คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : 10 ll The Knight Bus
10
The Knight
Bus
เพเนโลพีผู้เป็นพี่ยืนยิ้มกรุ้มกริ่มพิงกรอบประตูห้องของน้องสาวที่มัวแต่นั่งอมยิ้มให้กับลูกแก้วหิมะโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครมา
“ถ้าคนให้รู้ว่าน้องสาวพี่ชอบขนาดนี้คงดีใจแย่”
เจ้าของห้องสะดุ้งเฮือก หันขวับไปที่ประตู “พี่เพนนีเองหรือ!? โอย ตกใจหมด ปกติพี่ต้องเคาะประตูก่อนนี่นา”
“โธ่เอ๊ยเด็กน้อยของพี่ เมื่อกี้พี่เคาะประตูตั้งสามครั้งนู่นแน่ะ เราเองต่างหากที่มัวแต่เหม่อ...มองลูกแก้วนั่นอยู่ได้ตั้งนานสองนาน”
คาเรนเอียงตัวบังของบนโต๊ะช้าๆ “ก็แค่ลูกแก้วหิมะมันสวยแล้วก็เหมือนจริงมากจนไม่อยากละสายตาจากมันต่างหาก”
เพเนโลพีพยักหน้าแบบไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไรแต่ในเมื่อน้องสาวยืนยันแบบนั้นก็จะยอมเชื่อก็แล้วกัน เธอเดินเข้ามาในห้อง
นั่งลงตรงขอบเตียงเอาศอกวางบนเข่าแล้วเท้าคางมอง “ที่ยิ้มไม่ใช่เพราะลูกแก้วนี่มาจากคนที่เพิ่งมาส่งเธอหรอกหรือ”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว ลูกแก้วหิมะสวยขนาดนี้ใครที่ได้ก็ต้องชอบกันทั้งนั้นแหละพี่ก็”
“จะจริงเร้อ อยากรู้จริงว่าถ้าเปลี่ยนคนให้เป็นคาเมรอนน้องสาวพี่คนนี้จะนั่งยิ้มกับลูกแก้วหิมะนานขนาดนี้ไหม จะว่าไปมีหนุ่ม
มาชอบน้องสาวพี่เหมือนกันนี่นา”
“พูดอะไรของพี่น่ะ หนูไม่ได้คิดอะไร คอลินก็ไม่ได้จีบหนูด้วย”
“เขาไม่ได้จีบ เธอก็ไม่ได้คิดอะไร แต่เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้เธอพักสมองไม่คิดเรื่องควิดดิชแล้วไปเที่ยวเชียวนา จะว่าไป
โตแล้วก็ดูดีใช้ได้เลยนี่นา คอลิน ครีฟวีย์คนนั้นน่ะ เราไม่ได้คิดอะไรจริงหรือ”
คาเรนทำปากขมุบขมิบไม่คิดว่าเพเนโลพีจะมุ่งมั่นเอาคำตอบขนาดนี้ “จริง ก็แค่อยู่ด้วยแล้ว...” เด็กสาวเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง
ระหว่างที่ความทรงจำเกี่ยวกับคอลินผุดขึ้นมายังกับดอกเห็ด “สบายใจ”
“สบายใจ สุขใจ หรือทั้งสองอย่าง เราคงลืมไปแล้วล่ะสิว่าชื่อคอลินน่ะ เธอเคยพูดให้พี่ฟังตั้งแต่เธออยู่ปีหนึ่งเรื่องเขากับกล้อง
แล้วปีนี้เธอคงจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเผลอเขียนบรรยายความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่ฮอกวอตส์มาให้พี่อ่านเมื่อตอนเปิดเทอมใหม่ๆ ว่า
‘พี่จำคอลินที่ฉันเล่าให้ฟังได้ไหม ตอนนี้เขาตัดผมสั้นแล้วดูดีมากเลยล่ะ ’ น่าแปลกที่คอลินเป็นหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่เธอมองเห็น
ทั้งที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย แล้วไหนจะจดหมายฉบับอื่นที่มีชื่อเดียวกันโผล่มาให้เห็นบ่อยๆ ตอนแรกพี่ยังไม่แน่ใจว่าใช่
คอลินคนเดียวกันหรือเปล่าแต่ตอนนี้พี่ว่าคงไม่มีคอลินคนอื่นอีกแล้วล่ะมั้ง”
ยิ่งเพเนโลพีพูดออกมาแต่ละประโยคพลันทำให้คาเรนหน้าแดงก่ำราวกับมีเสียงฉ่าออกมาจากหน้าแล้วลมออกหูดังวี๊ด
เหมือนกาต้มน้ำที่เดือดอยู่บนเตา “มีเรื่องอะไรแบบนั้นด้วยหรือ”
คาเรนไม่เคยนึกถึงตรงนี้มาก่อน ที่ผ่านมาในความทรงจำเธอก็แค่ชื่นชมความมุ่งมั่นของคอลินที่นอกจากจะถ่ายรูปโลกเวทมนตร์
กลับไปให้ที่บ้านดูก็อยากจะถ่ายรูปให้เก่ง เวลานั้นเธอเองก็อยากจะมุ่งมั่นตั้งใจให้ได้อย่างเขากับเรื่องควิดดิช จนถึงตอนนี้ก็ยังคิด
เหมือนเดิม...หรือบางทีอาจเปลี่ยนไปกันนะ?
