ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Harry Potter] Little Loony Lovegood [George x Luna] [END]

    ลำดับตอนที่ #8 : 8 ll Where are you ?

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.3K
      231
      17 ส.ค. 62


    8


    Where are you ?





              ฮอกวอตส์กลับมาสงบอีกครั้งหลังจากเมื่อวานเกิดความวุ่นวายไปทั่วปราสาท เฟร็ดกับจอร์จจุดดอกไม้ไฟฟิลิบัสเตอร์

    ภายในห้องนั่งเล่นรวมของกริฟฟินดอร์และเสกคาถาเพิ่มไปอีกนิดหน่อย ทว่าผลที่ตามมานั้นไม่นิดเอาเสียเลย เมื่อมีเด็กปีหนึ่งเปิดประตู

    เข้ามาในห้องนั่งเล่น ประกายไฟสีส้มกระเด็นออกไป ประกายดาวนับพันๆ พุ่งออกไปทั่วปราสาทพร้อมเสียงปะทุดังลั่น สร้างความแตกตื่น

    ให้ทั้งอาจารย์และนักเรียน -- แน่นอนว่าหลังจากนั้นมีจดหมายรายงานพฤติกรรมพวกเขาสองคนไปยังบ้านโพรงกระต่าย 

    ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางวีสลีย์ แม่ของพวกเขาจะโกรธราวภูเขาไฟระเบิดขนาดไหนเมื่อได้รับจดหมายฉบับที่สี่แล้วสำหรับแค่ในปีนี้

                

              เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างหนาว ลูน่าเดินกอดหนังสือเรียนวิชาแปลงร่างแนบอกขณะกระโดดกระหย็องกระแหย็งไปตามระเบียง

    ทางเดินชั้นสอง ในระหว่างนั้นเด็กสาวผมบลอนด์ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญเสียงดังลอดออกมาจากห้องน้ำหญิง เธอหยุดยืน

    และฟังเสียงนั้นให้ชัดๆ พลางมองดูประตู มีป้ายอันใหญ่เขียนเอาไว้ว่า ‘ชำรุด’

                

              “หล่อนคงโดนแกล้งอีกแล้วล่ะสิ” เสียงเล็กแหลมดังมาจากทางด้านหลัง ลูน่าหันกลับไปดูก็เห็นเด็กสาวหน้างอที่บอกเธอก่อนหน้านี้

    ว่ามีนาร์เกิ้ลอยู่ในป่าต้องห้ามยืนอยู่ข้างกันกับเด็กหญิงผมบลอนด์บ้านสลิธีริน

                

              “คุณหมายถึงใครเหรอ?” ลูน่าถามเสียงค่อยเพราะกลัวว่าคนข้างในจะได้ยิน


              พาร์กินสันเดินขยับเข้ามาพลางเอาหูแนบกับประตู “ก็วอร์เรนยังไงล่ะ” เด็กสาวหน้างอบอก ซึ่งเป็นชื่อที่ลูน่าไม่เคยได้ยินผ่านหูเลย

    สักครั้ง “หล่อนอยู่บ้านเดียวกับเธอนะรู้ไหม ถ้าเป็นฉันในฐานะเด็กบ้านเดียวกันอย่างเธอฉันจะเข้าไปปลอบหรือไม่ก็พูดให้กำลังใจหล่อน

    ข้างในสักสองสามประโยค”

                

              มือเล็กขาวซีดของลูน่าเอื้อมไปแตะลูกบิดทองเหลืองที่ประตู แต่ก็เกิดอาการลังเล กระทั่งพาร์กินสันแทรกเข้ามาเปิดประตูแทน

    พร้อมดันหลังเด็กสาวตัวเล็กให้เดินเข้าไป

                

              ฮอกวอตส์เป็นปราสาทเก่าแก่ก็จริง แต่ลูน่าไม่เคยรู้ว่ามาก่อนว่าจะมีห้องน้ำที่เข้ามาแล้วชวนหดหู่ได้ขนาดนี้ กระจกบานใหญ่

    ฉายภาพตัวของเธอเองที่ดูแทบไม่รู้เรื่องเพราะมันร้าวแถมยังด่างเป็นดวงๆ พื้นห้องน้ำชื้นแฉะสะท้อนแสงสลัวจากเทียนที่ใกล้จะดับเต็มที

                

              เสียงร้องไห้น่าสงสารดังขึ้นไม่หยุด ลูน่าหันหลังกลับหวังจะหันไปหาพาร์กินสันเพื่อจะเดินไปด้วยกัน ทว่าสิ่งที่เธอเห็นกลับเป็น

    แสงริบหรี่ที่ลอดเข้ามาจากข้างนอกกำลังเล็กลงเรื่อยๆ จนมืดสนิทเพราะประตูถูกปิดลง โชคดีที่ยังมีแสงเทียนช่วยให้พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

    ได้บ้าง เด็กสาวก้าวช้าๆ ไปยังประตูเพราะพื้นที่ลื่นมาก มือเล็กเอื้อมไปจับลูกบิด ปรากฏว่ามันถูกล็อคไปแล้ว

                

