ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Gate of Dream ภาคอัสนี

    ลำดับตอนที่ #7 : นอกเรื่อง 1 :ยามเมื่อผู้กล้าลาลับ

    • อัปเดตล่าสุด 5 ธ.ค. 51


    />

    นอกเรื่อง 1 :ยามเมื่อผู้กล้าลาลับ

     

     

                    ผู้กล้า คำๆนี้ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอย หรือเป็นเพียงตำนานเล่าขาน ในแดน ดิแลนดอย(Delendoy) เพราะมันคำเรียกขานของผู้ที่มีอยู่จริงๆ ที่สืบทอดฉายานี้ติดต่อกันมาในดินแดนแห่งนี้ ผู้สืบทอดพลังแห่งพระเจ้า ผู้ครอบครองกระบี่แห่งปาฏิหาริย์ อันมีนามว่า  โฮลี่บลาส (Holy Bless Broadsword) และแน่นอนว่า ในเมื่อมีผู้กล้า ก็ยอมมีจอมปีศาจ ซึ่งจอมปีศาจ ณ. ดินแดนแห่งนี้ ก็มีนามว่า เจ้าแห่งความมืดกรีรูน (Geerune Dark Lord) แต่ในเมื่อมีผู้กล้ามีการสืบทอด แต่จอมมารกลับไม่เปลี่ยนตำแหน่ง ก็ย่อมหมายความว่า ผู้กล้าที่ผ่านมาแต่ล่ะรุ่นล้วนไม่สามารถกำจัดจอมมารนี้ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้กล้าจะปราชัย เนื่องจากผู้กล้าทุกรุ่นล้วนมีชัยเหนือ จอมมารทั้งสิ้น แต่การฆ่ามันให้ตายไปนั้นกลับเป็นเรื่องที่ยากลำบากจนแทบเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นผู้กล้าแต่ล่ะรุ่นล้วนแก้ปัญหาด้วยการ ผนึกจอมมารเอาไว้ แม้ไม่สามารถกำจัดให้เด็ดขาด แต่ด้วยผลงานนี้ ก็เพียงพอให้ผู้คนทั่วทั้งโลก ยกย่องสรรเสริญ รวมทั้งมอบทั้งลาภยศ และตลอดจนมีการมอบเจ้าหญิง หรือผู้ที่ได้รับขนานนามว่าเป็นผู้ที่สวยงามที่สุดให้เป็นคู่ครอง แด่ผู้กล้าอยู่เนืองๆ จนกลายเป็นประเพณีปฏิบัติ

     

                    โดยเฉพาะผู้กล้าแต่ล่ะรุ่นล้วนมีคุณสมบัติที่สำคัญ คือต้องเป็นผู้มีจิตใจดีงาม และที่สำคัญต้องได้รับการยอมรับจาก กระบี่โฮลี่บลาส ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ ของผู้กล้า ซึ่งพลังของโฮลี่บลาส นั้นขึ้นกับจิตใจที่ดีงามของ ผู้เป็นเจ้าของ อันประกอบด้วย ความรัก ความเมตตา ความเสียสละ และความยุติธรรม ด้วยจิตใจที่สูงส่งในความดีทั้งสี่นี้ จะช่วยให้ กระบี่นี้สามารถเปล่งรัศมีศักดิ์สิทธิ์ ที่เพียงแค่ประกายแสงก็สามารถทำลายเหล่าปีศาจได้แล้ว มีเพียงจอมมารเท่านั้นที่สามารถต้านทานรัศมีนี้ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผล เนื่องจากจอมมารต้องใช้พลังแทบทั้งหมดเพื่อ ป้องกันรัศมีเหล่านี้ และกระบี่เล่มนี้ยังมีพลังอื่นๆ อีกมาก เพียงแต่ กระบี่จะยอมรับเจ้าของเพียงคนเดียว และจะไม่เปลี่ยนเจ้าของจนกว่า เจ้าของเดิมจะสิ้นลม

     

                    และวันนี้ ก็มีผู้กล้ากำลังเดินทางมายังปากสู่โลกปีศาจ เขามาเพื่อ อะไร ปราบจอมมารหรือ ผนึกจอมมารหรือ ล้วนมิใช่ เนื่องจาก เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เขาเป็นผู้กล้าคนเดียว ในประวัติศาสตร์ ที่สามารถสังหารจอมมารได้สำเร็จ!!!!

