คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3 ปมปริศนาที่เหมือนคลายแต่ยิ่งแน่นเข้าไปทุกที
เมื่อฉันตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงของฉันเอง นายบีมไม่อยู่แล้ว เขาคงพาฉันกลับมานอนแล้วก็จากไป วันนี้วันอาทิตย์ นี้กี่โมงแล้วเนี่ย6โมงครึ่ง ฉันต้องไปเรียนนิ เมื่อนึกได้ฉันก็กระโดดลงจากที่นอนไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน แล้วก็แต่งตัว ฉันทำธุระส่วนตัวของฉันเสร็จในเวลา20นาที แล้วฉันก็รีบวิ่งไปข้างล่าง “แม่ค่ะวันนี้ฟางไม่กินข้าวเช้านะค่ะ” ฉันตะโกนขณะวิ่งลงบันไดแต่ไม่มีเสียงใครตอบกลับมาเลย เห้ย แม่ไปข้างบ้านป้านีนิเนอะ คงยังไม่กลับ แล้วพ่อละกลับมารึยังนะ คงยังแหละ งั้นรีบไปดีกว่า ฉันว่าแล้วก็วิ่งไปคว้ากุญแจบ้านก่อนจะออกจากบ้านปิดประตูล็อคกุญแจบ้าน แล้วก็ล็อคกุญแจที่ประตูรั้ว ฉันรีบเดินไปหน้าปากซอย แล้วก็นั่รถเมล์ไปเรียน ฉันไปถึงที่เรียนพิเศษทันเวลาพอดี
ระหว่างที่เรียนอยู่ฉันก็คิดถึงเรื่องต่างๆที่ผ่านมา รวมทั้งเรื่องนายบีมนั่นด้วย วันแรกที่ฉันเจอเขา เขาบอกว่าเขากลัวความมืดนิ ทำไมเขากลัวความมืดละ ทำไมถึงไม่กล้าพูดตอนมืด ฉันยังไม่เคยถามสักครั้ง ถ้าเจอกันครั้งหน้าน่าจะลองถามดู เออแล้วต่ายละไม่ได้เจอหน้าตั้งหลายวัน ตอนไปงานเผาปลาก็ไม่เจอ ถ้าจำไม่ผิดวันเสาร์ทั้งวันยัยต่ายมันติดเรียนนิเนอะ กว่าจะกลับก็ทุ่มหนึ่ง คงติดเรียนก็เลยไม่ได้มาละมั่ง แล้วทำไมไม่เห็นโทรหาเราเลยอะเนี่ย ฉันเองก็คิดเหตุผลไม่ได้ก็เลยสรุปเอาเองว่าเงินมือถือมันคงหมด อีกอย่างคนงกอย่างมันคนไม่โทรหาใครง่ายๆยกเว้นแฟนอะนะ ฉันนั่งเรียนอยู่แค่4ชั่วโมงแต่รู้สึกเหมือนนั่งเรียนอยู่4ปี มันโคตรน่าเบื่อจริงๆ หลังจากเลิกเรียนฉันก็คิดว่าจะรีบกลับบ้าน ระหว่างนั่งรถเมล์กลับบ้านอยู่ ฉันก็ลงรถเมล์ก่อนจะถึงป้ายบ้านฉันเกือบ10ป้าย ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ฉันลงป้ายนี้ก็ไม่รู้ แล้วฉันก็เห็นนายบีมกำลังทำลับๆล่อๆอยู่แถวๆมุมตึก เห้ย มาทำอะไรแถวนี้อะ น่าจะเข้าไปทักซะหน่อย แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะแอบดู ฉันก็ไม่เห็นใครอยู่ที่มุมตึกนั่นแล้ว ฉันไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน ได้แต่ยืนเกาหัวแครกๆ อยู่แถวนั่นก่อนจะคิดว่า ช่างเขาเหอะเขาเป็นผีนะอยากจะหายตัวไปไหนอะมันง่ายจะตาย อย่าโง่สิยัยฟาง แล้วฉันก็ต้องยืนรอรถเมล์เพื่อที่จะกลับบ้านตัวเอง แล้วฉันก็ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ
“หวัดดีค่ะแม่ กลับมาแล้วหรอกค่ะ”ฉันทักเมื่อเห็นแม่นั่งดูทีวีอยู่
“อือ ยังไม่เจอวี่แววของฟ้าเลย ฟาง ฟ้าเขายังไม่ตายใช่ไหม”แม่ถามแต่ไม่มองหน้าฉัน
“ฟางไม่รู้ค่ะ ฟางบอกแม่ทุกอย่างที่ฟางรู้แล้ว ส่วนแม่จะคิดเห็นยังไง ก็สุดแล้วแต่แม่เถอะคะ ฟางเองก็ทำดีที่สุดได้แค่นี้แล้วจริงๆ”ฉันบอกแม่แล้วก็เดินขึ้นห้องของฉันไปเลย แม่ไม่ได้หันมามองฉัน แต่ฉันรู้สึกว่าท่านกำลังร้องไห้
เมื่อถึงห้องนอนฉันก็ต้องตกใจอีกครั้ง
“ดะ ดา แก แกต้องการอะไรอีก”ฉันถามด้วยเสียงอันเบา
“มาแล้วหรอ ฉันก็ไม่ต้องการอะไรมากหรอกนะ นอกจากชีวิตของคนที่แกรักทุกคนก็เท่านั้นเองละ”ดาว่าแล้วก็ลอยมาหาฉัน ในใจอยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล แต่ขาฉันกลีบยืนนิ่ง และรอคอยการเข้ามาหาของดา มันค่อยๆเอามือลูกหน้าฉัน ความรู้สึกที่ฉันสัมผัสได้คือความหนาวเย็น จนขนแขนฉันลุกซู่ “ไม่ต้องกลัวหรอก ฟาง เธอไม่ต้องกลัวหรอก มันไม่เจ็บเท่าไรหรอกนะ ที่ได้เห็นคนที่เรารักต้องตายนะ แต่มันนะเจ็บมากนะแกรู้ไหม”ดาพูดด้วยเสียงเนิบและดังขึ้นจนกลายเป็นเสียงตะคอก
ฉันได้แต่ยืนจ้องหน้าเธอนิ่ง ปากเริ่มสั่น น้ำตาเริ่มไหล
“อย่าทำอะไรพวกเขาอีกเลยนะ แกฆ่าฉันเถอะอย่าทำอะไรคนที่ฉันรักเลย ขอร้องละ”ฉันไม่คิดที่จะสู้กับมันอีกแล้ว ฉันอยากจะตายแล้วทำให้ทุกอย่างมันจบซะที ฉันว่าแล้วก็ยกมือขึ้นไหว้มัน “คิดหรอ ว่าฉันจะยอม เธอจะต้องรู้สึกเจ็บยิ่งกว่าที่ฉันรู้สึก”ดาว่าแล้วก็พุ่งเข้าใส่ตัวฉัน แล้วฉันก็หมดสติไป
ฉันตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ที่โรงพยาบาล พ่อกำลังนั่งอยู่ข้างๆฉัน
“ฟางฟื้นแล้วหรอลูก คุณหมอครับ ลูกสาวผมฟื้นแล้ว”พ่อบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น และหมอตรงทางเดินก็เดินเข้ามาในห้อง
“อือ ฟื้นได้สักที จริงๆลูกสาวคุณก็ปรกติดีทุกอย่างแต่เธอนะหลับไปเฉยๆ เห็นไหมละครับผมบอกแล้วว่าเดี๋ยวเธอก็ฟื้นได้เอง งั้นผมขอตัวนะครับ แล้วผมจะกลับมาเช็คสภาพร่างกายเธออีกที ถ้าทุกอย่างปรกติดีเธอก็กลับบ้านได้แล้วละครับ”หมอบอกพ่อของฉันแล้วก็เดินออกจากห้องไป