“แสดงว่าไม่รู้ตัวเลยสิเนี่ย”
“ถึงยังไงก็เหอะ คอลินไม่ได้ชอบหนูหรือคิดกับหนูมากไปกว่าเพื่อนร่วมทีม กัปตัน เพื่อนร่วมบ้านรึรุ่นน้องก็แค่นั้นแหละ”
“แล้วเธอล่ะ ชอบเขารึเปล่า”
“ชอบ...แต่ไม่ได้ชอบอย่างงั้น พี่อย่ามายิ้มกรุ้มกริ่มนะ หนูแค่ชอบที่เขามีความมุ่งมั่นดี ควิดดิชก็เล่นได้ไม่เลวด้วย -- จริงๆ นะ”
ยิ่งย้ำก็ยิ่งเหมือนแก้ตัว ยิ่งปฏิเสธก็เหมือนยิ่งเป็นการยอมรับเข้าไปทุกที คาเรนไม่เคยคิดเรื่องคอลินแบบจริงจังมาก่อน
กระทั่งถูกพี่สาวตัวเองต้อนจนมุม ไม่กล้าสบตาคนถามอีกเลย
เพเนโลพีลุกมาหาน้องสาวที่เบือนหน้าหนีก่อนยกนิ้วชี้จิ้มแก้มด้วยความเอ็นดู “ชอบเขาแล้วล่ะสิ”
※
บ่ายวันคริสต์มาสอบอุ่นสบายภายในห้องนั่งเล่นที่มีเตาผิง ทุกอย่างเงียบสงบ มีเพียงเสียงคนร้องเพลงอยู่แว่วๆ จากนอกบ้าน
กระทั่งเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นมาดึงความสนใจจากสองพี่น้องเคลียร์วอเทอร์ที่อยู่กับบ้าน
เพเนโลพีอยู่ใกล้กว่าเลยลุกขึ้นรับสายแต่แล้วก็หันมาหาน้องสาวพลางยื่นหูโทรศัพท์ให้
“มีคนอยากคุยด้วยแน่ะ”
คาเรนที่กำลังนอนคว่ำเขียนกลยุทธ์ควิดดิชยันตัวลุกขึ้นรับโทรศัพท์มาแนบหูอย่างงงๆ ก่อนนึกขึ้นได้ว่าตัวเองได้ให้เบอร์โทรศัพท์
กับใครไป พี่เพนนีไม่น่าพูดเรื่องคอลินเลย! เธอนึกบ่นพี่สาวอยู่ในใจ -- เพราะเมื่อคืนนี้แท้ๆ เลยเชียว แค่ได้ยินเสียงจากปลายสายที่ทักมา
ก็ทำเอาใจสั่น ทำอะไรไม่ถูกเพราะตื่นเต้นเกินไปจนเผลอวางสายไปทั้งที่ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ
เพเนโลพีเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่คำถามนี้ก็ต้องเป็นปริศนาต่อไปเพราะคาเรนเก็บของหนีขึ้นห้องนอนไปแล้ว
ความงงงวยไม่ได้เกิดขึ้นกับเพเนโลพีฝ่ายเดียว ทางฝั่งบ้านครีฟวีย์ที่กว่าจะรวบรวมความกล้ากดโทรหาปลายสายต่างก็งงไม่แพ้กัน
เดนนิสจ้องพี่ชายตาใสขณะรอฟังผล “อะไร นิ่งทำไมล่ะพี่คอลิน หรือว่าคาเรนบอกชอบพี่”
“มองดูเหมือนพี่เป็นคนสมหวังในรักหรือไง คาเรนตัดสายพี่ไปแล้ว วางไปเฉยเลย”
เย็นในวันเดียวกันแทบทุกบ้านต่างมีงานเลี้ยงฉลองคริสต์มาส บ้านเคลียร์วอเทอร์ก็เช่นกัน คาเรนกำลังเดินลงบันไดตามเสียงเรียก
ของแม่แต่เพราะมัวแต่เหม่อลอย คิดอะไรเพลินอยู่ในภวังค์ไม่ทันมองขั้นบันไดเลยพลัดตกไปนั่งแปะอยู่กับพื้น -- เพเนโลพีรีบวิ่งมาดู
เพราะเสียงโครมคราม รีบพยุงคาเรนให้นั่งพักบนขั้นบันไดแล้วดูอาการ ท้ายที่สุดคืนนั้นคาเรนต้องอยู่ฉลองเทศกาลพร้อมกับเฝือกที่ข้อเท้า
วันหยุดใกล้หมดลงทุกวินาที แต่คาเรนก็ยังคงแก้กลยุทธ์ควิดดิชซ้ำแล้วซ้ำอีกกระทั่งวันสุดท้ายก่อนเปิดเทอม ต่อให้จริงจัง
มากแค่ไหนแต่ตาเจ้ากรรมดันชอบเหล่ไปมองลูกแก้วหิมะบนโต๊ะทุกทีไปจนหงุดหงิดที่ตัวเองไม่มีสมาธิเอาซะเลย จะลุกออกไปเดินเล่น
ชมวิวนอกบ้านแก้ฟุ้งซ่านก็ทำไมได้เพราะสภาพข้อเท้าไม่อำนวย เธอฟุบกับโต๊ะอย่างอับจนหนทาง ทำไมถึงต้องคิดถึงเขาอยู่เรื่อยเลยนะ!!
