คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : 11 ll Kidding
11
Kidding
ตลอดการเดินทางกลับโรงเรียนเป็นช่วงเวลาที่คาเรนอยากให้มันผ่านพ้นไปโดยเร็วที่สุด ไม่ใช่ว่ารถไฟด่วนฮอกวอตส์ไม่ดี
แต่เป็นเพราะตู้โดยสารที่เธอนั่งดันมีคอลินมานั่งอยู่ตรงข้ามเธอต่างหาก ทำให้เวลาพูดกับคอลินแต่ละทีตะกุกตะกักจนไม่กล้าคุยกับเขา
อีกแล้ว พอจะชิงหลับพวกลูกทีมควิดดิชก็เข้ามาถามเรื่องกลยุทธ์ว่าไปถึงไหนแล้ว เลยต้องถ่างตาตื่นกางม้วนกระดาษแผ่นใหญ่
อธิบายให้ทุกคนฟังคร่าวๆ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องเดียวที่คาเรนพูดได้อย่างลื่นไหลในเวลานี้
เปิดเรียนไปห้าวัน วันหยุดสุดสัปดาห์พลันมาถึง สนามควิดดิชที่คิดถึงอยู่ตรงหน้าคาเรนแล้วแท้ๆ แต่เธอกลับต้องนั่งหน้าเซ็ง
อยู่บนอัฒจันทร์เพื่อดูลูกทีมซ้อมอยู่ห่างๆ เพราะก่อนหน้านี้เดินเยอะมากไปหน่อยและไม่ยอมพักด้วยข้อเท้าเลยยังไม่หายดี
มาดามพอมฟรีย์ก็ช่วยไม่ได้ ในฐานะที่คอลินอายุเยอะสุดในทีมเลยยื่นคำขาดสั่งให้กัปตันนั่งดูเพื่อนในทีมซ้อมกันแทน
แถมตอนนี้ยังยึดไม้กวาดเธอไปถืออีกต่างหาก!
“ฉันรู้ว่าเธอหายทันแข่งอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เธอควรต้องพักจริงๆ นะ ไม่งั้นข้อเท้าเธอเกิดอักเสบขึ้นมาอีกจะหายยากกว่าเดิม”
จินนี่ยืนพยักหน้าอยู่ข้างกัน ก้มมองรุ่นน้องที่นั่งหน้างอด้วยความเห็นใจ “ฉันเห็นด้วยกับคอลิน วันแข่งเราจะขาดกัปตันไม่ได้เธอก็รู้
เพราะงั้นวันนี้อย่าฝืนเลย”
“ฉันก็เห็นด้วยกับทั้งคอลินแล้วก็จินนี่” กระทั่งโจซี่ที่เป็นความหวังเดียวของคาเรนก็ไม่เว้นเห็นดีเห็นงามกับพวกพี่ใหญ่ไปด้วย
คาเรนชำเลืองมองไม้กวาดตัวเองอย่างอาลัยอาวรณ์ เมื่อเห็นว่าคอลินกำไม้กวาดของเธอแน่นและไร้วี่แววจะยอมคืนให้ก็เริ่มงอแง
ยังกับเด็กถูกแย่งของเล่น “ขี่ไม้กวาดไม่ได้ใช้เท้าซะหน่อย”
คอลินกลั้นยิ้มมองดูกัปตันด้วยความเอ็นดู เขายกมือไพล่หลังเอาไม้กวาดหลบให้พ้นจากสายตาเจ้าของ “ตอนนี้ที่เธอควรทำคือ
อยู่เฉยๆ แล้วดูพวกเราซ้อม ถ้าเป็นไปได้อย่าเดินเลยจะดีกว่า”
ทว่าเรนยังดึงดันต่อไป “ให้ซ้อมด้วยแป๊บนึงไม่ได้หรือ แค่ได้ขี่ไม้กวาดซักนิดก็ยังดี”
“ไม่ได้เด็ดขาด” คอลินยืนยันเสียงแข็ง
“นิดนึง”
“ไม่ได้”
“นิด...”