“พ่อค่ะ ฟางหลับไปนานมากรึป่าว แล้วแม่ละค่ะพ่อ แม่อยู่ไหน”ฉันถาม หน้าตาของพ่อฉันดูไม่ดีเลย เหมือนท่านไม่ได้นอนเลย แต่ที่ฉันสงสัยคือแม่ฉันหายไปไหนต่างหาก ปกติแม่จะต้องอยู่ใกล้ๆฉันตลอดเวลาฉันไม่สบาย แต่นี้แม่กลับไม่อยู่ หรือว่าแม่
พ่อยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบฉัน “พ่อค่ะ แม่อยู่ไหน แม่ แม่เป็นอะไรค่ะ”ฉันถามพ่อแล้วเอามือจับที่ไหล่ทั้งสองข้างของพ่อ “มะ แม่ แม่เขา”พ่อพูดเสียงสั่นๆทำให้ฉันรู้สึกแย่ขึ้นไปอีก แต่ฉันเห็นแม่กำลังยืนอยู่ข้างๆพ่อ “แม่ค่ะ แม่ ฟางคิดไว้แล้วค่ะว่าแม่ต้องไม่เป็นอะไร”ฉันพูดพลางเขยิบตัวเข้าหาแม่เพื่อจะกอด แต่ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวแม่นั่นหายไป “แม่ แม่”ฉันพยายามเรียกหาแม่แต่ว่าตอนนี้แม่หายไปแล้ว ไม่มีแม่ยืนอยู่ข้างๆพ่อแล้ว มีแต่พ่อที่จับตัวของฉันไว้เพราะฉันพยายามจะลงจากเตียงเพื่อไปตามหาแม่
“ฟาง แม่เขาตายแล้วลูก อยู่ดีๆหัวใจแม่เขาก็หยุดเต้นไปเฉยๆ”พ่อบอกฉันทั้งน้ำตา
“ไม่จริงๆ พ่อ พ่อโกหก ไม่จริงๆ มันไม่จริง”ฉันไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ฉันยกมือขึ้นปิดหูแล้วก็พร่ำบอกแต่ว่ามันไม่จริง ฉันร้องไห้แล้ว ร้องไห้อีก ไม่รู้เหมือนกันว่ามันนานไหม แต่ที่ฉันรู้คือ ยัยดามันฆ่าแม่ฉัน มันฆ่าแม่ของฉัน มันจะฆ่าทุกคนที่ฉันรัก ฉันจะไม่อภัยให้มัน แม่จะต้องไม่ตายอย่างสูญเปล่า และฉันจะไม่ยอมอีกแล้ว ฉันจะไม่คิดยอมแพ้แล้วเอาชีวิตตัวเองไปให้มัน ฉันจะสู้กับมัน
หมอเข้ามาตรวจร่างกายฉันและผลก็ออกมาเป็นไปตามคาดฉันปรกติดีทุกอย่าง พ่อพาฉันกลับไปที่บ้านอาบน้ำใส่ชุดดำแล้วก็ไปงานศพ ฉันพยายามคิดหาวิธีที่จะสู้กับนังดาตลอดเวลา ฉันเล่าเรื่องทุกอย่างให้ต่ายฟังที่งานศพ
“จริงหรอฟาง ถ้างั้นเราควรทำไงละ”ท่าทางของต่ายนั่นดูตกใจมากที่ได้ฟังเรื่องราวที่ฉันคิดว่าเกิดขึ้นกับฟ้าและคนที่ทำให้แม่ของฉันตาย
“ฉันจะสู้กับมัน แกจะเอาด้วยรึป่าวต่าย”ฉันถามแล้วจ้องหน้าต่าย เธอดูลังเล และยังไม่พร้อมที่จะตอบ แต่แล้วเธอก็พูดว่า “ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกัน ฉันจะปล่อยให้เพื่อนลำบากได้ไงอีกอย่างนะปลากับฟ้ามันก็เพื่อนฉัน ฉันก็ต้องช่วยพวกมันดิ”ต่ายว่าแล้วก็ส่งยิ้มให้ฉัน “อือดีเลย รอให้แม่ฉันเผาก่อนเถอะแล้วเราจะได้เห็นดีกัน”ฉันว่า
“แกมีแฟนแล้วหรอฟาง แกคิดว่าเราควรจะปราบผียังไงอะ”ต่ายถามฉัน
“เหอะๆ ยังอะ ยังไม่มีเลยกะจะให้แกช่วยคิดอะ”ฉันว่าแล้วยิ้มให้มัน
“เหอ... ฉันละกลุ้มจริงๆเลย”ต่ายว่าแล้วก็ทำหน้าครุ่นคิด หรือไม่ก็เธอกำลังคิดจริงๆ
“เอาเป็นว่าฉันจะลองหาดูแล้วกันว่าอะไรจะใช้ปราบมันได้”ต่ายบอกหลังจากเงียบไปนาน “อือ ขอบใจมากนะ เราต้องทำสำเร็จแน่ๆ”ฉันว่าแล้วเราก็กอดกัน หลังจากงานเลิก ฉันก็ต้องรออีกสักพักกว่าจะเคลียร์ทุกอย่างเสร็จ แล้วฉันกับพ่อก็กลับบ้าน
“พ่อค่ะ มันรู้สึกแปลกๆเนอะเวลาไม่มีแม่เนี่ย”ฉันบอกพ่อ
“อือ พ่อเองก็รู้สึก ไม่รู้ว่าเราควรจะทำยังไงกันต่อเนอะลูก”พ่อเองก็หน้าตาไม่สู้ดีคงจะเหนื่อยมาหลายวัน “พ่อค่ะ พรุ่งนี้พ่อไม่ต้องไปทำงานนะค่ะ”ฉันบอกพ่อ
“ทำไมละลูก”พ่อหันมาถามฉันขณะที่กำลังเลี้ยวเข้าซอย
“ก็พ่อดูเหนื่อยๆ พักผ่อนบางเถอะค่ะ คงแทบไม่ได้นอนมา3คืนแล้วสิ”ฉันพูดออกแนวว่าพ่อหน่อยๆที่ไม่รู้จักดูแลสุขภาพตัวเองบ้าง
“ก็พ่อห่วงลูกนิ เอาลงไปเปิดประตูให้หน่อยไป”พ่อบอกให้ฉันลงไปเปิดประตูบ้าน เมื่อฉันได้ยินก็รีบลงจากรถไปเปิดประตูรั้วให้พ่อเอารถเข้าทันที
ขณะที่พ่อกำลังเอารถเข้าไปจอด และฉันกำลังปิดประตู ฉันก็ได้ยินเสียง
“ฟาง ช่วยแม่ด้วย มันทำร้ายแม่ ฟางช่วยแม่ที โอย”เสียงคร่ำครวญของแม่ฉันนิ แล้วแม่อยู่ไหนละ “แม่ แม่ค่ะ”ฉันตะโกนและหาวี่แววแม่
“มีอะไรหรอฟาง”พ่อถามฉันเมื่อได้ยินเสียงฉันตะโกน
“พ่อค่ะ แม่เขา เมื่อกี้แม่เขามาขอความช่วยเหลือ แม่ว่ามันร้ายแม่ค่ะพ่อ”ฉันบอกพ่อไปตามที่ได้ยิน แต่ไม่ได้บอกว่ามันนะหมายถึงใคร
“จริงหรอลูก งั้นลูกเข้าไปรอในบ้านนะเดี๋ยวพ่อจะลองเดินหาแม่เขาดู”พ่อบอกกับฉันยังกับว่าแม่เป็นคนอย่างนั่นแหละ แต่ถึงฉันคัดค้าน พ่อก็ไม่ฟังเสียงฉันอยู่ดี ฉันจึงต้องเดินเข้าบ้านไป
“เห้ย นายมาได้ไงอะ”ฉันอุทานขึ้นมาเมื่อเห็นนายบีมนั่งอยู่ในบ้าน
“แล้วทำไมจะมาไม่ได้ละ เราอะได้เจอกับฟ้าแล้วนะ เธอก็ไม่ได้แย่อะไรมากหรอก”
“ไม่ได้แย่มากเนี่ยมันหมายความว่ายังไงอะ”ฉันถามเพราะไม่เข้าใจ