     

                    แล้ววันนี้เขามายังปากทางนี้ทำไม ในเมื่อหลังจากปราบจอมมารได้ สำเร็จปากทางแห่งนี้ เขาเองก็เป็นผู้ผนึกเองกับมือ และจนถึงบัดนี้ผนึกที่ปิดปากทาง ก็ยังแน่นหนาแข็งแรง ตลอดเวลา 30 ปีไม่มีปีศาจแม้ซักตัวสามารถ ทำลายผนึกของเขาได้ แม้ในหมู่ปีศาจเองก็ขนานนามเขาว่า ผู้กล้าที่แกร่งที่สุด จนไม่มีปีศาจตนใด กล้ามาข้องแวะกับเขาเลย แล้วเขามายังปากทางโลกปีศาจทำไม

     

                    ท่านผู้กล้า ฮัคแบค ไม่ได้เจอกันซะนาน ไม่ทราบวันนี้ ลมอะไรลากท่านมา ยังปากทางอันต่ำทรามของพวเราหรือ ปีศาจร่างสูงโย่ง แต่งกายด้วยชุดทักซีโด มีเครา 3 แฉก ใบหน้าสีเขียว ได้เอ่ยทักทาย อยู่ภายในผนึกฝั่งโลกปีศาจ

     

                    อัลเฟด ข้าจำเจ้าได้ไม่จำเป็นต้องเล่นลิ้นคารมกับข้า ฮัคแบคกล่าวด้วยท่าทีแข็งกร้าว

     

                    โอ ท่านผู้กล้า ได้โปรดอย่าอารมณ์ เสียต่อข้าน้อย อันต่ำต้อยเลย ด้วยว่าข้าเดาไม่ออกจริงๆ ว่าท่านมาทำไม แต่คาดว่าคงเกี่ยวข้องกับประกายแสงของกระบี่ที่หมองแสง เล่มนี้แน่ๆ อัลเฟด กล่าว

     

                    หึๆ ช่างสมกับเป็นปีศาจจริงๆ ถูกแล้วเวลานี้ จิตใจดีงามทั้งสี่ประการของข้า กำลังสั่นคลอน กระบี่เล่มนี้จึงหมองแสง ข้ากำลังถูกครอบงำด้วยความโกรธ และหลงตัวฮัคแบค กล่าว

     

                    โอ ท่านผู้สูงส่ง ท่านผู้เป็นผู้พิชิต ในโลกนี้ยังมีผู้ใดกล้ายั่วโทสะท่านอีกหรือ แล้วที่ว่าหลงตัว ยังมีผู้ใดอีกเล่าที่สูงส่งเทียมเท่าท่านเล่า ท่านผู้พิชิตจ้าวแห่งความมืด อัลเฟดกล่าว

     

                    หึๆ สูงส่ง ช่างยกย่องกันจริงๆ แต่ในความเป็นจริง ในชีวิตข้าเต็มไปด้วยคำเหยียดหยาม ดูถูก และรังเกียจ ฮัคแบค ตอบด้วยเสียงคำราม ที่อัดอั้นด้วยอารมณ์ ความน่าเกรงขาม นั้นถึงขนาด ปีศาจชั้นสูงอย่าง อัลเฟด ยังสั่นสะท้าน ไปด้วยความกลัว จนต้องทรุดเข่าลง สมแล้วที่เป็นผู้กล้าที่แกร่งที่สุด

     

                    โอ ยังมีผู้โง่เขลา ถึงเพียงนี้อีกหรือ ที่กล้าหยาบหยามประณามผู้ที่ สร้างความสงบสุขให้กับโลกใบนี้ อัลเฟด ที่แทบทนแรงกดดันไม่ไหว ก็ยังพยายามอดกลั้น ถามปัญหาอันเป็นข้อสงสัย ออกไป

     