ราวกับเมอร์ลินจงใจอยากปั่นหัวเธอเล่น ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะก็พอดีเห็นคอลินเดินเข้ามาในซอยจากหัวมุมถนนตรงมายัง
บ้านของเธอ -- แทบไม่มีเวลาให้คิด คาเรนลุกพรวดขึ้นคว้าไม้พยุงตัวรีบเดินกะโผลกกะเผลกไปห้องนอนเพเนโลพีที่อยู่ติดกัน
“ออกจากห้องมาได้ซะทีนะน้องพี่ มีอะไรหรือ”
“คอลิน”
“หือ? นึกยังไงถึงอยากมาคุยกับพี่เรื่องคอลิน”
“ไม่ใช่มาปรึกษา แต่ตอนนี้คอลินเดินกำลังมาบ้านนี้ หนูเห็นเขา”
เพเนโลพีลุกไปดูที่หน้าต่าง “แล้วยังไง”
“หนูไม่รู้ว่าเขามาทำไม แต่ถ้าเขามาหาหนูพี่ช่วยบอกว่าหนูไม่อยู่บ้านทีนะ”
“ทำไมพี่ต้องโกหกเขาด้วย”
“หนูยังไม่พร้อมเจอหน้าเขาตอนนี้ ไม่ใช่อย่างที่พี่คิด อย่าเพิ่งยิ้ม หนูแค่ไม่ว่างคุยด้วยเพราะในหัวมีแผนควิดดิชอยู่เต็มไปหมดแล้ว”
มุมปากเพเนโลพีกระตุกยิ้ม พยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจพอดีกับเสียงกริ่งที่ดังมาถึงในห้อง เธอผละออกจากหน้าต่าง ตบบ่าน้องสาว
แล้วผ่านไปที่ประตู ลงไปชั้นล่างขณะที่คาเรนพาตัวเองไปเกาะขอบหน้าต่างดูสถานการณ์ข้างล่าง อยู่ดีๆ คอลินเกิดถอยหลังแหงนหน้าขึ้น
มองชั้นสองของบ้านทำเอาคาเรนที่แอบดูอยู่ก้มตัวหลบแทบไม่ทัน ได้แต่ภาวนาขอให้เขาไม่ทันเห็น
“หวัดดีจ้ะ คอลิน” เพเนโลพีเอ่ยทักทายเสียงใส “มาหาคาเรนหรือ”
คอลินละสายตาจากหน้าต่างห้องที่รู้สึกเหมือนเห็นอะไรแว่บๆ มามองหญิงสาวตรงหน้าที่ต่างจากน้องสาวก็แค่ผมที่ยาวกว่า
“ครับ เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ผมโทรมาอยู่ดีๆ คาเรนก็ตัดสายผมแล้วไม่ยอมรับสายอีกเลย ผมเลยเป็นห่วงกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรหรือปล่า”
ได้ยินอย่างนั้นรอยยิ้มใจดีก็ผุดขึ้นที่หน้าเพเนโลพี
“คาเรนสบายดี พี่คิดว่านะ แต่เห็นทีเธอจะมาเสียเที่ยวแล้วสิ วันนี้คาเรนไม่อยู่บ้านจ้ะ”
อ้าว เรามาเสียเที่ยวหรอกรึเนี่ย... “ถ้างั้นผมขอตัว...”
“เดี๋ยวก่อน คอลิน”
“ครับ?”
“คือว่า...เปล่าจ้ะ ช่างมันเถอะ” เพเนโลพียิ้มแบบเกรงใจ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“จะว่ามีก็ได้ แต่ว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคาเรนหรอกนะ เกี่ยวกับวีสลีย์น่ะ” เพเนโลพีตอบพลางถอนหายใจที่หลุดปากบอกไปจนได้
ที่บอกคอลินเพราะสมัยเรียนอยู่ฮอกวอตส์เธอเคยเห็นเขาอยู่กับพวกวีสลีย์บ่อยๆ
“อ้อ มีอะไรหรือครับ เผื่อผมตอบได้”
“เกี่ยวกับเพอร์ซี่น่ะ เธอพอจะได้ข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเขาบ้างไหม”
คอลินยืนนึกย้อนความจำอย่างสุดความสามารถ เขาสนิทกับฝาแฝดวีสลีย์ก็จริงแต่กับเพอร์ซี่นั้นแทบไม่มีความทรงจำอะไร
ร่วมกันเลย “จะว่าไปก็มีอยู่เรื่องนึงครับ แต่ไม่ถึงกับเป็นข่าวคราวใหญ่โตอะไร ผมบังเอิญเจอเฟร็ดกับจอร์จที่งานเทศกาลเมื่อคริสต์มาสอีฟ
ที่ผ่านมา พวกเขาไปแสดงเวทมนตร์ที่อ้างว่าเป็นการเล่นกลให้พวกมักเกิ้ลดูเพราะเล่นที่บ้านแล้วโดนเพอร์ซี่ดุว่าพวกเขาเอาแต่เล่นพิเรนทร์
จุดดอกไม้ไฟไปทั่วบ้านจนบ้านเละก็เลยหนีออกมาเล่นที่งานเทศกาลแทนแถมยังได้รายได้พิเศษเล็กๆน้อยๆ ด้วย แต่เห็นว่าถึงเพอร์ซี่จะบ่น
แต่สุดท้ายเขาก็ช่วยเฟร็ดกับจอร์จเก็บกวาดบ้านอยู่ดี”
เพเนโลพียิ้มน้อยๆ ได้ยินแค่นี้เธอก็พอใจแล้ว “เพอร์ซี่ก็ยังคงเป็นเพอร์ซี่สินะ -- ขอบใจที่เล่าให้ฟังนะ แล้วก็เสียใจด้วยที่วันนี้คาเรน
ไม่อยู่”