“ไม่” คอลินยื่นคำขาด “ถ้าเธอยังดื้อฉันจะบอกศาสตราจารย์มักกอนนากัลให้เขาสั่งให้เธอพักอยู่ที่หอคอยกริฟฟินดอร์”
“ฉันเป็นกัปตันนะ”
“ใช่ และเธอก็ยังเป็นอยู่ แต่ตอนนี้เธอเป็นกัปตันที่เจ็บข้อเท้าแล้วมาดามพอมฟรีย์ก็สั่งห้ามเธอเล่นควิดดิชด้วย”
คาเรนทำหน้าบูด เบือนหน้าหนีคอลินที่อยู่ๆ ก็ใช้อำนาจความเป็นรุ่นพี่มาถือไพ่เหนือกว่าเธอ “เข้าใจแล้ว รีบไปซ้อมกันเข้าสิ
ฉันจะจับตาดูไม่ให้พลาดสักจุดเลยเชียว”
จินนี่กับโจซี่ยิ้มให้คาเรนก่อนคร่อมไม้กวาดแล้วพุ่งทะยานขึ้นไปสมทบกับสมาชิกคนอื่นบนฟ้าตรงกลางสนาม
คอลินยื่นมือจะส่งไม้กวาดกลับคืนให้เจ้าของอยู่แล้วถ้าไม่เห็นเดนนิสเดินถือกล้องมาทางนี้พอดี เขาเลยฝากไม้กวาดให้เดนนิส
ดูแลแทนเผื่อเด็กจอมงอแงเพราะไม่ได้เล่นควิดดิชจะดื้อแอบเอาไม้กวาดไปขี่ เด็กหนุ่มหมุนตัวกลับมาหาคาเรนที่ไม่ยอมเงยหน้ามองเขา
พลางย่อตัวลงนั่งคุยกับเธอ “จะตั้งใจซ้อมนะครับ คุณกัปตัน” พร้อมกับยิ้มให้แล้วพุ่งทะยานออกไปเหนือสนามควิดดิช
คาเรนตากระตุก...นี่มันเยาะเย้ยกันนี่ ถึงจะคิดอย่างงั้นแต่รอยยิ้มนั่นกลับทำให้อยู่ดีๆ ก็เขินขึ้นมาซะดื้อๆ
ไม่รู้อะไรดลใจ ชั่วขณะนั้นคำพูดของพี่สาวถึงได้ผุดขึ้นมาในหัว ‘ ชอบเขาแล้วล่ะสิ ’
คาเรนหน้ามุ่ย นั่งบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว “ไม่ได้ชอบซะหน่อย”
※
ข้อเท้าคาเรนดีขึ้นมากจนไม่ต้องใช้ไม้พยุงตัวเมื่อเข้าสัปดาห์ที่สองของการเปิดเทอม คอลินเห็นอย่างนั้นก็ค่อยหมดห่วง
แต่เห็นทีตอนนี้คงต้องกลับมาห่วงตัวเองที่เวลาในฮอกวอตส์ใกล้หมดลงทุกที ก่อนหน้านี้ที่งานเทศกาลจอร์จได้ให้คำแนะนำว่า
ถ้าจะจีบคาเรนให้ค่อยๆ เข้าใกล้เธอ -- คอลินทำตามที่ฝาแฝดผมแดงแนะนำเป๊ะแต่เป็นแบบเข้าใกล้จริงๆ ทำเอาตอนที่ฟังแผน
อยู่ในห้องเปลี่ยนชุดข้างสนามควิดดิชคาเรนต้องบอกให้เขาขยับห่างออกไปหน่อย...
พอมีเวลาว่างอันน้อยนิดจากกองการบ้านที่สุมท่วมหัวสมกับเป็นนักเรียนปีเจ็ด คอลินก็ไม่รีรอที่จะเขียนจดหมายฉบับใหม่
ไปหาฝาแฝดวีสลีย์เพื่อรายงานว่ามันไม่ได้ผล
ขณะที่ทางฝั่งคาเรนเองก็กำลังเจอเรื่องลำบากใจที่จะตอบคำถามของโจซี่แบบเลี่ยงไม่ได้ หาทางหนีไปไหนก็ไม่รอด
“ตั้งแต่เปิดเทอมมาเธอดูไม่เหมือนเดิมจริงๆ นะ”
“ยังไงล่ะ” คาเรนถาม ตาจ้องหนังสือควิดดิชในยุคต่างๆ
“เธอดูเหมือน...คนมีความรัก”
“ก็แค่เหมือนแต่ฉันไม่ได้มีความรักสักหน่อย” คาเรนตอบตะกุกตะกัก “ฉันไม่คิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ตอนนี้หรอก”
“แล้วจะคิดตอนไหน”
“แข่งควิดดิชเสร็จมั้ง”
“ใกล้ปิดเทอมเนี่ยนะ”
“ตอนนี้ถ้วยรางวัลควิดดิชประจำปีคือความฝันสูงสุดของฉัน ฉันต้องพิสูจน์ให้แม่เห็นว่าฉันจริงจังแล้วฉันก็ทำได้ กัปตันปีแรก
อย่างฉันต้องเอาถ้วยรางวัลมาให้พวกเรากริฟฟินดอร์ให้ได้ ว่าแต่ทำไมฉันต้องคิดเรื่องรักด้วยเล่า”
“ไม่ต้องคิดเรื่องรักก็ได้ งั้นขอถามใหม่ เธอคิดเรื่องคอลินไว้บ้างหรือยัง”
“ทำไมต้องเจาะจงคอลินคนเดียวล่ะ”
“เพราะเธอกำลังโดนเขาจีบอยู่น่ะสิ”
“เพ้อเจ้อแล้ว”
“งั้นเธอก็ชอบเขาอยู่” โจซี่หรี่ตา ยิ้มมีเลศนัย “ฉันว่าฉันจับรังสีแปลกๆ ได้”
“เธออยู่กับศาสตราจารย์ทรีลอว์นีย์มากไปแล้ว โจซี่ ฉันกับคอลินสนิทกันเพราะเราเล่นควิดดิชตำแหน่งบีตเตอร์เหมือนกัน
ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”
ค่ำวันนั้นสองสาวลงมากินมื้อเย็นที่ห้องโถงใหญ่ที่ผู้คนเริ่มบางตาลงบ้างแล้ว เท้าคาเรนชะงักเพราะปลายแถวตักซุปเห็ดหอม
ที่กำลังจะเดินไปคือคอลิน ครั้นเห็นโจซี่อ้าปากเตรียมจะแซวเลยก้าวไปต่อแถวคอลินอย่างไม่ลังเล แม้ใจจะไม่ค่อยพร้อมเท่าไรก็ตาม
คอลินยื่นกระบวยตักซุปให้คนต่อไป แต่แล้วพอเห็นว่าเป็นคาเรนเลยชักมือที่ถือกระบวยกลับ
“ฉันตักให้” เด็กหนุ่มตักซุปเห็ดหอมควันฉุยใส่ถ้วยเล็กๆ ให้พร้อมกับวางลงบนถาดคาเรนโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องเอ่ยปากขอสักแอะ
โจซี่ยกศอกกระทุ้งหลังเพื่อนสาวเบาๆ เรียกสติคาเรนกลับมา เด็กสาวผมบลอนด์อึกอักราวกับหาคำพูดไม่เจอก่อนบอกขอบคุณ
แล้วเดินหนีคอลินไปนั่งที่โต๊ะกริฟฟินดอร์ทั้งที่ในถาดมีแค่ซุปถ้วยเดียว
“ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่า” คอลินหันมาถามโจซี่ที่น่าจะรู้ดีที่สุด
“อ้อ ไม่หรอก คาเรนแค่ไม่สบายนิดหน่อย”
“เป็นอะไรหรือ”
“เหมือนจะเป็นหวัดล่ะมั้ง”
“เมื่อตอนซ้อมควิดดิชก็ยังเห็นดีๆ อยู่เลยนี่ มิน่าตอนนี้ถึงไม่อยากกินอะไร คาเรนไปหามาดามพอมฟรีย์หรือยัง -- แต่เป็นหวัด
ก็ต้องกินผลไม้สิ ต้องกินให้อิ่มด้วยร่างกายจะได้ไม่แย่ลง เมื่อเช้าก็ซ้อมควิดดิชหนักออกอย่างงั้น งั้นตักสตูเนื้อไปเผื่อให้ด้วยดีกว่า”
คอลินพึมพำงึมงำอยู่คนเดียวแล้วก็เดินแยกออกไปเลย ทิ้งให้โจซี่กับเดนนิสยืนงงกันอยู่สองคน
“คาเรนป่วยหรือ” เดนนิสเอียงคอถามโจซี่
“เปล่า”
“อ้าว”
“ไม่ต้องอ้าวหรอก จะว่าไป--” โจซี่เว้นช่วง ก้าวเข้าหารุ่นน้องอย่างเดนนิสพลางวาดแขนโอบไหล่ “ขอถามอะไรเกี่ยวกับพี่ชายนาย
หน่อยสิ”
※
ควิดดิชนัดที่สองระหว่างกริฟฟินดอร์และฮัฟเฟิลพัฟเริ่มขึ้นหลังวันหยุดปิดเทอมช่วงปีใหม่หมดลง -- เป็นที่รู้กันว่าฮอกวอตส์
ไม่ได้ปิดกั้นผู้ชมจากภายนอกที่อยากเข้าชมควิดดิช ผู้ปกครองของเหล่านักกีฬาจึงมานั่งรวมกันอยู่บนอัฒจันทร์ฝั่งอาจารย์เป็นเรื่องปกติ
ไม่เว้นแม้กระทั่งเฟร็ดกับจอร์จที่ได้รับการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษจากศาสตราจารย์มักกอนนากัล ที่ว่ากรณีพิเศษนั้นไม่ใช่ว่าจะได้
อภิสิทธิ์เหนือคนอื่น แต่เป็นเพราะวีรกรรมสมัยเรียนของสองคนนี้โชกโชนน่าดู การเข้าชมควิดดิชครั้งนี้เลยมีข้อแม้ที่มักกอนนากัลกำชับ
หนักแน่นว่าห้ามฝาแฝดวีสลีย์ก่อกวนเกมแข่งขันเป็นอันขาด ไม่งั้นโดนเด้งออกนอกฮอกวอตส์แน่!
“พวกพี่มากันทำไมน่ะ” จินนี่ยืนเท้าเอวอยู่ในชุดควิดดิชสีแดง สายตาไล่มองพี่ชายฝาแฝดอย่างหวาดระแวงกลัวว่าพวกเขา
จะมาก่อกวนการแข่งขัน ข้างกันนั้นมีลูน่า เลิฟกู๊ดผู้บรรยายเกมควิดดิชที่จอร์จพุ่งมาหาก่อนเป็นคนแรก กับคาเรนที่อยู่ข้างจินนี่
กำลังยกมือทักทายฝาแฝดผมแดงในฐานะที่พวกเขาเป็นรุ่นพี่และเป็นต้นแบบในตำแหน่งบีตเตอร์ที่เธอเล่นอยู่ ส่วนโจซี่แอบหลบ
อยู่หลังคาเรนอัตโนมัติเพราะเห็นเฟร็ดทีไรใจเป็นต้องสั่นทุกทีต่อให้รู้ว่าเขามีเจ้าของหัวใจอยู่แล้วก็เถอะ
“ทำไมจะมาไม่ได้ พี่มาในฐานะผู้ปกครองเธอไง” จอร์จท้วงจินนี่แล้วฝาแฝดก็พูดพร้อมกันว่า “สู้ๆ นะ จิเนฟรา วีสลีย์!!”