                    ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผู้ใดหรือ ทั้งโลกเลยไงล่ะ ทั้งโลก น้ำเสียง ของ ฮัคแบคยิ่งเกรี้ยวกราด ยิ่งทวีความน่ากลัว พร้อมทั้งเริ่มต้นเล่าเรื่อง

     

                    ในอดีตเมื่อ 35 ปีก่อน กระบี่เล่มนี้ได้ลอยมาจากฟากฟ้ามาปักลงตรงหน้าข้า นับตั้งแต่นั้น ข้าก็รับรู้ว่าข้าคือผู้กล้าคนปัจจุบัน ด้วยความอุตสาห มานะ อดทน ข้าได้พยายามศึกษาหาความรู้อย่างเต็มที่ ด้วยความเป็นอัจฉริยะ ไม่ว่าเป็นความรู้ด้านใดข้าก็สามารถเรียนรู้ได้ในเวลาไม่นาน เพียงแค่ 3 ปี ก็ไม่มีนักรบคนใดสามารถเอาชนะ ข้าได้ในเชิงกระบี่ได้อีกเลย และเมื่อถึงปีที่ 4 นักเวทย์ทั้งอาณาจักร ก็ไม่มีใครสามารถสู้กับข้าได้ทัดเทียม

     

                    ดังนั้นในปีที่ 4 ข้าก็ได้ไปสาบานตนต่อ วิหารกลาง เพื่อไปปราบจอมมาร ตามประเพณีปฏิบัติ ของผู้กล้าทุกรุ่น และแน่นอนว่ามีกษัตริย์มากมาย เข้าร่วมการสาบานของเขา และในที่นั้น มีกษัตริย์นามครอส ได้เสนอให้ข้า แต่งงานกับบุตรสาวคนงามของเขานามว่า โรเลไล นางสวย สวยมาก สวยจนข้าไม่อาจละสายตา ในเวลานั้น ข้าคิดว่า ข้าช่างเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก และเนื่องจากจิตใจของข้าไร้ความขุ่นมัว กระบี่ก็ยิ่งทวีอำนาจยิ่งขึ้น ข้าจึงรีบมุ่งตรงมายังปากทางโลกปีศาจทันที แต่เวลาในโลกปีศาจนั้นแตกต่างจากเวลาของโลก และข้าตั้งใจว่า ครานี้ จะต้องกำจัดจอมมารให้สำเร็จให้ได้ ข้าใช้เวลาในการต่อสู้กับจอมมารถึง 12 วัน 12 คืน ในที่สุด จอมมารก็ถูกเขาสังหารลงไปได้ และข้าก็ออกมาปิดผนึกปากทางเข้าโลกปีศาจไว้อย่างแน่นหนาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กว่าข้าจะออกมาจากโลกปีศาจ เวลาบนโลกก็ผ่านไป 1 ปีแล้ว

     

                    แต่สิ่งที่รอคอยข้าจากการสังหารจอมมารนั้น มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน เจ้าหญิงโรเลไล ได้อภิเษกไปแล้ว  เวลานั้นข้าตัวชาไปหมด แต่ข้าไม่ได้โกรธแค้นหรอกนะในเวลานั้น อาจเสียใจบ้าง แต่ข้าก็อยากไปแสดงความยินดีกับนาง อย่างน้อยๆ ข้าก็คือผู้กล้า หากข้าให้พรกับนางบ้างเพื่อการสมรสที่มีความสุข พร้อมการจบลงของรักแรก ของข้า เรื่อง ก็คงจบลงด้วยดี

     

                    แต่ทว่า เมื่อยามข้าขอเข้าพบในนามของผู้กล้านั้น แม้ยามที่เฝ้าประตูยังหัวเราะเยาะ แต่ตัวข้านั้นมีของหมั้นหมายของเจ้าหญิงติดตัวอยู่ จึงยื่นให้ ทำให้ข้าสามารถเข้าไปเข้าเฝ้า กษัตริย์ครอส และเจ้าหญิงโรเลไล ที่จริงหากข้าไม่เข้าไปเข้าพบก็คงดี แต่ทันทีที่ข้าเข้าไปเข้าพบนั้น กษัตริย์ และเจ้าหญิง ล้วนทำหน้าเกรี้ยวกราดใส่ข้า ซึ่งข้าก็ได้แต่สงสัย จนข้าได้น้อมคำนับกษัตริย์ แล้วกล่าวว่า