“ไม่เป็นไรครับ แค่รู้ว่าเธอไม่เป็นอะไรผมก็ค่อยโล่งใจหน่อย ฝากบอกขอบคุณคาเรนด้วยเรื่องของขวัญคริสต์มาส ผมชอบมากเลย”
“คาเรนกลับมาแล้วจะบอกให้นะ -- จะว่าไปพรุ่งนี้ก็ต้องไปฮอกวอตส์แล้วสิเนอะ”
“ครับ”
“ถ้าเปิดเทอมนี้ได้นั่งรถเมล์อัศวินราตรีไปลงสถานีรถไฟคิงส์ครอสก็ไม่เลวหรอกนะ” เธอพูดลอยๆ เหมือนไม่ได้สลักสำคัญอะไร
ก่อนขยิบตาให้อย่างจงใจแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจสิ่งที่เธออยากบอกหรือเปล่า
※
คืนนั้นคอลินเล่าเรื่องที่เพเนโลพีบอกให้เดนนิสฟัง มือก็เก็บของใส่หีบสำหรับเดินทางกลับฮอกวอตส์พรุ่งนี้จนมาหยุดอยู่กับ
อัลบั้มรูปปกหนังอย่างดีสีน้ำตาลที่ความพิเศษคือมีลายเส้นวาดขึ้นมาตกแต่งหน้าอัลบั้มเองได้ตามแต่ใจเจ้าของอัลบั้มจะนึก
ซึ่งได้มาเป็นของขวัญจากคาเรน
แค่นึกถึงคนให้เขาก็ยิ้มจนตาแทบปิดแล้ว
หลังจากเงียบไปครู่นึงเดนนิสก็กลิ้งมาหยุดตรงท้ายเตียงส่งรูปคาเรนกับพี่ชายไปเที่ยวด้วยกันคืนให้
“พี่สาวคาเรนต้องหมายความว่าคาเรนจะขึ้นรถเมล์อัศวินราตรีแน่ๆ”
“คิดงั้นหรือ”
“แล้วจะให้คิดยังไง พี่เพเนโลพีคงไม่คิดอยากให้พี่มีประสบการณ์ขึ้นรถเมล์อัศวินราตรีครั้งแรกเฉยๆ หรอกมั้ง” เดนนิสดูอีกรูป
ที่เหลืออยู่ในมือ เป็นรูปรอยรองเท้าคู่กันฝังอยู่ในหิมะ “คาเรนรู้หรือเปล่าเนี่ยว่าพี่ถ่ายรูปนี้มา”
“ไม่รู้” คอลินยื่นมือมาคว้าไปเก็บใส่อัลบั้ม คิดว่าเอายังไงดีกับเช้าวันพรุ่งนี้ “นายอยากลองขึ้นรถเมล์อัศวินราตรีดูไหม เดนนิส”
“บางคนก็ว่ามันสนุกแต่บางคนก็บอกว่ามันน่ากลัว แต่เพื่อความรักของพี่ชายล่ะก็ฉันยอมขึ้นรถเมล์อัศวินราตรีแล้วคิดว่า
มันต้องสนุกก็ได้” เดนนิสยิ้มแฉ่ง ยกศอกดันหลังแซวคอลินก่อนโดนหมอนฟาดหน้ากลับมาเต็มๆ คนน้องลุกขึ้นฟาดกลับจนกลายเป็น
สงครามหมอนก่อนนอน
※
เช้าวันรุ่งขึ้นสองพี่น้องครีฟวีย์ยืนเคียงกันตรงหน้าบ้านพร้อมกับหีบใส่ของด้วยความตื่นเต้น
“ปลอดคนแล้ว” เดนนิสกระซิบ คอลินพยักหน้ารับ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางโบกไม้กายสิทธิ์เรียกรถเมล์อัศวินราตรี
แบบที่ไม่แน่ใจนักว่าจะได้ผลไหม
ผ่านไปหนึ่งนาทีเต็มกับความว่างเปล่า มีเพียงสายลมอันหนาวเหน็บที่พัดมาปะทะหน้า ไม่มีรถเมล์ ไม่มีสัญญาณอะไรทั้งสิ้น
ขณะที่สองพี่น้องตัดใจคิดว่าเรียกไม่สำเร็จจนคิดจะกลับเข้าบ้านไปขอให้พ่อขับรถไปส่งที่สถานีรถไฟ จู่ๆ ก็มีเสียงแตรรถดังลั่นขึ้น
จนแทบจะปลุกคนได้ทั้งหมู่บ้าน ทว่ารอบข้างยังปกติทุกอย่างยกเว้นก็แต่คอลินกับเดนนิสที่อ้าปากค้าง จ้องรถโดยสารสามชั้นสีม่วงบาดตา
ที่แล่นเข้ามาราวกับจะพุ่งเข้าชน
ถึงจะตื่นตระหนกแต่คอลินก็เอาตัวเองเข้ามาบังน้องชายไว้ตามสัญชาตญาณ ต่อให้กลัวจนหลับตาปี๋แต่ก็นึกคาถาที่พอจะช่วย
ให้รถหยุดไปด้วย เสียงเบรกดังเอี๊ยดไม่ได้ช่วยให้ความกลัวลดลง กว่าเด็กหนุ่มสองคนจะกล้าลืมตาก็ตอนที่มีเสียงร่าเริงเอ่ยทักทาย
“สวัสดี! นายสองคนคงไม่ได้ตั้งใจเรียกเรามาเล่นๆ หรอกใช่ไหม”
คอลินหรี่ตาขึ้นมอง เห็นกระเป๋ารถตัวสูงชะลูด มีหูกางใหญ่สะดุดตาและมีสิวประปรายกระโดดลงมาจากรถ เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบ
สีม่วงยืนเท้าเอวมอง เหนือร่างเขาขึ้นไปบนกระจกหน้ารถมีตัวหนังสือสีทองเขียนว่า ‘ รถเมล์อัศวินราตรี ’
“นี่ฉันเรียกมาได้จริงหรือเนี่ย”
กระเป๋ารถขมวดคิ้วมองท่าทีของผู้โดยสารก่อนยืดตัวขึ้นปรับลุคให้อยู่ในมาดเป็นทางการ “ขอต้อนรับสู่รถเมล์อัศวินราตรี!