              ลูน่ายกมือขึ้นจับหูข้างซ้ายที่เธอมักจะเสียบไม้กายสิทธิ์เอาไว้เพื่อความปลอดภัยและหยิบมาใช้ได้ง่ายๆ แต่แล้วกลับมีเพียงความ

    ว่างเปล่า เด็กสาวพยายามใจเย็นและสำรวจดูทั่วตัวว่าอยู่ในเสื้อคลุมบ้างหรือเปล่า ...ไม่มี ก่อนเธอจะตระหนักได้ว่าตอนที่เธอเดินเข้ามา

    และมัวอึ้งกับสภาพห้องน้ำ คงเป็นช่วงที่เด็กสาวหน้างอคนนั้นดึงมันออกไป  

                

              “เฮ้ ฉันยังอยู่ในนี้นะ!” ลูน่าตะโกนออกไปข้างนอกพร้อมเคาะประตูไปด้วย แต่ก็ไร้วี่แววผู้หญิงสองคนนั้นหรือใครสักคน

                

              ราวสิบห้านาทีได้กับการขอความช่วยเหลือจากข้างนอก เพราะข้างในนี้ยังมีเธอและผู้หญิงอีกคนที่ร้องไห้อยู่ เมื่อรู้ว่าไม่มีประโยชน์

    อะไรที่จะยืนตะโกนอยู่ตรงนี้ ลูน่าก็ยอมผละออกจากตรงนั้น เธอเดินเข้าไปลึกขึ้น มีประตูเรียงรายกันในสภาพที่ไม่สมบูรณ์นัก 

    บางบานมีรอยขีดข่วน หนักสุดคือห้อยหลุดจากบานพับรอวันล้มพับลงไปบนพื้นเปียกๆ นี่

                

              ลูน่าเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องสุดท้ายที่ประตูถูกเปิดเอาไว้ คนผมบลอนด์คาดหวังว่าจะมีเด็กผู้หญิงที่น่าสงสารนั่งร้องไห้อยู่ 

    เธออยู่ตรงนั้น เพียงแต่...ร่างของเธอโปร่งแสง           

                

              เด็กสาวเก็บอาการตื่นกลัวเล็กน้อยของเธอพลางเอ่ยทักด้วยสุ้มเสียงที่แหบพร่า “สวัสดี”

                

              “เธอเป็นใคร!” วิญญาณสาวคนนั้นตะโกนสุดเสียงใส่ นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่มันเหมือนเป็นการไล่ลูน่าให้ออกไปมากกว่า 

    เธอก็อยากจะทำอย่างนั้นอยู่หรอก ถ้าหากไม่ถูกขังเอาไว้อย่างนี้...

                

              “ฉัน ลูน่า --ลูน่า เลิฟกู๊ด”

                

              “ฉันก็ไม่ได้อยากรู้จักเธอหรอกนะ แต่ก็ไม่อยากจะเสียมารยาท ฉันเมอร์เทิล วอร์เรน พวกคนใจร้ายข้างนอกนั่นเรียกฉันว่า

    เมอร์เทิลจอมคร่ำครวญ”

                

              ลูน่าเบิกตากว้างที่แม้จะกลมโตอยู่แล้วก็ตาม “คุณนั่นเอง”

                

              “รู้แล้วก็ออกไปซะสิ!” เธอตวาด “แล้วปล่อยให้ฉันทุกข์ทรมานอยู่ในนี้คนเดียว”

                

              “ขอโทษที่รบกวนคุณ แต่ฉันออกไปไม่ได้” ลูน่าตอบพลางพยักพเยิดไปทางประตู “ประตูถูกล็อค ..ไม่มีไม้กายสิทธิ์”

                

              “โอ้ เธอก็ถูกแกล้งเหมือนฉันเหรอ” สีหน้าเกรี้ยวกราดของเมอร์เทิลดูอ่อนลงทันที เธอลอยหวือขึ้นมาจากโถส้วมมาหยุดอยู่ตรงหน้า

    คนตัวเล็ก

                

              “บางที..พวกเขาอาจลืมว่ามีฉันอยู่ในนี้”

                

              “ไม่มีทางซะหรอก เธอเชื่อฉันเถอะ ฉันจำเสียงที่คุยกับเธอก่อนหน้านี้ได้” เมอร์เทิลหยุดพูดเพราะน้ำตารื้นขึ้นมา เธอสะอึกสะอื้น 

    “เป็นเสียงเดียวกับที่เข้ามาเยาะเย้ยฉันตอนเช้า --หล่อนเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารังเกียจที่สุด! หรือว่าเธอเองก็จะมาทำแบบเดียวกันใช่ไหม เอาสิ

    ด่ามาเลย จะขว้างปาอะไรก็เชิญเลย!”

                

              “ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอก --ถึงคุณจะ...ถึงคุณจะเป็นแบบนี้ แต่ฉันจะไม่ทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด”

                

              “จริงนะ?” เมอร์เทิลถามหลังยกแขนเสื้อคลุมมาเช็ดน้ำตาเสร็จแล้ว

                

              “อื้ม” ลูน่าพยักหน้ารับ

                

           “งั้นระหว่างที่เธอออกไปไม่ได้ ฉันจะคุยอยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกัน โอ้!” วิญญาณเด็กสาวทำตาโต ยกมือขึ้นปิดปาก “เธออยู่เรเวนคลอเหรอ?

