ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Harry Potter] Captain [Colin x OC] [END]

    ลำดับตอนที่ #10 : 10 ll The Knight Bus

    • อัปเดตล่าสุด 20 พ.ค. 64



    10


    The Knight Bus



     

    เพเนโลพีผู้เป็นพี่ยืนยิ้มกรุ้มกริ่มพิงกรอบประตูห้องของน้องสาวที่มัวแต่นั่งอมยิ้มให้กับลูกแก้วหิมะโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครมา


    “ถ้าคนให้รู้ว่าน้องสาวพี่ชอบขนาดนี้คงดีใจแย่”

              

              เจ้าของห้องสะดุ้งเฮือก หันขวับไปที่ประตู “พี่เพนนีเองหรือ!? โอย ตกใจหมด ปกติพี่ต้องเคาะประตูก่อนนี่นา”


           “โธ่เอ๊ยเด็กน้อยของพี่ เมื่อกี้พี่เคาะประตูตั้งสามครั้งนู่นแน่ะ เราเองต่างหากที่มัวแต่เหม่อ...มองลูกแก้วนั่นอยู่ได้ตั้งนานสองนาน”


           คาเรนเอียงตัวบังของบนโต๊ะช้าๆ “ก็แค่ลูกแก้วหิมะมันสวยแล้วก็เหมือนจริงมากจนไม่อยากละสายตาจากมันต่างหาก”


              เพเนโลพีพยักหน้าแบบไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไรแต่ในเมื่อน้องสาวยืนยันแบบนั้นก็จะยอมเชื่อก็แล้วกัน เธอเดินเข้ามาในห้อง 

    นั่งลงตรงขอบเตียงเอาศอกวางบนเข่าแล้วเท้าคางมอง “ที่ยิ้มไม่ใช่เพราะลูกแก้วนี่มาจากคนที่เพิ่งมาส่งเธอหรอกหรือ”


           “ไม่ใช่อยู่แล้ว ลูกแก้วหิมะสวยขนาดนี้ใครที่ได้ก็ต้องชอบกันทั้งนั้นแหละพี่ก็”


              “จะจริงเร้อ อยากรู้จริงว่าถ้าเปลี่ยนคนให้เป็นคาเมรอนน้องสาวพี่คนนี้จะนั่งยิ้มกับลูกแก้วหิมะนานขนาดนี้ไหม จะว่าไปมีหนุ่ม

    มาชอบน้องสาวพี่เหมือนกันนี่นา”


           “พูดอะไรของพี่น่ะ หนูไม่ได้คิดอะไร คอลินก็ไม่ได้จีบหนูด้วย”


           “เขาไม่ได้จีบ เธอก็ไม่ได้คิดอะไร แต่เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้เธอพักสมองไม่คิดเรื่องควิดดิชแล้วไปเที่ยวเชียวนา จะว่าไป

    โตแล้วก็ดูดีใช้ได้เลยนี่นา คอลิน ครีฟวีย์คนนั้นน่ะ เราไม่ได้คิดอะไรจริงหรือ”


           คาเรนทำปากขมุบขมิบไม่คิดว่าเพเนโลพีจะมุ่งมั่นเอาคำตอบขนาดนี้ “จริง ก็แค่อยู่ด้วยแล้ว...” เด็กสาวเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง

    ระหว่างที่ความทรงจำเกี่ยวกับคอลินผุดขึ้นมายังกับดอกเห็ด “สบายใจ”


              “สบายใจ สุขใจ หรือทั้งสองอย่าง เราคงลืมไปแล้วล่ะสิว่าชื่อคอลินน่ะ เธอเคยพูดให้พี่ฟังตั้งแต่เธออยู่ปีหนึ่งเรื่องเขากับกล้อง 

    แล้วปีนี้เธอคงจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเผลอเขียนบรรยายความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่ฮอกวอตส์มาให้พี่อ่านเมื่อตอนเปิดเทอมใหม่ๆ ว่า 

    พี่จำคอลินที่ฉันเล่าให้ฟังได้ไหม ตอนนี้เขาตัดผมสั้นแล้วดูดีมากเลยล่ะน่าแปลกที่คอลินเป็นหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่เธอมองเห็น

    ทั้งที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย แล้วไหนจะจดหมายฉบับอื่นที่มีชื่อเดียวกันโผล่มาให้เห็นบ่อยๆ ตอนแรกพี่ยังไม่แน่ใจว่าใช่

    คอลินคนเดียวกันหรือเปล่าแต่ตอนนี้พี่ว่าคงไม่มีคอลินคนอื่นอีกแล้วล่ะมั้ง”


           ยิ่งเพเนโลพีพูดออกมาแต่ละประโยคพลันทำให้คาเรนหน้าแดงก่ำราวกับมีเสียงฉ่าออกมาจากหน้าแล้วลมออกหูดังวี๊ด

    เหมือนกาต้มน้ำที่เดือดอยู่บนเตา “มีเรื่องอะไรแบบนั้นด้วยหรือ”


           คาเรนไม่เคยนึกถึงตรงนี้มาก่อน ที่ผ่านมาในความทรงจำเธอก็แค่ชื่นชมความมุ่งมั่นของคอลินที่นอกจากจะถ่ายรูปโลกเวทมนตร์

    กลับไปให้ที่บ้านดูก็อยากจะถ่ายรูปให้เก่ง เวลานั้นเธอเองก็อยากจะมุ่งมั่นตั้งใจให้ได้อย่างเขากับเรื่องควิดดิช จนถึงตอนนี้ก็ยังคิด

    เหมือนเดิม...หรือบางทีอาจเปลี่ยนไปกันนะ?