“ก็ไม่ได้หมายความว่าไง หมายถึงยังมีพลังวิญญาณอยู่ก็เท่านั่นแหละ”
“แล้วแม่ฉันละ แม่ฉันนายรู้ใช่ไหมว่าแม่ฉันอยู่ทีไหนะ”
“แม่เธอหรอ เอ....”บีมยังไม่ตอบแต่ยิ้มแปลกๆ
“ว่าไงละแม่ฉันเป็นไงบ้างอะ”ฉันถามต่อและจ้องหน้าบีมเขม่ง
“แม่เธอก็ยังไม่เป็นไรนิ ยังสบายดี สบายมาซะด้วย”เขาว่าแล้วยิ้ม
“โกหก เมื่อกี้แม่เพิ่งบอกว่ามันทำร้ายแม่ นายคิดจะช่วยฉันหรือว่านายเป็นพวกที่คิดจำทำร้ายฉันกันแน่ นายเป็นพวกเดียวกับนังดานั่นใช่ไหมละ”ฉันว่าเขาเมื่อรู้สึกได้ว่าเขาโกหก “ป่าวนะ เราก็แค่ไม่อยากให้เธอเสียใจ ถ้าบอกว่าตอนนี้แม่เธอถูกทรมานและกำลังจะถูกดูดวิญญาณไป บอกไปแล้วเธอจะช่วยอะไรได้ละ”เขาพูดออกมาโดยไร้วี่แววแห่งความตกใจหรือห่วงความรู้สึกคนฟังอย่างฉันเลย
“งั้นเรอะ นายพูดออกมาได้หน้าตาเฉยอย่างเนี่ย มันแปลว่านายห่วงฉันงั้นหรอ”ฉันว่าและก็ยิ่งรู้สึกแย่ที่เห็นเขาเป็นอย่างนี้ ฉันมองคนผิดหรอเนี่ย
“ผมขอโทษ ผมไม่ตั้งใจ ผมไม่อยากให้ฟางรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ ไม่อยากให้ฟางต้องโทษตัวเองว่าฟางทำให้คนอื่นต้องตายฟางทำให้คนต้องตายอย่างทรมาน แล้วพอตายไปแล้วก็ยังไม่หลุดพ้นไปยังต้องทรมานอยู่ ผมก็แค่ไม่อยากให้ฟางเสียใจ ผมผิดด้วยหรอ”บีมพูดออกมาทั้งน้ำตา ท่าทางของเขาไม่เหมือนคนเสแสร้งเลย
“ฉันขอโทษ บีมฉันขอโทษฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่านาย”ฉันบอกเขาและพยายามจะเข้าไปกอดเขาเอาไว้ “ไม่ต้องมากอดผม ผมมันเป็นผีไม่ดี ไม่เคยช่วยฟาง ไม่ต้องมายุ่งกับผม”บีมว่าแล้วก็หายไปจากบนโซฟาที่เขาเคยนั่งอยู่
“ฉันขอโทษบีม ฉันขอโทษ”แม้ว่าฉันจะเสียใจและพร่ำบอกว่าขอโทษมากแค่ไหนก็ไม่มีวี่แววของนายบีมโผล่ออกมาเลย แล้วพ่อฉันก็เข้ามาในบ้าน
“เป็นไงมั่งค่ะพ่อ เจออะไรมั่งรึเปล่า”ฉันจ้องหน้าพ่อเพื่อรอคำตอบ
“ไม่ลูกไม่เจออะไรเลย พ่ออยากจะพักผ่อนอย่างที่ลูกว่าแล้วละ ลูกไปนอนเถอะ พรุ่งนี้เดี๋ยวพ่อจะไปส่งที่โรงเรียนนะหยุดเรียนมาเป็นอาทิตย์แล้วนิเรา”พ่อพูดแล้วก็เอามือเล่นผมฉัน “ค่ะพ่อ”ฉันตอบพ่อแล้วก็กอดพ่อ สักพักฉันก็ลุกขึ้นจากโซฟาเดินขึ้นห้องนอนของตัวเอง
ฉันได้แค่ครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ต้นเหตุทุกอย่างมาจากห้อง333ในเวลาไม่ถึง2อาทิตย์มีคนตายไป3คน แล้วต้นเหตุมันก็มาจากฉันทั้งนั่น เพราะคำพูดพร้อยๆพวกนั้นแท้ๆเลย ทุกคนถึงได้ต้องตาย
ระหว่างที่คิดไปคิดมาฉันก็เผลอหลับไปทั้งๆที่ยังไม่ได้อาบน้ำ
ตอนเช้าหลังจากที่ทำธุระส่วนตัวของฉันเสร็จแล้วฉันก็ไปเคาะห้องพ่อ แล้วก็เดินเข้าในห้องของท่าน พ่อฉันยังหลับอยู่ ฉันเองก็ไม่อยากจะกวน ก็เลยลงข้างล่างไปทำโจ๊กกินเอง แล้วก็ทำเพื่อพ่อด้วย โจ๊กหมูใส่ไข่และก็ผักชี กลิ่นมันก็หอมน่ากินดีนะเนี่ย ฉันชมตัวเองในใจ แล้วก็ตักมากินหนึ่งชาม กินเสร็จก็ไปล้างจาน แล้วก็เขียนโน้ตบอกพ่อ
ฟางทำโจ๊กหมูไว้ให้แล้วนะค่ะ
ถ้าพ่อหิวก็อุ่นกินได้เลยนะ
แล้วพ่อก็ไม่ต้องห่วงนะ
ฟางไปโรงเรียนเองได้ค่ะ ^^
ฉันเอาโน้ตแปะไว้ที่ตู้เย็น แล้วก็ออกจากบ้านก่อนออกไปฉันก็ไม่ลืมล็อคประตูบ้านแล้วก็ประตูรั้วด้วย แล้วฉันก็นั่งรถเมล์ไปโรงเรียน
ระหว่างเรียนก็ไม่ค่อยได้ตั้งใจเหมือนเมื่อก่อน เพราะฉันไม่แน่ใจเลยว่าพรุ่งนี้ฉันจะยังมีชีวิตอยู่ไหม ทำไมฉันต้องรู้ธาตุ เรื่องอะตอม ในเมื่ออีกไม่นานฉันก็ตายแล้วถึงรู้ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี ต่ายเองก็เช่นกันเธอเองก็เอานั่งหันหน้าออกนอกหน้าต่างท่าทางเหมือนกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ ตอนเที่ยงฉันกับต่ายก็ไปกินข้าวด้วยกัน ต่ายบอกว่าเราน่าจะหาข้อต่อรองอะไรได้บ้าง
ต่ายคิดว่ามันน่าจะมีอะไรที่ผีกลัวบ้าง ตอนแรกเธอก็บอกว่าพระ
แต่ฉันก็เถียงกลับไปได้เพราะฉันเองก็ใส่พระอยู่แต่ทำไมดาถึงยังเข้ามาใกล้ๆได้ละ แล้วเราก็คิดว่าน่าจะเอาน้ำมนต์ไปใช้ แล้วก็เอาพระไปด้วยอย่างน้อยก็ทำให้เราอุ่นใจ แล้วใบหนาด กระเทียมและอะไรอีกหลายๆอย่างที่เราคิดว่าจะช่วยกันผีได้
จากเมื่อก่อนที่คิดจะพิสูจน์ว่าผีมีจริงไหม คิดจะลองดูเล่นๆ แต่ตอนนี้ฉันมั่นใจเลยละว่าผีนะมีจริงๆ ตอนนี้ไม่อยากจะยุ่งไม่อยากจะเข้าใกล้แล้วแต่ไอ้วิญญาณพวกนั่นต่างหากที่ตามราวีฉันไม่เลิก
เมื่อเลิกเรียนฉันก็กลับบ้าน พ่อฉันไม่อยู่แล้วสงสัยจะออกไปทำงานละมั่ง