    เหมือนฉันเลย! ตอนนี้หอคอยเรเวนคลอเป็นยังไงบ้าง ยังเหมือนกับตอนที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ไหม เพดานห้องนั่งเล่นยังมีรูปดาวอยู่หรือเปล่า” 

    เมอร์เทิลถามอย่างตื่นเต้นและตื้นตันเมื่อได้ย้อนความหลัง

                

              “เพดานห้องนั่งเล่นรวมมีรูปดาว มันสวยมากๆ เลย”

                

              “แล้วผ้าม่านล่ะ ผ้าไหมสีน้ำเงิน ยังเหมือนเดิมหรือเปล่า”

                

              “ฉันคิดว่าน่าจะยังเหมือนเดิมทุกอย่างนะ” ลูน่าพูดตามที่เธอเคยอ่านในหนังสือ ในประวัติบ้านเรเวนคลอมีเขียนเอาไว้ด้วย

    ว่าภายในห้องนั่งเล่นรวมหรือหอนอนในสมัยก่อนเป็นยังไง

                

              “งั้นเหรอ ...ดีใจจัง” เมอร์เทิลเผยรอยยิ้มบางๆ อย่างที่ใครก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ความรู้สึกอบอุ่นในวันแรกที่เธอมาเยือนฮอกวอตส์

    และได้รับคัดเลือกเข้าเรเวนคลอหวนกลับคืนมาชวนให้คิดถึง

                

              ตอนนี้ลูน่าไม่รู้สึกว่าเธอคือเมอร์เทิลจอมคร่ำครวญที่ใครต่อใครเล่ากันว่าเธอจะเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญน่ารำคาญแถมยังเป็นมลพิษ

    กับหู ตอนนี้เธอดูเหมือนกับเด็กสาวธรรมดาที่ชื่อ เมอเทิล วอร์เรน มากกว่า

                

              ลูน่าโล่งอกขึ้นเมื่อเห็นเมอร์เทิลหยุดร้องไห้แล้ว แต่กลับเป็นเธอเสียเองที่รู้สึกแย่ขึ้นมาเล็กน้อย ในนี้ชื้นแถมยังอากาศหนาว 

    เพียงแค่หายใจรดกระจกก็มีไอขึ้นเต็มบานแล้ว  


                

              “เป็นอะไรไปจินนี่ ทำหน้าเครียดเชียว” เฮอร์ไมโอนี่ถามด้วยความเป็นห่วง เธอเห็นจินนี่นั่งเหม่อไม่ยอมกินไก่ทอดในจานเสียที 

    หนำซ้ำยังถูกรอนเซ้าซี้ให้เธอเป็นคนถามอีก ทั้งที่จินนี่เป็นน้องสาวของเขาแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมถามเอง

                

              “ลูน่าหายไป”


              “ว่าไงนะ? หายไปไหน?”


              จินนี่ชำเลืองมองจอร์จที่ถามเธอเสียงดังทั้งที่มีขนมปังอยู่เต็มปาก ถ้าเธอรู้ก็คงไม่ต้องมานั่งเครียดแบบนี้หรอก

                

              “ถ้ารู้ก็ไม่เรียกว่าหายหรอกจอร์จ”       

                

              “เอ้อ ใช่..” จอร์จหดคอกลับมาที่เดิม ทำไมเขาจะไม่รู้ว่านังหนูไม่ได้อยู่ที่นี่ คนผมแดงรอจังหวะถามจินนี่ตั้งนานแล้ว 

    แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง จอร์จคิดว่าบางทีนังหนูอาจยังทำงานไม่เสร็จ หรือไม่ก็รอเพื่อน แต่เขาไม่คิดว่าเธอจะหายไป

                

              “ลูน่าหายไปตั้งแต่คาบแรกแล้ว มาเรียก็ไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหน”

                

              “อย่าเพิ่งคิดมากไปเลยน่า” เฟร็ดบอก “อาจไม่สบายแล้วนอนอยู่ที่ห้องพยาบาล เอาไว้กินเสร็จแล้วไปดูก็ได้” 

    เฟร็ดพยายามพูดให้จินนี่สบายใจ ทว่าคนข้างตัวเขาอย่างจอร์จกลับร้อนรนกว่าเดิม ..ไม่สบาย? ฟังดูแล้วมันน่าสบายใจตรงไหนกัน??



