คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : 12 ll Forest
12
Forest
เพเนโลพี เคลียร์วอเทอร์ คืออดีตพรีเฟ็คสาวบ้านเรเวนคลอที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเด็กสาวสุดแสนจะเพอร์เฟ็คทั้งรูปร่างหน้าตา
และการเรียนประจำบ้านอินทรีเมื่อหลายปีก่อน หากคนที่เพิ่งรู้ว่าเธอมีน้องสาวคงมีภาพในจินตนาการว่าต้องไม่ต่างจากพี่สาว
หารู้ไม่ว่าน้องสาวแท้ๆ นั้นต่อให้มีหน้าตาสะสวยแต่เธอหาได้มีความรักสวยรักงามเหมือนอย่างพี่ไม่ ผมสีบลอนด์ตัดสั้นเผยให้เห็นต้นคอ
ดูทะมัดทะแมงผิดกับลุคสาวหวานของเพเนโลพี หนำซ้ำตอนนี้ยังงอแงขี้เกียจทำการบ้านวิชาอักษรรูนอีกต่างหาก...
“ลุกขึ้นมานั่งเร็ว” โจซี่ดึงแขนเพื่อนที่นอนแปะอยู่กับโซฟาในห้องนั่งเล่นรวมให้ลุกมาแตะการบ้านของตัวเองเสียที
“เธอจะมาโรงเรียนแล้วเอาแต่เล่นควิดดิชกับใช้สมองคิดเรื่องควิดดิชอย่างเดียวไม่ได้นะ ไม่งั้นเธอสอบไม่ผ่านไม่รู้ด้วย”
คาเรนเหยียดตัวบิดขี้เกียจแล้วชะงักเพราะหางตาเหลือบไปเห็นคอลินกับเดนนิสเดินออกมาจากหอนอนชาย สุดท้ายเธอก็ยอม
แงะตัวเองขึ้นนั่งอย่างเบื่อหน่าย “ก็ฉันไม่ชอบวิชานี้นี่ ทำไมถึงไม่มีวิชาประวัติศาสตร์ควิดดิชมั่งนะ พนันได้เลยว่าฉันต้องได้คะแนนเต็มแน่”
“ตื่นจากฝันก่อนคุณกัปตัน ควิดดิชไม่ใช่วิชาที่เราเรียนแต่วิชาอักษรรูนตรงหน้าเธอเนี่ยแหละความจริง ทำซะไม่งั้นจะส่งการบ้าน
ไม่ทันเอา”
“โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมกับฉันเอาซะเลย ถึงงั้นก็เถอะฉันจะลงวิชานี้ไปทำไมกันนะ”
“เธอนี่น้า” โจซี่ส่ายหัวน้อยๆ “อะไรๆ ก็ควิดดิช สมแล้วที่เคยเป็นแฟนโอลิเวอร์มาก่อน”
“นั่นเรียกว่าแฟนได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ตกลงคบกันไม่กี่ชั่วโมงก็เลิกแล้ว เพราะคาถางงงันนั่นแท้ๆ เลยเชียว”
คอลินหันขวับ “คาถางงงัน?” สายตาสองคู่จากสองสาวเลื่อนมามองอย่างงงๆ ทำเอาคอลินเลิ่กลั่กนั่งไม่ติดเก้าอี้ อุตส่าห์คิดว่า
จะแอบฟังไปแบบเนียนๆ อยู่แล้วเชียว สุดท้ายดันมาความลับแตกจนได้ “ฉันแค่แปลกใจน่ะ ไม่เคยได้ยินว่าใครเคยคบกันเพราะคาถางงงัน
มาก่อน”
“ก็คาเรนกับโอลิเวอร์ วู้ดนี่ไง” โจซี่บอกพลางสะกิดให้คาเรนเล่าต่อ
“คอลินไม่ได้อยากฟังหรอก ใช่ไหม...” คาเรนหันมาถามความเห็นคอลินทว่าเจ้าตัวที่ควรจะพยักหน้าเออออไปกับเธอกลับหูผึ่ง
รอฟังเต็มที่ “ก็แค่ฉันกับโอลิเวอร์เราตกลงคบกันเพราะคาถางงงันที่ฉันเพิ่งเรียนจบคาบนั้นมาพอดี แล้วเฟร็ดกับจอร์จก็จัดแจง
จับคู่ให้ฉันที่ยังงงๆ อยู่เสร็จสรรพ พอคาถาหมดฤทธิ์ฉันกับโอลิเวอร์กเลยตกลงว่าจะเลิกกัน จบแล้ว”
“เป็นการเลิกที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาเลยล่ะ” โจซี่พูดต่อ “ไม่มีใครเจ็บปวดหัวใจ ไม่มีฝ่ายไหนเสียน้ำตา”
“เราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า ถึงเวลาที่ฉันต้องทำการบ้านจริงๆ แล้ว”
เดนนิสเหลือบมองหัวข้อเรียงความบนหัวกระดาษของคาเรน “วิชาอักษรรูนเหรอ ให้พี่คอลินช่วยสิ พี่เขาเก่งวิชานี้ที่สุดในรุ่นแล้ว”
“งั้นก็ดีเลย” โจซี่รีบเสริมเดนนิส “ให้คอลินช่วยสอนการบ้านเธอสิ ส่วนฉันว่าจะไปขัดด้ามไม้กวาดซะหน่อย ใช้สมบุกสมบัน
มาตั้งนานแล้ว”
“ฉันก็เหมือนกัน อาทิตย์ที่ผ่านมาไม่ได้เขียนจดหมายกลับไปหาที่บ้านเลย” เดนนิสลุกขึ้นดึงแขนคอลินให้มานั่งที่เก้าอี้นวมตัวติดกับ
โซฟาตัวยาวที่คาเรนนั่งอยู่แล้วก็หนีไป ทิ้งให้พี่ชายนั่งตาโตยังกับนกฮูกจ้องเขาตอนวิ่งหนี
คาเรนหลุบตาลงมองปากกาขนนกในมือที่สภาพยับเยินเพราะมือมันอยู่ไม่สุขเวลาอยู่ใกล้คอลิน “ไม่ยักรู้ว่านายถนัดวิชานี้”
“คนเราก็ต้องมีวิชาที่ถนัดบ้างสักวิชาสิจริงไหม เอาคะแนนว.พ.ร.ส.ฉันเป็นประกันได้เลย เรียงความของเธอต้องได้คะแนนเต็มแน่
ตอนนี้ฉันว่างพอดีด้วย”
“อ้อ...ดีจัง” คาเรนพูดแบบเอื่อยเฉื่อยไร้อารมณ์เพราะต่อให้คอลินมาสอนแต่ความขี้เกียจยังคงเกาะติดหนึบอยู่กับเธอ
“นึกถึงเย็นนี้เข้าไว้สิ เรามีซ้อมควิดดิชกันนะ”
คอลินโน้มน้าวใจกัปตันได้สำเร็จ แค่ได้ยินคำว่าควิดดิชคาเรนถึงค่อยมีกำลังใจฮึดขึ้นมาทำการบ้านหน่อย
ตลอดเวลานั่งทำการบ้านทั้งสองไม่ได้พูดอะไรนอกเหนือจากการบ้านเลยสักประโยค ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประโยคบอกชอบ
ที่คอลินโพล่งออกมาวันนั้นเพราะไม่มีใครพูดถึงมันอีกเลยราวกับมีกระแสจิตสื่อถึงกันว่า ‘ เราอย่าพูดถึงเรื่องนั้นกันอีกเลยเนอะ ’
※
ค่ำในวันเดียวกันสมาชิกควิดดิชทีมกริฟฟินดอร์ลงมาซ้อมที่สนามควิดดิชเพลินจนใกล้เวลาที่ฟิลช์จะออกลาดตระเวน
จับเด็กนักเรียน ใครก็ตามที่ลุกออกจากเตียงหลังสามทุ่มอันเป็นกฎของฮอกวอตส์จะต้องถูกหักคะแนนหรือไม่ก็กักบริเวณ
คนอื่นๆ วิ่งกลับเข้าปราสาทกันทันเวลาพอดีขณะที่คอลินกับคาเรนรับหน้าที่ยกหีบใส่ลูกบอลกลับไปไว้ในห้องเก็บอุปกรณ์ที่อยู่
ข้างสนาม โดยที่กัปตันไม่รู้ตัวเลยว่าเพื่อนในทีมกำลังช่วยเชียร์เธอกับคอลินกันสุดฤทธิ์จนถึงขั้นเตี๊ยมกันว่าจะแบมือฝั่งขาวหรือดำ
ตอนที่หาคนยกหีบไปเก็บเพื่อให้คู่หูบีตเตอร์ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง
แต่แล้วโชคชะตาก็มาเล่นตลกเมื่อคุณนายนอร์ริส แมวของฟิลช์นั่งอยู่กลางแสงไหวระริกที่ลอดออกมาจากประตูบานใหญ่
ของปราสาทที่เปิดแง้มไว้เล็กน้อย ไม่ต้องเดาเลยว่าจะเจอกับอะไรต่อ ภารโรงที่อคติกับนักเรียนทุกคนอย่างฟิลช์ยืนแสยะยิ้ม
อยู่ด้านในปราสาท ยืนกอดอกเคาะเท้าเป็นจังหวะอย่างอารมณ์ดี