พาหนะสำหรับแม่มดและพ่อมดพเนจร ผมชื่อสแตน ชันไพก์ ผมเป็นกระเป๋ารถเที่ยวเช้าวันนี้” เมื่อจบการแนะนำแบบจริงจังเขาก็ฉีกยิ้ม
“และตอนนี้ก็ง่วงมากด้วย ทางที่ดีพวกนายรีบขึ้นมาจะดีกว่า ว่าแต่นายจะไปไหนกันล่ะ”
สแตนถามคอลินหลังจากยกหีบสัมภาระมาไว้บนรถตามหลังผู้โดยสารที่ยังตื่นเต้นกับรถโดยสารที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“สถานีคิงส์ครอสครับ”
“อ๋อ ฮอกวอตส์ล่ะสิ ฉันไม่น่าถามเล้ย -- ได้ยินไหมเอิร์น ผู้โดยสารสองคนนี้จะไปสถานีคิงส์ครอส ทีนี้เราก็มีพ่อมดแม่มดตัวจิ๋ว
จากฮอกวอตส์ตั้งสามคนอยู่บนรถแน่ะ!” สแตนบอกกับพ่อมดสูงวัยที่เป็นคนขับรถแล้วหันกลับมาหาคอลินใหม่ “ช็อกโกแลตร้อนไหม
บวกอีกแค่สามซิกเกิ้ล”
“ไม่ครับ ขอบคุณ”
โอกาสพิเศษแบบนี้คอลินไม่พลาดที่จะยกกล้องออกมาเก็บภาพทุกอย่างไว้อย่างเริงร่า รถเมล์อัศจรรย์คันนี้ไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง
มีก็แต่เตียงที่ส่วนโครงทำด้วยทองเหลืองหกเตียงตั้งเรียงอยู่ข้างหน้าต่างชั้นล่างสุด มีผู้โดยสารจับจองไปแล้วสามเตียง มีเสียงกรน
ของพ่อมดแม่มดที่กำลังหลับใหล
ยกเว้นก็แต่เด็กสาวที่จ้องเขาตาเขม็งแทบทะลุเลนส์กล้อง
คอลินพอเดาได้อยู่แล้วว่าคาเรนจะขึ้นรถมาด้วยเลยโบกมือทักทายขณะที่อีกฝ่ายยังจ้องกลับมาอย่างตกตะลึงไม่เลิก
มือที่ถือสมุดจดแผนควิดดิชยกค้างอยู่อย่างนั้น
สแตนก้มลงกระซิบกับคอลินเพราะไม่อยากรบกวนผู้โดยสารคนอื่น “ดูเหมือนนายสองคนจะรู้จักกันดีนะ”
“ครับ”
“แจ๋ว” สแตนดันหีบของคอลินไว้ใต้เตียงที่ว่างติดกับคาเรน ส่วนเดนนิสได้เลือกเตียงให้ตัวเองไปก่อนแล้วและกำลังนั่งทดสอบ
ความนุ่มของเตียงอยู่ “ออกรถเล้ย เอิร์น!”
คอลินเคยได้ยินแต่ฝาแฝดวีสลีย์เล่าให้ฟังว่ามันสนุกมากตอนได้ขึ้นรถเมล์อัศวินราตรี แต่ต้องขึ้นตอนท้องว่างเท่านั้น
เขาไม่เคยเข้าใจเลยจนกระทั่งรถออกตัวกระชากพุ่งไปข้างหน้าเตียงเลื่อนเอี๊ยดอ๊าดพาให้สองพี่น้องที่ไม่มีประสบการณ์ไถลไปตามแรง
โดยเฉพาะเดนนิสที่เอนตัวนอนไปแล้วกลิ้งตกเตียง ส่วนคอลินยังโชคดีหน่อยที่ล้มหน้าคว่ำลงบนเตียงนุ่มๆ
“เป็นไรไหม” คาเรนถามมาจากเตียงของเธอ
“ไม่เป็นไร!” เดนนิสรีบตอบแทน “สบายมาก!” แล้วปีนกลับขึ้นมาบนเตียงใหม่
คอลินพลิกตัวกลับมานั่งท่าปกติ คราวนี้มือกำผ้าคลุมเตียงเอาไว้แน่น มองดูคาเรนด้วยความพิศวงงงงวยว่าเหตุใดเธอถึงยังนั่ง
ได้ปกติไม่กลิ้งตกลงไปอย่างเขาบ้าง -- อันที่จริงเห็นทีจะมีแต่ครีฟวีย์สองคนบนรถเท่านั้นที่กลิ้งกลุกๆ ไม่เป็นท่า...
สแตนนั่งลงบนเก้าอี้นวมข้างๆ ตัวที่เออร์นี่ คนขับรถนั่งอยู่ มองผู้โดยสารคนใหม่อย่างพออกพอใจ
“พนันได้เลยว่านายเพิ่งเคยขึ้นครั้งแรก”
“ครับ”
“วิเศษไปเลยใช่ไหมล่ะ รถคันนี้น่ะ”
“จะว่ายังงั้นก็ได้...”
