ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Harry Potter] Captain [Colin x OC] [END]

    ลำดับตอนที่ #14 : 14 ll Quidditch Cup

    • อัปเดตล่าสุด 20 มิ.ย. 64



    14


    Quidditch Cup



              ทันทีที่สิ้นเสียงคาเรน เสียงฮือฮาจากรอบข้างก็ดังขึ้นราวกับมีคนมาไขลาน กัปตันสาวลุกขึ้นเอาถาดไปเก็บแล้วเดินย้อนกลับ

    ไปทางประตูห้องโถงใหญ่ โดยไม่ลืมส่งลูกอมมะนาวให้กามเทพจำเป็นที่เป็นนักร้องที่ยังคงยืนอึ้งกับประโยคบอกปฏิเสธอันสุดแสนจะตรง

    แต่ก็ไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลาดี


           “ขอให้เสียงกลับมาเร็วๆ ล่ะ ฉันอยากฟังนายร้องเพลงอื่นมากกว่าเพลงเมื่อกี้”


           คาเรนก้าวฉับๆ ออกจากห้องโถงใหญ่ แววตาไหววูบชั่วขณะที่เธอเห็นคอลินยืนอยู่ตรงประตูแต่ไม่รู้ว่าควรจะทักเขาว่ายังไงดี

    เลยทำได้เพียงแค่เดินเลี่ยงจากเขาแล้วมุ่งหน้ากลับหอคอยกริฟฟินดอร์ ไม่หันกลับมามองทั้งคาเมรอนและคอลินอีกเลย


           ร่างทั้งร่างทิ้งตัวนั่งฝังลงไปกับเก้าอี้นวมหน้าเตาผิงในห้องนั่งเล่นรวม เริ่มว้าวุ่นใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ใบหน้าผิดหวัง

    ของคาเมรอนตอนได้ยินคำตอบจากปากเธอยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ นี่เขาไม่รู้หรือยังไงว่าเธอไม่ได้คิดอะไรกับเขามากกว่าแค่

    เพื่อนข้างบ้านหรือเพื่อนร่วมชั้นเท่านั้น


           เสียงไฟในเตาผิงช่วยให้ใจคาเรนเริ่มสงบลงบ้างและคิดถึงความเป็นจริง เธอไม่ได้ผิดอะไรที่ปฏิเสธเขาแบบตรงไปตรงมา 

    ในทางกลับกันหากเกรงใจแล้วตอบตกลงไปตามน้ำจนสุดท้ายก็ต้องไปปรับความเข้าใจกันใหม่ว่าความรู้สึกที่แท้จริงของเธอเป็นยังไง

    แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรแถมยังเสียเวลาเปล่าๆ -- อีกอย่างเวลานี้เธอมีคนในใจอยู่แล้ว...


           โจซี่กับจินนี่ปีนช่องหลังรูปภาพสุภาพสตรีอ้วนเข้าห้องนั่งเล่นรวมมาอีกในสิบนาทีให้หลัง พวกเธอมานั่งโซฟาที่วางติดกับเก้าอี้นวม

    ที่มีกัปตันนั่งหน้างออยู่

                

              “ขอร้องล่ะ อย่าพูดเรื่องในห้องโถงใหญ่นะ” คาเรนพูดดักคอโจซี่ “ไม่งั้นเสาร์หน้าฉันจะเรียกซ้อมควิดดิชจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น

    จริงๆ ด้วย”

                

              “เธอเองต่างหากที่เป็นคนเปิดประเด็นก่อน ว่ากันตามจริงแบบไม่อคติเขาก็หล่อดีออกนะ”

                

              “เธอลืมที่ตัวเองเคยบอกฉันหรือโจซี่? เธอเคยบอกฉันว่าคาเมรอนคือคนเดียวที่เธอจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยเด็ดขาด”

                

              “แต่คนที่คาเมรอนบอกชอบคือเธอ ไม่ใช่ฉัน”


           “เขาไม่ได้บอกอะไรฉัน จำได้ไหม มีแต่เพลงที่รุ่นน้องคนนั้นร้องให้ฟังก็แค่นั้น คาเมรอนมีข้อดีตรงที่หล่อแล้วมันดียังไง 

    ฉันมองไม่เห็นความสุขสักนิดถ้าได้คบกับเขา”

               

              โจซี่มองจินนี่ผู้ซึ่งทำแค่ยักไหล่กลับมาให้ ตอนนั้นเองที่รูปภาพสุภาพสตรีอ้วนเปิดออก คาเรนเหลือบเห็นว่าเป็นคอลินจึงขอตัว

    ขึ้นหอนอนหญิง


           “ฉันขึ้นไปข้างบนก่อนนะ”

               

              พี่น้องครีฟวีย์เข้ามานั่งร่วมวงกับสองสาวที่เหลือ คอลินทิ้งตัวนั่งลงตรงที่คาเรนเพิ่งลุกออกไป

                

              “คาเรนไม่อยู่หรือ”


           จินนี่ชี้ไปยังเก้าอี้นวมที่คอลินนั่ง “เพิ่งลุกออกไปจากตรงที่นายนั่งนั่นไง ก่อนนายมาเราคุยกันเรื่องคาเมรอน”  


           เดนนิสชกแขนพี่ชายเบาๆ เพราะนึกขึ้นได้ “ทีนี้พี่ก็หมดคู่แข่งไปแล้วหนึ่งคน”


           “งั้นก็แปลว่าฉันยังพอมีหวังใช่ไหม วันนี้ฉันได้ช็อกโกแลตมาด้วยนะ” เขาล้วงเอาการ์ดกบช็อกโกแลตออกจากกระเป๋ากางเกง