เฟร็ดยิ้มแฉ่งก่อนหันไปคุยกับคาเรน “กริฟฟินดอร์ต้องชนะแน่ฉันมั่นใจ จินนี่เล่าให้ฟังแล้วเรื่องระหว่างกริฟฟินดอร์กับสลิธีริน
นัดนี้ถ้าอีกฝั่งโกงหรือมีใครแกล้งล่ะก็ไว้ใจฉันกับจอร์จได้เลย โอ้ หวัดดีโจซี่!”
โจซี่ใจเต้นแรง “วะ -- หวัดดี” เธอทักเขาตอบแบบแค่เงยหน้ามองเขาพอเป็นพิธีก่อนขอตัวไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัว
สำหรับควิดดิช
“สู้เขาล่ะกริฟฟินดอร์!” พูดจบเฟร็ดก็เดินนำไปสนามควิดดิชอย่างร่าเริง ตามด้วยจอร์จที่ยกแขนให้ลูน่าคล้องแขนราวกับ
จะพาเธอเดินเข้าเวทีเต้นรำยังไงยังงั้น
จินนี่มองตามพี่ชายตัวเองแล้วเลิกคิ้ว “มาในฐานะผู้ปกครองฉันงั้นรึ? -- ผู้ปกครองคนพากย์มากกว่าล่ะมั้ง ฉันว่า”
เธอส่ายหน้าอย่างเอือมระอาก่อนตามโจซี่ไปอีกคน
คาเรนอมยิ้มก่อนมีร่างสูงโปร่งของคอลินเข้ามาในสายตา “อ้อ อยู่นี่เอง ฉันกำลังมองหานายอยู่เชียว รีบไปแต่งตัวซะแล้วก็ --”
เธอหยุดพูดเพราะมีใครบางคนสะกิดไหล่เธอ
“สวัสดีแฟนเก่า”
คาเรนหันขวับไปตามเสียงทักที่ร่าเริงจนน่าหมั่นไส้ ใครกันบังอาจมาทักกันแบบนี้?! ขณะที่เด็กสาวกำลังเริ่มจริงจังกับควิดดิช
ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เจ้าของร่างสูงหุ่นล่ำบึ้กก็ปรากฏแก่สายตาคาเรนทำเอาเธอหมั่นไส้ไม่ลงเพราะเขาเป็นคนที่ให้คำแนะนำเธอ
เกี่ยวกับควิดดิชเยอะทีเดียว...แต่อย่าให้พูดถึงตอนคบกันแค่ห้าชั่วโมงแล้วเลิกนะ
“สวัสดีโอลิเวอร์”
“วันนี้พร้อมไหม”
“ไม่มีวันไหนพร้อมกว่านี้อีกแล้ว”
“ถ้ากำลังใจดีขนาดนี้ก็เยี่ยม อีกอย่างเธอนี่โคตรเจ๋งเลย ได้เป็นกัปตันปีแรกแล้วอยู่รอดถึงวันนี้มาได้โดยไม่นอนสลบเหมือด
ที่ห้องพยาบาลเป็นเดือนๆ เหมือนฉันตอนเป็นกัปตันปีแรก”
“ไม่ได้เจ๋งอะไรหรอก ฉันแก้แผนแล้วแก้แผนอีกจนหัวแทบระเบิดเหมือนกันนั่นแหละ”
โอลิเวอร์กับคาเรนคุยกันเรื่องทีมควิดดิชอาชีพอย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติ จนคอลินที่ยืนอยู่ด้วยรู้สึกราวกับกำลังฟัง
ภาษาต่างประเทศที่ไม่เข้าใจมาก่อน ถึงรู้ว่าสองคนตรงหน้าจะเคยคบกัน ต่อให้ไม่รู้ว่าเลิกกันด้วยเหตุผลอะไรและรู้แค่ว่าไม่ได้มีใจให้กันแล้ว
แต่พอได้เห็นและได้ยินทั้งคู่คุยกันตรงหน้าจริงๆ คิ้วพลันขมวดเข้าหากันเอง นอกจากนั้นคล้ายมีใครเอาหนามมาแทงที่หัวใจให้เป็นรูรั่วเล็กๆ
จนมีลมปล่อยออกมาทำให้หัวใจห่อเหี่ยวไปหมด กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนคาเรนกำลังโบกมืออยู่ตรงหน้าเขา
“คิดอะไรอยู่น่ะ”
“เปล่านี่”
“งั้นก็ไปเตรียมตัวกัน เราต้องทวนแผนกันอีกสักรอบก่อนลงแข่ง”
หลายวันมานี้คาเรนคนตรงหน้าในความคิดคอลินกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วถ้าเพียงแต่มีควิดดิชเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในบทสนทนา
เพียงแค่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องนอกเหนือจากควิดดิชล่ะก็กัปตันคนนี้แทบไม่พูดกับเขาเลย เด็กหนุ่มเหม่อมองโอลิเวอร์ที่เดินไกลออกไป
ทางสนามควิดดิชไม่ยอมเดินตามคาเรนไปสักที เธอหันกลับมาเท้าเอวมองคู่หูบีตเตอร์ เวลานี้โหมดกัปตันประทับร่างแบบเต็มตัว
ทำให้คอลินที่เห็นสายตาจริงจังเป็นต้องรีบจ้ำตามเธอไปโดยเร็ว -- เพราะเก็บความคับข้องใจเอาไว้ไม่อยู่เลยหลุดปากถามคาเรน
ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
“เธอยังชอบเขาอยู่รึเปล่า”
“หือ? หมายถึงใคร”
“โอลิเวอร์ วู้ด”
คาเรนหยุดชะงักกึกจนคอลินเกือบชนเข้ากับเธอเต็มๆ
“ไปได้ยินอะไรมา”
“ฉัน -- รู้แค่ว่าเธอกับเขาเคยคบกันมาก่อน...”