              เดรโกไม่สามารถทำใจให้สงบได้เลยเมื่อเห็นพาร์กินสัน เด็กสาวหน้างอที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษขณะทานอาหารเย็น    

              

              “มีอะไรน่ายินดีนักหรือไง พาร์กินสัน”

                

              “นายสนใจฉันด้วยเหรอเดรโก”

                

              “มันรำคาญตาต่างหาก เอาแต่ยิ้มอยู่ได้”

                

              “ช่วยไม่ได้นี่ วันนี้ฉันอารมณ์ดี” ไม่ว่าเปล่าพาร์กินสันยังฮัมเพลงไปด้วยขณะหยิบทาร์ตน้ำตาลข้น

                

              เดรโกที่เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งหงุดหงิด ยัยเด็กบ้านเรเวนคลอที่ชอบทำตัวล่องลอยก็หายไปไหนทั้งวันก็ไม่รู้ ไม่อย่างนั้นเขาคงได้

    ไปพูดระบายอารมณ์กับเธอแล้ว คนแบบนั้นต่อให้เขาพูดจาไม่ดีใส่เท่าไรก็คงไม่ทำอะไรเขานอกจากเดินหนีไปก็เท่านั้น

                

              ถัดไปทางโต๊ะของกริฟฟินดอร์ ทุกคนต่างเฮฮาสนุกสนานกันตามปกติ ดูเหมือนยิ่งใกล้เทศกาลคริสต์มาสก็ยิ่งทำให้อารมณ์ดี

    อย่างไงอย่างงั้น ยกเว้นก็แต่ครอบครัววีสลีย์ที่มองไปทางโต๊ะเรเวนคลอกลับไม่เจอเด็กสาวผมบลอนด์ที่ชอบเหม่อมองดวงดาวระยิบระยับ

    ของเพดานเวทมนตร์ในห้องโถงใหญ่จนลืมกินอาหารเหมือนอย่างเคย  

                

              โดยเฉพาะจอร์จ เขาใช้ส้อมเขี่ยอาหารในจานที่พูนไปด้วยเนื้อย่างหอมๆ ตั้งแต่ยังร้อนๆ มีควันลอยฉุยจนตอนนี้กลายเป็นกองเนื้อ

    เย็นชืดไปหมดแล้ว ก็ไม่มีทีท่าว่าคนผมแดงจะตักอะไรเข้าปาก


              เฮอร์ไมโอนี่กับแฮร์รี่หาคำพูดมาปลอบเพื่อให้ทุกคนสบายใจ แต่กลายเป็นว่าทั้งสองก็เริ่มไม่สบายใจไปแล้วด้วยเหมือนกัน

                

              “จินนี่” จอร์จละสายตาจากจานตรงหน้าหันไปเรียกน้องสาวของเขา “ไม่มีอะไร” แต่แล้วก็หันกลับมาเขี่ยเนื้อตามเดิมทั้งที่ในใจนั้น

    กระวนกระวายจนอยากลุกไปถามอาจารย์หรือไม่ก็ลุกไปตามหาเธอตั้งแต่กลางวันแล้ว

                

              ในตอนนั้นเองที่เฟร็ดกับจอร์จมองเห็นเดรโกลุกพรวดจากโต๊ะสลิธีรินเดินออกไปจากห้องโถงโดยมีเสียงแหลมจากพาร์กินสันรั้งเอาไว้ 

    แต่คนผิวซีดก็ไม่ยอมหยุดเดิน พวกเขาติดใจสงสัยกับประโยคที่พาร์กินสันตะโกนตามหลังมา เธอพูดว่า ‘ตามหาไปก็ไม่เจอหรอก’


              ฝาแฝดวีสลีย์หันมามองหน้ากันแล้วลุกขึ้นวิ่งตามเดรโกออกจากห้องโถงไป

                

              “เฮ้ พวกนายจะไปไหนกันน่ะ” รอนตะโกนถาม ใจอยากจะลุกตามไปอยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าเสียดายอาหารในจานที่ยังพูนอยู่


              “นั่นนายกำลังจะไปไหนน่ะมัลฟอย”

                

              คนถูกทักหยุดชะงักอยู่กับที่ก่อนหมุนตัวกลับมามองด้วยความสงสัย “พวกวีสลีย์? ..มีอะไร”

                

              “ฉันถามว่านายกำลังจะไปไหน”

                

              “ยุ่งอะไรด้วย”

                

              “ฉันกับจอร์จถามนายดีๆ นะ”

                

              “แล้วคิดว่าไงล่ะ?” เดรโกยกมือขึ้นกอดอกมองคนตัวสูงชะลูดสองคน คิ้วที่ขมวดอยู่หายไป มีรอยยิ้มเย้ยหยันเข้ามาแทน

                

              จอร์จไม่ได้อยากจะสนทนากับคุณชายหัวเจลนี่นัก แต่เดรโกอาจมีเบาะแสอะไรบางอย่างอยู่ก็ได้ เลยท่องไว้ในใจว่าอย่าสาป

    นตรงหน้านี้เด็ดขาด

                

              “นายรู้เรื่องที่ลูน่าหายไปใช่ไหม” จอร์จพูดตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อม เขาแอบจับสีหน้าเดรโกที่เปลี่ยนไปได้เล็กน้อย

                

              “เป็นแฟนยัยเด็กสติเฟื่องนั่นหรือ ถึงได้เป็นห่วงกันขนาดนั้น”

                

              “วันนี้ฉันไม่อยากเถียงกับนาย”