    มาอวดให้จินนี่กับเดนนิสแล้วก็โจซี่ดู  


           “ยังไม่ได้กินอีกเหรอ ฉันกินหมดไปตั้งแต่ตอนได้แล้ว” จินนี่บอก


           คอลินกะพริบตาปริบๆ มองเธอด้วยแววตาสงสัย “พูดเรื่องอะไร”


           “ช็อกโกแลตของคาเรนไง ได้มาจากคาเรนใช่ไหม พวกเราในทีมได้กันทุกคนแหละทั้งผู้หญิงผู้ชาย”


           คอลินนั่งนิ่งเป็นหิน แล้วที่ผ่านมาเขาอุตส่าห์ดีใจจนยิ้มไม่หุบ พอได้รู้ความจริงก็ถึงกับไปไม่เป็น


           “ฉัน...ฉันว่าฉันจะเอามากินตอนนี้นี่แหละ” ว่าแล้วเขาก็แกะกล่องช็อกโกแลต หยิบช็อกโกแลตที่รสชาติขมนิดๆ เหมือนกับ

    ความรู้สึกของเขาตอนนี้เข้าปากพลางดูการ์ดที่ได้ เคี้ยวตุ้ยๆ ทว่าแววตาว่างเปล่าราวไร้วิญญาณ “ฉันได้การ์ดของเกว็นน็อก โจนส์ -- 

    กัปตันและบีตเตอร์ของทีมโฮลี่เฮดส์ ฮาร์ปีส์ ทีมควิดดิชหญิงล้วนระดับชาติ...” เขากำลังจะอ่านต่อทว่าถูกโจซี่ขัดขึ้น


           “นั่นนักกีฬาที่คาเรนชอบนี่”


           “หือ?”


           “คาเรนชอบเกว็นน็อก โจนส์ เคยบ่นให้ฉันฟังอยู่ว่าหาการ์ดนี้มาตั้งหลายปีก็หาไม่ได้สักที” โจซี่ทิ้งไว้แค่นั้นให้คอลินได้คิดต่อเอาเอง 

    “ฉันขึ้นไปนอนดีกว่า ฝันดีนะ”


           “ฉันด้วย” จินนี่ลุกตามไปอีกคนตามด้วยเดนนิส

               

              “ฉันก็ง่วงแล้ว ฝันดีนะพี่คอลิน”          


           คอลินนั่งมองการ์ดในมืออย่างเหม่อลอย อุตส่าห์คิดว่าตัวเองยังพอมีหวังแต่สุดท้ายมันก็ไม่ต่างอะไรจากคิดไปเอง...อีกไม่กี่เดือน

    ก็จะเรียนจบแล้ว ตอนนี้กลับมาคิดอะไรอยู่กันนะ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นั่งจมอยู่กับความคิดตัวเองจนผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น



           กลางดึกคืนเดียวกันคาเรนย่องลงมาที่ห้องนั่งเล่นรวมพร้อมกับหนังสือควิดดิชในยุคต่างๆ เพราะนอนไม่หลับ ครั้นจะอยู่ต่อ

    ในห้องนอนก็เกรงใจเพื่อนร่วมห้องเวลาตัวเองขยับพลิกตัวแต่ละทีแล้วมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียงไม้


           เสียงไฟลั่นเปรี๊ยะในเตาผิงพาให้ใจสงบตั้งแต่อยู่ตรงบันได คาเรนกอดหนังสือไว้แนบอกแต่แล้วขาก็มาตายไม่ยอมขยับเอาซะดื้อๆ 

    เพราะมีคนมาจับจองที่นั่งประจำของเธออยู่ก่อนแล้วแถมยังเป็นคอลินอีกต่างหาก -- เด็กสาวขมวดคิ้วอาศัยแสงจากเตาผิงเพ่งมอง

    ร่างที่คุ้นเคย เขากำลังหลับอยู่ไม่ผิดแน่ ในมือมีการ์ดกบช็อกโกแลตที่กำแน่นไม่ยอมปล่อย


           ในตอนนั้นเองที่ภาพช็อกโกแลตรูปกล้องผุดขึ้นมาในหัว มันยังคงอยู่ดีในกระเป๋าเสื้อคลุมที่เธอวางพาดเอาไว้ปลายเตียง 

    และแล้วอะไรหลายอย่างก็ตีกันอยู่ภายในตัวเธอเอง ใจนึงอยากเก็บเรื่องช็อกโกแลตนี้ไว้เป็นความลับปล่อยให้เวลาพัดพาไปจนกว่า

    เธอจะลืม แต่อีกใจนึงลึกๆ เธอก็อยากเอาช็อกโกแลตนั้นมาให้เจ้าของที่ควรจะได้มันไปตั้งแต่แรก


              คาเรนเลือกอย่างหลังเพราะยังไงเสียปีนี้คอลินก็จะเรียนอยู่ฮอกวอตส์เป็นปีสุดท้ายแล้ว พอถึงเวลาต้องแยกย้ายกันไปตามทาง

    ของตัวเองก็อาจไม่ได้กลับมาเจอกันอีกแล้วก็ได้ เธอย้อนกลับขึ้นไปที่หอนอนหญิงหยิบช็อกโกแลตในกระเป๋าแล้วลงมาข้างล่างอีกครั้ง 

    ทว่าครั้งนี้กลับมีคนอื่นอยู่ที่นั่นด้วย!