           “แสดงว่าไม่รู้ตัวเลยสิเนี่ย”


           “ถึงยังไงก็เหอะ คอลินไม่ได้ชอบหนูหรือคิดกับหนูมากไปกว่าเพื่อนร่วมทีม กัปตัน เพื่อนร่วมบ้านรึรุ่นน้องก็แค่นั้นแหละ”


           “แล้วเธอล่ะ ชอบเขารึเปล่า”


           “ชอบ...แต่ไม่ได้ชอบอย่างงั้น พี่อย่ามายิ้มกรุ้มกริ่มนะ หนูแค่ชอบที่เขามีความมุ่งมั่นดี ควิดดิชก็เล่นได้ไม่เลวด้วย -- จริงๆ นะ”


           ยิ่งย้ำก็ยิ่งเหมือนแก้ตัว ยิ่งปฏิเสธก็เหมือนยิ่งเป็นการยอมรับเข้าไปทุกที คาเรนไม่เคยคิดเรื่องคอลินแบบจริงจังมาก่อน

    กระทั่งถูกพี่สาวตัวเองต้อนจนมุม ไม่กล้าสบตาคนถามอีกเลย


           เพเนโลพีลุกมาหาน้องสาวที่เบือนหน้าหนีก่อนยกนิ้วชี้จิ้มแก้มด้วยความเอ็นดู “ชอบเขาแล้วล่ะสิ”



           บ่ายวันคริสต์มาสอบอุ่นสบายภายในห้องนั่งเล่นที่มีเตาผิง ทุกอย่างเงียบสงบ มีเพียงเสียงคนร้องเพลงอยู่แว่วๆ จากนอกบ้าน

    กระทั่งเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นมาดึงความสนใจจากสองพี่น้องเคลียร์วอเทอร์ที่อยู่กับบ้าน


           เพเนโลพีอยู่ใกล้กว่าเลยลุกขึ้นรับสายแต่แล้วก็หันมาหาน้องสาวพลางยื่นหูโทรศัพท์ให้


           “มีคนอยากคุยด้วยแน่ะ”


              คาเรนที่กำลังนอนคว่ำเขียนกลยุทธ์ควิดดิชยันตัวลุกขึ้นรับโทรศัพท์มาแนบหูอย่างงงๆ ก่อนนึกขึ้นได้ว่าตัวเองได้ให้เบอร์โทรศัพท์

    กับใครไป พี่เพนนีไม่น่าพูดเรื่องคอลินเลย! เธอนึกบ่นพี่สาวอยู่ในใจ -- เพราะเมื่อคืนนี้แท้ๆ เลยเชียว แค่ได้ยินเสียงจากปลายสายที่ทักมา

    ก็ทำเอาใจสั่น ทำอะไรไม่ถูกเพราะตื่นเต้นเกินไปจนเผลอวางสายไปทั้งที่ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ


           เพเนโลพีเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่คำถามนี้ก็ต้องเป็นปริศนาต่อไปเพราะคาเรนเก็บของหนีขึ้นห้องนอนไปแล้ว


           ความงงงวยไม่ได้เกิดขึ้นกับเพเนโลพีฝ่ายเดียว ทางฝั่งบ้านครีฟวีย์ที่กว่าจะรวบรวมความกล้ากดโทรหาปลายสายต่างก็งงไม่แพ้กัน


           เดนนิสจ้องพี่ชายตาใสขณะรอฟังผล “อะไร นิ่งทำไมล่ะพี่คอลิน หรือว่าคาเรนบอกชอบพี่”


           “มองดูเหมือนพี่เป็นคนสมหวังในรักหรือไง คาเรนตัดสายพี่ไปแล้ว วางไปเฉยเลย”


           เย็นในวันเดียวกันแทบทุกบ้านต่างมีงานเลี้ยงฉลองคริสต์มาส บ้านเคลียร์วอเทอร์ก็เช่นกัน คาเรนกำลังเดินลงบันไดตามเสียงเรียก

    ของแม่แต่เพราะมัวแต่เหม่อลอย คิดอะไรเพลินอยู่ในภวังค์ไม่ทันมองขั้นบันไดเลยพลัดตกไปนั่งแปะอยู่กับพื้น -- เพเนโลพีรีบวิ่งมาดู

    เพราะเสียงโครมคราม รีบพยุงคาเรนให้นั่งพักบนขั้นบันไดแล้วดูอาการ ท้ายที่สุดคืนนั้นคาเรนต้องอยู่ฉลองเทศกาลพร้อมกับเฝือกที่ข้อเท้า


              วันหยุดใกล้หมดลงทุกวินาที แต่คาเรนก็ยังคงแก้กลยุทธ์ควิดดิชซ้ำแล้วซ้ำอีกกระทั่งวันสุดท้ายก่อนเปิดเทอม ต่อให้จริงจัง

    มากแค่ไหนแต่ตาเจ้ากรรมดันชอบเหล่ไปมองลูกแก้วหิมะบนโต๊ะทุกทีไปจนหงุดหงิดที่ตัวเองไม่มีสมาธิเอาซะเลย จะลุกออกไปเดินเล่น

    ชมวิวนอกบ้านแก้ฟุ้งซ่านก็ทำไมได้เพราะสภาพข้อเท้าไม่อำนวย เธอฟุบกับโต๊ะอย่างอับจนหนทาง ทำไมถึงต้องคิดถึงเขาอยู่เรื่อยเลยนะ!!  