“ไหนดูซิว่าใครกันเป็นเด็กที่กล้าแหกกฎคืนนี้ อ้อ! สหายรุ่นเยาว์ของเจ้าพวกฝาแฝดจอมวายร้ายวีสลีย์ไม่ผิดแน่ ฉันชักไม่แปลกใจ
แล้วสิว่าทำไมถึงเห็นพวกเธออยู่ที่นี่”
“ถ้าหายแปลกใจแล้วพวกเราขอกลับไปนอนก่อนนะคะ” คาเรนวางมือไปบนประตูบานใหญ่ฝั่งที่ไม่ได้มีฟิลช์ยืนขวางอยู่
พอผลักบานประตูเข้าไปก็เจอกับพีฟส์ ผีจอมก่อกวนป้องปากตะโกนดังลั่นปราสาทว่าเธอกับคอลินแอบมาจู๋จี๋กัน คาเรนนึกอยาก
เอาไม้กวาดไฟร์โบลต์ในมือฟาดสักทีแต่ติดตรงที่คอลินก้าวมาข้างหน้าบังตัวเธอเอาไว้
“เงียบนะ พีฟส์!”
หากคิดว่าโชคร้ายมาเยือนมากพอแล้วคงคิดผิดมหันต์เพราะมีคนที่เหมือนฝันร้ายมากกว่าโผล่เข้ามาอีกคน เซเวอร์รัส สเนป
เดินออกจากห้องโถงใหญ่เพราะเสียงเอะอะของพีฟส์
นี่มันวันรวมความซวยที่ตลอดชีวิตก่อนหน้านี้เคยพลาดไปหรือยังไง
คาเรนนึกอยู่ในใจ
“มิสเตอร์ครีฟวีย์ มิสเคลียร์วอเทอร์ ไม่มีใครเคยบอกพวกเธอหรือว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเธอสองคนจะมาอยู่นอกเตียง”
“เคยมีศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์บอกตอนอยู่ปีหนึ่งค่ะ ศาสตราจารย์ แต่วันนี้พวกเราเพิ่งซ้อมควิดดิชเสร็จแล้วก็เพิ่งเอาอุปกรณ์
ไปเก็บที่ห้องเก็บของมาค่ะ”
“ฉันไม่เห็นคนอื่นในทีมของเธอเลยสักคน”
“เพราะพวกเขาขึ้นไปกันหมดแล้วไงคะ แล้วนี่ก็ไม้กวาดของหนู”
“ฮ่า! งั้นนี่ก็หมายความว่าพวกเธอสองคนแอบออกมาขี่ไม้กวาดแล้วก็พลอดรักกันน่ะสิ!” ฟิลช์พูดแทรก ทำท่าดีใจที่ได้ไล่ต้อน
เด็กตัวน้อยสำเร็จ
“พลอดรัก! พลอดรัก! เด็กนักเรียนสองคนมาจูจุ๊บกันตอนดึกๆ แต่ถูกจับได้ล่ะ!” พีฟส์ยิ่งส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายมากขึ้นไปอีก
สเนปเลิกคิ้วมองนักเรียนสองคน “มีอะไรจะแก้ตัวไหม”
เมอร์ลินเป็นพยาน! อะไรทำให้ศาสตราจารย์สเนปยอมเชื่อคำพูดที่ออกจากปากพล่อยๆ ของพีฟส์กันนะ
“ถ้าเราอยากพลอดรักกันคงไม่ออกมาขี่ไม้กวาดบินรอบสนามควิดดิชให้คนอื่นเห็นหรอกมั้งคะ ศาสตราจารย์ จะไม่ดีกว่าหรือ
ถ้าเราหามุมเงียบๆ แล้ว --”
“พอได้แล้ว” สเนปบอกเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้อยากฟังแผนการหาสถานที่พลอดรักของเธอ”
“หนูแค่ยกตัวอย่างน่ะค่ะ ไม่ได้หมายความว่าหนูจะทำอย่างนั้นจริงๆ --”
“ฉันไม่ได้ขอให้เธอมาย้อน”
“หนูแค่บอกตามความจริงค่ะ อาจารย์ หนูไม่ได้ย้อน”
“เธอพูดจริงนะครับ เรามาซ้อมควิดดิชกันจริงๆ”
“งั้นพวกเธอก็ควรจำให้ขึ้นใจว่านักเรียนต้องอยู่บนเตียงหลังจากสามทุ่ม หักกริฟฟินดอร์สิบแต้มและสั่งกักบริเวณเธอสองคนคืนนี้”
คาเรนอ้าปากค้างพร้อมสบถในใจ
คอลินยังดึงดันที่จะพูดต่อ “พวกเรากำลังจะกลับหอนอนกันจริงๆ นะครับ นี่มันเพิ่งเกินเวลามาแค่ห้านาทีเอง”