           สิ่งมีชีวิตเล็กๆ อย่างเอลฟ์ประจำบ้านหกเจ็ดคนกำลังเก็บกวาดห้องนั่งเล่นรวมให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติเหมือนอย่างเคย


              “คาเรน เคลียร์วอเทอร์! ด๊อบบี้ดีใจที่ได้เจอคุณครับ!” เอลฟ์ประจำบ้านเจ้าของดวงตากลมโตเท่าลูกเทนนิสเอ่ยทักทายแม่มดผู้ใจดี

    ที่สุดคนหนึ่งที่เขาเคยรู้จัก


           คาเรนรีบยกนิ้วชี้ขึ้นมาจ่อปากตัวเองให้ด๊อบบี้ช่วยลดเสียงลดหน่อยพลางชี้ไปที่คอลิน “ฉันก็ดีใจที่ได้เจอคุณ ด๊อบบี้”


           “คาเรน เคลียร์วอเทอร์มีธุระอะไรกับเอลฟ์อย่างพวกเราหรือครับ”


           “เปล่า ฉันไม่อยากเพิ่มงานให้พวกคุณที่มีงานเยอะอยู่แล้วหรอกนะ ฉันแค่มีธุระกับคนที่หลับอยู่ตรงนั้นนิดหน่อยน่ะ”


           “งั้นด๊อบบี้จะปลุกคอลิน ครีฟวีย์ให้นะครับ”


              “อย่านะด๊อบบี้! -- อย่ากวนเขาเลยจะดีกว่า ธุระของฉันไม่จำเป็นต้องให้เขาตื่นหรอก”


           ด๊อบบี้โค้งให้เธอน้อยๆ ก่อนไปทำงานของตัวเองต่อ เด็กสาวถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เสียงด๊อบบี้แล้วก็เสียงเธอเองไม่ดัง

    ถึงขนาดปลุกให้คอลินตื่น


           คาเรนก้าวไปหารุ่นพี่พลางโน้มตัวลงวางช็อกโกแลตบนหมอนที่เขานอนกอดเอาไว้ตรงอกอย่างช้าๆ และใช้เสียงเบาที่สุด

    จนได้ยินเสียงกรนแผ่วเบาของคอลิน ชั่วขณะนั้นตาดันเหลือบไปเห็นการ์ดในมือเขา รูปบนการ์ดนั้นทำเอาเธอแทบกรี๊ดและอยากกรีดร้อง

    ออกมาซะเดี๋ยวนั้นเลย การ์ดกบช็อกโกแลตอันนี้ควรเป็นของเธอถ้าเอาช็อกโกแลตรูปกล้องให้คอลินไปตั้งแต่แรก -- เธออยากจะหัวเราะ

    ให้กับโชคชะตาของตัวเองซะจริงๆ   


           คาเรนทำใจยอมปล่อยการ์ดใบนี้ให้เป็นของคอลิน ถอยห่างจากเขาจนมั่นใจว่าปลอดภัยแล้วถึงได้มีรอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นมา

    เพราะอย่างน้อยเธอก็กล้าให้ช็อกโกแลตวันวาเลนไทน์กับเขาแม้ไม่มีชื่อบ่งบอกว่ามาจากใครก็ตาม เธอก้มลงกระซิบกับด๊อบบี้ 


           “ถ้าฉันขึ้นห้องนอนไปแล้วฝากปลุกให้เขาขึ้นไปนอนข้างบนด้วยนะด๊อบบี้ ให้นอนตรงนี้ถึงเช้าจะไม่สบายเอาแล้วก็อย่าบอกด้วย

    ว่าช็อกโกแลตนั่นมาจากใคร -- แฮปปี้วาเลนไทน์นะทุกคน”


           พอคาเรนพูดจบเอลฟ์ประจำบ้านก็พร้อมใจกันจะบอกกลับบ้างแต่ติดตรงที่เธอรู้ทันเลยยกนิ้วจ่อที่ปากก่อนแล้ว


           ไม่กี่นาทีให้หลังคอลินก็งัวเงียตื่นขึ้นเพราะเสียงด๊อบบี้กับมือน้อยๆ ที่มาเขย่าแขน “สวัสดี ด๊อบบี้”


           “ตื่นแล้วหรือครับ เมื่อกี้นี้มีคนฝากให้ด๊อบบี้ปลุกคอลิน ครีฟวีย์ให้ไปนอนบนห้องครับเพราะเขากลัวว่าคอลิน ครีฟวีย์จะไม่สบาย 

    แต่ดูเหมือนตอนนี้จะหมดหน้าที่ของด๊อบบี้แล้ว”


           คอลินทำตาปรือ ยันตัวเองลุกขึ้นนั่งแบบสะลึมสะลือ พลางขยี้ตา “ใครบอกหรือ” ระหว่างนั้นมีเสียงของร่วงบนพื้นดังตุ้บ 

    เขาก้มลงไปหยิบขึ้นมาเพ่งดู “แล้วนี่ช็อกโกแลตของใครกัน”


           “ตอนนี้เป็นของคอลิน ครีฟวีย์แล้วครับ”


           “ใครให้มาหรือ ด๊อบบี้”


           “ด๊อบบี้บอกไม่ได้ครับ คาเรน เคลียร์วอเทอร์สั่งไม่ให้ผมบอก” เอลฟ์ประจำบ้านรีบยกมือขึ้นปิดปาก ตาที่โตอยู่แล้วก็โตไปอีกเท่าตัว


           “หมายความว่าคาเรนเป็นคนให้ผมมาหรือ? มาจากคาเรนจริงหรือด๊อบบี้” คอลินถามอย่างกระตือรือร้น ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง


              “ใช่ -- มะ -- ไม่ใช่ครับ โอ๊ยด๊อบบี้จะทำยังไงดี! ด๊อบบี้ไม่อยากโกหกแต่ด๊อบบี้ก็ไม่อยากผิดสัญญาที่ให้ไว้กับคาเรน เคลียร์วอเทอร์

    เลยครับ”