           ราวกับเมอร์ลินจงใจอยากปั่นหัวเธอเล่น ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะก็พอดีเห็นคอลินเดินเข้ามาในซอยจากหัวมุมถนนตรงมายัง

    บ้านของเธอ -- แทบไม่มีเวลาให้คิด คาเรนลุกพรวดขึ้นคว้าไม้พยุงตัวรีบเดินกะโผลกกะเผลกไปห้องนอนเพเนโลพีที่อยู่ติดกัน


           “ออกจากห้องมาได้ซะทีนะน้องพี่ มีอะไรหรือ”


           “คอลิน”


           “หือ? นึกยังไงถึงอยากมาคุยกับพี่เรื่องคอลิน”


           “ไม่ใช่มาปรึกษา แต่ตอนนี้คอลินเดินกำลังมาบ้านนี้ หนูเห็นเขา”


           เพเนโลพีลุกไปดูที่หน้าต่าง “แล้วยังไง”


           “หนูไม่รู้ว่าเขามาทำไม แต่ถ้าเขามาหาหนูพี่ช่วยบอกว่าหนูไม่อยู่บ้านทีนะ”


           “ทำไมพี่ต้องโกหกเขาด้วย”


           “หนูยังไม่พร้อมเจอหน้าเขาตอนนี้ ไม่ใช่อย่างที่พี่คิด อย่าเพิ่งยิ้ม หนูแค่ไม่ว่างคุยด้วยเพราะในหัวมีแผนควิดดิชอยู่เต็มไปหมดแล้ว”


           มุมปากเพเนโลพีกระตุกยิ้ม พยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจพอดีกับเสียงกริ่งที่ดังมาถึงในห้อง เธอผละออกจากหน้าต่าง ตบบ่าน้องสาว

    แล้วผ่านไปที่ประตู ลงไปชั้นล่างขณะที่คาเรนพาตัวเองไปเกาะขอบหน้าต่างดูสถานการณ์ข้างล่าง อยู่ดีๆ คอลินเกิดถอยหลังแหงนหน้าขึ้น

    มองชั้นสองของบ้านทำเอาคาเรนที่แอบดูอยู่ก้มตัวหลบแทบไม่ทัน ได้แต่ภาวนาขอให้เขาไม่ทันเห็น


           “หวัดดีจ้ะ คอลิน” เพเนโลพีเอ่ยทักทายเสียงใส “มาหาคาเรนหรือ”


           คอลินละสายตาจากหน้าต่างห้องที่รู้สึกเหมือนเห็นอะไรแว่บๆ มามองหญิงสาวตรงหน้าที่ต่างจากน้องสาวก็แค่ผมที่ยาวกว่า 

    “ครับ เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ผมโทรมาอยู่ดีๆ คาเรนก็ตัดสายผมแล้วไม่ยอมรับสายอีกเลย ผมเลยเป็นห่วงกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรหรือปล่า”


           ได้ยินอย่างนั้นรอยยิ้มใจดีก็ผุดขึ้นที่หน้าเพเนโลพี 


           “คาเรนสบายดี พี่คิดว่านะ แต่เห็นทีเธอจะมาเสียเที่ยวแล้วสิ วันนี้คาเรนไม่อยู่บ้านจ้ะ”


           อ้าว เรามาเสียเที่ยวหรอกรึเนี่ย... “ถ้างั้นผมขอตัว...”


           “เดี๋ยวก่อน คอลิน”


           “ครับ?”


           “คือว่า...เปล่าจ้ะ ช่างมันเถอะ” เพเนโลพียิ้มแบบเกรงใจ


           “มีอะไรหรือเปล่าครับ”


           “จะว่ามีก็ได้ แต่ว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคาเรนหรอกนะ เกี่ยวกับวีสลีย์น่ะ” เพเนโลพีตอบพลางถอนหายใจที่หลุดปากบอกไปจนได้ 

    ที่บอกคอลินเพราะสมัยเรียนอยู่ฮอกวอตส์เธอเคยเห็นเขาอยู่กับพวกวีสลีย์บ่อยๆ


           “อ้อ มีอะไรหรือครับ เผื่อผมตอบได้”


           “เกี่ยวกับเพอร์ซี่น่ะ เธอพอจะได้ข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเขาบ้างไหม”


           คอลินยืนนึกย้อนความจำอย่างสุดความสามารถ เขาสนิทกับฝาแฝดวีสลีย์ก็จริงแต่กับเพอร์ซี่นั้นแทบไม่มีความทรงจำอะไร

    ร่วมกันเลย “จะว่าไปก็มีอยู่เรื่องนึงครับ แต่ไม่ถึงกับเป็นข่าวคราวใหญ่โตอะไร ผมบังเอิญเจอเฟร็ดกับจอร์จที่งานเทศกาลเมื่อคริสต์มาสอีฟ

    ที่ผ่านมา พวกเขาไปแสดงเวทมนตร์ที่อ้างว่าเป็นการเล่นกลให้พวกมักเกิ้ลดูเพราะเล่นที่บ้านแล้วโดนเพอร์ซี่ดุว่าพวกเขาเอาแต่เล่นพิเรนทร์

    จุดดอกไม้ไฟไปทั่วบ้านจนบ้านเละก็เลยหนีออกมาเล่นที่งานเทศกาลแทนแถมยังได้รายได้พิเศษเล็กๆน้อยๆ ด้วย แต่เห็นว่าถึงเพอร์ซี่จะบ่น

    แต่สุดท้ายเขาก็ช่วยเฟร็ดกับจอร์จเก็บกวาดบ้านอยู่ดี”


           เพเนโลพียิ้มน้อยๆ ได้ยินแค่นี้เธอก็พอใจแล้ว “เพอร์ซี่ก็ยังคงเป็นเพอร์ซี่สินะ -- ขอบใจที่เล่าให้ฟังนะ แล้วก็เสียใจด้วยที่วันนี้คาเรน

    ไม่อยู่”


           “ไม่เป็นไรครับ แค่รู้ว่าเธอไม่เป็นอะไรผมก็ค่อยโล่งใจหน่อย ฝากบอกขอบคุณคาเรนด้วยเรื่องของขวัญคริสต์มาส ผมชอบมากเลย”