สแตนพยักหน้าพอใจกับคำตอบก่อนดีดตัวลุกขึ้นไปยังบันไดเวียนแคบๆ ทำด้วยไม้ตรงท้ายรถแล้วหายลับขึ้นไปบนนั้น
รถเมล์อัศวินราตรีพุ่งตรงไปตามถนนสายหลักเพื่อเข้าไปในเมือง ผ่านรถราหลายต่อหลายคันโดยไม่สนว่าการจราจรจะติดแค่ไหน
เพราะดูเหมือนรถคันนี้จะลัดเลาะหรือบีบอัดตัวเองให้ผ่านช่องว่างแคบๆ ไปได้เสมอแบบไม่ชนอะไรเลย
“ถึงแล้วจ้า เตรียมตัวให้พร้อมนะ” สแตนกลับลงมายืนข้างล่าง พูดอย่างร่าเริงกับแม่มดสูงวัยคนหนึ่งที่เขาเพิ่งไปปลุกหล่อนลงมา
เอิร์นกระแทกเท้าเหยียบเบรกแบบไม่บอกไม่กล่าว เตียงทุกเตียงพุ่งไถลมาด้านหน้ารถราวๆ หนึ่งฟุต คราวนี้ทั้งคอลินกับเดนนิส
ไม่รอดสักคน ทั้งคู่กลิ้งตกพื้นไปอยู่อีกฝั่งของเตียงและกลับมาทรงตัวได้ใหม่ตอนรถแล่นออกอีกหนมุ่งหน้าไปยังสถานีคิงส์ครอส
คอลินหน้ามุ่ยใส่คาเรนที่พอเห็นหน้าเขาก็แค่ทักทายมาประโยคเดียวด้วยการถามว่า ‘เป็นไรไหม’ ก้มหน้าเขียนกลยุทธ์ควิดดิชต่อ
แล้วมาตอนนี้ยังกะพริบตาปริบๆ ใส่ “ขี้โกงนี่ ทำไมไม่บอกกันบ้างว่ารถมันจะกระชากแรงขนาดนี้ แถมยังมานั่งอมยิ้มอีก”
ราวกับคาเรนเพิ่งรู้ตัวว่าอมยิ้มอยู่ เธอหุบยิ้มลงทันควัน “ก็แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่านายไม่เคยขึ้นรถเมล์อัศวินราตรี ฉันขึ้นครั้งนี้
เป็นหนที่หกได้แล้วมั้ง”
“ทำไมบ่อยจังล่ะ ที่บ้านเธอไม่ว่าง -- โทษทีนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้เธอรู้สึกไม่ดี...” คอลินหลบตาอย่างรู้สึกผิด เหล่มองเดนนิส
ที่อยู่บนเตียงฝั่งตรงข้าม กำลังพยายามหาท่าที่นอนแล้วจะไม่กลิ้งตกลงมาอีกราวกับอยากเอาชนะทั้งรถทั้งเตียงจะได้รู้สึกคุ้มกับเหรียญเงิน
ค่าโดยสารที่เสียไปหน่อย
“คิดมากไปได้” คาเรนพูดแบบไม่คิดอะไรมาก “ไม่เกี่ยวกับว่าที่บ้านจะว่างไปส่งหรือไม่ว่างไปส่งซะหน่อย ยังไงฉันก็มีพี่เพนนีนี่นะ
ฉันเองต่างหากที่บอกที่บ้านเองว่าอยากขึ้นรถเมล์ มันสนุกดีออก แค่ตอนที่นายขึ้นมาจนถึงเมื่อกี้ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้แล้วว่ามันสนุกแค่ไหน”
คอลินหน้าแดง “ฉันไม่ใช่ตัวตลกนะ”
“รู้ว่านายไม่ใช่ แต่ที่ฉันเห็นก็แค่...ความบันเทิงเล็กๆ น้อยๆ” เด็กสาวยิ้มยียวน ทว่าคอลินไม่รู้สึกโกรธสักนิดซ้ำยังโล่งใจที่เห็นเธอพูด
กับเขาปกติแล้ว ไม่ได้นั่งเงียบเหมือนตอนแรก
คอลินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีของอยากเอาออกมาอวด ไม้กวาดไฟร์โบลต์ที่มีตำหนิรอยขีดข่วนเล็กน้อยแต่ก็นับว่าสภาพยังดูใหม่อยู่
ถูกดึงออกมาจากใต้เตียงโชว์ให้คาเรนดู
“ไม้กวาดนี่เคยเป็นของแฮร์รี่พอตเตอร์ เห็นว่าเขาไปซื้อไม้กวาดด้ามใหม่มาใช้ ที่จริงด้ามนี้เขากะจะให้แฟน...จินนี่น่ะ แต่จินนี่ได้
ไม้กวาดด้ามใหม่เอี่ยมเป็นของขวัญจากเฟร็ดกับจอร์จไปแล้ว แฮร์รี่ก็เลยยกให้ฉันแทนตอนที่รู้ว่าฉันยืมไม้กวาดของโรงเรียนมาใช้ตอนแข่ง”
“เจ๋ง! ฉันก็ใช้ไฟร์โบลต์เหมือนกัน ถ้าเป็นแบบนี้ฉันค่อยวางใจหน่อยว่าอย่างน้อยนายก็หนีบลัดเจอร์ได้ทันถ้าถูกมันไล่ขึ้นมาจริงๆ”
คาเรนตื่นเต้นกับข่าวใหม่นี้มากเพราะเธอเคยและยังกังวลอยู่จนถึงทุกวันนี้ที่คอลินใช้ไม้กวาดของโรงเรียนที่บางทีเอาแน่เอานอน
ไม่ค่อยได้แล้ว -- ด้วยความดีใจที่มากเกินไปนั่นเองเลยทำให้ผ้าคลุมบนตักที่ยาวคลุมถึงเท้าร่วงลงไปกองกับพื้น
คอลินสังเกตเห็นว่าข้อเท้าเธอมีผ้าพันอยู่แทบจะทันที คาเรนรับรู้ถึงสายตานั้นและไม่อยากให้เขาเห็นเลยเอาเท้าหลบแต่ไม่ทันแล้ว
จึงพยายามเบี่ยงเบนสายตาคอลินที่จ้องไม่หยุดด้วยการยื่นสมุดจดแผนควิดดิชไปตรงหน้าเขาเพื่อขอคำปรึกษา