     

                    ข้าแต่ กษัตริย์ครอส ข้าพระองค์ ผู้กล้าฮัคแบค ได้ปราบจอมมารได้สำเร็จจึงมารายงานพะยะค่ะ

     

                    สีหน้าของกษัตริย์ยิ่งขุ่นเคือง เมื่อได้ยินคำกล่าวของข้า และสีหน้าของเจ้าหญิงก็เช่นกันยิ่งแสดงวีแววแห่งการเหยียดหยาม

     

                    บังอาจ ไอ้คนไม่สมประกอบอย่างเจ้าน่ะหรือผู้กล้าที่สวรรค์ส่งมา ช่างบังอาจนัก เมื่อปีก่อนหลอกลวงพวกข้ามาครั้ง ยังกล้ามาหลอกลวงอีก

     

                    หลอกลวง!!! นี่มันเรื่องอะไรกัน มันเกิดอะไรขึ้น ก็ข้าเป็นผู้กล้าจริงๆนี่ แม้ ข้าอาจไม่สง่างาม หรืออาจเรียกว่าข้าออกจะ อัปลักษณ์ แต่ข้าก็เป็นผู้กล้าจริงๆ ข้าเป็นผู้ปราบจอมมารจริงๆ หลอกลวง ข้า หลอกลวงใครที่ไหน!!!

     

     

                    อัลเฟดเมื่อฟังมาถึงตอนนี้ ก็ทนความกดดันไม่ไหวได้แต่กล่าว เพื่อปลอบโยน ผู้กล้าทันทีว่า แน่นอนๆ ท่านผู้กล้า ท่านคือผู้พิชิตจ้าวแห่งความมืดแน่นอน ทั่วทั้งโลกปีศาจเป็นพยานให้ท่านได้ ในขณะเดียวกัน อัดเฟด ก็เริ่มพิจารณา รูปร่าง ของฮัคแบค แม้เวลาผ่านมาถึง 30 ปีร่างกายของ ฮัคแบค ยังกำยำแข็งแรง แม้กระบี่จะอับแสงลง แต่ตัวฮัคแบคเองนั่นล่ะที่น่ากลัวกว่ามาก แม้ เขาจะมีใบหน้าที่บูดเบี้ยว แขนสองข้างที่ยาวไม่เท่ากัน และขาที่โก่งออกข้าง จนยืนตรงลำบาก อัลเฟดไม่แปลกใจที่พวกมนุษย์ไม่เชื่อว่าเขาคือผู้กล้า เพราะพวกมนุษย์นั้น สนใจคนแต่รูปภายนอก แต่ถ้าใครได้เห็นการต่อสู้ของเขา กับจ้าวแห่งความมืดมา ก็จะไม่คิดจะแหย่เขาแน่ๆ มือที่ไม่เท่ากัน แต่เหวี่ยงได้เร็วและแรง จนไม่น่าเชื่อ จนไม่มีสิ่งใดต้านทานได้ แถมขาที่โก่งจนยืนตรงแทบไม่ได้นั้นกลับสามารถก้าวและกระโดด ได้อย่างคล่องแคล่ว จนน่าหวาดหวั่น ยังไม่นับพลังเวทย์ที่ล้นเหลือจนสามารถสูสีกับจ้าวแห่งความมืด ในขณะนั้น มาถึงเวลานี้ แทนที่มันจะอ่อนแอลงตามวัยกลับยิ่งรุนแรงมากขึ้น

     

                    เมื่อถูกขัดจังหวะ ฮัคแบค จึงสงบสติอารมณ์ ซักครู่ แล้วได้เริ่มเล่าต่อ

     

                    ในยามนั้นข้าสับสน สับสนไปหมด จนกระทั่งมีชายรูปงามเดินมาถึงเบื้องหลังองค์หญิง องค์ราชาก็ได้กล่าวขึ้นมาว่า

     