           “คาเรนกลับมาแล้วจะบอกให้นะ -- จะว่าไปพรุ่งนี้ก็ต้องไปฮอกวอตส์แล้วสิเนอะ”


           “ครับ”


           “ถ้าเปิดเทอมนี้ได้นั่งรถเมล์อัศวินราตรีไปลงสถานีรถไฟคิงส์ครอสก็ไม่เลวหรอกนะ” เธอพูดลอยๆ เหมือนไม่ได้สลักสำคัญอะไร

    ก่อนขยิบตาให้อย่างจงใจแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจสิ่งที่เธออยากบอกหรือเปล่า


            

              คืนนั้นคอลินเล่าเรื่องที่เพเนโลพีบอกให้เดนนิสฟัง มือก็เก็บของใส่หีบสำหรับเดินทางกลับฮอกวอตส์พรุ่งนี้จนมาหยุดอยู่กับ

    อัลบั้มรูปปกหนังอย่างดีสีน้ำตาลที่ความพิเศษคือมีลายเส้นวาดขึ้นมาตกแต่งหน้าอัลบั้มเองได้ตามแต่ใจเจ้าของอัลบั้มจะนึก

    ซึ่งได้มาเป็นของขวัญจากคาเรน แค่นึกถึงคนให้เขาก็ยิ้มจนตาแทบปิดแล้ว

                

              หลังจากเงียบไปครู่นึงเดนนิสก็กลิ้งมาหยุดตรงท้ายเตียงส่งรูปคาเรนกับพี่ชายไปเที่ยวด้วยกันคืนให้

                

              “พี่สาวคาเรนต้องหมายความว่าคาเรนจะขึ้นรถเมล์อัศวินราตรีแน่ๆ”


           “คิดงั้นหรือ”


           “แล้วจะให้คิดยังไง พี่เพเนโลพีคงไม่คิดอยากให้พี่มีประสบการณ์ขึ้นรถเมล์อัศวินราตรีครั้งแรกเฉยๆ หรอกมั้ง” เดนนิสดูอีกรูป

    ที่เหลืออยู่ในมือ เป็นรูปรอยรองเท้าคู่กันฝังอยู่ในหิมะ “คาเรนรู้หรือเปล่าเนี่ยว่าพี่ถ่ายรูปนี้มา”


           “ไม่รู้” คอลินยื่นมือมาคว้าไปเก็บใส่อัลบั้ม คิดว่าเอายังไงดีกับเช้าวันพรุ่งนี้ “นายอยากลองขึ้นรถเมล์อัศวินราตรีดูไหม เดนนิส”


           “บางคนก็ว่ามันสนุกแต่บางคนก็บอกว่ามันน่ากลัว แต่เพื่อความรักของพี่ชายล่ะก็ฉันยอมขึ้นรถเมล์อัศวินราตรีแล้วคิดว่า

    มันต้องสนุกก็ได้” เดนนิสยิ้มแฉ่ง ยกศอกดันหลังแซวคอลินก่อนโดนหมอนฟาดหน้ากลับมาเต็มๆ คนน้องลุกขึ้นฟาดกลับจนกลายเป็น

    สงครามหมอนก่อนนอน



           เช้าวันรุ่งขึ้นสองพี่น้องครีฟวีย์ยืนเคียงกันตรงหน้าบ้านพร้อมกับหีบใส่ของด้วยความตื่นเต้น


           “ปลอดคนแล้ว” เดนนิสกระซิบ คอลินพยักหน้ารับ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางโบกไม้กายสิทธิ์เรียกรถเมล์อัศวินราตรี

    แบบที่ไม่แน่ใจนักว่าจะได้ผลไหม


           ผ่านไปหนึ่งนาทีเต็มกับความว่างเปล่า มีเพียงสายลมอันหนาวเหน็บที่พัดมาปะทะหน้า ไม่มีรถเมล์ ไม่มีสัญญาณอะไรทั้งสิ้น 

    ขณะที่สองพี่น้องตัดใจคิดว่าเรียกไม่สำเร็จจนคิดจะกลับเข้าบ้านไปขอให้พ่อขับรถไปส่งที่สถานีรถไฟ จู่ๆ ก็มีเสียงแตรรถดังลั่นขึ้น

    จนแทบจะปลุกคนได้ทั้งหมู่บ้าน ทว่ารอบข้างยังปกติทุกอย่างยกเว้นก็แต่คอลินกับเดนนิสที่อ้าปากค้าง จ้องรถโดยสารสามชั้นสีม่วงบาดตา

    ที่แล่นเข้ามาราวกับจะพุ่งเข้าชน


           ถึงจะตื่นตระหนกแต่คอลินก็เอาตัวเองเข้ามาบังน้องชายไว้ตามสัญชาตญาณ ต่อให้กลัวจนหลับตาปี๋แต่ก็นึกคาถาที่พอจะช่วย

    ให้รถหยุดไปด้วย เสียงเบรกดังเอี๊ยดไม่ได้ช่วยให้ความกลัวลดลง กว่าเด็กหนุ่มสองคนจะกล้าลืมตาก็ตอนที่มีเสียงร่าเริงเอ่ยทักทาย


              “สวัสดี! นายสองคนคงไม่ได้ตั้งใจเรียกเรามาเล่นๆ หรอกใช่ไหม”


              คอลินหรี่ตาขึ้นมอง เห็นกระเป๋ารถตัวสูงชะลูด มีหูกางใหญ่สะดุดตาและมีสิวประปรายกระโดดลงมาจากรถ เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบ

    สีม่วงยืนเท้าเอวมอง เหนือร่างเขาขึ้นไปบนกระจกหน้ารถมีตัวหนังสือสีทองเขียนว่า รถเมล์อัศวินราตรี


           “นี่ฉันเรียกมาได้จริงหรือเนี่ย”


              กระเป๋ารถขมวดคิ้วมองท่าทีของผู้โดยสารก่อนยืดตัวขึ้นปรับลุคให้อยู่ในมาดเป็นทางการ “ขอต้อนรับสู่รถเมล์อัศวินราตรี! 