ใครจะไปคิดว่าที่คาเรนทำนั้นไม่ต่างอะไรกับการทำร้ายตัวเอง คอลินเขยิบเข้าหาเธอเพื่อจะปรึกษาหารือกันแบบจริงจัง
แต่แบบนี้มันใกล้มาก ใกล้เกินไป ใกล้จนใจสั่นไปหมด ความผิดนี้เธอยกให้พี่เพเนโลพีไปคนเดียวเต็มๆ เพราะถ้าพี่สาวไม่เค้นถาม
แล้วเอาแต่พูดเรื่องคอลินกับเธอช่วงสองสามวันมานี้ก็คงไม่ต้องมาคิดมาก ป่านนี้เธอคงสุมหัวคุยเรื่องควิดดิชหรือไม่ก็เรื่องปิดเทอม
อย่างสบายใจไปแล้ว ชั่วขณะหนึ่งเธอเผลอปล่อยใจมองคอลินจนเหม่อลอยแต่แล้วก็เรียกสติตัวเองกลับมาได้ เธอดึงสมุดกลับคืนมา
พร้อมเอนตัวออกห่างจากเขา -- ถ้าคอลินไม่ได้คิดอะไรกับเธอมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง ขณะที่เธอเองปล่อยใจไปแล้วเขาเกิดรู้ขึ้นมามีหวัง
คงเข้าหน้ากันไม่ติดแน่ แล้วคนที่จะซวยก็คือสมาชิกที่เหลือในทีมกับนักเรียนกริฟฟินดอร์ที่ฝากความหวังให้กับทีมบ้านตัวเอง
“ฉันคิดวิธีแก้ได้แล้ว ขอบคุณนะ นายช่วยได้มากเลย”
“ฉันยังไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะ -- นี่คาเรน”
“หือ?” เธอส่งเสียงในลำคอ ก้มหน้าจ้องสมุดไม่ยอมมองคนถาม
“ฉันจะไม่ถามเธอว่าข้อเท้าไปโดนอะไรมาถ้าเธอยากไม่อยากตอบ แต่อีกนานไหมกว่าข้อเท้าเธอจะหาย”
“ไม่นานหรอกสองสามวันก็หายแล้ว กลับไปเล่นควิดดิชได้แน่ แต่ต่อจากนี้ขอฉันนั่งคิดเงียบๆ คนเดียวหน่อยนะ”
คอลินพยักหน้าเข้าใจพลางคิดว่าวันนี้คาเรนดูแปลกไปจริงๆ จนต้องมานั่งคิดว่าตัวเองไปทำอะไรให้เจ้าตัวไม่พอใจหรือเปล่า
คาเรนในเวลานี้ไม่มีสมาธิเอาซะเลย ทั้งที่ตอนขึ้นรถมาก็ยังดีอยู่แท้ๆ พอมีคอลินมานั่งจ้องสมาธิมันหายไปไหนหมดนะ
จนแล้วจนรอดตลอดการเดินทางก็ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยสักนิดเดียว
นั่งมองงี้จะไปคิดออกได้ยังไงกันเล่า?!
“ถึงสถานีคิงส์ครอสแล้วจ้า!” สแตนบอกอย่างร่าเริงพอดีกับที่เอิร์นเหยียบเบรกแบบไม่บอกกล่าวทำเอาคาเรนหน้าทิ่มเกือบกลิ้งตก
จากเตียงไปแล้วถ้าไม่ได้คอลินยื่นมือมารับแขนเธอเอาไว้ สแตนหมุนตัวกลับมาดูผู้โดยสารที่ยังไม่มีใครลุกออกไปสักคน
“พวกนายเล่นอะไรกันอยู่น่ะ”
เดนนิสผุดลุกขึ้นจากเตียง ก้มตัวดึงหีบที่ใต้เตียงแล้วลงจากรถไปคนแรกตามด้วยคอลินที่ลงไปตามคำบอกของคาเรน
แบบไม่เต็มใจนัก
เพราะข้อเท้าคาเรนยังไม่หายดีเลยกะจะให้สองพี่น้องได้ลงไปก่อน พอเหลือเธอคนเดียวถึงลุกขึ้น...ฉับพลันนั้นอาการเจ็บแปลบ
แล่นจากข้อเท้าลามไปทั่วร่าง ร่างเธอทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น เอามือกุมเท้า อุทานออกมาเบาๆ แต่หน้าเหยเกไปแล้ว เธอพยายาม
พยุงตัวเองอีกครั้งแต่ไม่คิดว่าคอลินจะเห็นหมดทุกอย่าง เขาโหนราวเหล็กชะโงกหน้าดูหวังจะขึ้นมาช่วยแต่ถูกตัดหน้าไปโดยสแตน
เดนนิสแทรกตัวเบียดคอลินที่ยืนค้างเติ่งอยู่ตรงประตูรถขึ้นไปช่วยถือสัมภาระทั้งหมดของคาเรนลงมาให้แล้วเอาไปไว้ด้วยกัน
กับรถเข็นตัวเองที่ถึงจะมีหีบของคอลินรวมอยู่ด้วยแล้วก็ยังเหลือที่ว่างอยู่ดี
“ฉันช่วยถือกระเป๋าไปให้”
“ขอบคุณนะ” คาเรนกำลังจะก้าวลงบันไดแต่คอลินยังคงยืนขวางเอาไว้ เขาหันหลังพลางย่อตัวลงแล้วเหลียวกลับมามอง
“ขี่หลังฉันมาได้เลย ถึงจะไม่สนุกเท่านั่งรถเมล์อัศวินราตรีแต่เธอจะถึงรถไฟด่วนฮอกวอตส์โดยสวัสดิภาพแน่นอน”
สแตนกระแอม “ฉันไม่รู้ว่าพวกเธองอนอะไรกันหรอกนะถึงได้นั่งเงียบมาตลอดทาง แต่ถ้าไม่อยากตกรถไฟฉันแนะนำให้เธอ
รีบเกาะหลังแฟนตอนนี้เลย”
คาเรนมองสแตนตาขวาง นอกจากเขาจะเข้าใจผิดว่างอนกันยังไม่พอ ยังเข้าใจไปไกลว่าคบกันแล้วด้วย!