ทว่าสเนปไม่สนใจข้อแก้ตัวนั้น “ฉันสั่งให้พวกเธอไปหาศาสตราจารย์แฮกริดที่กระท่อม เขากำลังจะเข้าไปทำงานในป่าต้องห้าม
อยู่พอดี”
วินาที่ที่ได้ยินว่าต้องเข้าป่าต้องห้าม สีหน้าคาเรนพลันถอดสีทันที ไม่ใช่เพราะกลัวความมืดแต่เธอกลัวที่ป่าเป็นป่า ลำพังแค่
ตอนกลางวันเธอก็ไม่มีความคิดจะเหยียบย่างเข้าใกล้ป่าแล้ว เด็กสาวกลัวที่ต้องอยู่ในป่าอันเป็นผลพวงจากการหลงอยู่ในป่าคนเดียว
สมัยยังเด็ก กว่าพี่เพเนโลพีจะมาตามหาตัวเจอคาเรนก็ร้องไห้จนเหนื่อยและผล็อยหลับไปแล้ว
※
“ไง ไม่คิดว่าจะเป็นเธอสองคนเลยนะเนี่ย” แฮกริดทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มระหว่างที่มือกำลังวุ่นอยู่กับการจัดของ
นึกโล่งใจที่อย่างน้อยทั้งสองก็ไม่ใช่เด็กตัวป่วนที่คอยแต่จะสร้างปัญหาให้เขา
“ศาสตราจารย์แฮกริดคะ หนูไม่อยากเข้าไปป่าต้องห้าม ให้หนูทำอย่างอื่นแทนได้ไหมคะ”
“กลัวเรอะ” แฮกริดยืดตัวขึ้นหัวเราะน้อยๆ “ในป่าต้องห้ามน่ะไม่มีอะไรร้อก! มีก็แต่สัตว์ตัวเล็กน่ารัก เอาล่ะ ในเมื่อพวกเธอจำเป็น
ต้องมากักบริเวณกับฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วล่ะ คืนนี้เราจะไปตามหาโบวทรัคเกิลที่เต็มใจมากับเรา สำหรับชั้นเรียนของนักเรียนปีห้า
วันพรุ่งนี้ -- อย่าลืมเอาตะเกียงนี่ไปด้วย” แฮกริดส่งตะเกียงมาให้เด็กนักเรียนที่ยืนอยู่ข้างหลังระหว่างที่เขากำลังค้อมตัวตรวจดูฟืนในเตาผิง
ให้แน่ใจว่าจุดไฟติดแล้วและจะต้มน้ำในกาจนเดือดตอนเขากลับมาที่กระท่อมอีกครั้ง “ถ้ามีอะไรก็ให้ใช้ไม้กายสิทธิ์ส่งสัญญาณบอกฉัน
พวกเธอคงเรียนวิธีใช้คาถากันมาแล้วใช่ไหม”
“ครับ แต่เราสองคนไม่มีใครเอาไม้กายสิทธิ์ติดตัวมาด้วยสักคน”
ศาสตราจารย์ร่างยักษ์ชะงักมือที่ถือฟืน ยืดตัวหันขวับมามอง “จะเข้าป่ากันโดยที่ไม่มีไม้กายสิทธิ์กันงั้นเรอะ”
“ตอนแรกพวกเราคิดว่าแค่จะออกมาซ้อมควิดดิชค่ะ เลยไม่ได้เอาไม้ติดตัวมาด้วย...ใครจะไปคิดว่าต้องถูกกักบริเวณแบบนี้”
คาเรนพูดเสียงแผ่วเบาในประโยคท้าย นึกอยากให้ตอนนี้ตัวเองกำลังฝันแล้วตัวจริงกำลังนอนอยู่ในเตียงสี่เสาที่หอคอยกริฟฟินดอร์ซะจริงๆ
“เอาเถอะ ยังไงป่าต้องห้ามก็ไม่มีอะไรอันตรายหรอก ตราบใดที่เป็นพวกเธอไม่ใช่ฝาแฝดวีสลีย์”
คอลินกับคาเรนขมวดคิ้วมองหน้ากัน ที่แฮกริดพูดนั้นหมายถึงพวกเขาจะปลอดภัยจากป่าหรือเป็นห่วงป่ามากกว่านักเรียนกันแน่
แฮกริดคว้าตะเกียงอีกอันบนโต๊ะมาจุดก่อนเดินนำทั้งสองไปพร้อมกับเจ้าเขี้ยวสุนัขสีดำตัวใหญ่ที่วิ่งตามเจ้าของออกไป
อย่างน้อยเวลานี้ก็ยังมีศาสตราจารย์แฮกริดคอยคุ้มครอง นั่นทำให้ทั้งสองยังสบายใจว่ายังไงก็ไม่หลง หารู้ไม่ว่าการกักบริเวณนั้น
กำลังจะเริ่มต้นหลังจากนี้ต่างหาก