    พาหนะสำหรับแม่มดและพ่อมดพเนจร ผมชื่อสแตน ชันไพก์ ผมเป็นกระเป๋ารถเที่ยวเช้าวันนี้” เมื่อจบการแนะนำแบบจริงจังเขาก็ฉีกยิ้ม 

    “และตอนนี้ก็ง่วงมากด้วย ทางที่ดีพวกนายรีบขึ้นมาจะดีกว่า ว่าแต่นายจะไปไหนกันล่ะ”


           สแตนถามคอลินหลังจากยกหีบสัมภาระมาไว้บนรถตามหลังผู้โดยสารที่ยังตื่นเต้นกับรถโดยสารที่ไม่เคยเห็นมาก่อน


           “สถานีคิงส์ครอสครับ”


              “อ๋อ ฮอกวอตส์ล่ะสิ ฉันไม่น่าถามเล้ย -- ได้ยินไหมเอิร์น ผู้โดยสารสองคนนี้จะไปสถานีคิงส์ครอส ทีนี้เราก็มีพ่อมดแม่มดตัวจิ๋ว

    จากฮอกวอตส์ตั้งสามคนอยู่บนรถแน่ะ!” สแตนบอกกับพ่อมดสูงวัยที่เป็นคนขับรถแล้วหันกลับมาหาคอลินใหม่ “ช็อกโกแลตร้อนไหม 

    บวกอีกแค่สามซิกเกิ้ล”


           “ไม่ครับ ขอบคุณ”

               

              โอกาสพิเศษแบบนี้คอลินไม่พลาดที่จะยกกล้องออกมาเก็บภาพทุกอย่างไว้อย่างเริงร่า รถเมล์อัศจรรย์คันนี้ไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง 

    มีก็แต่เตียงที่ส่วนโครงทำด้วยทองเหลืองหกเตียงตั้งเรียงอยู่ข้างหน้าต่างชั้นล่างสุด มีผู้โดยสารจับจองไปแล้วสามเตียง มีเสียงกรน

    ของพ่อมดแม่มดที่กำลังหลับใหล ยกเว้นก็แต่เด็กสาวที่จ้องเขาตาเขม็งแทบทะลุเลนส์กล้อง

                

              คอลินพอเดาได้อยู่แล้วว่าคาเรนจะขึ้นรถมาด้วยเลยโบกมือทักทายขณะที่อีกฝ่ายยังจ้องกลับมาอย่างตกตะลึงไม่เลิก 

    มือที่ถือสมุดจดแผนควิดดิชยกค้างอยู่อย่างนั้น


           สแตนก้มลงกระซิบกับคอลินเพราะไม่อยากรบกวนผู้โดยสารคนอื่น “ดูเหมือนนายสองคนจะรู้จักกันดีนะ”


           “ครับ”


              “แจ๋ว” สแตนดันหีบของคอลินไว้ใต้เตียงที่ว่างติดกับคาเรน ส่วนเดนนิสได้เลือกเตียงให้ตัวเองไปก่อนแล้วและกำลังนั่งทดสอบ

    ความนุ่มของเตียงอยู่ “ออกรถเล้ย เอิร์น!


           คอลินเคยได้ยินแต่ฝาแฝดวีสลีย์เล่าให้ฟังว่ามันสนุกมากตอนได้ขึ้นรถเมล์อัศวินราตรี แต่ต้องขึ้นตอนท้องว่างเท่านั้น 

    เขาไม่เคยเข้าใจเลยจนกระทั่งรถออกตัวกระชากพุ่งไปข้างหน้าเตียงเลื่อนเอี๊ยดอ๊าดพาให้สองพี่น้องที่ไม่มีประสบการณ์ไถลไปตามแรง

    โดยเฉพาะเดนนิสที่เอนตัวนอนไปแล้วกลิ้งตกเตียง ส่วนคอลินยังโชคดีหน่อยที่ล้มหน้าคว่ำลงบนเตียงนุ่มๆ


           “เป็นไรไหม” คาเรนถามมาจากเตียงของเธอ


              “ไม่เป็นไร!” เดนนิสรีบตอบแทน “สบายมาก!” แล้วปีนกลับขึ้นมาบนเตียงใหม่


           คอลินพลิกตัวกลับมานั่งท่าปกติ คราวนี้มือกำผ้าคลุมเตียงเอาไว้แน่น มองดูคาเรนด้วยความพิศวงงงงวยว่าเหตุใดเธอถึงยังนั่ง

    ได้ปกติไม่กลิ้งตกลงไปอย่างเขาบ้าง -- อันที่จริงเห็นทีจะมีแต่ครีฟวีย์สองคนบนรถเท่านั้นที่กลิ้งกลุกๆ ไม่เป็นท่า...


           สแตนนั่งลงบนเก้าอี้นวมข้างๆ ตัวที่เออร์นี่ คนขับรถนั่งอยู่ มองผู้โดยสารคนใหม่อย่างพออกพอใจ 

         

           “พนันได้เลยว่านายเพิ่งเคยขึ้นครั้งแรก”


           “ครับ”


           “วิเศษไปเลยใช่ไหมล่ะ รถคันนี้น่ะ”


           “จะว่ายังงั้นก็ได้...”