“ฉันไม่ได้ชอบเขา”
※
ควิดดิชกำลังจะเริ่มในอีกไม่กี่นาที คาเรนทวนเรื่องแผนกับปลุกใจมาเยอะพอแล้วเลยเปลี่ยนให้ลูกทีมได้ลุกขึ้นพูดให้กำลังใจ
เพื่อนในทีมบ้าง คนที่ดูเป็นการเป็นงานแต่ยังเต็มไปด้วยความสดใสหนีไม่พ้นจินนี่ที่ทำให้หนุ่มๆ ในทีมมีกำลังใจเพิ่มมาอีกเป็นกอง
คราวนี้ถึงตาคอลิน ถึงคนอื่นจะดูฮึกเหิมและลดความตึงเครียดไปบ้างแล้วทว่าคอลินกลับตกอยู่ในสถานะตรงกันข้าม
เขากำไม้ตีลูกบลัดเจอร์ในมือแน่นก่อนเงยหน้าสบตากับกัปตันที่ยืนเด่นอยู่หน้าห้องแล้วโพล่งออกมาด้วยความมั่นใจ “ฉันชอบเธอ คาเรน”
ไม่ใช่แค่คาเรนที่อึ้งแต่เป็นทั้งห้องที่ตกอยู่ในความเงียบ เริ่มมีเสียงดังขึ้นก็ต่อเมื่อสมาชิกในทีมต่างส่งเสียงผิวปากแซว
คอลินไม่สนใจใครเลยนอกจากคาเรนที่กะพริบตามองเขาราวกับอยากมองให้ทะลุเข้ามาข้างในตัว พอเห็นแววตาของเธอวูบไหว
ใจก็เกิดลังเล เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ แล้วเปิดปากพูดอีกครั้ง “ฉัน...ล้อเล่นน่ะ เพราะไม่อยากให้เครียดกัน เอาเป็นว่าฉันมั่นใจ
ว่าเราต้องชนะแน่! กริฟฟินดอร์จะต้องชนะ!”
ไม่มีใครฮึกเหิมไปพร้อมกับคอลินซ้ำยังแสดงสีหน้างุนงง ขณะที่คาเรนกลับคลี่ยิ้มพลางถอนหายใจแผ่วเบาที่อย่างน้อยตอนนี้
เธอก็ไม่ต้องมาจัดการกับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง
“ได้ยินกันแล้วใช่ไหม เพราะงั้นเลิกแซวกันสักที เราเล่นกันมามากพอแล้ว อย่างที่ฉันบอก ปีนี้ฮัฟเฟิลพัฟมีซีกเกอร์กับบีตเตอร์
คนใหม่แถมหวดบลัดเจอร์ได้แรงน่าดู จากแผนเมื่อปีกลายที่เขาเล่นกับบ้านเรา บีตเตอร์ฝั่งนั้นคิดจะเก็บเชสเซอร์ก่อนเป็นอันดับแรก
เพราะงั้นทุกคนระวังตัวให้ดีโดยเฉพาะเชสเซอร์” คาเรนกวาดสายตามองไล่ไปทีละคนยกเว้นคอลินที่ตอนนี้กำลังทำตัวให้ลีบเล็กลงที่สุด
เท่าที่จะเล็กได้ ยิ่งใจก็แทบหดเหลือเท่านิ้วก้อย
วิกเตอร์ น้องเล็กของทีมยกมือ “แล้วถ้าพวกนั้นเกิดเปลี่ยนแผนคิดจะเก็บบีตเตอร์ก่อนล่ะ”
“ถ้าเป็นงั้นก็ดี! จะได้ลองมาเจอกันหน่อย” คาเรนยิ้มมุมปากฟังเสียงชื่นชมของลูกทีม “ฟังนะทีมเราจะให้ใครเป็นอะไรไปไม่ได้
ระวังตัวเองด้วย ใครโดนจี้หรือโดนอีกฝั่งเล่นตุกติกใส่ ตะโกนบอกมาได้เลย ฉันจะจัดการส่งลูกบลัดเจอร์ไปให้ตัวการแบบงามๆ”
“ฉันด้วยๆ” เป็นครั้งแรกที่คอลินกระตือรือร้นยกมือหลังจากนั่งเงียบมาพักใหญ่
คาเรนพยักหน้าน้อยๆ “ใช่ เรียกคอลินก็ได้ เอาล่ะ โชคดีนะทุกคน”
ด้ามไม้กวาดทั้งเจ็ดถูกยื่นมาสุมกันตรงกลางวงล้อม พวกเขาตะโกนกริฟฟินดอร์สามครั้งก่อนก้าวออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
ด้วยความมั่นใจไปยืนรอตรงหน้าประตูที่กำลังจะเปิดออกสู่สนามควิดดิช
เสียงโห่เชียร์กริฟฟินดอร์กับฮัฟเฟิลพัฟดังกึกก้องสนามเมื่อนักกีฬาขี่ไม้กวาดพุ่งทะยานออกมาบินวนรอบสนามแข่ง
ช่วงเวลานั้นลูน่า เลิฟกู๊ด เป็นผู้บรรยายกำลังกล่าวเปิดเกมการแข่งขัน ข้างกันนั้นมีเฟร็ดกับจอร์จส่งเสียงตะโกนเชียร์กริฟฟินดอร์
จากอัฒจันทร์สำหรับคณะอาจารย์และผู้ปกครองซึ่งมีแค่เสียงสองคนนี้ที่ดังลั่นเข้ามาในไมค์ออกสู่ออกลำโพงจนหลายคนต้องยกมือปิดหู
สุดท้ายต้องถึงมือศาสตราจารย์มักกอนนากัลที่ปรามเสียงเข้ม “วีสลีย์!”