ฉันก็เลยขึ้นห้องไปอาบน้ำ เมื่อลงมาพ่อก็กลับมาแล้วพ่อทำข้าวไข่เจียวให้กิน กินเสร็จเราก็นั่งดูทีวีกันสักพักแล้วเราก็ไปวัดกัน หลังจากจบงานศพเราก็กลับบ้านเป็นอย่างนี้จนถึงวันเผาของแม่ ฉันกับพ่อก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย ท่านดูเศร้าๆซึมๆ ฉันเองก็ไม่รู้จะช่วยท่านยังไง เพราะฉันก็มัวแต่คิดถึงเรียนกำจัดยัยดา ต่ายเป็นคนรับหน้าที่หาอุปกรณ์ทุกอย่าง นายบีมไม่โผล่หน้ามาหาฉันอีกเลยไม่รู้ว่าไม่มาเพราะฉันพูดจาอย่างนั่นออกไปใช่ไหม ฉันก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่พูดออกไปอย่างนั่น แต่จะทำยังไงได้ ฉันไม่มีทางติดต่อกับเขาได้เลย ส่วนมากนายบีมนั่นก็เป็นคนมาหาฉันเอง จริงๆแล้วเขาอยู่ที่ไหน ที่พักเขาเป็นยังไงเนี่ยฉันไม่รู้เลยสักนิด ทำไมเราไม่คิดจะถามนะว่าจะติดต่อกับเขาได้ยังไง ไม่น่าโง่เลยนะเนี่ย
หลังจากที่เผาศพแม่เสร็จวันรุ่งขึ้นฉันก็ไปเก็บกระดูกของแม่แล้วก็เอาใส่โกฐ พอตกเย็นฉันก็ขอพ่อออกไปข้างนอก พ่อก็ไม่ว่าอะไรหรือเพราะว่าท่านไม่รู้จะรั้งฉันไว้ทำไมละมั่ง ฉันรีบไปที่โรงเรียนตามนัดที่ได้ให้ไว้กับต่าย หลังจากที่ปีนกำแพงเข้าไปในโรงเรียนเพราะถ้าเข้ามาทางข้างหน้ายามคงจะถามว่าฉันมาทำอะไร ถ้าบอกไปว่ามาจับผี เขาคงจะไล่ฉันออกจากโรงเรียนไปทั้งๆที่ฉันยังพูดไม่จบเลยแน่ๆ ฉันก็เลยต้องปีนเข้าแถวๆที่วางอิฐเอาไว้ทำให้ปีนลงมาได้ง่าย แต่ก็ต้องระวังพอสมควรเพราะมีเศษข้าวของเครื่องใช้วางอยู่เต็มไปหมดถ้าตกลงไปคงจะเจ็บน่าดู ฉันลงไปรอต่ายที่ข้างๆห้องน้ำชายร้าง ระหว่างรอก็คิดถึงว่าวันนี้ฉันจะต้องเจออะไรบ้าง แล้ววันพรุ่งนี้ฉันจะยังมีลมหายใจอยู่รึป่าวนะ ฉันรออยู่ได้สักพักก็เหลือบมองนาฬิกาอีกตั้ง12นาทีกว่าจะถึงเวลานัด ฉันนัดกับต่ายไว้6โมงเย็น ตอนนี้5โมง48นาที ระหว่างรอฉันก็ได้แต่ภาวนาขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่หวัง ขอพรุ่งนี้ยัยดามันหายไป ไม่ต้องมีมีวิญญาณตนไหนมาตามราวีฉันอีก ส่วนพี่บีมถ้าเขาหายโกรธฉันก็อาจจะมาหาฉันอีกก็ได้ แต่ถึงเขาจะไม่มาหาอีก ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ ฉันไม่มีวิธีติดต่อเขาได้เลย ระหว่างคิดอะไรไปเพลินๆอีก3นาทีจะถึงเวลานัดแล้วละ
ตุ้บ!!!
เสียงอะไรละเนี่ย ฉันตกใจแล้วก็รีบแอบออกไปดูเพราะไม่แน่ใจว่าเป็นใคร อาจจะเป็นต่ายหรือว่าเป็นคนอื่นละเนี่ย ถ้าเกิดเป็นยามละ จะทำยังไงดีละเนี่ย
“เห้ย ต่าย เอาอะไรมาเยอะแยะเนี่ย”ฉันอดที่จะตกใจไม่ได้เพราะต่ายแบกของมาเพียบ กระเป๋าเป้ใบใหญ่นั่นเองที่ทำให้เกิดเสียงจนฉันตกใจ ต่ายปีนลงมาแล้วก็มายืนยิ้มข้างๆฉัน “ก็ฉันเอาทุกอย่างที่คิดว่ามันจะช่วยเราได้นิ แหะๆ”ต่ายว่าแล้วยิ้มแห้งๆให้
“อือ ก็ดีงั้นเราไปกันเถอะ”ฉันว่าแล้วก็เข้าไปช่วยต่ายถือกระเป๋า
“เราจะทำพิธีกันที่ห้อง333นะ”ต่ายกระซิบบอกฉันเบาๆ
“อือ แล้วตกลงแกจะทำยังไงอะ”ฉันถามต่ายแต่ด้วยเสียงปกติ
“อือ ก็กะว่าจะเล่นผีถ้วยแก้วติดต่อวิญญาณดาก่อน”ต่ายบอกแผนของเธอ
“อือแล้วไงต่ออะ ติดต่อกับดาแล้วจะได้อะไร”ฉันถามเพราะไม่เข้าใจ
“ก็ต้องใช้ไม้อ่อนก่อนไง ถ้ามันไม่ได้ผลเราก็ต้องใช้ไม้แข็ง”
“ไม้แข็ง ไม้แข็งทำไงอะ”
“ก็เอาพระ น้ำมนต์อะไรพวกนี้เป็นอาวุธสู้กับดาไง ไม่งั้นก็ใช้มีดที่ฉันเตรียมมาเนี่ยละเอาไปสู้ มันคงพอจะช่วยถ่วงเวลาเอาไว้ได้สักหน่อย แล้วถ้ามันยังช่วยอะไรไม่ได้อีกละก็เราก็ต้องถ่วงเวลาแล้วก็หนีเอาตัวรอดไงละ”ต่ายพูดด้วยแววตาวิตก
“อือ ถ้าต้องหนีเราจะต้องไปด้วยกันไหน เราจะต้องรอดด้วยกันนะ”ฉันว่าแล้วเราสองคนก็จับมือกันไว้แน่นตอนนี้เราอยู่หน้าอาคาร3แล้วละ วันนี้มันดูน่ากลัวเหลือเกิน ปกติที่เป็นแค่อาคารสีขาวธรรมดาแต่เงาของตึกที่ทอดลงมาทาบทับกับปลายเท้าเรามันทำให้เรารู้สึกได้ถึงความเรากำลังถูกเงากลืนกิน พระอาทิตย์ที่กำลังจะตกทำให้ภาพเบื้องหลังของอาคารเป็นสีส้มๆแดงๆดูน่ากลัว แล้วเราทั้งสองคนก็หันมามองหน้ากันก่อนจะจับมือเดินเข้าไปในตัวอาคารเพื่อขึ้นบันไดไปชั้น3 เมื่อผ่านชั้น1ขณะกำลังเดินขึ้นชั้น2ก็ได้ยินเสียงประตูปิดเป็นทาง มันทำให้ฉันกับต่ายรีบวิ่งขึ้นบันได้ทันที ทั้งๆตอนที่ฉันกับต่ายเริ่มเราก็จะถึงชั้น2อยู่แล้ว แต่ยิ่งวางไปวิ่งไปมันก็ไม่ถึงชั้น3สักที
“เดี๋ยว เหอ เหอ หยุดเถอะ เหอะ เหอะ”ต่ายหอบหายใจแล้วก็ดึงแขนฉันให้หยุดวิ่ง
“อือ ฉันก็ว่านั่นแหละ แล้วเราควรทำไงดีเนี่ย เหอ เหอ”ฉันเองก็รู้สึกเหนื่อยไม่แพ้ต่ายเหมือนกัน เรามองหน้ากันแล้วก็ “พักก่อนแล้วกัน”เราพูดออกมาเหมือนกัน แล้วฉันก็อดขำไม่ได้ที่เราคิดเหมือนกันเลย เรานั่งลงที่ขั้นบันได ค่อยพักเหนื่อย เรายังคงมองไปรอบๆมันมีแต่บันได มันก็ไม่ต่างจากบันไดตึกเรียนเลย แต่เหมือนกับว่ามันไม่มีที่สิ้นสุดเลย มันไกลออกไปเรื่อย “เราจะทำไงต่อดีละ”ต่ายถามฉันหลังจากที่เรารู้สึกดีขึ้นเยอะแล้ว “อือ เราควรจะนั่งรอนะ เดี๋ยวเขาก็คงปล่อยเราเองแหละ”ฉันว่า