           สแตนพยักหน้าพอใจกับคำตอบก่อนดีดตัวลุกขึ้นไปยังบันไดเวียนแคบๆ ทำด้วยไม้ตรงท้ายรถแล้วหายลับขึ้นไปบนนั้น 


              รถเมล์อัศวินราตรีพุ่งตรงไปตามถนนสายหลักเพื่อเข้าไปในเมือง ผ่านรถราหลายต่อหลายคันโดยไม่สนว่าการจราจรจะติดแค่ไหน

    เพราะดูเหมือนรถคันนี้จะลัดเลาะหรือบีบอัดตัวเองให้ผ่านช่องว่างแคบๆ ไปได้เสมอแบบไม่ชนอะไรเลย


           “ถึงแล้วจ้า เตรียมตัวให้พร้อมนะ” สแตนกลับลงมายืนข้างล่าง พูดอย่างร่าเริงกับแม่มดสูงวัยคนหนึ่งที่เขาเพิ่งไปปลุกหล่อนลงมา


           เอิร์นกระแทกเท้าเหยียบเบรกแบบไม่บอกไม่กล่าว เตียงทุกเตียงพุ่งไถลมาด้านหน้ารถราวๆ หนึ่งฟุต คราวนี้ทั้งคอลินกับเดนนิส

    ไม่รอดสักคน ทั้งคู่กลิ้งตกพื้นไปอยู่อีกฝั่งของเตียงและกลับมาทรงตัวได้ใหม่ตอนรถแล่นออกอีกหนมุ่งหน้าไปยังสถานีคิงส์ครอส


              คอลินหน้ามุ่ยใส่คาเรนที่พอเห็นหน้าเขาก็แค่ทักทายมาประโยคเดียวด้วยการถามว่า เป็นไรไหม’ ก้มหน้าเขียนกลยุทธ์ควิดดิชต่อ 

    แล้วมาตอนนี้ยังกะพริบตาปริบๆ ใส่ “ขี้โกงนี่ ทำไมไม่บอกกันบ้างว่ารถมันจะกระชากแรงขนาดนี้ แถมยังมานั่งอมยิ้มอีก”


           ราวกับคาเรนเพิ่งรู้ตัวว่าอมยิ้มอยู่ เธอหุบยิ้มลงทันควัน “ก็แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่านายไม่เคยขึ้นรถเมล์อัศวินราตรี ฉันขึ้นครั้งนี้

    เป็นหนที่หกได้แล้วมั้ง”


           “ทำไมบ่อยจังล่ะ ที่บ้านเธอไม่ว่าง -- โทษทีนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้เธอรู้สึกไม่ดี...” คอลินหลบตาอย่างรู้สึกผิด เหล่มองเดนนิส

    ที่อยู่บนเตียงฝั่งตรงข้าม กำลังพยายามหาท่าที่นอนแล้วจะไม่กลิ้งตกลงมาอีกราวกับอยากเอาชนะทั้งรถทั้งเตียงจะได้รู้สึกคุ้มกับเหรียญเงิน

    ค่าโดยสารที่เสียไปหน่อย  


           “คิดมากไปได้” คาเรนพูดแบบไม่คิดอะไรมาก “ไม่เกี่ยวกับว่าที่บ้านจะว่างไปส่งหรือไม่ว่างไปส่งซะหน่อย ยังไงฉันก็มีพี่เพนนีนี่นะ 

    ฉันเองต่างหากที่บอกที่บ้านเองว่าอยากขึ้นรถเมล์ มันสนุกดีออก แค่ตอนที่นายขึ้นมาจนถึงเมื่อกี้ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้แล้วว่ามันสนุกแค่ไหน”


           คอลินหน้าแดง “ฉันไม่ใช่ตัวตลกนะ”


           “รู้ว่านายไม่ใช่ แต่ที่ฉันเห็นก็แค่...ความบันเทิงเล็กๆ น้อยๆ” เด็กสาวยิ้มยียวน ทว่าคอลินไม่รู้สึกโกรธสักนิดซ้ำยังโล่งใจที่เห็นเธอพูด

    กับเขาปกติแล้ว ไม่ได้นั่งเงียบเหมือนตอนแรก


              คอลินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีของอยากเอาออกมาอวด ไม้กวาดไฟร์โบลต์ที่มีตำหนิรอยขีดข่วนเล็กน้อยแต่ก็นับว่าสภาพยังดูใหม่อยู่

    ถูกดึงออกมาจากใต้เตียงโชว์ให้คาเรนดู


           “ไม้กวาดนี่เคยเป็นของแฮร์รี่พอตเตอร์ เห็นว่าเขาไปซื้อไม้กวาดด้ามใหม่มาใช้ ที่จริงด้ามนี้เขากะจะให้แฟน...จินนี่น่ะ แต่จินนี่ได้

    ม้กวาดด้ามใหม่เอี่ยมเป็นของขวัญจากเฟร็ดกับจอร์จไปแล้ว แฮร์รี่ก็เลยยกให้ฉันแทนตอนที่รู้ว่าฉันยืมไม้กวาดของโรงเรียนมาใช้ตอนแข่ง”  


              “เจ๋ง! ฉันก็ใช้ไฟร์โบลต์เหมือนกัน ถ้าเป็นแบบนี้ฉันค่อยวางใจหน่อยว่าอย่างน้อยนายก็หนีบลัดเจอร์ได้ทันถ้าถูกมันไล่ขึ้นมาจริงๆ” 

    คาเรนตื่นเต้นกับข่าวใหม่นี้มากเพราะเธอเคยและยังกังวลอยู่จนถึงทุกวันนี้ที่คอลินใช้ไม้กวาดของโรงเรียนที่บางทีเอาแน่เอานอน