           “โอเค ใจเย็นก่อนด๊อบบี้ ผมเข้าใจแล้ว แล้วผมก็จะไม่บอกคาเรนด้วยว่าผมรู้จากคุณ ขอบคุณนะด๊อบบี้ที่บอกผม”


              “ไม่ครับ ด๊อบบี้ไม่ได้ตั้งใจจะบอกคอลิน ครีฟวีย์เลยสักนิดเดียว ด๊อบบี้ไม่ได้ตั้งใจจะทรยศคาเรน เคลียร์วอเทอร์ผู้ใจดีที่ให้

    ของขวัญคริสต์มาสกับด๊อบบี้! ด๊อบบี้ไม่ได้ตั้งใจ” ด๊อบบี้แสดงสีหน้ารู้สึกผิดกับทั้งคู่ เลิ่กลั่กมองเอลฟ์คนนู้นทีคนนี้ทีก่อนจะหายตัวไป

    พร้อมกับเอลฟ์คนอื่นหลังงานทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว


           ห้องนั่งเล่นเงียบลงราวกับไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้เป็นเพียงความฝัน -- คอลินก้มลงมองเห็นช็อกโกแลตในมือพลันหลุดยิ้มเผล่

    อย่างหยุดไม่อยู่...เขาไม่ได้ฝัน



           วันถัดมายังคงเป็นวันหยุดอันหนาวเหน็บที่ทำให้หลายคนอยากนั่งผิงไฟอยู่เฉยๆ ไม่เว้นแม้แต่คาเรน เธอนั่งเหม่อมองความว่างเปล่า

    บนพื้นมาได้ราวครึ่งชั่วโมงแล้ว กระทั่งที่ว่างข้างตัวยุบฮวบลงเพราะมีคอลินมานั่งด้วยแบบไม่บอกไม่กล่าว


           เด็กหนุ่มล้วงหยิบการ์ดที่ได้มาจากกบช็อกโกแลตออกจากกระเป๋ากางเกง “การ์ดกบช็อกโกแลตที่เธอให้มา ฉันคิดว่าเธอน่าจะ

    อยากได้ก็เลยจะให้ ฉันได้การ์ดของ...”


           “เกว็นน็อก โจนส์ใช่ไหม”


           คอลินหรี่ตาจับพิรุธทันทีเพราะอยู่ๆ คาเรนก็โพล่งออกมาด้วยความเบิกบานใจทั้งที่การ์ดยังอยู่ในมือเขา “เธอรู้ได้ยังไงว่าฉัน

    ได้การ์ดใคร การ์ดนี่มีตั้งเป็นร้อยแบบ”


              คาเรนยิ้มค้างขยับแค่ลูกตา...เคราเมอร์ลิน! ความลับจะแตกแล้วหรือ! เธอได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ “สงสัยฉันคงได้ดวงตาพยากรณ์มา

    ตอนเรียนวิชาพยากรณ์ศาสตร์ล่ะมั้ง ต่อให้ฉันเลิกเรียนวิชานี้ไปแล้วแต่มันคงจะติดตัวฉันมาด้วย แล้วก็นะ เมื่อคืนนี้ฉันฝันว่าวันนี้

    ฉันจะได้การ์ดของเกว็นน็อกด้วย แม่นยังกับตาเห็นว่าไหมล่ะ”


           คอลินพยักหน้าแสร้งว่าเชื่อที่เธอพูด “งั้นอันนี้ฉันให้เธอ แต่ถ้าเธอไม่อยากได้ล่ะก็ฉันจะเก็บเอาไว้เอง”


           “พูดอะไรอย่างนั้น” คาเรนรีบคว้าหมับเข้าที่มือคอลิน จ้องการ์ดตาไม่กะพริบ “นายบอกจะให้แล้วไม่ใช่หรือ ขอบคุณนะ” เธอยิ้มกว้าง

    ขณะรับการ์ดมาถือด้วยความทะนุถนอม การ์ดของนักกีฬาคนโปรดที่เธอหามาตั้งหลายปี ใครจะไปคิดว่าในที่สุดเธอก็ได้มาครอบครอง


           “จะว่าไปเมื่อคืนนี้ฉันเผลอหลับไปตรงโซฟาแล้วก็ฝันเหมือนกัน ฝันว่ามีคนคนนึงเอาช็อกโกแลตรูปกล้องมาให้ฉัน”


           “เหรอ”


           “ฮื่อ แล้วเชื่อไหม ตื่นมาฉันก็เจอช็อกโกแลตเหมือนอย่างในฝันเด๊ะเลย”


           “นั่นมัน...เรื่องเหลือเชื่อเลย”


           “ฉันก็ว่าอย่างงั้น ว่าแต่เธอพอจะเห็นเหตุการณ์อะไรบ้างหรือเปล่าว่าใครเป็นคนให้ฉันมา ตอนที่ฉันเผลอหลับไปน่ะ”


           “ไม่มีนี่ หมายถึงฉันจะไปรู้ได้ยังไง เมื่อคืนนี้ขึ้นห้องไปฉันก็หลับไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”


           “อือ น่าเสียดาย ช็อกโกแลตที่ได้มาก็ไม่มีชื่อคนให้ซะด้วย ถ้าฉันเจอคนคนนั้นก็อยากจะบอกว่าขอบคุณ -- ฉันชอบมากเลย”


           “...คนให้นายมาคงจะดีใจน่าดูที่รู้ว่านายชอบ”


              คอลินยิ้มมุมปาก แค่เห็นกัปตันหน้าแดงลามไปถึงใบหูก็รู้แล้วว่าด๊อบบี้ไม่ได้โกหก เขาคิดจะปล่อยให้มันจบลงแค่ตรงนี้