“หรอ จะให้รอไปถึงไหนละ”ต่ายถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
“แต่เราก็ไม่มีทางทำอะไรไปได้มากกว่านี้หรอก ถ้าเดินลงไปเรื่อยๆคิดหรอว่าจะเดินกลับออกไปได้ มันอาจจะลึกไปถึงนรกเลยก็ได้ แต่ถ้าเราเดินขึ้นไปเรื่อยๆก็ใช่ว่ามันจะไปถึงสวรรค์นิ ยิ่งเดินไปไกลเท่าไรการหาประตูทางเข้าที่พาเราเข้ามาก็ยิ่งยากนะ การที่เราเดินขึ้นไปแล้วยิ่งหาทางออกไม่เจอ สู้นั่งรออยู่ที่นี้รอให้มีการเคลื่อนไหวก่อนดีกว่า อย่างน้อยมันก็ดีว่าเดินไปเรื่อยๆจนหมดแรงแล้วก็ตายนิ”ฉันอธิบายให้ต่ายฟังซึ่งเธอก็เห็นด้วย แล้วต่ายก็หยิบมือถือของเธอขึ้นมา “ไม่มีสัญญาณเลยอะ ของแกละมีไหม”ต่ายถามแล้วก็มองหน้าฉัน ฉันก็เลยหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมา “ไม่มีเหมือนกันอะ สงสัยว่าเราคงจะอยู่ในมิติที่4ละมั้ง หรือไม่ก็เป็นโลกที่เราไม่รู้จัก แต่ที่แน่ๆไม่ใช่โลกมนุษย์แน่นอนละมั่ง”ฉันบอกออกไปตามที่คิดแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาหรอก ยิ่งพยายามคิดว่าอยู่ที่ไหนมันก็ยิ่งรู้สึกว่าอาจจะออกไปไม่ได้เลย ก็เหมือนกับที่ฉันกำลังคิดอยู่ว่าฉันควรจะวิ่งหาทางออกไปเรื่อยๆเพื่อว่าจะโชคดีออกไปได้ หรือว่าจะอยู่เฉยๆรอความตายดีละ วิ่งไปเรื่อยๆก็ใช่ว่าจะรอด นั่งรอเฉยๆก็คงไม่รอดอีกเหมือนกัน อยากจะตายอย่างสบาย หรือว่าอยากจะตายอย่างเหนื่อยๆละ สรุปฉันขอนั่งรออยู่ที่นี้ดีกว่า “ต่ายแกจะวิ่งหาทางออกก็ได้นะ เพื่อว่ามันจะออกไปได้ แต่ฉันเลือกที่จะนั่งรอที่นี้นะ”ฉันบอกต่ายตามที่ฉันคิด
“ไม่เอานะ ถ้าแกจะนั่งอยู่นี้ฉันก็จะนั่งอยู่ด้วย เราเพื่อนกันนะ”ต่ายว่าแล้วก็กำมือฉันไว้
“อือ ถ้างั้นเราก็นั่งนิ่งๆแล้วกัน เก็บออมพลังงานเอาไว้ใช้ตอนที่จำเป็นดีกว่า ไม่ต้องพูดอะไรนะต่าย ฉันอยากนั่งคิดอะไรเงียบๆไปเรื่อยมากกว่า”ฉันบอกต่ายแล้วเธอก็พยักหน้า เราทั้งสองนั่งกันคนละฝั่ง ฉันนั่งฝั่งขวาส่วนต่ายนั่งฝั่งซ้าย เราหันหน้าเข้าหากัน แต่ฉันกลับไม่รู้สึกว่าต่ายอยู่ที่นั่นเลย ฉันกลับกำลังคิดถึงความตายที่มันค่อยๆคลืบคลานเข้ามาหาฉัน แล้วต่ายละเธอไม่น่าจะเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะฉันเธอก็คงไม่ต้องมานั่งอยู่ที่นี้ มาติดอยู่กับฉันที่นี้ตรงนี้ เธอควรจะมีความสุขอยู่ที่บ้าน ดูทีวีรายการโปรดของเธอ ไม่น่าคิดจะมาช่วยฉันเลยจริงๆ ฉันไม่น่าพาต่ายเขามายุ่งด้วยเลยจริงๆ ทำไมฉันถึงโง่อย่างนี้ ฉันมันไม่ได้เรื่อง ช่วยอะไรใครไม่ได้ แล้วยังพาคนอื่นมาตายด้วยอีก บีม นายบีมอยู่ที่ไหนอะ ออกมาช่วยฉันทีสินะ ถ้านายอยากได้อะไรฉันจะให้นายทุกอย่างเลย แต่ช่วยฉันทีสิ หรือไม่ก็ช่วยต่ายที พาเพื่อนฉันออกไปทีเถอะนะ หลังจากที่ฉันนั่งรอและภาวนาหานายบีมแต่มันก็ไร้ผล ฉันดูนาฬิกาเรานั่งอยู่ที่นี้มาเกือบ2ชั่วโมงแล้ว ตอนนี้ก็เวลาทุ่มกว่าๆเกือบสองทุ่มแล้ว
“ต่าย เราเล่นผีถ้วยแก้วกันเหอะ”ฉันบอกต่าย
“ตรงนี้หรอ”ต่ายหันมามองหน้าฉันพร้อมกับทำตาโต
“ตรงที่พักบันไดอะ”ฉันบอกต่ายและเดินขึ้นไปตรงที่พักบันได
“อือ ก็ได้”ต่ายว่าแล้วก็รีบแบกของตามฉันขึ้นมานั่งตรงที่พักบันได
ต่ายรีบเอากระดาษสำหรับเล่นผีถ้วยแก้วออกมา “อะนี้ไง”ต่ายว่าแล้วก็ส่งกระดาษมาให้ฉัน “แล้วธูปละ”ฉันถามหาต่ายรีบส่งมาให้ “เทียน”แล้วต่ายก็ส่งเทียนมาให้
“ไฟแช็ก”อะนี้ๆต่ายส่งให้ฉัน ฉันรับไฟแช็คมาแล้วก็นำไปจุดเทียน แล้วเอาเปลวไฟจากเทียนมาจุดธูป ต่ายเองก็ถือแก้วใบเล็กๆไว้ในมือ “เอาแก้วมา”ฉันบอกแล้วต่ายก็ส่งแก้วมาให้ ฉันเอาธูปไปต่อที่ปากแก้วให้ควันธูปเข้าไปในแก้ว แล้วก็คว่ำแก้วลงบนกลางกระดาษ “อะนี้กระถางธูป”ต่ายบอกแล้วก็ส่งกระถางธูปมาให้ฉัน
“รอบคอบจริงๆเลยนะ”ฉันชมต่าย เธอยิ้มน้อยๆให้มันทำให้ฉันรู้สึกดีจริงๆ
แล้วเราทั้งสองคนก็มองหน้ากันอย่างตื่นเต้น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และฉันก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แล้วก็ตามด้วยต่าย สลับกันไปมาจนจบ
“นะ”
“มะ”
“อะ”
“อุ”
เราท่องอย่างนี้กันอยู่สามรอบ แล้วนั่งรอสักพักหนึ่ง แล้วลมก็พัดเอื่อยๆเบาๆมาจากทิศใดก็ไม่ทราบ แต่มันเป็นสัญญาณบอกว่ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ฉันรู้สึกได้ รู้สึกเหมือนกับแก้วที่เราวางนิ้วชี้อยู่นั้นมีชีวิตเหมือนกับเรากำลังวางนิ้วอยู่บนตัวเต่าตัวเล็กๆที่ขยับเขยื้อนได้ เพียงแต่ตอนนี้มันยังไม่คิดจะขยับขาก็เท่านั้นเอง
“ฟาง...”ต่ายกระซิบ
“เงียบก่อน...”ฉันกระซิบกลับ
“แก้ว...”