เกมควิดดิชเริ่มต้นขึ้นอย่างดุเดือดโดยเฉพาะกริฟฟินดอร์ที่มีทั้งแรงกายและกำลังใจเต็มเปี่ยมเป็นฝ่ายเล่นเกมรุก
จินนี่เอาสิบคะแนนแรกมาให้ทีมได้ภายในสามนาทีแรกและคอลินก็หวดลูกบลัดเจอร์ที่บ้าคลั่งไปโดนเชสเซอร์ฝั่งตรงข้ามร่วงจนต้องออก
จากเกมแข่งขันไปได้หนึ่งคน คาเรนขี่ไม้กวาดสวนทางไปหาคอลิน ตีไม้บลัดเจอร์กับไม้ของเขาแล้วยกนิ้วโป้งชื่นชมก่อนโฉบลงไปข้างล่าง
เพื่อช่วยโจซี่ที่กำลังถูกบลัดเจอร์ไล่ล่าอยู่ ทว่าเกิดเรื่องประหลาดขึ้นเมื่อบีตเตอร์หนุ่มจากฮัฟเฟิลพัฟพุ่งตัดหน้าคาเรนเข้าหาโจซี่
แล้วช่วยหวดบลัดเจอร์ออกไปให้พ้นทางแทน
เกมจบลงด้วยคะแนนสองร้อยยี่สิบต่อสี่สิบคะแนน กริฟฟินดอร์เป็นฝ่ายชนะแถมสมาชิกในทีมยังแข็งแรงดีครบทุกคน
อัฒจันทร์ฝั่งกริฟฟินดอร์มีเสียงร้องเชียร์สนั่น ทุกคนต่างวิ่งกรูกันลงมาหานักกีฬากลางสนาม พากันไปฉลองที่ห้องนั่งเล่นรวม
กริฟฟินดอร์ขณะที่โจซี่ยังยืนอ้อยอิ่งไม่ตามคนในทีมไป
คาเรนเหลียวกลับมามองหาเพื่อนสนิท เห็นโจซี่เดินไปหาบีตเตอร์คนที่ช่วยเธอเอาไว้เพื่อบอกขอบคุณ เด็กหนุ่มผมบลอนด์คนนั้น
ยิ้มกว้างพลางยกมือเกาท้ายทอยแก้เขินทำเอาคนมองดูอยู่ห่างๆ อย่างคาเรนอดอมยิ้มไม่ได้
“ยิ้มอะไร” โจซี่ถามหลังเดินกลับมาแล้วเห็นเพื่อนตัวเองยิ้มแบบไม่น่าไว้ใจ
“อีกหน่อยเธอคงหายช้ำใจเพราะเฟร็ดได้แล้วล่ะมั้ง”
“นี่ ฉันไม่ได้ตกหลุมรักคนที่ช่วยหวดบลัดเจอร์ไม่ให้มันตามฉันแค่ครั้งเดียวหรอกนะ” โจซี่วาดแขนกอดคออีกฝ่าย “ไปฉลองกัน”
ระหว่างที่ทีมควิดดิชบ้านสิงห์กับเด็กนักเรียนในบ้านกำลังฉลองด้วยบัตเตอร์เบียร์ลังใหญ่ที่ได้อภินันทนาการมาจากฝาแฝดวีสลีย์
อยู่นั้น กลับมีสมาชิกคนหนึ่งในทีมนั่งเซ็งอยู่ตรงม้านั่งข้างนอกหอคอยกริฟฟินดอร์และเฟร็ดกับจอร์จบังเอิญมาเจอพอดี
“เป็นอะไรไปฮึเจ้าหนูคอลิน วันนี้นายก็เล่นดีออกนี่นา ทำไมไม่อยู่ฉลองกับทีม” เฟร็ดถามพลางหย่อนก้นนั่งลงข้างคอลิน
ส่วนจอร์จนั่งขนาบอีกข้าง
คอลินถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ผมบอกชอบคาเรนไปแล้ว”
“เคราเมอร์ลิน” จอร์จอุทาน “แล้วคำตอบล่ะ”
“โธ่เอ๋ย จอร์จี้ ถ้าสมหวังป่านนี้คงยืนจูบกันฉลองที่แข่งชนะไปแล้ว”
จอร์จใช้สายตาตำหนิแฝดคนพี่แต่ไม่ได้สนใจนักเพราะคอลินที่นั่งอยู่ข้างกันน่าสนใจกว่า “ยังไม่ให้คำตอบเหมือนตอนที่เฟร็ด
สารภาพรักกับแคตี้หรือเปล่า”
เฟร็ดเลิกคิ้วจ้องอย่างเอาเรื่องแต่จอร์จกลับทำแค่ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก
“ของผมมันแย่กว่าอีก” คอลินโน้มตัววางศอกลงบนเข่าพลางยกมือทึ้งผมตัวเอง “ผมบอกชอบไปแล้วแต่ไม่รู้ผมเป็นบ้าอะไร
ถึงได้บอกต่อไปว่าล้อเล่นเพราะไม่อยากให้ทุกคนในทีมเครียดเรื่องแข่งควิดดิช”
ฝาแฝดวีสลีย์มีความเห็นตรงกันอยู่ในใจว่า ทำไมทึ่มอะไรอย่างงั้น?!