    แต่โอกาสแบบนี้มีนานๆ ทีจึงอดไม่ได้ที่จะแกล้งเธออีกนิด


           “เธอบอกว่ามีดวงตาพยากรณ์ใช่ไหม ช่วยดูให้หน่อยสิว่าใครเป็นคนให้ฉันมา”


           “ดะ...ได้ ไว้ว่างๆ แล้วจะดูให้” พูดจบคาเรนก็ดีดตัวลุกพรวดหนีเขาขึ้นหอนอนหญิงไปทันควัน



           ควิดดิชนัดสุดท้ายในเดือนพฤษภาคมกำลังจะมาถึงในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า ความสัมพันธ์ระหว่างคอลินกับคาเรนนั้นแทบ

    ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยนอกจากเล่นควิดดิชเข้าขากันมากขึ้นเพราะซ้อมกันแทบจะทุกเวลาที่ว่าง และทั้งที่ใกล้จะถึงวันแข่งอยู่รอมร่อ

    กลับมีเรื่องให้ต้องปั่นป่วนไปทั้งทีมเมื่อกัปตันทีมเรเวนคลอมาเคาะประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างสนามควิดดิชหลังกริฟฟินดอร์ซ้อมเสร็จ

    ในเย็นวันหนึ่งว่าพวกเขาได้รูปถ่ายที่มีกลยุทธ์ของทีมบ้านสิงห์มาจากนักเรียนคนหนึ่ง แต่ทั้งทีมเรเวนคลอไม่อยากชนะด้วยวิธีนี้

    เลยบอกความจริงกับคาเรนพร้อมกับส่งรูปคืนให้ 


           “ขอบคุณที่บอกนะ” ทันทีที่ประตูปิดลงสายตากัปตันก็เหลือบมองลูกทีมพร้อมกับชูรูปถ่ายในมือให้ทุกคนดู “เอาไว้ไปคุยกัน

    ที่ห้องนั่งเล่นรวมก็แล้วกัน”


           คอลินหน้าถอดสีตั้งแต่บัดนั้นจนมาถึงห้องนั่งเล่นรวมในหอคอยกริฟฟินดอร์


           “ฉันขอโทษนะคาเรน ฉันทำให้แผนที่เธอคิดมาเป็นเดือนๆ ต้องพัง ขอโทษทุกคนด้วย คงมีใครมาขโมยฟิล์มไปหรือไม่ฉันก็ลืมวางรูป

    ทิ้งไว้ที่ไหนสักที่เอง”


           “ใจเย็นๆ ฉันไม่ได้โทษนายซะหน่อย”


           “แต่ถ้าเป็นรูปถ่ายก็ต้องหลุดมาจากฉันแน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”


           “ก็เพราะไม่ใช่น่ะสิถึงได้บอกว่าไม่ได้โทษนาย” พอคาเรนบอกแบบนั้นคอลินก็นิ่งไป “ฉันรู้ว่าเรื่องทำนองนี้มันต้องเกิด 

    ก็วันวาเลนไทน์ฉันดันไปสร้างศัตรูเอาไว้แทนที่จะเป็นคู่รักน่ะสิ คาเมรอนก็เลยอยากช่วยให้เรเวนคลอเอาชนะเราให้ได้ -- ที่ฉันรู้ก็เริ่มจาก

    ให้โจซี่ถามแฟนที่อยู่ฮัฟเฟิลพัฟที่เพื่อนของเขามีแฟนอยู่สลิธีรินอีกทีเพราะฉันดันไปเห็นกล้องในกระเป๋าคาเมรอนตอนเรียนวิชาอักษรรูน 

    แล้วเขาก็ดูเป็นมิตรมากกว่าปกติฉันเลยคิดว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ ทีนี้ฉันก็แค่เล่นตามบทที่คาเมรอนอยากให้เป็นนิดหน่อย 

    แล้วก็ให้จินนี่ช่วยแสดงละครอีกเล็กน้อยจนเพื่อนจากเรเวนคลอยอมบอกความจริงกับเรามาโดยที่คาเมรอนก็ไม่รู้ตัวคิดว่าแผนของเขา

    สำเร็จ -- สรุปก็คือ ไม่มีใครมาขโมยฟิล์มหรือรูปของนายไปทั้งนั้น มันถูกถ่ายเมื่อห้าวันก่อน ฉันตั้งใจทิ้งแผ่นกระดาษที่มีแผนอันนี้ไว้ 

    ลองสังเกตดูดีๆ มันไม่ใช่แผนที่เราจะใช้กัน ฉันเปลี่ยนเอาแผนปลอมติดบนกระดานไว้ อีกอย่างดูจากในรูปก็ไม่ใช่ทิศทางตำแหน่ง

    ที่นายนั่งอยู่ประจำเวลาประชุม...” คาเรนเว้นช่วงให้จินนี่ที่รู้อยู่แล้วได้พูดต่อ


           “สรุปของสรุปอีกทีก็คือสลิธีรินใช้แผนสกปรกอะไรกับเราไม่ได้”



           ช่วงบ่ายวันศุกร์ตรงระเบียงทางเดินปลอดคน สองพี่น้องครีฟวีย์ยืนพิงกำแพงคนละฝั่งหันหน้าเข้าหากัน 

    คอลินเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง ปรึกษากับน้องชายด้วยท่าทีจริงจัง


           “แข่งควิดดิชเสร็จพรุ่งนี้พี่จะบอกชอบคาเรน”


              “เจ๋ง! ฉันนึกว่าพี่ตัดใจไม่ยอมบอกเพราะเดือนหน้าจะเรียนจบแล้วนะเนี่ย”  


           “อือ แต่ถ้าพรุ่งนี้พี่ไม่กล้าบอกก็คิดว่าคงจะพอแค่นี้แหละ”