ต่ายถามขึ้นหลังจากเงียบไปสักพัก “เข้ารึยังอะ”
แต่ฉันก็ไม่ได้ตอบคำถามเธอ นอกจากแก้ว...แก้วที่วางอยู่บนกระดาษนั่นค่อยๆ ขยับเขยื้อน ขยับเขยื้อน ขยับ...ขยับ...ขยับอย่างช้าๆ ขยับอย่างช้ามากตามปกติ แต่สำหรับฉันและต่าย มันเร็วเกินไป...เร็วเกินกว่าที่เราจะตั้งตัวทัน ฉันรู้ดีว่ากฎเหล็กของการเล่นเกมอันตรายนี้ คืออย่าถอนนิ้วออกจากแก้ว อยากให้นิ้วหลุด ไม่อย่างนั้นผีจะเข้าสิงคนนั้น
เหงื่อเราไหล แต่ฉันก็ไม่กล้ายกมืออีกข้างขึ้นเช็ดเหงื่อ ฉันกลัวว่านิ้วจะหลุด การที่เราวางนิ้วชี้ไว้นั้นเราต้องมั่นใจด้วยว่าเราไม่กดทับแก้วจนเกินไป และไม่หลุดลอยจากแก้ว เป็นการคาดคะเนที่ยากเหลือเกิน ฉันรู้สึกว่าความมืดที่ค่อยๆโรยตัวลงมา แก้วยังคงขยับต่อไปเรื่อยๆ ไปยังอีกด้านของกระดาษ ไปยังคำว่า...
‘ใช่’
“ฟาง ฉันกลัว”ต่ายคราง ฉันรู้สึกว่าตัวเธอสั่นและเย็นเฉียบ เธอไม่ได้นั่งใกล้ฉันแต่ความรู้สึกกลัวและหนาวสั่นมันส่งออกมาทางสายตาของเธอ ระหว่างนั่นเราก็ยังคงนั่งจ้องมองกระดาน
“คุณเป็นใคร”ฉันถามออกไป เสียงสั่นเครือ ฉันกลัวว่าฉันจะปล่อยนิ้วหลุดออกจากแก้ว นิ้วของฉันสั่น สันหลังเสียววาบ ฉันมีความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ท่ามกลางวงล้อมของมวลสารบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นอย่างเป็นรูปเป็นร่าง และกำลังจับตาจ้องมองเราอยู่
แก้วยังไม่ขยับ เรายังคงรอคอยอยู่ เราไม่กล้าถอนมือออก การจะถอนมือออก การที่จะถอนมือได้เราต้องบอกให้เขาออก แต่ถ้าเขาไม่ออก เราก็แย่
“คุณชื่ออะไร”ฉันถามซ้ำอีกครั้ง ต่ายเงยหน้ามองฉัน เราสองคนสบตากัน แล้วฉันก็รู้สึกเหมือนมีเงาดำๆพาดทับดวงตาของต่าย
ฉันสะดุ้ง นิ้วเกือบหลุดออกจากแก้ว
“อะไรหรอ”ต่ายถาม”เกิดอะไรขึ้น”
“ปะ...เปล่า”ฉันตอบ มือของฉันมีเหงื่อซึม นิ้วกดแน่นลองบนแก้ว ฉันเพิ่งรู้ตัวตอนหลัง แล้วก็ค่อยๆคลายนิ้วออก
ใจเย็น...ใจเย็น...ฟาง ใจเย็น...
แก้วเริ่มขยับเขยื้อนอีกครั้ง คราวนี้ไปเร็วมาก เร็วเกินไป เร็วเหมือนมีใครไปกดปุ่ม ‘เร่งเข้า’ เพิ่มขึ้นเป็น5เท่า ขยับเร็วจนฉันกลัวว่านิ้วมือของฉันหรือของต่ายจะหลุด แต่ก็โชคดีที่นิ้วของเราไม่ได้หลุดออกจากแก้ว ทั้งฉันและต่ายต่างจิกนิ้วลงไปบนแก้ว สายตาจับจ้องไปที่ตัวอักษรทุกตัวที่เหรียญหยุด
‘ดาริณี’
ตัวฉันเองตกใจจนนิ้วเกือบจะหลุด แต่ว่าต่ายถอยไปไกลแล้ว นิ้วเธอหลุดออกจากแก้วแล้ว
“ต่าย นิ้วแกหลุด”ฉันตะโกนบอกต่าย
“หา”ต่ายทำตาโตแต่ยังคงถอยต่อไปจนอีกนิดเธอก็จะตกบันได้อยู่แล้ว
“ต่าย กลับมานี้ ต่ายมาสิ เดี๋ยวก็ตกหรอก”ฉันตะโกนบอกต่ายอีก
“อาย!!!!”ต่ายตะโกนลั่นก่อนจะตกบันได้ลงไป ฉันไม่เข้าใจเลยทำไมเธอถึงถอยนี้ฉันออกไปเรื่อยๆ หรือว่าเมื่อฉันเหลือบไปมองข้างๆก็ได้พบกับเธอ
“ดา”ฉันหันไปมองเธอแล้วเธอก็ค่อยๆเลื่อนตัวหรือว่าลอยตัวออกมาหาฉันจนอยู่ตรงหน้าฉันพอดี ความรู้สึกกลัวที่เคยมีตอนนี้มันแทบจะไม่เหลือแล้วละ แต่ความเคียดแค้น ความอยากแก้แค้นที่มันมันกลบความกลัวไปหมดแล้วละ
“แกต้องการอะไร”ฉันถามเธอ เสียงนั่นไม่ได้สั่นเพราะกลัวเธออีกแล้ว
“ฉันก็แค่อยากให้เธอต้องติดอยู่ที่นี้ ตลอดไป ให้เธอต้องทุกข์ทรมานกับการที่เห็นคนรักของเธอต้องตายยังไงละ นี้ไงละปลาเพื่อนของเธอ”ดาว่าแล้วก็ทำให้ฉันเห็นภาพปลากำลังทุรนทรายอยู่บนอะไรสีดำๆสักอย่าง มันดูเหมือนเธอกำลังจะตาย
“อย่า อย่าทำเขาอีกเลย อย่าเลยนะ”ฉันบอกเธอตอนนี้ความกลัวมันเริ่มกลับมาแล้ว แล้วภาพปลาก็หายไปกลายเป็นภาพฟ้า เธอกำลังโดนแมลงรุมกัดรุมตอม เลือดและน้ำเหลืองของเธอไหลออกมาจากแผล ฉันเห็นได้แค่หน้าของเธอซีกขวาหน่อยนึงเท่านั่น เพราะแมลงรุมกัดใบหน้าของเธอด้วย เลือดผสมกันเต็มไปหมด มันน่ากลัวเหลือเกิน แล้วภาพฟ้าก็หายไปกลายเป็นภาพของแม่ฉัน ท่านกำลังวิ่งหนีอะไรสักอย่าง บางครั้งแม่ก็หยุดหอบ แต่ก็วิ่งต่อไป แล้วแม่ก็ล้มลง มีหมาหรือว่าอะไรสักอย่างที่เหมือนกับหมาดำตัวใหญ่รุมทึ้งตัวแม่ของ “ไม่ แม่ แกอย่าทำอะไรแม่ฉันนะ”เมื่อเห็นภาพแม่เป็นอย่างนั่น ฉันก็เลยล้วงหยิบมีดคัตเตอร์ในกระเป๋าแล้วก็แทงเข้าไปที่หน้าของดา ฉันกดเธอลงที่พื้นแล้วก็กรีดไปหน้าของเธอ ปากเธอแหว่งออกมา ใบหน้าและหนังหน้ากลายเป็นริ้วๆ แต่เธอก็ยังเฉย ฉันระดมกรีดมีดไปทั่วไปหน้าเธอ จนจมูกของเธอแหว่ง ลูกตาหลุด หูหาย แต่เธอก็ไม่มีการตอบโต้ สักพักเดียวเท่านั่นหน้าของเธอก็กลับมาเหมือนเดิม มันทำให้ฉันตกใจจนผละถอยหนีออกจากเธอ
