบเอาฟิล์มถ่ายภาพเก่าๆ มาล้างใหม่อีกรอบด้วยน้ำยาชนิดพิเศษที่ทำให้รูปภาพขยับได้
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ฟ้าข้างนอกเริ่มมืดลง ไฟประดับตามบ้านกับเสาไฟเปิดส่องสว่างราวกับดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า
คุณและคุณนายเพอร์คิสน์ออกมายืนส่งแขกทุกคนพร้อมกับให้คุกกี้กลับบ้านไปกันอีกคนละหนึ่งถุงใหญ่
“ห้าโมงเย็นวันคริสต์มาสอีฟที่นี่จะมีเด็กๆ ในหมู่บ้านมาแสดงละครแน่ะ ถ้าว่างก็เชิญมาดูได้นะ ตั๋วฟรีเป็นกรณีพิเศษ”
“ขอบคุณนะคะ” คาเรนบอกกับคุณนายเพอร์คินส์ที่ส่งคุกกี้ให้ก่อนหันไปตอบรับคำชวนของคุณเพอร์คินส์ “หนูจะมาแน่ๆ ค่ะ”
※
“เจอกันพรุ่งนี้นะจ๊ะ” คุณนายเคลียร์วอเทอร์บอกกับคาเมรอนและแม่ของเขาก่อนครอบครัวเบรฟลีย์จะแยกตัวออกไป
ตรงหน้าบ้านที่มีงานเลี้ยง “น้องสาวลูกไปไหนซะล่ะ” เธอถามเพเนโลพีที่เริ่มกระวนกระวายเพราะยังไม่เห็นวี่แววว่าน้องสาวจะกลับมา
“นั่นไงคะ”
“อ้อ มาแล้วเหรอ ลูกหายไปไหนมา แม่ไม่รู้จะตอบคำถามคุณนายเบรฟลีย์ยังไงเลยรู้ไหม”
“หนูไปงานเลี้ยงของคุณเพอร์คินส์มาค่ะ งานที่แม่ปฏิเสธไปตลอดหลายปีที่เขาใจดีเขียนจดหมายเชิญพวกเราน่ะค่ะ
แล้วนี่ก็เพื่อนของหนูเอง คอลินกับเดนนิส ครีฟวีย์”
สองพี่น้องเกิดทำตัวไม่ถูกขึ้นมาที่อยู่ดีๆ ก็ถูกแนะนำตัว คอลินกับเดนนิสโค้งให้แม่คาเรน
“สวัสดีครับ ขอโทษด้วยที่พาคาเรน...”
“หนูขอตามพวกเขาไปเองค่ะ” คาเรนพูดแทรก
คุณนายเคลียร์วอเทอร์อ้าปากพะงาบๆ แต่ไม่ตำหนิลูกสาวเพราะแขกที่มางานต่างก็ทยอยกันออกมา เธอปั้นหน้ายิ้ม
“แม่ชวนคุณนายเบรฟลีย์กับหนูคาเมรอนมางานเลี้ยงที่บ้านเราพรุ่งนี้ด้วยนะ”
“แม่เชิญคาเมรอนทำไมคะ”
“ก็เพราะเขาเป็นเพื่อนลูกน่ะสิ ส่วนหนูสองคน ถ้าพรุ่งนี้ตอนห้าโมงเย็นว่างก็เชิญมากินเลี้ยงที่บ้านเราด้วยนะจ๊ะ
ฉันจะได้รู้จักเพื่อนๆ ของคาเรนเพิ่มด้วย”
“คะ...ครับ ขอบคุณนะครับที่เชิญ”
“หนูรู้ใช่ไหมว่าบ้านเราอยู่ตรงไหน”
“ไม่ทราบครับ”
“งั้นฉันจะเขียนที่อยู่ให้” ว่าแล้วคาเรนก็หยิบกระดาษกับดินสอที่พกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลาเผื่อเกิดคิดแผนควิดดิชเด็ดๆ ออก