           “ทำไมพี่ต้องทำงั้น มันไม่มีเวลามากำหนดซะหน่อย”


           “มีสิ เดือนหน้าพี่ก็เรียนจบแล้ว อาจต้องไปทำงานไกลๆ ถ้าเกิดคาเรนตอบตกลงคบกับพี่จริงๆ มันก็ดีอยู่หรอก ไม่ใช่ก็ดี

    แต่มันดีมากเลย แต่ตอนนั้นต้องทำใจไม่ได้แน่ถ้าต้องอยู่ไกลกันแล้วทำได้แค่ส่งจดหมายหากัน”


           เดนนิสกะพริบตาปริบๆ มองพี่ชาย สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอดแล้วพ่นคำพูดออกมารวดเดียว 


           “โธ่เอ๊ย คิดอะไรอยู่น่ะพี่คอลินทำไมทำยังกับจะถอดใจงั้นเล่า? พี่ชอบคาเรนมาตั้งกี่ปี หมดฟิล์มไปตั้งกี่ม้วนกับรูปคาเรน 

    ฝึกตีบลัดเจอร์ไปตั้งกี่ร้อยกี่พันรอบกว่าจะได้เข้าทีมควิดดิช แล้วพี่กับเธอก็สนิทกันมาถึงขั้นที่แลกช็อกโกแลตกันตอนวาเลนไทน์แล้วเนี่ยนะ 

    แล้วถึงตอนนั้นพี่คิดว่าจะทำใจได้จริงเหรอถ้าไม่ได้บอกชอบแล้วมองดูคาเรนคบกับคนอื่น ฉันตอบให้ พี่ไม่มีทางทำใจได้หรอกเพราะงั้น

    พรุ่งนี้พี่ต้องบอกคาเรนให้ได้เลยนะ”


           คอลินอ้าปากจะเถียงก่อนหุบปาก แต่แล้วก็อ้าปากอีกครั้ง “ทำใจไม่ได้น่ะก็ใช่ สนิทกันก็ใช่แต่มันไม่ได้หมายความว่าคาเรนจะชอบพี่ 

    อีกอย่างพี่ยังไม่ได้ตัดใจซะหน่อย ก็แค่...ก็แค่...”


           “ก็แค่รักวัยรุ่นมันก็เลยต้องว้าวุ่นใจงี้เป็นธรรมดาแหละ ถ้าถามความเห็นของฉันน่ะนะ” จู่ๆ เซอร์นิโคลัสก็ลอยทะลุกำแพงออกมา

    ทำเอาสองพี่น้องสะดุ้งเฮือก ทว่าผีประจำบ้านกริฟฟินดอร์ชินชากับท่าทีแบบนี้ไปซะแล้วเลยไม่คิดอะไร เขายิ้มส่งกำลังใจให้คอลิน

    ก่อนหันไปหาเดนนิส “เมื่อกี้นี้ฉันผ่านชั้นเรียนพยากรณ์ศาสตร์มา เหมือนว่าเธอกำลังจะเข้าชั้นเรียนสายนะ ครีฟวีย์”


              เดนนิสลนลานคว้านาฬิกาบนข้อมือคอลินมาดู “สายแล้ว! ไปเรียนก่อนนะ แล้วอย่าเพิ่งคิดถอดใจล่ะ!


              เมื่อน้องชายวิ่งหายลับไปจากสายตาก็เหลือคอลินที่ว่างตลอดทั้งบ่ายยืนนิ่งอยู่กับที่ ยิ่งคิดเรื่องสารภาพรักกับสีหน้าคาเรน

    ก็ยิ่งฟุ้งซ่าน พรุ่งนี้ก็เป็นวันตัดสินผู้ชนะควิดดิชประจำปีแล้วแท้ๆ แต่เขากลับมาคิดอะไรอยู่เนี่ย?! เด็กหนุ่มออกเดินมุ่งหน้าไปทาง

    ห้องต้องประสงค์ นึกถึงห้องที่เขาใช้ต่างสนามซ้อมควิดดิชเมื่อตอนเปิดเทอมใหม่ๆ อยู่ในใจก่อนผลักบานประตูที่ปรากฏออกมาให้เห็น

    เข้าไปในห้อง วางกล้องลงบนกระเป๋าใส่หนังสือ หยิบไม้ตีบลัดเจอร์ที่ห้องต้องประสงค์มีไว้ให้เตรียมพร้อมอยู่แล้วพลางขึ้นขี่ไม้กวาด

    ที่ยืมมาจากห้องเก็บไม้กวาด เริ่มซ้อมแบบเอาเป็นเอาตายจนถึงเวลากินมื้อค่ำก็ไม่มีใครเห็นเขา

               

              กว่าคอลินจะออกมาจากห้องต้องประสงค์กลับถึงหอคอยกริฟฟินดอร์ก็เลยเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว ผมสีน้ำตาลลู่ลงไปกับหน้าผาก

    เพราะเหงื่อจากการซ้อม ทันทีที่ทิ้งตัวแปะลงกับเตียงก็หลับปุ๋ยด้วยความเหนื่อยจนขึ้นเช้าวันใหม่ทั้งที่ยังอยู่ในชุดเดิม  


           ช่วงสายของวันแข่งคึกครื้นด้วยเสียงคุยและเสียงหัวเราะจากทั่วทุกมุมในห้องโถงใหญ่แม้อากาศจะเริ่มเข้าสู่หน้าร้อนแล้วก็ตาม 

    นักเรียนบ้านสิงห์หลายคนเดินมาให้กำลังใจนักกีฬาทีมบ้านตัวเอง บ้างก็อวดป้ายเชียร์ที่ตั้งใจเขียนมาทั้งคืน