“ไม่ต้องกลัวฉันหรอก เธอไม่อยากเห็นว่าตอนนี้ต่ายเป็นยังไงอย่างงั้นหรอ”ดาถามและจ้องหน้าฉัน
“อยาก”ฉันบอกเธอถึงแม้ตัวเองก็กลัวเหลือเกินที่จะได้เห็น แล้วภาพของต่ายก็ค่อยๆปรากฏขึ้นมา เธอตกลงไปในน้ำร้อนที่กำลังร้อนเดือดๆ เธอดิ้นทุรนทุรายไปมาเพื่อที่จะตะเกียดตะกายขึ้นฝั่งแต่มันก็ไม่สำเร็จ ฉันช่วยอะไรเธอไม่ได้ ได้แต่นั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้น
“จะให้ฉันทำอะไร เพื่อให้แกหยุดทำร้ายพวกเขาสักที”ฉันตะคอกถามมัน
“หึหึ แกไม่มีทางช่วยใครเขาได้หรอกฟาง แกจะต้องติดอยู่ที่นี้ ไม่มีทางช่วยใครได้ หันสำนึกไว้นะว่าแกนะเป็นคนทำให้พวกเขาต้องเป็นอย่างนี้ แกเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด แกนะมันเป็นปีศาจร้ายที่ทำร้ายได้แม้กระทั่งคนที่ตัวเองรัก”ดาบอกฉันแล้วเธอก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งจนฉันหนาวไปทั่วไขสันหลัง ดาค่อยๆหายไปแล้ว แต่ภาพพวกนั่นยังอยู่ ฉันต้องทนดูพวกเขาถูกทรมาน ทั้งแม่ทั้งเพื่อนๆ ฉันไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหน ที่นี้ไม่มีกลางวันกลางคืน แต่ยิ่งอยู่ฉันก็รู้สึกเหมือนมันยิ่งมืดขึ้นทุกที ฉันเห็นแม่แล้วก็เพื่อนๆเหมือนสลบไปหรือว่าหยุดหายใจแล้ว แต่เดี๋ยวสักพักพวกเขาก็ฟื้นขึ้นมาถูกทรมานต่อ ฉันทนดูไม่ไหวแล้ว ฉันตัดสินใจวิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ และแรงของฉันก็ค่อยๆหมดลง หมดลง
เมื่อรู้สึกตัวอีกทีฉันกำลังถูกดาใช้มีดกรีดไปทั่วจนเนื้อฉันแหว่ง
“โอย โอย เจ็บนะ หยุดสักทีสิ หยุดสักที”ฉันบอกเธอ แต่เหมือนเธอไม่ได้ยิน หรือเพราะว่าฉันพูดเสียงเบาไป นายบีมก็ยืนอยู่ที่ตรงนั่นด้วยยืนหันหลังให้
“หึ หึ จะร้องทำไม ยังไงแกก็หนีไปไม่ได้หรอก”ดาว่าแล้วก็หัวเราะใส่หน้าฉัน แล้วก็ยังคงใช้มีดค่อยๆกรีดลงบนใบหน้าของฉัน
“ไม่ ไม่นะ โอย”ฉันต้องตกตะลึงยิ่งเข้าไปใหญ่เพราะดาค่อยใช้มีดแซะเอาเนื้อของฉันออกมา เนื้อที่ฉันเองก็ไม่เคยเห็น ตอนนี้มันหลุดออกมาจากหน้าของฉัน
“ไม่อย่านะอย่า”ยังตกตะลึงกับเนื้อของตัวเองไม่หาย ดาก็เอามีดมาจ่อแถวๆตาของฉันและค่อยๆควักมันออกมา
“ช่วยด้วย บีมช่วยฉันด้วย ช่วยฉันที”ฉันได้แต่ได้ร้องไห้ขอร้องให้บีมช่วยเอามือขึ้นมากุมตาของตัวเองเอาไว้ แล้วฉันก็ได้พบความจริงอีกอย่างว่านิ้วมือของฉันถูกตัดหายไปเหลือเพียงข้อสุดท้ายอยู่นิดหน่อยเท่านั่น ฉันพยายามกระเสือกกระสนไปหานายบีม
“จะหนีไปไหน”ดาว่าแล้วตามเข้ามาจิกหัวฉัน
“โอยๆ บีม ช่วยด้วยช่วยฉันที”ฉันเอามือเอื้อมไปจะจับขากางเกงของนายบีมแต่เขากลับหลบไม่ให้ฉันจับ
“เป็นอะไรไปอะ โอยๆ”ฉันพยายามจะถามนายบีมแต่ดาดึงผมฉันให้ฉันหันไปมองหน้าเธอแล้วก็กรีดตัดเอาหูของฉันออก
“ฮ่าๆ ฮ่า ฮะ ฮ่า ฮ้า ฮ้า”ดาหัวเราะอย่างมีความสุขเสียเหลือเกิน แต่ฉันกลับไม่รู้สึกเจ็บอีกแล้วละ มันชาไปหมดแล้ว
“บีมยังไม่หายโกรธฉันอีกหรอ ฉันขอโทษ ฉันไม่ตั้งใจจะว่านาย”ฉันพยายามจะพูดแต่พูดไปพูดมาก็รู้สึกว่าเลือดไหลออกมาจากปาก ฉันค่อยเอามือปาดเลือดออก แล้วก็พบความจริงอีกอย่างว่า ท้องฉันนั่นเปิดอยู่ ไส้เป็นมันเงาอยู่ในท้องฉัน และมีแมลงกำลังไต่ไปทั่วท้องของฉัน แมลงวันมันวางไข่ในท้องฉันแล้วหนอนที่ปกติต้องใช้เวลานานในการฟักตัว เพียบสักพักเดี๋ยวมันก็กลายเป็นหนอนแมลงวันค่อยๆกัดกินเนื้อเยื้อของตัวฉันเอง มันกัดไส้แล้วก็คลานขึ้นมาเรื่อย มันไต่ออกจากปาก จากจมูกจากรูหู แล้วก็ตาของฉัน “อ้ายยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!”ฉันกรี๊ดเสียงดังลั่นที่สุดเท่าที่ฉันมีแรงจะกรี๊ด แล้วภาพพ่อภาพแม่ภาพเพื่อนๆก็ค่อยๆชัดเจนในความรู้สึกของฉัน ภาพตอนที่ฉันมีความสุข ภาพตอนแม่กอดฉัน ภาพตอนฉันไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ทุกอย่างพรั่งพรูออกจากความทรงจำของฉันเอง และทุกอย่างก็ค่อยๆพร่ามั่วลงไป จนฉันเองก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย
“พอเถอะดา พอได้แล้ว ฟางเขาไม่ผิด และไม่เคยผิดด้วย พี่ไม่เคยต้องการให้มุกเขามาชดใช้อะไรทั้งนั่น พอได้แล้วดา พอได้แล้ว”นายกวีว่าและจับมือของดาเอาไว้ไม่ให้ทำร้ายฟางไปมากกว่านี้ ตอนนี้ฟางแน่นิ่งปล่อยให้ตัวหนอนกัดกินเนื้อเยื่อทั้งในโพรงจมูก โพรงตา โพรงหู และก็ในปาก ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่หนอนเต็มอยู่ไปหมด