เธอเขียนที่อยู่ส่งให้คอลินแล้วยิ้มแป้น “เจอกันพรุ่งนี้”
เย็นวันต่อมาสองพี่น้องครีฟวีย์มาถึงหน้าบ้านตระกูลเคลียร์วอเทอร์ตามเวลากับนัดที่มาแบบปุบปับทำเอาตั้งตัวแทบไม่ทัน
แต่มาบ้านคาเรนทั้งทีจะมาตัวเปล่าก็คงแปลก คอลินเลยถือดอกไม้ช่อใหญ่มาด้วย
ดวงตาสีน้ำตาลสองคู่มองกระดาษที่มีแผนที่เขียนเอาไว้สลับกับมองตัวบ้านอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“นี่มันคฤหาสน์ชัดๆ” เดนนิสมองอย่างอึ้งๆ “แน่ใจนะว่าเรามาถูกบ้าน”
“แน่ใจสิ”
“บ้านเลขที่ล่ะถูกรึเปล่า”
“ก็ต้องใช่แหละ ไม่เห็นป้ายหน้าบ้านนี่หรือเดนนิส มันเขียนเอาไว้ว่า ‘ เคลียร์วอเทอร์ ’ แล้วเราจะเอาไง”
“พี่กดออดสิ”
“นายเป็นน้อง นายนั่นแหละ”
“พี่น่ะสิที่ต้องกด”
“เอาละ พี่ว่าวันนี้เรากลับกันก่อนดีกว่า ถ้าเจอคาเรนแล้วเราค่อยขอโทษทีหลังที่มางานไม่ได้”
ขณะที่ทั้งคู่ใจฝ่อเพียงแค่เห็นขนาดบ้านและเตรียมตัวหมุนตัวเดินกลับบ้านไปตั้งหลัก เจ้าของบ้านก็เปิดประตูผัวะออกมา
พร้อมด้วยเสียงสดใสของคาเรน
“กำลังรออยู่พอดีเลย! รีบเข้ามาข้างในสิ ข้างนอกหนาวจะตาย” คาเรนกวักมือเรียกให้ทั้งคู่เข้ามาในบ้าน ต่อให้อีกฝ่าย
อยากปฏิเสธแค่ไหนก็ไม่ทันแล้ว “เสื้อคลุมถอดแขวนไว้ตรงนี้นะ”
ยิ่งเข้ามาในบ้านยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ คอลินหันมองซ้ายทีขวาทีอย่างไม่รู้จะเอาสายตาไปหยุดไว้ตรงไหน วันนี้อุตส่าห์
แต่งตัวดีแล้วก็ยังรู้สึกว่าน้อยไปด้วยซ้ำ เขาหันกลับไปหาคาเรนที่คอยจัดแจงแขวนเสื้อคลุมให้แขกทั้งสอง คิดจะเดินย้อนกลับไป
ทว่าพี่สาวของเธอเข้ามาทักซะก่อน
“สวัสดี”
“สวัสดีครับ เอ่อ ผมเอาดอกไม้มาให้ด้วย”
“ขอบใจจ้ะ สวยมากเลย ฉันจะเอาไปปักแจกันนะ” เพเนโลพีรับไว้ด้วยความขอบคุณพยายามหาเรื่องมาชวนคุยไม่ให้แขก
ผู้มาใหม่เกร็ง “คาเรนเล่าให้พี่ฟังหมดแล้วเรื่องเมื่อวานนี้ ฉันอิจฉาจังที่พวกเธอได้ไปงานเลี้ยงสนุกๆ แบบนั้น รู้งี้แอบออกไปด้วยก็ดีหรอก
เท่าที่ฟังมาแล้วคุณเพอร์คินส์นี่คงจะใจดีมากเลยใช่ไหม”
“ครับ เขาใจดีมากจนหมู่บ้านรอบข้างแถวนี้รู้กันหมด” เดนนิสตอบแทน “น้อยคนที่จะไม่รู้”
“น่าเสียดายที่บ้านเราเป็นส่วนน้อย” เพเนโลพีตอบด้วยความเสียดาย “แต่ตอนนี้เราก็รู้แล้ว หวังว่าครั้งหน้าจะได้ไปงานเลี้ยง