              เดรโกเลิกคิ้วขึ้นพลางพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว แต่ก็ยังไม่เลิกวางมาด “ฉันไม่รู้ว่ายัยนั่นหายไปไหน --แต่ถ้าพวกนาย

    จะไปตามหาล่ะก็รีบหน่อยล่ะ อากาศหนาวแบบนี้ ป่านนี้ยัยสติเฟื่องคงร้องไห้คร่ำครวญดังไปทั่วห้องน้ำแล้วมั้ง” เด็กชายผมบลอนด์จงใจ

    เน้นคำว่า ‘คร่ำครวญ’ กับ ‘ห้องน้ำ’ แล้วสะบัดเสื้อคลุมเดินกลับไปที่ห้องโถง

         

              “คร่ำครวญ --”

                

              “ห้องน้ำ --”

                

              “เมอร์เทิลจอมคร่ำครวญ!!” ฝาแฝดผมแดงพูดขึ้นพร้อมกันก่อนทั้งสองจะรีบวิ่งไปยังชั้นสองทันที

                

              เมื่อพวกเขามาถึงและยืนหอบอยู่หน้าห้องน้ำที่มีป้ายติดไว้ว่า ‘ชำรุด’ เฟร็ดก็สังเกตเห็นแท่งไม้เล็กๆ หลบอยู่ในมุมมืดข้างประตู 

    เขาก้มหยิบมันขึ้นมาดูปรากฏว่ามันคือไม้กายสิทธิ์

         

              จอร์จลืมอาการเหนื่อยหอบไปซะสนิท เขายืดตัวตรงแล้วคว้าไม้กายสิทธิ์จากเฟร็ดมาดูให้ชัดๆ “ไม้กายสิทธิ์ของนังหนู ฉันจำได้” 

    ได้ยินอย่างนั้นเฟร็ดก็ไม่รอช้ารีบบิดลูกบิดประตู แน่นอนว่ามันถูกล็อคเอาไว้ แสดงว่าลูน่าต้องอยู่ที่นี่มาทั้งวันแน่นอน

                

              จอร์จหยิบไม้กายสิทธิ์ของตัวเองออกจากเสื้อคลุมแล้วร่ายคาถาใส่ลูกบิด “อาโลโฮโมรา” ทว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เท่ากับว่ายิ่งเพิ่ม

    ความเป็นห่วงให้เขาเข้าไปอีก ตอนที่เขาเจอลูน่าครั้งล่าสุดก็ตอนกินอาหารเช้า เขาจำได้แม่นว่าวันนี้นังหนูไม่ได้พันผ้าพันคอมาด้วย

    แถมต้องอยู่ในห้องน้ำชื้นๆ ทั้งวันอีก ตอนนี้คงต้องหนาวมากแน่ๆ  

        

              ทางฝั่งของเดรโก เมื่อเขากลับเข้ามายังห้องโถงใหญ่ก็ตรงไปหาพาร์กินสัน เธอยังคงนั่งหัวเราะอยู่กับพวกแครบแล้วก็กอยล์


              “ฝีมือเธอใช่ไหมพาร์กินสัน” เดรโกคว้าแขนเด็กสาวหน้างอที่กำลังหัวเราะร่วนกับมุกของแครบ


              “นายพูดเรื่องอะไรน่ะเดรโก ฉันไม่เห็นจะเข้าใจ” มือเล็กของพาร์กินสันพยายามแกะมืออีกคนออกเพราะแรงบีบที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ 

    จนเธอเริ่มเจ็บ


              เดรโกรู้ดีว่าคนที่ทำเป็นไขสือเข้าใจสิ่งที่เขาพูด มือขาวซีดของเขาเลื่อนมาบีบข้อมือเพื่อเค้นเอาคำตอบ “ฉันรู้ว่าเธอเข้าใจ” เด็กหนุ่

    มองด้วยแววตาแข็งกร้าว พาร์กินสันทำหน้าเหยเกเพราะจนเจ็บไม่ไหว


              “พอทีเถอะค่ะ” เด็กหญิงตัวเล็กลุกขึ้นห้ามพลางช่วยดึงมือเดรโกให้ออกจากข้อมือรุ่นพี่ของเธอ


             “เธอรู้อะไรกับพาร์กินสันเรื่องยัยสติเฟื่องด้วยหรือไงกรีนกราส” เดรโกยอมปล่อยมือแล้วหันไปเค้นคำตอบด้วยสายตาเอาจากเด็กหญิง

    ที่มักจะตัวติดอยู่กับพาร์กินสันบ่อยๆ ตอนช่วงพัก


           กรีนกราสอึกอักอยู่นานก่อนยอมบอกความจริง “แพนซี่แกล้งให้เธออยู่ในห้องน้ำหญิงชั้นสอง ขังเธอเอาไว้ ..เพราะคุณเอาแต่พูดถึงเธอ”

                

              เกิดเสียงฮือฮาขึ้นภายในห้องโถง เพราะก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็มุ่งความสนใจไปที่เดรโก ไม่มีใครพูดอะไรทำให้ได้ยินเสียงเล็กๆ 