“ก็ได้ พอก็ได้ ดาไม่ทำมันแล้วก็ได้ แต่ต้องสัญญานะว่าจะเลิกยุ่งกับมัน จะไม่คิดถึงมันอีก มันเป็นคนทำให้พี่ต้องตายนะ เลิกรักมันซะทีเถอะ”ดาว่าแล้วก็เข้าไปกอดนายกวีเอาไว้ แต่กวีกลับผลักเธอออก
“ดาทำเพื่อพี่นะค่ะ พี่กวี ดารักพี่นะค่ะ แต่มันต่างหากที่ทำร้ายพี่”ดาว่าแล้วพยายามจะเข้าไปกอดนายกวีอีกครั้ง
“แต่พี่รักฟาง ไม่ว่าเธอจะเป็นฟางหรือว่าเป็นมุกพี่ก็ยังรักเธอ พี่ชอบที่เธอเป็นเธอ เธอเป็นคนดี เธอไม่เคยผิดเลย แต่คนที่ผิดคือพี่ต่างหากละ”นายกวีเอ่ย
“ดาไม่เข้าใจ พี่กวีหมายความว่าอะไรค่ะ”ดาพูดด้วยเสียงที่ไม่พอใจ
“หยุดเถอะ พอได้แล้วไปได้แล้วพี่ไม่อยากจะเห็นหน้าเธออีก”กวีว่าดาและหันหลังให้เธอ
“ไม่ ไม่จริงๆ พี่กวีโกหก”ดากรีดร้องเสียงแหลมสูง หน้าตาที่เคยดูเหมือนคน ตอนนี้กลับกลายเป็นเหมือนปีศาจในร่างมนุษย์
“หยุดเถอะ ถ้าไม่หยุด พี่ก็ไม่ไว้หน้าแล้วเหมือนกัน”นายบีมว่าและพยายามจะเข้ามาขัดขวางไม่ให้ดาดูดพลังชีวิตของฟางไป แต่ดาไม่ฟังเสียงใครอีกแล้ว เธอยังคงดูดพลังขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วเธอก็ต้องชะงักเมื่อดาบเล่มเขื่องถูกฟาดใส่เธอตั้งแต่หัวจรดท้อง และมันก็หยุดอยู่ที่ท้องของเธอ ‘ดาบกระชากวิญญาณ’เมื่อเธอรู้ว่ามันคือดาบอะไรมันก็สายไปเสีย
“พี่ กวี”สิ้นเสียงนี้แล้วร่างกายของเธอสลายไปเป็นเพียงผงขี้เถ้า
“ไม่เป็นไรนะครับคุณมุก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กระผมจะเฝ้ารอคุณมุกทุกชาติ ทุกชาติไป”นายกวีเอ่ยและใช้มือข้างขวาปัดไปที่ตัวของฟางทำให้หนอนนั่นหายไปและบาดแผลที่เคยมีก็กลับมาสมานกันอย่างเดิม ลูกตาที่เคยหลุดบัดนี้มันก็เข้ามาอยู่ในเบ้าตาเหมือนเดิมแล้ว แล้วเขาก็ใช้มือซ้ายปัดผ่านไปที่ร่างของฟาง แล้วร่างของเธอก็หายไป เขารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน อยากจะพักแล้วละ แล้วร่างกายของเขาก็ค่อยๆเลือนลางไปและหายไปในความมืด
คืนนี้เป็นเดือนมืดที่มีฝนตกอย่างหนัก ทุกสิ่งทุกอย่างดูมืดมิด ถึงจะมีแสงดาวช่วยทอแสงแต่มันก็ไร้ซึ่งพลังอำนาจพอที่จะไปต่อกรกับแสงจันทรา เสียงฝนตกดัง ซา! ซา! ฟางร้องไห้คร่ำครวญจนตาของเธอแดงบวม เธอพร่ำเรียกชื่อเพื่อนๆของเธอท่ามกลางสายฝนตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้า
เมื่อนายตำรวจช่วยฉันขึ้นมาจากหลุมได้ ตอนนั่นฉันก็แทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วละ ฉันไม่รู้ว่าฉันเข้าไปอยู่ในหลุมนั่นได้ยังไงกัน แต่ที่ฉันรู้คือฉันไม่คิดเลยว่ากำลังถูกช่วยเหลือ ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันต้องกลับมาเผชิญกับโลกแห่งความจริง ต้องกลับมาเจอกับดาอีกเธอต้องการให้ฉันติดอยู่ที่นั่นนิ ฉันชดใช้ให้เธอหมดแล้วหรอ แล้วหนอนละ หนอนมันอยู่ในตัวฉันนิ ฉันอดที่จะรู้สึกขยะแขยงข้างในตัวเองไม่ได้ ‘นายบีม นายหายโกรธฉันแล้วหรอ’ ฉันคิดขึ้นเมื่อเห็นนายบีมยืนอยู่แถวๆรถของตำรวจ
‘อือ ฉันหายโกรธเธอแล้วละมุก ฉันจะไปรอเธอนะ’ฉันรู้สึกว่านั่นคือคำพูดของบีม ‘ไม่นะบีม นายจะไปไหนอะ’ นายบีมค่อยๆหายไปราวกับอากาศ พ่อรีบเข้ามาหาฉัน พ่อกอดฉันเอาไว้
“ไม่เป็นไรแล้วนะลูก”พ่อกอดแล้วก็พยายามปลอบฉัน แต่ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาเลย มันกลับทำให้ฉันรู้สึกแย่ขึ้นเมื่อพบว่าพ่อคือคนรักคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ แล้วใครจะเชื่อละ เมื่อฉันคิดได้อย่างนั่น ทันใดพ่อของฉันก็ผลัดตกลงไปในบ่อที่ฉันพึ่งขึ้นมา จริงๆมันไม่นาจะเป็นอะไรมากแต่ดินที่ปากบ่อกลับถล่มทับลงไป ความลึกของบ่อเกือบ5เมตร ตำรวจหลายนายพยายามจะช่วยเปิดทางพาพ่อฉันขึ้นมา ตำรวจนายหนึ่งประคองฉันมานั่งในรถตำรวจแล้วเขาก็เดินกลับไปที่บ่อ ฉันเองไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ฉันมองออกไปนอกรถและก็พบกับ ‘ดา’ แล้วเมื่อฉันมองอีกทีเธอก็ไม่อยู่แล้ว ฉันคงชดใช้ให้เธอหมดแล้วใช่ไหม
เมื่อนายตำรวจหนุ่มซักถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฟางกลับนิ่งเฉยไม่ได้ตอบอะไร หรือเธออาจจะไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนของคุณตำรวจก็ได้ มีเพียงเสียงสะอื้นร้องไห้ดังเล็ดลอดออกมาจากปากของเธอ “ฉันฆ่าพวกเขา”เธอเอ่ยเสียงเบา ก่อนจะสะอื้นไห้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เธอจะแน่นิ่งไป โดยไม่ขยับเขยื้อนอีกเลย ลมหายใจของเธอค่อยๆรวยระรินลง เหมือนกับแสงเทียนที่ใกล้จะดับเต็มที
ความคิดเห็น