ของเขาบ้าง คงจะดีถ้าได้ทำความรู้จักเอาไว้ เข้ามาข้างในสิ โต๊ะอาหารเตรียมพร้อมเสร็จหมดแล้ว”
เพเนโลพีเดินนำเข้าไปในบ้าน แต่คาเรนรั้งตัวทั้งคู่เอาไว้เพราะมีเรื่องอยากคุยด้วย
“หรือเธออยากให้พวกเรากลับ?” คอลินถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
“ไม่มีทางที่ฉันจะคิดงั้น ฉันดีใจจะตายที่พวกนายมา ที่ฉันอยากบอกคือขอโทษ พวกนายอาจอึดอัดหรือลำบากใจถ้าต้องมานั่ง
ร่วมโต๊ะกับเบรฟลีย์แต่เมื่อวานนี้ฉันกลับเออออไปกับแม่เพราะคิดว่าถ้ามีนายสองคนมาด้วยก็คงดี”
“เธอเองก็ไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกับเขาไม่ใช่หรือ”
“ฮื่อ”
“งั้นก็ช่างมันสิ ฉันยอมรับว่าอึดอัดนิดหน่อยถ้าได้เจอหน้าเขา แต่ฉันก็ยินดีถ้าได้รู้สึกร่วมกับเธอไปด้วย”
“พี่คอลินพูดถูกที่สุด” เดนนิสพยักหน้าหงึกหงักอยู่ข้างกัน “มีพวกเราอยู่นี่เธอก็ไม่ต้องหงุดหงิดที่เห็นเขาแล้ว”
“ขอบคุณนะ”
ไก่งวงตัวโต พายไก่อบเสร็จใหม่ๆ ควันฉุย สตูเนื้อ สลัด ถูกจัดเรียงไว้เต็มโต๊ะ ที่หัวโต๊ะฝั่งนึงมีนายเคลียร์วอเทอร์ที่แต่งตัวสมกับ
เป็นพ่อมดแบบที่ไม่แคร์ว่าภรรยาที่เป็นมักเกิ้ลจะติอะไรมาก็ตาม แต่เขาก็ยังพอใจที่จะใส่เสื้อคลุมแบบที่พวกพ่อมดชอบใส่กัน
ถัดมาเป็นคาเรน คอลินกับเดนนิสและตรงข้ามคาเรนคือเพเนโลพี หัวโต๊ะอีกฝั่งมีคุณนายเคลียร์วอเทอร์ ถัดลงมาเป็นคุณนายเบรฟลีย์
กับสามี และคาเมรอนที่นั่งตรงข้ามพอดิบพอดีกับคอลินที่มีเดนนิสกับคาเรนนั่งขนาบสองข้าง
คาเมรอนไม่ได้สนใจหรือใส่ใจนักที่มีพวกครีฟวีย์นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยเพราะความสนใจทั้งหมดอยู่ที่คาเรน ผู้ที่ไม่เคยมองเขาเลย
ตั้งแต่เหยียบเข้ามาในบ้าน เด็กหนุ่มจนใจไม่รู้จะหาวิธีไหนมาเรียกความสนใจจากเธอในเวลานี้ได้ คาเรนตอนที่เวลาอยู่กับพ่อหรือแม่
ของเขาก็คุยปกติดีแต่พอมีเขาร่วมวงด้วยเมื่อไรก็มีอันเป็นคนพูดน้อยไปซะเฉยๆ
“ไปสนิทกับคาเรนได้ยังไงล่ะเรา” พ่อของคาเรนเอ่ยปากถามคอลินเพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลายหลังบอกให้ทุกคนเริ่มทานอาหารได้