“เราจะแยกกันไปนะ” แฮกริดหมุนตัวก้มหน้าลงบอกกับเด็กๆ เมื่อเดินมาถึงชายป่า “เธอไปกันสองคน วิธีชักชวนโบวทรัคเกิลก็คือ
ใช้แมลงพวกนี้ไปล่อแล้วขอให้เจ้าพวกผู้พิทักษ์ต้นไม้ตัวน้อยเข้ามาอยู่ในกล่องเล็กจิ๋วนี่ดีๆ แต่ถ้าไม่มีตัวไหนยินยอมพร้อมใจมากับพวกเธอ
ก็ไม่เป็นไร” เขาส่งกระปุกใส่แมลงให้คาเรนก่อนเรียกเจ้าเขี้ยว เขาเดินนำเข้าไปในป่าก่อนหายลับไปพร้อมกับแสงตะเกียงที่จางลงเรื่อยๆ
หลายนาทีไหลผ่านไปทว่าคนถูกกักบริเวณกลับยืนอ้อยอิ่งไม่ยอมก้าวเข้าเขตป่า
คอลินเหลือบมองเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของคนข้างตัวเลยพยายามหาคำพูดมาปลอบใจ “ที่ฮอกวอตส์ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่า
ศาสตราจารย์สเนปอีกแล้วล่ะเชื่อฉันสิ จะว่าไปจอร์จเคยเล่าให้ฟังว่าเขากับลูน่าเคยมาดูมูนคาล์ฟเต้นรำกลางแสงจันทร์ในคืน
พระจันทร์เต็มดวง เหมือนอย่างคืนนี้เลย! พวกนั้นโชคดีได้เห็นมูนคาล์ฟตัวเป็นๆ ด้วยนะ -- ตอนนั้นคงโรแมนติกน่าดู”
ยิ่งฟังเรื่องในป่าคาเรนก็ยิ่งตัวแข็งทื่อ ต่อให้ยืนอยู่กับคอลินกันสองคนแบบนี้มันก็ไม่ช่วยให้รู้สึกโรแมนติก เธอเอื้อมมือคว้าแขนเสื้อ
คอลินแล้วจับไว้แน่น นึกหาคำพูดดีๆ ให้กับการกระทำของตัวเองและให้เขาเชื่อว่าเธอไม่ได้กลัวสักนิด...หลังเงียบไปชั่วอึดใจก็ได้แต่บอก
กับคนข้างตัวแค่ประโยคเดียวว่า “อย่าทิ้งกันนะ”
คอลินเลิกคิ้ว มองเด็กสาวจากด้านข้างที่มีแสงสลัวจากตะเกียงในมือเขาส่องต้องใบหน้าเธอ “เธอกลัวจริงๆ ด้วย”
“ไม่ได้กลัว แต่ถ้าทิ้งฉันไว้กลางป่าล่ะก็จะไม่คุยด้วยอีกเลย”
“แล้วเธอจะสั่งฉันตอนซ้อมควิดดิชได้ยังไงล่ะ”
คาเรนหน้าตึงขึ้นมาทันที “อย่ามากวนกันนะ”
“เปล่ากวนนะ...ฉันไม่ทิ้งเธอหรอก”
คาเรนไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาด้วยซ้ำ เธอกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อกพร้อมกระชับมือที่กำแขนเสื้อคอลินให้แน่นกว่าเดิม
“ห้ามคืนคำนะ”
※
แม้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงทว่าป่าต้องห้ามกลับมืดสนิทเพราะต้นไม้ในป่าแผ่กิ่งก้านที่เต็มไปด้วยใบไม้มาบดบังทุกอย่างราวกับ
จะซ่อนผืนป่าไม่ให้แสงจันทร์ได้เชยชม -- ตัวช่วยที่พอให้คาเรนหายใจได้ทั่วท้องคือแสงจากตะเกียงที่คอลินถือ และแน่นอน...ตัวคอลินด้วย
ทั้งคู่เข้ามาในป่าต้องห้ามค่อนข้างลึกพอสมควรแต่ก็ไร้วี่แววโบวทรัคเกิลหรือแม้แต่แฮกริดที่คงจะเดินออกนอกเส้นทาง
ไปด้วยความคุ้นเคยกับป่านี้เป็นอย่างดี
“คอลิน” คาเรนยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับถูกสาป ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีเธอเดินอยู่กับคอลินอยู่ดีๆ ทำไมตอนนี้กลับเดินอยู่คนเดียวได้เล่า?!