    ที่กรีนกราสพูดชัดทุกคำ


              “พอสักทีแอสโทเรีย!!” พาร์กินสันคะตอกใส่เด็กหญิงที่พูดมากเกินไปแล้ว ใบหน้าของเธอยิ่งง้ำงอหนักกว่าเก่า เธอลุกขึ้นด้วยใบหน้า

    แดงก่ำ ผลักอกเดรโกจนเซถลาไปด้านข้าง

                

              พาร์กินสันตั้งท่าจะเดินออกจากห้องโถงไปแต่กลับถูกศาสตราจารย์ตัวเล็กอย่างฟลิตวิกยืนขวางทางเอาไว้

                

              “คุณขังนักเรียนบ้านเรเวนคลอไว้ในห้องน้ำงั้นหรือคุณพาร์กินสัน?” อาจารย์ประจำบ้านเรเวนคลอถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น 

    แม้จะไม่น่ากลัวเท่าศาสตราจารย์สเนปที่เพียงแค่เห็นหน้าก็กลัวกันหัวหด แต่เวลาอาจารย์ใจดีที่รักนักเรียนทุกคนเท่ากันถึงคราวโมโห

    ขึ้นมาเมื่อไรก็น่ากลัวไม่แพ้สเนปเลย...

     


              ในเมื่อใช้คาถาไม่ได้ผลก็ต้องใช้วิธีของพวกมักเกิ้ลที่ทั้งคู่เรียนรู้มา มีเสียงกริ๊กดังขึ้นหลังจอร์จใช้กิ๊บติดผมธรรมดาสะเดาะกุญแจ 

     

              จอร์จคิดภาพเอาไว้ว่าลูน่าคงกลัวจนร้องไห้ เธออาจถูกเมอร์เทิลแกล้ง เพราะพวกเขาเคยเอาประทัดมาจุดแกล้งให้เมอร์เทิลตกใจเล่น 

    แล้วก็ถูกเมอร์เทิลแกล้งหลอกให้ตกใจกลับทำเอาเกือบเป็นลม หรือเลวร้ายไปกว่านั้นเด็กสาวผมบลอนด์อาจหิวจนเป็นลมไปแล้วก็ได้  


              แต่พอจอร์จกับเฟร็ดวิ่งเข้าไปเจอกลับเจอร่างเล็กนั่งอยู่บนขอบอ่างล้างหน้า และมีเมอร์เทิลจอมคร่ำครวญลอยอยู่ตรงหน้าเธอ 

    จอร์จเดินตรงเข้าไปหาลูน่าพลางมองสำรวจเธอไปด้วยจนทั่วทั้งตัว

                

              “เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม นังหนู หล่อนแกล้งเธอหรือเปล่า” สายตาคนผมแดงเหลือบไปมองเมอร์เทิล


              “หยาบคายที่สุด! นี่ถ้าฉันไม่นั่งคุยอยู่เป็นเพื่อนกับแฟนของนายล่ะก็ เธอคงได้หนาวตายอยู่เป็นเพื่อนฉันที่นี่ไปแล้วย่ะ รู้เอาไว้ซะด้วย”


              “...เธอเข้าใจผิดแล้ว เราไม่ได้เป็นแฟนกัน” แก้มของจอร์จเป็นสีชมพู เขายกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เขิน


              “ฮัดชิ่ว!” เสียงจามดังมาจากคนตัวเล็กข้างหน้าพวกเขา


              “เธอหนาวไหม เอาผ้าพันคอฉันไปใช้ก่อนนะ” จอร์จถามแต่ไม่ต้องการคำตอบ จะว่าไปเขาเห็นลูน่านั่งกอดตัวเองตั้งแต่ที่เข้ามาแล้ว 

    คนตัวสูงถอดผ้าพันคอของตัวเองแล้วจัดการพันรอบคอให้เด็กสาวด้วยตัวเองเสร็จสรรพ “อุ่นขึ้นไหม” จอร์จเห็นลูน่ากระชับผ้าพันคอ

    แล้วยิ้มให้เขาได้ก็ค่อยสบายใจหน่อย  

                

              “เชื่อตายล่ะ ดูทำเข้าสิ มีใครที่ไหนทำกับเพื่อนแบบนี้บ้าง” เมอร์เทิลกอดอกมองด้วยความรู้สึกอิจฉาเล็กๆ เพราะเธอรู้ตัวดี

    ว่าตัวเองไม่มีโอกาสได้ทำแบบนี้คู่ตรงหน้านี้แล้ว

                

              “นี่ เธอเห็นบ้างไหมว่าใครเป็นคนแกล้งแม่หนูลูน่า” เฟร็ดหันไปถาม

                

              “ฉันไม่เห็นหรอก แต่รู้ว่าเป็นผู้หญิงสองคน อย่าถามนะว่าหน้าตาเป็นยังไง ตอนนั้นฉันทำแว่นตกเลยมองไม่เห็นพวกหล่อน 

    พอเห็นชัดอีกทีก็เห็นลูน่าถูกขังอยู่กับฉันแล้ว”

                