ภรรยาของเขาก็เอาแต่คุยกับสองแม่ลูกเบรฟลีย์ หรืออีกนัยหนึ่งคือนายเคลียร์วอเทอร์ค่อนข้างสนใจอย่างยิ่งและสงสัยว่าทำไมลูกสาว
ของเขาถึงได้มีเพื่อนผู้ชายที่ดูสนิทสนมกันดีถึงขนาดยอมหนีจากงานเลี้ยงที่ไปกับแม่แล้วไปโผล่ในงานเลี้ยงของเพอร์คินส์ได้
แถมลูกสาวตัวน้อยของเขาก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเกี่ยวกับผู้ชายสองคนนี้เลยสักนิดเดียว โดยเฉพาะครีฟวีย์คนพี่ที่ดึงดูดความสนใจเขา
ได้มากที่สุด...หรือต้องถามเพเนโลพีกันนะ น้องสาวอาจจะพูดกับพี่สาวมากกว่า
คอลินรีบกลืนเนื้อคำโตตามด้วยน้ำส้มอีกอึกใหญ่ “ผมกับคาเรนเราเล่นควิดดิชเหมือนกันครับ”
นายเคลียร์วอเทอร์เลิกคิ้ว “ยอดเลย เล่นตำแหน่งอะไรล่ะ สมัยฉันเป็นนักเรียนฉันเคยเป็นเชสเซอร์ทีมเรเวนคลอมาก่อน”
“ผมเล่นตำแหน่งบีตเตอร์ครับ แต่ยังไม่เก่งเท่าครึ่งนึงของคาเรนด้วยซ้ำ เธอเล่นเก่งกว่าผมมากเลย อนาคตต้องเป็น
นักกีฬาควิดดิชอาชีพได้แน่ๆ”
เสียงสำลักน้ำดังมาจากหัวโต๊ะอีกฝั่ง คาเมรอนรีบลุกหยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้คุณนายเคลียร์วอเทอร์ทำให้ได้คะแนนความนิยม
เพิ่มไปอีก
เพเนโลพีเลื่อนถาดพายให้เดนนิส “ลองกินพายดูสิ สูตรที่นี่ไม่เหมือนที่อื่นนะเพราะเป็นสูตรจากคุณทวดแน่ะ”
คอลินเลิ่กลั่กเอียงตัวกระซิบถามคาเรน “ฉันพูดอะไรผิดไปงั้นหรือ”
“ไม่หรอก นายพูดดีมากๆ เลยล่ะ -- เนอะพ่อ” คาเรนยิ้มแป้นให้พ่อของเธอที่แอบเห็นดีเห็นงามด้วย เขายิ้มให้แต่ก็ส่ายหน้า
อย่างเหนื่อยใจก่อนช่วยไขข้อข้องใจให้กับคอลิน
“แม่คาเรนน่ะอยากให้ทำงานที่กระทรวง ทางที่ดีเก็บเรื่องควิดดิชไว้คุยกันตอนที่แม่ไม่อยู่จะดีกว่า”
พอได้รู้เหตุผลคอลินก็ตัวหดเล็กลง “ครับ” เขาลืมที่คาเรนเคยเล่าให้ฟังได้ยังไงกันนะ
ขณะที่คอลินรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรมางานเลี้ยง คาเรนกลับคิดตรงกันข้ามเพราะเมื่อมีเขาอยู่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีคนที่คิดเหมือนกัน
เพิ่มมาอีกหนึ่งคน ของคาวหมดไปก็ถึงเวลาของหวาน
ขนมเค้กคริสต์มาสเป็นขนมยอดฮิตตลอดกาลของครอบครัวเคลียร์วอเทอร์ ทุกคนต่างกินขนมเค้กและคุยกันอย่างสนุกสนาน