ท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของใบไม้ที่โดนลมพัด เด็กสาวกวาดตามองรอบข้างอย่างหวาดระแวง รอบข้างมีแต่ความมืดไม่มีแสงจากตะเกียง
ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์
คาเรนส่งเสียงเรียกรุ่นพี่แบบกล้าๆ กลัวๆ กลัวว่าถ้าหากเรียกเสียงดังจะกลายเป็นเรียกสัตว์อันตรายเข้าหามากกว่าหรือเปล่า
ไม้กายสิทธิ์ติดตัวก็ไม่มี เสียงเรียกนั้นเริ่มสั่นเพราะความกลัว เธอรุดเดินหน้าไปยังลานกว้างโล่งเตียนที่ต้นโอ๊กต้นใหญ่ตั้งอยู่อย่างโดดเดียว
แสงสีเงินนวลของดวงจันทร์ลอดใบไม้ลงมา -- เธอกำลังคิดว่าตัวเองคิดผิด การยืนเป็นจุดเด่นตรงนี้ช่างเป็นการกระทำที่โง่เง่านัก
เธอถอยกรูดกลับเข้าไปในความมืดด้วยสติที่นับว่าเหลือน้อยเต็มที
เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังลั่นมาจากคาเรนที่ถูกอะไรบางอย่างแตะเข้าที่ไหล่ เหล่านกกระพือปีกบินออกจากรังส่งเสียงน่ากลัว
เด็กสาวทรุดลงไปนั่งคุดคู้กับพื้น ไหล่สั่นเทิ้มดูน่าสงสาร
คอลินโยนตะเกียงที่หมดประโยชน์ไปให้พ้นจากมือ คุกเข่าลงจับไหล่คาเรนด้วยความอ่อนโยนที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้หลังจากรู้ตัว
ว่าได้ทำอะไรที่ผิดมหันต์ลงไปอย่างการแตะไหล่เธอโดยไม่บอกไม่กล่าว
“คาเรน ฉันเองคอลิน”
คาเรนเงยหน้าขึ้นมามองช้าๆ ก่อนคว้าหมับเข้าที่มือคอลิน เธอไม่โกรธเขาสักนิดที่หายไปหรือทำให้ตกใจ ในทางกลับกัน
เธอไม่เคยดีใจที่ได้เจอเขามากเท่านี้อีกแล้ว
“หายไปไหนมา”
“ฉันไม่ได้หายไปไหนหรือตั้งใจแกล้งเธอเลยนะ อยู่ดีๆ ตะเกียงมันก็ดับ ฉันพยายามจะหาอะไรมาจุดไฟแต่พอรู้ตัวอีกที
ฉันก็ไม่เห็นเธอแล้ว...” คอลินชะงัก ทำตัวไม่ถูกเพราะเห็นคาเรนมีน้ำตาคลอ เขายกมือลูบแผ่นหลังที่ยังสั่นอยู่น้อยๆ เป็นเชิงปลอบ
“ฉันอยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะ เราต้องหาแฮกริดเจอหรือไม่เขาก็ต้องเจอเราแล้วพาออกไปจากป่านี่ได้แน่”
“ฉันก็ขอให้มันเป็นอย่างงั้น”
คอลินเปลี่ยนท่าทางมือจากที่เธอเป็นฝ่ายจับเอาไว้แน่นเป็นประสานนิ้วทั้งสิบระหว่างมือเขากับมือคาเรน
“คราวนี้เราจะไม่พลัดหลงกันอีกแล้วนะ”
ทันใดนั้นมือสกปรกใหญ่เบ้อเริ่มกว่ามือของแฮกริดหลายเท่าก็โผล่มาหาทั้งคู่จากเงามืด คอลินเอาตัวเองเข้าขวางคาเรนไว้
มืออีกข้างคว้าตะเกียงส่องไปหาเจ้าของมือแต่ดันลืมไปแล้วว่าไฟดับ กระทั่งร่างยักษ์ตนหนึ่งโผล่มายืนกลางแสงจันทร์ให้ประจักษ์
แก่สายตาคนทั้งสอง
ไม่ต้องรอสัญญาณปล่อยตัวอะไรทั้งสิ้น ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องต่างพากันลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งหนีเอาตัวรอดกลับเข้าป่าไปยังทิศที่จากมา
จนชนกับพุงใหญ่ๆ ของแฮกริดเข้าอย่างจัง
“พวกเธออยู่นี่เอง ฉันได้ยินเสียงกรี๊ดดังลั่นมาจากแถวนี้ก็รีบวิ่งมาเลย ปลอดภัยกันดีใช่ไหม”
“ตอนนี้น่ะใช่ครับ แต่ศาสตราจารย์แฮกริด เราต้องรีบออกไปจากที่นี่ ในป่านี้มีโทรลล์!”