           เมื่อคืนวานคาเรนตื่นเต้นนอนไม่หลับจนต้องพาร่างตัวเองไปขอยาสงบใจจากมาดามพอมฟรีย์ที่ปกติคนส่วนใหญ่จะมาขอ

    ตอนช่วงใกล้สอบซะมากกว่า


           “กินให้อิ่มกันนะทุกคน” กัปตันบอกกับเพื่อนในทีม “แต่อย่าให้ท้องแน่นเกินไปเพราะถ้ามันย้อนขึ้นมาตอนช่วงเวลาสำคัญ

    นั่นหายนะแน่ วิกเตอร์ นมในแก้วนั่นอย่าดื่มจนหมดนะ ฉันจำได้ว่าคราวที่แล้วนายดื่มไปสองแก้วเต็มๆ แล้วก็ปวดท้องตอนก่อนแข่ง 

    ส่วนเธอโจซี่ ต่อให้ตื่นเต้นอยู่แต่ดื่มนมในแก้วนั้นให้หมดอย่าให้เหลือ ห้ามแตะน้ำฟักทองเด็ดขาดเพราะจะทำให้อารมณ์เธอขึ้นๆ ลงๆ 

    ส่วนคนที่เหลือถ้าแพ้อาหารอะไรที่ฉันไม่รู้และไม่ได้เตือนก็อย่ากินมันเข้าไปล่ะ -- ว่าแต่มีใครเห็นคอลินบ้างไหม”


           “นู่นไง วิ่งมาแล้ว” จินนี่บุ้ยคางไปทางประตูไม้บานใหญ่


           คอลินวิ่งหน้าตื่นพร้อมด้วยผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรงก่อนมาหยุดอยู่ตรงที่ว่างข้างคาเรน “ขอโทษที พอดีฉันเพิ่งตื่น --”


           “ช่างเถอะ ตอนนี้มาถึงนี่ก็ดีแล้ว เอาเวลาขอโทษมากินอาหารเช้าจะดีกว่า”


           “งั้นฉันไป --”


           “ไม่ต้องไปไหน นั่งลงเลย ฉันเอาอาหารเช้ามาให้แล้วอยู่นั่นไง”


           คอลินนั่งลงตามคำสั่งกัปตันอย่างเชื่อฟังทั้งที่เธอเด็กกว่า คาเรนเตรียมเอาไว้ให้หมดแล้วจริงๆ ทั้งข้าวโอ๊ตต้มที่ช่วยเพิ่มพลัง 

    แซนด์วิช กล้วยแล้วก็น้ำฟักทองของโปรด   


           “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ เรายังพอมีเวลาเหลืออีกครึ่งชั่วโมง” คาเรนบอกคนข้างตัวที่นั่งลงได้ก็รีบยัดทุกอย่างเข้าปาก 

    เธอจิบกาแฟต่อแล้วเหลือบมองคอลินเป็นระยะ เห็นเขายกแก้วดื่มน้ำฟักทองอย่างมีความสุขก็อดยิ้มตามไม่ได้แต่ก็ต้องรีบเก็บอาการเอาไว้

    เพราะมีสายตาอีกหลายคู่พร้อมจะจับผิดเธออยู่


               

              เหลือเวลาก่อนแข่งอีกห้านาทีสุดท้ายสำหรับพูดปลุกใจและสรุปทุกอย่างอีกครั้ง คาเรนยืนอยู่หน้ากระดานหันหน้าเข้าหาคนในทีม


           “ฉันมั่นใจว่าเราจะชนะนัดนี้แล้วเอาถ้วยรางวัลให้กับจินนี่แล้วก็คอลินที่กำลังจะจบออกไป ให้โจซี่ วิกเตอร์ จิมมี่ ไนเจลที่ลงแข่งปีนี้

    เป็นปีแรก คงจะดีมากถ้าได้แข่งปีแรกแล้วได้ถ้วยรางวัล -- แล้วก็ให้กับฉันเองในฐานะกัปตัน ทีนี้เรามาทวนแผนกันครั้งสุดท้าย 

    แผนหลักก็คือเราต้องทำคะแนนนำเรเวนคลอให้ได้อย่างน้อยสามสิบแต้มก่อนแล้วต้องจับสนิชให้ได้ แต่อย่าให้คะแนนเราต่ำกว่าสี่สิบ

    เพราะต่อให้เราจับสนิชได้คะแนนรวมก็ยังแพ้ฮัฟเฟิลพัฟอยู่ -- วิกเตอร์ นายคอยจับตาดูลูกสนิชให้ดีไม่ต้องกังวลลูกบลัดเจอร์ 

    เราจะคุ้มกันให้นายเอง ไม่ได้จะกดดันให้จับสนิชให้ได้นะ แต่ถ้านายทำได้ถ้วยรางวัลก็จะเป็นของเรา”


           ฤดูกาลแข่งขันควิดดิชกำลังจะจบลงหลังจากนัดสุดท้ายนี้ระหว่างกริฟฟินดอร์กับเรเวนคลอ ลูน่า เลิฟกู๊ดผู้บรรยายพูดอย่าง

    กระตือรือร้นใส่ไมค์เมื่อมาดามฮูชเป่านกหวีด เตะหีบปล่อยลูกบอลทั้งสี่ลูกพุ่งทะยานขึ้นสู่อากาศท่ามกลางแสงแดดที่แผดแรงกล้า

    จนต้องหรี่ตาเวลามองหาลูกบอล


           ชายเสื้อคลุมสีแดงกับสีน้ำเงินปลิวว่อนทั่วสนาม เชสเซอร์ทั้งสองทีมต่างแย่งควัฟเฟิลราวกับลูกบอลสีแดงมีค่าไม่ต่างจากทองคำ 