              “งั้นเราออกไปจากที่นี่กันเถอะ เอ้อนี่ ไม้กายสิทธิ์ของเธอ” จอร์จบอกกับทุกคนพลางคอยดูลูน่ากระโดดลงจากขอบอ่างล้างหน้า

    อยู่ไม่ห่าง ก่อนส่งไม้กายสิทธิ์คืนให้เจ้าของ

                

              สีหน้าเมอร์เทิลหมองลงเล็กน้อย “ฉันดีใจที่วันนี้ได้คุยกับเธอนะ” เธอบอกกับลูน่าจากใจจริง วันนี้เธอดีใจมากจริงๆ ที่มีคนมาคุย

    กับเธอทั้งวันตามประสาเด็กผู้หญิงบ้านเรเวนคลอด้วยกัน

        

              “ฉันก็ดีใจเหมือนกัน ขอบคุณที่อยู่คุยเป็นเพื่อนนะ” เด็กสาวฉีกยิ้มกว้างให้วิญญาณสาว


              “เธอใจดีไม่เหมือนกับคนอื่น” เมอร์เทิลสะอื้นก่อนร้องไห้ออกมาอีกรอบ “...ฉันดีใจจริงๆ”


              เฟร็ดเบนสายตาออกจากเมอร์เทิลเพราะเขาไม่เคยเห็นมุมนี้ของวิญญาณสาวมาก่อน “อย่าไปใส่ใจเลย ไปกันเถอะ ที่นี่หนาวจะตาย”


              ลูน่าเห็นใจแล้วก็เข้าใจความรู้สึกที่ไม่มีเพื่อนของเมอร์เทิลดี แต่ถ้าให้อยู่ต่อเด็กสาวเองก็คงทนความหนาวไม่ไหวเหมือนกัน


              “ถ้าว่างจะมาคุยด้วยอีกนะ”  


              เมอร์เทิลที่กำลังฟูมฟายพยักหน้ารับ ทว่าเฟร็ดพูดแทรก “แล้วเธอก็จะถูกขังอีกน่ะสิแม่หนู”  


              “นังหนู งั้นครั้งหน้าถ้าเธอจะมาเมื่อไรก็บอกฉันนะ เผื่อฉันจะมาด้วย”

                

              “ที่นี่ห้องน้ำหญิง ไม่ต้อนรับเด็กผู้ชายตัวแสบอย่างพวกเธอย่ะ!! โอ้ แฮร์รี่ แต่ฉันต้อนรับเธอเสมอนะ” เมอร์เทิลบิดตัวท่าทางเขินอาย 

    เมื่อเห็นผู้มาใหม่เป็นเด็กใส่แว่นหน้าตาจิ้มลิ้มแต่เธอกลับเมินรอนราวกับเขาไม่มีตัวตน ซึ่งรอนรู้สึกยินดีกับการถูกเมินในครั้งนี้มาก

                

              “ขะ..ขอบคุณฮะ” ...แต่ผมคงไม่มาหรอก “เธอไม่เป็นไรนะลูน่า” แฮร์รี่มองดูรุ่นน้องต่างบ้านก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก 

    เมื่อกี้นี้พวกเขารีบวิ่งมาที่นี่ทันทีหลังได้ยินเด็กหญิงบ้านสลิธีรินสารภาพออกมา

                

              “ผู้หญิงนี่เข้าใจยากชะมัด” รอนบ่นระหว่างเดินออกมา “แค่มัลฟอยพูดถึงลูน่าเฉยๆ ยัยพาร์กินสันนั่นก็หึงแล้ว เธอน่ะ 

    ระวังตัวเอาไว้ด้วยนะ อย่าเข้าใกล้พวกนั้นเชียว” เขาหันไปพูดกับคนตัวเล็กที่เดินตามหลังพวกเขาไปยังห้องโถงใหญ่ ลูน่าพยักหน้ารับ

    แล้วไม่พูดอะไรต่ออีกเลย

                

              “ไม่ต้องคิดมากนะ นังหนู”



              เช้าวันรุ่งขึ้นมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นกับพี่น้องวีสลีย์(ยกเว้นเพอร์ซี่) เฟร็ด จอร์จและรอนเดินมานั่งที่โต๊ะกริฟฟินดอร์ในห้องโถงใหญ่แต่เช้า 

    เพื่อรอดูผลงานของฝาแฝดจอมแสบ

                

              ไม่นานนักเด็กสาวหน้างอจากบ้านสลิธีรินก็เดินเข้ามาในห้องโถงพร้อมด้วยใบหน้าโทรม ดวงตาบวมตุ่ยคล้ายยังไม่ได้นอน 

    กับเสื้อคลุมที่มีรูพรุนเต็มไปหมด

                

              เฟร็ดกับรอนต้องพยายามอย่างหนักในการกลั้นขำ ยกเว้นจอร์จที่มองพาร์กินสันด้วยแววตาเย็นชา

               

              เมื่อคืนนี้เฟร็ดกับจอร์จแอบลอบออกจากหอคอยกริฟฟินดอร์ด้วยผ้าคลุมล่องหนที่ลืมแฮร์รี่มา ทันทีที่พวกเขาเล่าแผนการให้แฮร์รี่