    ไม่ค่อยได้แล้ว -- ด้วยความดีใจที่มากเกินไปนั่นเองเลยทำให้ผ้าคลุมบนตักที่ยาวคลุมถึงเท้าร่วงลงไปกองกับพื้น


           คอลินสังเกตเห็นว่าข้อเท้าเธอมีผ้าพันอยู่แทบจะทันที คาเรนรับรู้ถึงสายตานั้นและไม่อยากให้เขาเห็นเลยเอาเท้าหลบแต่ไม่ทันแล้ว

    จึงพยายามเบี่ยงเบนสายตาคอลินที่จ้องไม่หยุดด้วยการยื่นสมุดจดแผนควิดดิชไปตรงหน้าเขาเพื่อขอคำปรึกษา


           ใครจะไปคิดว่าที่คาเรนทำนั้นไม่ต่างอะไรกับการทำร้ายตัวเอง คอลินเขยิบเข้าหาเธอเพื่อจะปรึกษาหารือกันแบบจริงจัง 

    แต่แบบนี้มันใกล้มาก ใกล้เกินไป ใกล้จนใจสั่นไปหมด ความผิดนี้เธอยกให้พี่เพเนโลพีไปคนเดียวเต็มๆ เพราะถ้าพี่สาวไม่เค้นถาม

    แล้วเอาแต่พูดเรื่องคอลินกับเธอช่วงสองสามวันมานี้ก็คงไม่ต้องมาคิดมาก ป่านนี้เธอคงสุมหัวคุยเรื่องควิดดิชหรือไม่ก็เรื่องปิดเทอม

    อย่างสบายใจไปแล้ว ชั่วขณะหนึ่งเธอเผลอปล่อยใจมองคอลินจนเหม่อลอยแต่แล้วก็เรียกสติตัวเองกลับมาได้ เธอดึงสมุดกลับคืนมา

    พร้อมเอนตัวออกห่างจากเขา -- ถ้าคอลินไม่ได้คิดอะไรกับเธอมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง ขณะที่เธอเองปล่อยใจไปแล้วเขาเกิดรู้ขึ้นมามีหวัง

    คงเข้าหน้ากันไม่ติดแน่ แล้วคนที่จะซวยก็คือสมาชิกที่เหลือในทีมกับนักเรียนกริฟฟินดอร์ที่ฝากความหวังให้กับทีมบ้านตัวเอง


           “ฉันคิดวิธีแก้ได้แล้ว ขอบคุณนะ นายช่วยได้มากเลย”  


           “ฉันยังไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะ -- นี่คาเรน”


           “หือ?” เธอส่งเสียงในลำคอ ก้มหน้าจ้องสมุดไม่ยอมมองคนถาม


           “ฉันจะไม่ถามเธอว่าข้อเท้าไปโดนอะไรมาถ้าเธอยากไม่อยากตอบ แต่อีกนานไหมกว่าข้อเท้าเธอจะหาย”


           “ไม่นานหรอกสองสามวันก็หายแล้ว กลับไปเล่นควิดดิชได้แน่ แต่ต่อจากนี้ขอฉันนั่งคิดเงียบๆ คนเดียวหน่อยนะ”


           คอลินพยักหน้าเข้าใจพลางคิดว่าวันนี้คาเรนดูแปลกไปจริงๆ จนต้องมานั่งคิดว่าตัวเองไปทำอะไรให้เจ้าตัวไม่พอใจหรือเปล่า


           คาเรนในเวลานี้ไม่มีสมาธิเอาซะเลย ทั้งที่ตอนขึ้นรถมาก็ยังดีอยู่แท้ๆ พอมีคอลินมานั่งจ้องสมาธิมันหายไปไหนหมดนะ 

    จนแล้วจนรอดตลอดการเดินทางก็ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยสักนิดเดียว


           นั่งมองงี้จะไปคิดออกได้ยังไงกันเล่า?!


              “ถึงสถานีคิงส์ครอสแล้วจ้า!” สแตนบอกอย่างร่าเริงพอดีกับที่เอิร์นเหยียบเบรกแบบไม่บอกกล่าวทำเอาคาเรนหน้าทิ่มเกือบกลิ้งตก

    จากเตียงไปแล้วถ้าไม่ได้คอลินยื่นมือมารับแขนเธอเอาไว้ สแตนหมุนตัวกลับมาดูผู้โดยสารที่ยังไม่มีใครลุกออกไปสักคน 

    “พวกนายเล่นอะไรกันอยู่น่ะ”


           เดนนิสผุดลุกขึ้นจากเตียง ก้มตัวดึงหีบที่ใต้เตียงแล้วลงจากรถไปคนแรกตามด้วยคอลินที่ลงไปตามคำบอกของคาเรน

    แบบไม่เต็มใจนัก


           เพราะข้อเท้าคาเรนยังไม่หายดีเลยกะจะให้สองพี่น้องได้ลงไปก่อน พอเหลือเธอคนเดียวถึงลุกขึ้น...ฉับพลันนั้นอาการเจ็บแปลบ

    แล่นจากข้อเท้าลามไปทั่วร่าง ร่างเธอทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น เอามือกุมเท้า อุทานออกมาเบาๆ แต่หน้าเหยเกไปแล้ว เธอพยายาม

    พยุงตัวเองอีกครั้งแต่ไม่คิดว่าคอลินจะเห็นหมดทุกอย่าง เขาโหนราวเหล็กชะโงกหน้าดูหวังจะขึ้นมาช่วยแต่ถูกตัดหน้าไปโดยสแตน 

    เดนนิสแทรกตัวเบียดคอลินที่ยืนค้างเติ่งอยู่ตรงประตูรถขึ้นไปช่วยถือสัมภาระทั้งหมดของคาเรนลงมาให้แล้วเอาไปไว้ด้วยกัน