มีเพียงคอลินที่ยังติดใจคุกกี้ขนมปังขิงจนตัดใจไปลิ้มรสขนมเค้กอย่างยากลำบาก สุดท้ายก็กลับมาตายรังที่คุกกี้กับช็อกโกแลตร้อน
โดยไม่รู้ตัวเลยว่าความโปรดปรานของเขากำลังทำให้คนอบขนมใจชื้นหลังจากเห็นทุกคนเอาแต่ชมขนมเค้กที่เพเนโลพีเป็นคนทำ
“ขนมเค้กที่เธอทำนี่อร่อยจริงๆ สู้คุกกี้ขนมปังขิงไม่ได้เลย” คาเมรอนพูดชมคาเรนตรงหน้าประตูบ้านเมื่อถึงเวลาแยกย้าย
“คุกกี้ขนมปังขิงนี่อร่อยจะตายไป” คอลินเถียงกลับทันควัน
“กินยังไงของนาย เค้กอร่อยกว่าชัดๆ เธอทำใช่ไหมคาเรน ฉันรู้หรอก”
“ประเมินฉันสูงไปแล้วล่ะ พอดีว่าคุกกี้ขนมปังขิงที่นายบอกว่าเค้กอร่อยกว่าเป็นไหนๆ นั่นฉันเป็นคนอบเองแหละ
ยังไงก็ขอบคุณที่มานะ ลาก่อน” คาเรนโบกมือลาให้คาเมรอนเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไรจะพูดด้วยแล้ว
คาเมรอนโบกมือกลับก่อนจำใจเดินไปหาพ่อกับแม่เพราะในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากพูดด้วยก็ไม่รู้จะยืนอยู่ไปทำไม
“รสชาติคุกกี้ขนมปังขิงนั่นคงจะทำให้นายเดาได้ล่ะสิว่าเป็นฝีมือฉัน”
“เปล่านะ ฉันชมจริงๆ ฉันไม่รู้หรอกว่าเธอเป็นคนทำ ฝีมือเธอก็ไม่ได้แย่ซะหน่อย”
คาเรนยิ้มอ่อนโยน “ขอบคุณที่ชม แล้วก็ขอบคุณที่มา เมอร์รี่คริสต์มาสล่วงหน้าด้วยเลยละกัน”
“อื้อ สุขสันต์คริสต์มาส คุณกัปตัน”
“เมอร์รี่คริสต์มาส คาเรน!”
คาเรนมองส่งสองพี่น้องเดินไปตามถนนที่ปูด้วยหิน เธอกำลังจะหมุนตัวกลับเข้าบ้านอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าอยู่ดีๆ คอลินดันเดินย้อน
กลับมา
“ลืมอะไรหรือเปล่า”
“ใช่”
“นายลืมอะไร เดี๋ยวฉันเข้าไปเอาให้”
“ไม่ต้อง -- ฉันหมายถึงไม่เป็นไร ฉันไม่ได้ลืมของ แต่ฉันลืมถามเธอว่าพรุ่งนี้เธออยากไปเที่ยวงานเทศกาลกับฉันไหม”
“งานเทศกาล?”
“ปีนี้ที่ทุ่งกว้างที่เคยจัดงานควิดดิชเวิลด์คัพจะมีงานเทศกาลฤดูหนาว ฉันก็เลยมาชวนเธอ...ถ้าเธออยากไปน่ะนะ”
“พูดอะไรอย่างงั้น ฉันก็ต้องอยากไปอยู่แล้วสิ!”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบกลับมา รอยยิ้มที่มีประกายแห่งความดีใจพลันประดับอยู่ทั่วหน้า แต่คอลินต้องเก็บอาการเอาไว้
แม้รู้ว่าไม่มีทางทำได้เลย เขายิ้มแฉ่ง “งั้นพรุ่งนี้จะมารับตอนเก้าโมงเช้านะ”
※
ความคิดเห็น