“แล้วตอนนั้นคาเรนมีปฏิกิริยากับคำพูดของนายยังไงก่อนที่นายจะบอกว่าล้อเล่น”
“ก็ดูอึ้งๆ แต่นอกเหนือจากนั้นผมอ่านใจเธอไม่ออก”
เฟร็ดตบบ่าแปะๆ “เอางี้ งั้นทำไมนายไม่ลองทำเหมือนว่านายกำลังสนใจผู้หญิงคนอื่นดูล่ะ เผื่อคาเรนจะเริ่มสนใจนายบ้าง”
“ไม่เอา” คอลินตอบทันควัน “ถ้าเกิดคาเรนเข้าใจผิดแล้วเธอไปคบกับคนอื่นผมก็แย่สิ”
“แต่ว่ากันตามตรง ถ้าคาเรนไม่ได้ชอบนายแล้วจะไปคบกับคนอื่นก็ไม่เกี่ยวกันซะหน่อยว่านายจะแกล้งทำเป็นคบกับใคร”
เฟร็ดพูดเรียบๆ
“จริงด้วย” แถมคอลินก็คล้อยตามไปง่ายๆ อีก!
จอร์จยิ้มแบบเหนื่อยใจจะเอายังไงกะเจ้าพวกนี้ดีโดยเฉพาะแฝดคนพี่ เขาจับมือเฟร็ดออกแล้ววางมือลงบนไหล่คอลินแทน
“เอาน่า ใช่ว่านายจะบอกชอบคาเรนได้ครั้งเดียวซะเมื่อไรกัน ตอนนี้นายก็แค่ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกนิด ใช่ นายต้องทำตัว
ให้เป็นผู้ใหญ่ -- จากที่ฉันเคยซ้อมควิดดิชกับคาเรนแล้วก็ได้คุยกันบ้างฉันว่าเธอน่าจะชอบคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจแล้วก็น่าจะชอบ
คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า ฉันรู้ว่านายแก่กว่าเธอปีนึง ไม่ใช่ว่าเป็นนายแล้วไม่ดีนะแต่มีความมั่นใจเดินหน้าจีบกว่านี้อีกนิดน่าจะดี
เมื่อตอนวันหยุดคริสต์มาสนายก็ทำคะแนนได้ไม่เลวเลยนี่”
“ใช่ เหมือนที่โอลิเวอร์เอาชนะใจคาเรนได้เพราะความเป็นผู้ใหญ่ของเขาไง”
จอร์จเหล่ตามองเฟร็ดจอมขี้แกล้งที่ยังโม้ต่อไปเรื่องโอลิเวอร์จนคนฟังอย่างคอลินเชื่อสนิทใจ
“ได้! ผมจะทำตัวให้ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้!”
※
ไม่รู้ว่าคอลินไปจำคำแนะนำจากฝาแฝดวีสลีย์มาอิท่าไหน คำว่าผู้ใหญ่ของเขาจึงเริ่มต้นด้วยการจิบกาแฟสุดขมยามเช้าที่เคย
ลิ้มลองหนึ่งครั้งถ้วนแล้วไม่แตะมันอีกเลย ทว่าตอนนี้มีตรรกะส่วนตัวว่าถ้าดื่มกาแฟแล้วจะดูเป็นผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นอีกสามสิบเท่า
เลยจะลองอีกสักตั้ง!
หลายวันมานี้เขาสังเกตดูเพื่อนรุ่นเดียวกันก็ได้ข้อสรุปว่าเพื่อนส่วนใหญ่ดื่มกาแฟตอนเช้าหรือแม้แต่คาเรนเองเขาก็เคยเห็นเธอดื่ม
อยู่บ่อยๆ -- ที่ห้องโถงใหญ่ ในแก้วตรงหน้าคอลินมีกาแฟสีเข้มกลิ่นหอมละมุน ควันสีขาวลอยเอื่อยๆ เขาประคองแก้วด้วยสองมือมาจรด
ริมฝีปากแล้วจิบเข้าไปหนึ่งอึก
เด็กหนุ่มหลับตาลงรับรสชาติ ทำหน้าเหมือนคนอมทุกข์ไม่ยอมกลืนกาแฟลงไป ทำไมรสชาติที่วัยผู้ใหญ่ชอบกันถึงได้ขมแบบนี้นะ!!