    กับรถเข็นตัวเองที่ถึงจะมีหีบของคอลินรวมอยู่ด้วยแล้วก็ยังเหลือที่ว่างอยู่ดี


           “ฉันช่วยถือกระเป๋าไปให้”


           “ขอบคุณนะ” คาเรนกำลังจะก้าวลงบันไดแต่คอลินยังคงยืนขวางเอาไว้ เขาหันหลังพลางย่อตัวลงแล้วเหลียวกลับมามอง


           “ขี่หลังฉันมาได้เลย ถึงจะไม่สนุกเท่านั่งรถเมล์อัศวินราตรีแต่เธอจะถึงรถไฟด่วนฮอกวอตส์โดยสวัสดิภาพแน่นอน”


           สแตนกระแอม “ฉันไม่รู้ว่าพวกเธองอนอะไรกันหรอกนะถึงได้นั่งเงียบมาตลอดทาง แต่ถ้าไม่อยากตกรถไฟฉันแนะนำให้เธอ

    รีบเกาะหลังแฟนตอนนี้เลย”


              คาเรนมองสแตนตาขวาง นอกจากเขาจะเข้าใจผิดว่างอนกันยังไม่พอ ยังเข้าใจไปไกลว่าคบกันแล้วด้วย!


           คอลินหันกลับไปมองทางข้างหน้าทั้งที่ยังย่อตัวรออยู่ทว่าใบหูขึ้นสีแดงลามไปยันแก้มราวกับกินของเผ็ด สแตนไม่สนใจสายตาดุดัน

    จากคาเรนหรืออาการเขินจนหน้าแดงของคอลิน เวลาของเขาเป็นเงินเป็นทองเพราะยังมีพ่อมดแม่มดอีกหลายชีวิตที่มีปลายทางรออยู่ 

    เขาพยุงคาเรนแม้ว่าเธอทำท่าเหมือนจะคัดค้าน และเพราะไม่ทันระวังนั่นเองทำให้เหยียบพลาดแต่สุดท้ายก็มีแผ่นหลังคอลินที่รับไว้ได้

    พอดิบพอดี คาเรนเลยไม่เป็นอะไรไปมากกว่าเขินจนอยากดีดตัวออกแล้ววิ่งเข้าไปในชานชาลา ติดอยู่นิดเดียว...ตรงที่เธอวิ่งไม่ได้นี่แหละ


           “โอเคไหม” คอลินเหลียวกลับมามองคนข้างหลัง “ฉันจะเดินไปแล้วนะ”


           คาเรนเอามือยันแก้มรุ่นพี่ให้หันกลับไปทางเดิม “ฮื่อ แล้วก็อย่าหันมาอีกนะ”


           “งั้นก็เรียบร้อย” สแตนตบมือ โบกมือให้เด็กทั้งสามอย่างร่าเริง กระโดดขึ้นรถเมล์ก่อนที่รถจะออกตัวพุ่งไปเร็วจนมองแทบไม่ทัน


           ลำพังแค่อยู่ในสถานีคิงส์ครอสคาเรนยังพอทนสายตาจากพวกมักเกิ้ลได้เพราะไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกันอยู่แล้ว แต่ทันทีที่เข้าไป

    ในชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่ก็เป็นอันเตรียมรอรับความดังได้เลย เริ่มตั้งแต่วิกเตอร์ ซีกเกอร์ของทีมกริฟฟินดอร์ที่เริ่มต้นแซว 

    แล้วต่อด้วยจิมมี่ เชสเซอร์ของทีมกับไนเจลที่เป็นคีปเปอร์ผิวปากแซวกัปตันกับคู่หูบีตเตอร์ของเธอ


              “ไปคบกันตอนไหนน่ะ” โจซี่แหวกหนุ่มๆ สามคนมาถามเพื่อนสนิทที่แทบจะฝังหน้าลงกับหลังคอลินไปแล้ว “ยินดีด้วยนะ!


              “ไม่เอาน่า ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจกัน” คอลินบอกพลางเดินหน้าต่อไปยังรถไฟเพื่อส่งคาเรนให้ถึงที่จะได้ไม่ต้องเบียดกับฝูงชนที่ยืนอยู่

    เต็มชานชาลา “กัปตันของเราเจ็บข้อเท้าต่างหาก


           “ของเรา?” วิกเตอร์เลิกคิ้ว แล้วหรี่ตาอย่างมีเลศนัย “หรือของนายคนเดียวกันแน่” เสียงแซวดังขึ้นไม่หยุดทำเอาคาเรนถึงกับกลอกตา


           “ถ้าไม่เลิกแซวละก็ฉันจะเรียกซ้อมควิดดิชทุกวันวันละสี่ชั่วโมง” คำขู่จากกัปตันนั้นได้ผลชะงัดนัก ทุกคนปิดปากตัวเองสนิท 

    “ขอบคุณนะคอลิน แต่ตอนนี้ปล่อยให้ฉันลงดีกว่า ฉันยังพอเดินเองได้”


           “ให้ฉันไปส่งเธอถึงที่นั่งเถอะ คงไม่มีใครแซวเราไปมากกว่านี้อีกแล้ว ตอนอยู่บนรถที่เธอทรุดลงไปนั่งนั่นน่าจะเจ็บน่าดูเลยนะ 

    หรือเธอจะเถียง?”


           “มันก็เจ็บจริงๆ นั่นแหละ...ก็ได้” คาเรนพูดเสียงอ่อยก่อนดันหน้าคอลินที่หันมาใกล้เกินไปให้กลับไปมองข้างหน้าอีกหน 

    “แต่นายช่วยเข้าใจหน่อยได้ไหม บอกว่าอย่าหันมา...มันใกล้เกินไป”


      

     

    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×