    ขณะที่บีตเตอร์หวดลูกบลัดเจอร์ไปให้ฝ่ายตรงข้ามทำเหมือนบลัดเจอร์คือศัตรูที่ไม่อยากแม้แต่จะเจอหน้า คาเรนทุ่มสุดแรงเกิดเท่าที่มี

    ไม่ต่างจากคอลินตั้งแต่เริ่มจนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ชั่วโมงที่สองของการแข่ง ว่ากันตามจริงก็ต่างกันนิดเดียวตรงที่คาเรนนั้นเล่นด้วยความสนุก

    สุดขีดไร้ความกดดันเพราะสุดท้ายอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ขอแค่ได้เล่นอย่างสนุกเต็มที่ก็คุ้มแล้ว


           จังหวะจับลูกสนิชใกล้เข้ามา แต่ด้วยเสียงเชียร์ที่ดังกระหึ่มกับลมแรงที่ทำเอาหูได้ยินแต่เสียงอื้ออึงแทบจะทำให้ไม่ได้ยินคนในทีม

    ตะโกนหากันเลย ถึงกัปตันบ้านสิงห์จะผมสั้นแต่เธอก็มัดผมครึ่งหัวไม่ให้ผมมาบดบังวิสัยทัศน์ทว่าปลายผมก็ยังปลิวมาตีแก้มชวนให้

    รำคาญอยู่ดี เธอมองดูคะแนนแล้วหันกลับมามองลูกทีม คอลินกำลังตีบลัดเจอร์ให้ออกห่างจากโจซี่ได้สำเร็จ จินนี่ขี่ไม้กวาดพุ่งผ่านหน้า

    ไปกับลูกควัฟเฟิลในอ้อมแขน พร้อมกันนั้นวิกเตอร์ ซีกเกอร์ของทีมก็เริ่มขี่ไม้กวาดไล่ตามลูกสนิชอยู่ห่างๆ แต่ไม่ให้คลาดสายตา


           คาเรนยกมือป้องตาจากแสงแดด หรี่ตามองดูเกมที่กำลังดำเนินต่อไป จินนี่ทำแต้มได้อีกสิบแต้มกัปตันสาวเลยพยักหน้าส่งสัญญาณ

    ให้วิกเตอร์เร่งความเร็วเพื่อดึงความสนใจให้ผู้เล่นฝั่งตรงข้ามเผลอ ในตอนนั้นเองที่โจซี่ทำแต้มให้กริฟฟินดอร์ได้อีกสิบแต้มระหว่างที่คีปเปอร์

    จากเรเวนคลอประมาทเกินไปจนไม่สนห่วงสามห่วงที่เขาต้องคอยป้องกัน


              คาเรนหยุดนิ่งคำนวณคะแนนให้แน่ใจว่าถ้ากริฟฟินดอร์จับสนิชได้จะชนะสามบ้านที่เหลือก่อนตะโกนสุดเสียง “เอาเลยวิกเตอร์!


           วิกเตอร์เร่งความเร็วเท่าที่ไม้กวาดจะอำนวย เขาเอื้อมมือยื่นไปสุดแขนกระโดดตัวลอยจากไม้กวาดไปคว้าลูกสนิชได้แล้วกลิ้งขลุกๆ 

    บนพื้นสนามก่อนดีดตัวขึ้นยิ้มร่าชูสนิชให้คนในทีมดู กริฟฟินดอร์คว้าชัยชนะมาให้ทุกคนในบ้านได้สำเร็จ 


           ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์มอบถ้วยรางวัลควิดดิชให้กับกัปตันท่ามกลางเสียงร้องตะโกนของนักเรียนบ้านสิงห์ที่วิ่งลงมากลางสนาม คาเรนมองดูถ้วยรางวัลในมือด้วยความตื้นตัน เธอจูบถ้วยรางวัลก่อนส่งให้ทุกคนในทีมได้ผลัดกันถือบ้าง


           คาเรนรับถ้วยกลับมาถือพลางชี้นิ้วนับสมาชิกที่ยืนอยู่ด้วยกัน...หายไปไหนคนนึง “คอลินไปไหน” เธอถามคนในทีม หันมองรอบทิศ

    หาคู่หูบีตเตอร์ของเธอที่ควรจะมายืนอยู่ด้วยกัน


              “พี่คอลิน!” จู่ๆ เดนนิสที่ถือกล้องกำลังจะถ่ายรูปก็โพล่งออกมาพลางชี้ไปข้างหลัง


           คาเรนหันขวับกลับไปมอง เห็นคอลินหน้าซีดยืนโยกเยกคล้ายคนหมดแรงจะเป็นลม กัปตันเห็นท่าไม่ดีเลยยัดถ้วยรางวัลใส่มือวิกเตอร์

    แล้วรีบแหวกกลุ่มนักเรียนกริฟฟินดอร์พุ่งเข้าหาตัวคอลินที่กำลังจะเป็นลมพร้อมยื่นแขนข้างนึงไปรองรับหลังเขาเอาไว้ 

    แต่เพราะน้ำหนักคอลินไม่ใช่หมอนข้างที่สามารถรับได้ด้วยมือข้างเดียวทำให้ทั้งคาเรนและคอลินต่างก็ล้มลงไปด้วยกัน โชคยังดีที่มีคาเรน

    ช่วยประคองเอาไว้หัวคอลินเลยไม่กระแทกพื้น ลูกทีมผู้ชายที่เหลืออีกสองคนตะโกนสั่งให้คนรอบข้างหลบออกไปก่อนเข้ามาช่วยพยุง

    บีตเตอร์ผู้หมดสติไปห้องพยาบาลโดยมีกัปตันที่มีสีหน้ากังวลวิ่งตามไปติดๆ...     


    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×