คอลินหันกลับไปมองทางข้างหน้าทั้งที่ยังย่อตัวรออยู่ทว่าใบหูขึ้นสีแดงลามไปยันแก้มราวกับกินของเผ็ด สแตนไม่สนใจสายตาดุดัน
จากคาเรนหรืออาการเขินจนหน้าแดงของคอลิน เวลาของเขาเป็นเงินเป็นทองเพราะยังมีพ่อมดแม่มดอีกหลายชีวิตที่มีปลายทางรออยู่
เขาพยุงคาเรนแม้ว่าเธอทำท่าเหมือนจะคัดค้าน และเพราะไม่ทันระวังนั่นเองทำให้เหยียบพลาดแต่สุดท้ายก็มีแผ่นหลังคอลินที่รับไว้ได้
พอดิบพอดี คาเรนเลยไม่เป็นอะไรไปมากกว่าเขินจนอยากดีดตัวออกแล้ววิ่งเข้าไปในชานชาลา ติดอยู่นิดเดียว...ตรงที่เธอวิ่งไม่ได้นี่แหละ
“โอเคไหม” คอลินเหลียวกลับมามองคนข้างหลัง “ฉันจะเดินไปแล้วนะ”
คาเรนเอามือยันแก้มรุ่นพี่ให้หันกลับไปทางเดิม “ฮื่อ แล้วก็อย่าหันมาอีกนะ”
“งั้นก็เรียบร้อย” สแตนตบมือ โบกมือให้เด็กทั้งสามอย่างร่าเริง กระโดดขึ้นรถเมล์ก่อนที่รถจะออกตัวพุ่งไปเร็วจนมองแทบไม่ทัน
ลำพังแค่อยู่ในสถานีคิงส์ครอสคาเรนยังพอทนสายตาจากพวกมักเกิ้ลได้เพราะไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกันอยู่แล้ว แต่ทันทีที่เข้าไป
ในชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่ก็เป็นอันเตรียมรอรับความดังได้เลย เริ่มตั้งแต่วิกเตอร์ ซีกเกอร์ของทีมกริฟฟินดอร์ที่เริ่มต้นแซว
แล้วต่อด้วยจิมมี่ เชสเซอร์ของทีมกับไนเจลที่เป็นคีปเปอร์ผิวปากแซวกัปตันกับคู่หูบีตเตอร์ของเธอ
“ไปคบกันตอนไหนน่ะ” โจซี่แหวกหนุ่มๆ สามคนมาถามเพื่อนสนิทที่แทบจะฝังหน้าลงกับหลังคอลินไปแล้ว “ยินดีด้วยนะ!”
“ไม่เอาน่า ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจกัน” คอลินบอกพลางเดินหน้าต่อไปยังรถไฟเพื่อส่งคาเรนให้ถึงที่จะได้ไม่ต้องเบียดกับฝูงชนที่ยืนอยู่
เต็มชานชาลา “กัปตันของเราเจ็บข้อเท้าต่างหาก”
“ของเรา?” วิกเตอร์เลิกคิ้ว แล้วหรี่ตาอย่างมีเลศนัย “หรือของนายคนเดียวกันแน่” เสียงแซวดังขึ้นไม่หยุดทำเอาคาเรนถึงกับกลอกตา
“ถ้าไม่เลิกแซวละก็ฉันจะเรียกซ้อมควิดดิชทุกวันวันละสี่ชั่วโมง” คำขู่จากกัปตันนั้นได้ผลชะงัดนัก ทุกคนปิดปากตัวเองสนิท
“ขอบคุณนะคอลิน แต่ตอนนี้ปล่อยให้ฉันลงดีกว่า ฉันยังพอเดินเองได้”
“ให้ฉันไปส่งเธอถึงที่นั่งเถอะ คงไม่มีใครแซวเราไปมากกว่านี้อีกแล้ว ตอนอยู่บนรถที่เธอทรุดลงไปนั่งนั่นน่าจะเจ็บน่าดูเลยนะ
หรือเธอจะเถียง?”
“มันก็เจ็บจริงๆ นั่นแหละ...ก็ได้” คาเรนพูดเสียงอ่อยก่อนดันหน้าคอลินที่หันมาใกล้เกินไปให้กลับไปมองข้างหน้าอีกหน
“แต่นายช่วยเข้าใจหน่อยได้ไหม บอกว่าอย่าหันมา...มันใกล้เกินไป”
※
ความคิดเห็น