    กับรอนฟังในห้องนอนจบ เจ้าของผ้าคลุมล่องหนก็หยิบมันออกมาจากก้นหีบส่งให้ ทั้งสองไปยังหน้าหอพักสลิธีริน เสกหนูตัวเล็กขึ้นมา

    นับร้อยและสั่งให้เจ้าพวกตัวเล็กจ้อยวิ่งไปที่ห้องนอนของพาร์กินสัน

                

              เช้าวันนี้พวกเขาได้รู้แล้วว่าคาถาที่ใช้ไปเมื่อคืนนั้นยังคงสร้างความหายนะและได้ผลเสมอ


              “อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณวีสลีย์” เด็กสาวผมบลอนด์เอ่ยทักตรงทางเข้าห้องโถงใหญ่ก่อนคาบเรียนแรกจะเริ่ม

                

              พวกเฮอร์ไมโอนี่กับมาเรียที่เดินคุยกันอยู่ตามหลังมา เห็นเด็กสาวจากบ้านเรเวนคลอกำลังคุยอยู่กับเด็กแสบผมแดงบ้านกริฟฟินดอร์ 

    พวกเธอก็รีบดึงตัวเฟร็ด รอนและแฮร์รี่ให้เดินไปอีกทาง ส่วนจินนี่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็เดินตามพวกนั้นไปด้วย


              มือขาวซีดของลูน่าล้วงหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋าสะพาย “ฉันเอาผ้าพันคอของคุณมาคืน”


              จอร์จยืนนิ่งมองดูคนที่เมื่อวานถูกขังทั้งวัน แต่วันนี้เธอก็ยังร่าเริงได้อีก “เธอไม่ได้เป็นอะไรแน่นะ”        


              “ค่ะ --ขอบคุณที่ช่วยเมื่อวานแล้วก็ให้ยืมผ้าพันคอนะคะ” ลูน่ายื่นผ้าพันคอให้อีกครั้ง แต่จอร์จกลับไม่รับไปสักที 

    คนตัวเล็กเลยเขย่งเท้า เอื้อมมือเอาผ้าพันคอพันให้เหมือนกับที่เขาทำกับเธอเมื่อวาน “ทีนี้คุณก็อุ่นขึ้นมาอีกนิดหน่อยแล้ว”

                

              “...ขอบใจนะ”  


              ลูน่ายิ้มกว้างเปลี่ยนให้บรรยากาศอึมครึมดูสดใสขึ้นมาทันตา ก่อนเธอจะเดินจากไป


              ใบหน้าที่ไม่มีรอยยิ้มมาตั้งแต่เที่ยงของเมื่อวานเริ่มมีรอยยิ้มกลับคืนมาแล้ว กระทั่งฝาแฝดคนพี่ถูกเฮอร์ไมโอนี่ปล่อยตัว 

    เขาเดินมาหาก็เห็นจอร์จฉีกยิ้มกว้าง ทั้งใบหูเป็นสีแดงจนลามไปทั่วทั้งหน้า

                

              “ไปเรียนกันเถอะ เฟร็ด”  วันนี้คาบแรกเรียนวิชาปรุงยาแต่จอร์จกลับดูกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ จนสร้างความสงสัยให้เฟร็ด 

    ทั้งที่ทุกครั้งทำท่าจะเป็นจะตายให้ได้เมื่อถึงคาบเรียนของศาสตราจารย์สเนปแต่ทำไมวันนี้ถึงได้อารมณ์ดีอยากเรียนขึ้นมาซะอย่างนั้น

                

              เฟร็ดเริ่มมองคนข้างตัวที่คึกชนิดที่ว่าต่อให้เอาโทรลล์มาฉุดก็หยุดไม่อยู่ อย่างหวาดระแวงหน่อยๆ “ผีเข้านายอยู่หรือ?”




    - Talk -


              ตอนนี้เมอร์เทิลอาจออกเยอะสักหน่อยนะคะ ถึงเธอจะน่ารำคาญไปนิดที่วันๆ เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ เลยอยากแต่งให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ 

    ที่อยู่เรเวนคลอเหมือนกัน แล้วก็เข้าใจเมอร์เทิลไปคุยเป็นเพื่อนแก้เหงาซะหน่อย (ในความโชคร้ายของลูน่าที่ถูกขังก็ยังมีความโชคดี

    ที่เมอร์เทิลไม่อาละวาดใส่แถมยังคุยเป็นเพื่อนไม่ให้น้องกลัวอีก)


              แต่ก็ยังแอบมีโมเมนต์พันผ้าพันคอเล็กๆ ตอนท้ายให้หัวใจคนพี่กระชุ่มกระชวยนิดหน่อย ย้ำว่าแค่นิดหน่อยแต่อาการคุณเขา

    ไปไกลมาก จะไปเรียนกับสเนปก็ยังคึกได้ขนาดนี้ คาดว่าอีกไม่นานเฟร็ดคงดูออกแล้วล่ะค่ะ ถ้าจอร์จยังเก็บอาการไม่ค่อยอยู่แบบนี้ 5555 

     

    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×