“ที่นี่น่ะรึมีโทรลล์ เป็นไปไม่ได้ร้อก!”
“ขนาดที่ปราสาทยังเคยมีโทรลล์เข้าไปเดินเล่นมาแล้วเลยนะครับ พวกเราเกือบโดนไม้กระบองฟาดแบนติดไปกับกำแพงแล้ว
ยิ่งจอร์จกับลูน่าต้องจำวันนั้นได้ขึ้นใจแน่ๆ”
“ใจเย็นเจ้าหนู” แฮกริดเท้าเอว ก้มลงมอง “พวกเธอคงมองผิดไป นั่นไม่ใช่โทรลล์แน่นอนฉันมั่นใจ นั่นยักษ์ต่างหาก”
“ยักษ์!?”
“ไม่ต้องตกอกตกใจกันไป นั่นน้องชายฉันเอง -- น้องชายคนละพ่อ อยากไปทักทายหน่อยไหมล่ะ”
คาเรนบีบมือคอลินเมื่อถูกถาม เขาเลยเป็นฝ่ายตอบแทน “นั่นเป็นความคิดที่ดีครับถ้านั่นเป็นตอนกลางวัน แต่ถ้าเป็นตอนนี้
ผมว่าเรารีบกลับปราสาทกันดีกว่า พรุ่งนี้อาจารย์น่าจะมีสอนแต่เช้า พวกเราเองก็ต้องตื่นไปเรียนด้วยเหมือนกันครับ”
“อ้อ จริงด้วยสิ งั้นก็กลับกันเถ๊อะ! ตอนนี้เรามีโบวทรัคเกิลมากพอแล้วล่ะ”
คู่หูบีตเตอร์เดินจับมือกันตลอดระหว่างเดินออกจากป่าจนกลับมายังห้องนั่งเล่นรวมกริฟฟินดอร์ได้อย่างปลอดภัย
ไม่ได้รู้สึกโรแมนติกอะไรทั้งนั้นเพราะเหงื่อออกเต็มมือคาเรน ใบหน้าที่เคยมีสีชมพูระเรื่อของเธอดูซีดเผือดเหมือนโดนดูดพลังงานไปจนหมด
เสียงที่เหลือก็แหบแห้งไปหมดทำเอาคอลินต้องชวนเธอคุย วิ่งขึ้นไปเอารูปถ่ายที่อัดเก็บไว้มาดึงความสนใจให้เธอคลายความกลัว
กว่าจะแยกย้ายกันขึ้นไปนอนก็ตอนที่นาฬิกาเรือนใหญ่ตีบอกเวลาเที่ยงคืน เด็กหนุ่มยืนค้างอยู่หน้าประตูที่ข้างในเป็นบันได
ขึ้นไปยังหอนอนหญิง รอจนกว่าคาเรนจะขึ้นบันไดไปจนลับสายตาถึงวางใจกลับหอนอนชายที่อยู่หลังบานประตูอีกฝั่ง
※
การถูกกักบริเวณในป่าต้องห้ามของคาเรนส่งผลให้เธอหวาดระแวงกับอะไรเล็กๆ น้อยๆ กระทั่งผ่านมาเป็นอาทิตย์ก็ยังสะดุ้งตกใจ
ทุกครั้งเวลามีคนมาทักจนระยะหลังมานี้เธอกลายเป็นของเล่นสำหรับพวกขี้แกล้งที่ไม่ได้เข้าใจเธอเลย
มื้อเย็นในห้องโถงใหญ่ ระหว่างที่ทุกคนกำลังเอร็ดอร่อยเพลิดเพลินไปกับอาหาร นักกีฬาควิดดิชทีมบ้านสิงห์กำลังคุยกันถึงแผน
ที่จะใช้คว้าถ้วยรางวัลควิดดิช จู่ๆ เบน ซีกเกอร์บ้านงูก็ย่องมาข้างหลังแล้วแกล้งให้คาเรนตกใจเล่นก่อนหัวเราะลั่นแล้วไปนั่งสมทบ
กับพวกคาเมรอนพลางขำไม่หยุด