เพราะเมื่อคืนวานคาเรนไม่เห็นคอลินอยู่ในงานเลี้ยงฉลอง ในฐานะกัปตันเลยเป็นห่วงลูกทีมเป็นธรรมดาเลยกะจะมาถามไถ่...
ที่แน่ๆ จะไม่ถามย้อนไปถึงตอนที่เขาล้อเล่นว่าชอบเธอแน่นอน แต่พอมาถึงกลับเห็นเขาทำหน้าเหยเกเหมือนกินอะไรขมๆ
-- จะว่าไปกาแฟมันก็ขมจริงๆ นั่นแหละ
“มันแย่ขนาดนั้นแล้วจะฝืนดื่มไปทำไมกัน”
คอลินสำลักกาแฟพรวด รีบยกแขนเสื้อคลุมมาเช็ดปาก
“ฉัน...ฉันแค่ลองจิบดู
โตไปยังไงก็ต้องดื่มบ่อยๆ อยู่แล้ว สู้ชินซะตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า”
“รู้ไหม นายไม่จำเป็นต้องดื่มก็ได้ กาแฟมันไม่ใช่เครื่องหมายของวัยผู้ใหญ่ซะหน่อย มันก็แค่เครื่องดื่มแถมคนบางคนโตไปจนแก่
แต่ไม่ชอบกาแฟก็มี ปกตินายดื่มน้ำฟักทองใช่ไหมล่ะ”
“เธอรู้ได้ไง”
“ก็ฉันเห็น ครั้งแรกที่นายมาซ้อมควิดดิชก็ขอให้ฉันเอาน้ำฟักทองมาให้นาย”
“จำได้ด้วยหรือ”
คาเรนกะพริบตาปริบๆ “เรื่องของลูกทีมถ้าจำให้ได้เยอะที่สุดต่อให้ไม่เกี่ยวกับควิดดิชก็ยังดีกว่าไม่รู้จักนิสัยใจคอกันเลย จริงไหมล่ะ
-- นายชอบน้ำฟักทองก็ไม่เห็นมีใครมาบอกว่านายเป็นเด็กนี่” ว่าแล้วเธอก็หยิบเหยือกน้ำฟักทองมารินใส่แก้วเปล่าตรงหน้าตัวเอง
พลางเลื่อนให้เขา
“แล้วกาแฟแก้วนี้ น่าเสียดายออก”
“ฉันรับช่วงต่อเอง” คาเรนหยิบแก้วจากตรงหน้าคอลินมาวางไว้ข้างหน้าตัวเอง “ฉันจะดื่มกาแฟนี่แล้วก็ไปคิดแผนควิดดิชต่อ
อันที่จริงที่ฉันมานี่เพราะที่งานเลี้ยงเมื่อวานนายไม่ได้อยู่ด้วยก็เลยคิดว่าอาจมีเรื่องเครียดอะไรรึเปล่า แต่พอเห็นเรื่องที่นายเครียดคือกาแฟนี่
ก็สบายใจแล้ว”
คอลินสบตากับคาเรนได้ไม่ถึงสามวินาทีเป็นอันต้องหลบโดยไวก่อนยกแก้วขึ้นดื่มเพื่อปิดบังความอายที่ทำกับเธอไว้เมื่อวาน
ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ทันทีที่น้ำฟักทองรสหวานละมุนไหลลงคอ มุมปากมันก็ยิ้มได้เอง “ฉันรักน้ำฟักทอง”
ความเอ็นดูแสดงออกมาทางสายตาคาเรนขณะมองรุ่นพี่ที่ทำหน้าซาบซึ้งกับน้ำฟักทองราวกับเธอไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนเผลอพูด
สิ่งที่คิดอยู่ในหัวออกมา “ยังกับเด็กน้อย” เด็กสาวหลุดอมยิ้มแต่ก็หุบยิ้มแทบจะทันทีเพราะคอลินดันได้ยินแล้วมองมา เธอเกิดอาการเลิ่กลั่ก
มือที่จับแก้วกาแฟอยู่ยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวหมดก่อนลุกหนีไปแบบไม่เอ่ยคำลา...
※
- Talk -
เพราะปากไวไปหน่อยดันบอกว่าล้อเล่นซะได้ ไม่งั้นคงคุยกันรู้เรื่องไปแล้ว เอาไว้โอกาสหน้าถ้าฟ้าเป็นใจค่อยบอกใหม่นะคอลิน
-- ในส่วนของฝาแฝดผมแดงนั้นยังไงก็ยังคงเป็นแฝดจอมแสบอยู่วันยังค่ำต่อให้เรียนจบไปหลายปีดีดักแล้วก็ตาม อุตส่าห์โผล่มาทั้งที
ก็แกล้งน้องเรื่องโอลิเวอร์ได้หน้าตาเฉยแต่ตอนที่ดูควิดดิชจนโดนมักกอนนากัลดุนั่นก็แค่เลือดกริฟฟินดอร์มันแรงอะเนอะ
ฮาาาา >_<!
ความคิดเห็น