มือคาเรนที่คว้าแขนเสื้อคอลินมาจับตั้งแต่แรกด้วยความตกใจกำลังสั่นน้อยๆ ทุกคนในทีมกริฟฟินดอร์ต่างลุกขึ้นยืนด่าตัวการ
ไม่เว้นแม้แต่จินนี่ที่แอบเสกน้ำในแก้วพวกเขาให้เต็มไปด้วยโคลนเหนียวหนึบ ขณะที่คอลินเลือกลูบหลังปลอบคาเรนเพราะตอนนี้
เขาสนใจเธอมากกว่าพวกที่ไม่ควรให้ค่า
ขณะที่หลายคนจากสลิธีรินกำลังหัวเราะขบขัน คาเมรอนกลับมองนิ่งๆ ดวงตาฉายแววเป็นห่วง ไม่ได้ร่วมวงหัวเราะไปพร้อมกับ
เพื่อนสนิทเพราะได้ยินข่าวที่เล่าต่อกันมาว่าคาเรนถูกกักบริเวณให้เข้าป่าต้องห้าม เขารู้ว่าเธอกลัวการเข้าป่าต่อให้เป็นเวลากลางวัน
และคาเมรอนยังเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ต้นเหตุความกลัวของเธอตั้งแต่เด็กๆ เด็กหนุ่มกางแขนใช้หลังมือตีแขนคนอื่นให้เงียบพร้อมบอก
ให้เลิกแกล้งคาเรนซะ ไม่อย่างงั้นเขาจะหวดลูกบลัดเจอร์อัดเข้าที่ท้องจนเข้าห้องพยาบาลแน่
เวลาผ่านไปหลายวันเข้าทำเอาคาเรนเริ่มกดดันตัวเอง เพราะความกลัวของเธอทำให้ตอนซ้อมควิดดิชแค่ดวงอาทิตย์
ใกล้ลาลับขอบฟ้าเธอก็เริ่มกลัวจนไม่เป็นอันซ้อม -- คอลินสังเกตเห็นอาการของกัปตันเลยมาปรึกษากับจินนี่แล้วก็ลูน่าระหว่างคาบเรียน
วิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ในตอนที่นักเรียนคนอื่นกำลังง่วงงุนหรือบางคนก็ผล็อยหลับคาโต๊ะไปแล้ว
“ฉันก็คิดหาวิธีอยู่เหมือนกัน ทุกคนในทีมก็ด้วย เราไม่สบายใจกันทั้งนั้นแหละที่เห็นคาเรนเป็นแบบนี้แต่ฉันมั่นใจว่ากัปตันของเรา
จะกลับมาเป็นคนร่าเริงเหมือนเดิมในเร็ววันนี้แน่” จินนี่บอก “เรื่องกลัวแมงมุมของรอนดูจิ๊บจ๊อยไปเลย ฉันว่าถ้านายคอยอยู่ใกล้ๆ
แล้วปลอบเธอคงจะดีที่สุดแล้วในตอนนี้”
“ฉันเนี่ยน่ะหรือ? ทุกครั้งที่ฉันพยายามปลอบคาเรนมันเหมือนฉันไม่ได้ช่วยอะไรอยู่ดี ฉันไม่ได้มีผลกับคาเรนถึงขนาดช่วยเยียวยาเธอ
ด้วยซ้ำ”
“พูดอะไรอย่างนั้น -- คาเรนไว้ใจนายออก” เสียงฝันๆ พูดขัดขึ้น ดวงตากลมโตดูล่องลอยของลูน่าเลื่อนมามองคอลิน
“ฉันสังเกตดูหลายครั้งเวลามีคนแกล้งคาเรน มือเธอจะจับนายเอาไว้อัตโนมัติ ฉันคิดว่ามันหมายความว่านายเป็นที่พึ่งให้เธอได้
...ไม่คิดงั้นหรือ”
※
ความคิดเห็น