                    จงดู จงดูให้เต็มตา นี่คือผู้กล้าที่แท้จริง ผู้เป็นสวามี ของลูกหญิงข้า

     

                    ข้ามองไปยังชายรูปงาม แต่ข้ายังงุนงงสับสน นี่มันเรื่องอะไร ในโลกนี้มีผู้กล้าได้ยุคล่ะคนนี่นา แล้วจอมมารเท่าที่ข้ารู้ก็มีแค่ตนเดียว เวลาที่ข้าต่อสู้ ข้าก็ไม่เห็นมีใครอื่นซักคน แล้วเรื่องเป็นมาอย่างไร แต่ก่อนที่ข้าจะคิดอะไรออก กษัตริย์ ก็จับข้าไปโบย อย่างหนัก พร้อมจับข้าไปประจานรอบๆเมือง ก่อนสติข้าจะกลับคืนมา ข้าก็กลายเป็นคนลวงโลก เป็นผู้กล้ากำมะลอ ตลอดสามสิบปี ไม่ว่าข้าไปที่ไหนก็เผชิญหน้า กับการหยามหยัน ดูหมิ่น รวมทั้ง ทำร้ายร่างกาย แต่จะตอบโต้ก็ไม่ได้ ด้วยว่าข้าคือผู้กล้า ผู้กล้าที่ปกป้องโลก ปกป้องผู้อ่อนแอ แต่กลับทำไปเพื่อรับการหยามหยัน

     

                    ฮ่า ฮ่า ฮ่า หัวเราะสิ หัวเราะให้กับความโง่เขลาของข้า พวกปีศาจอย่าง พวกเจ้า ชอบไม่ใช่หรือ กับการหัวเราะเยาะให้กับ ความโชคร้าย และเศร้าโศกของผู้คน หัวเราะเยาะข้าสิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

     

                    แรงกดดันอันไม่ธรรมดาของฮัคแบค อย่าว่าแต่หัวเราะเลย อัดเฟด หากเป็นมนุษย์ คงฉี่แตก ไม่ก็ร้องไห้ไปแล้ว แต่สำหรับปีศาจอย่างพวกเขาความกลัวถึงขีดสุดทำให้แกนวิญญาณสั่นสะท้าน เหมือนจะแตกสลาย

     

                    โอท่านผู้กล้า ได้โปรดพอเถอะท่าน หรือท่านจะคิดฆ่าพวกเราผู้อ่อนแอไม่มีทางสู้ เพื่อระบายอารมณ์ ได้โปรดท่าน ได้โปรดเมตตาต่อชีวิตน้อยๆ อันอ่อนแอนี่เถอะ อัลเฟดคุกเข่าลงกล่าวอ้อนวอน

     

                    ฆ่า หรือไม่หรอก อย่างน้อยๆ ข้า ก็คือผู้กล้านี่นา ข้าจะไม่ทำร้ายผู้ที่อ่อนแอกว่าที่ยังไม่ได้กระทำผิดหรอก

     

                    แล้วท่านจะมาที่นี่ ทำไม หรือท่านต้องการปกครองพวกเรา หากเป็นเช่นนั้น พวกข้าน้อย จะยินดีเป็นอย่างยิ่ง โอ ราชา ที่เหนือราชา ทั้งปวง

     

                    หยุด ข้าไม่ได้มาเพื่อ ปกครองพวกเจ้า จิตวิญญาณข้ายังไม่เน่าเฟะ ถึงขั้นนั้น

     

                    แล้วท่านมาทำไม อัลเฟด เริ่มสงสัย

     

                    ข้ามาเพื่อปลดปล่อยพวกเจ้า

     

                    ปลดปล่อย พวกข้า อัลเฟดถามย้ำ เขาแทบไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรื่องดีๆ แบบนี้เกิดขึ้น

     

                    ใช่ปลดปล่อยพวกเจ้าฮัคแบค กล่าวพร้อมชักกระบี่ ออกมา แม้ประกายจะอ่อนจางลงจากการที่ ฮัคแบคไม่อาจรักษาจิตใจที่ดีงามทั้ง 4 ไว้ได้อย่างมั่นคง แต่ประกายแสงที่ออกมา ก็ทำให้อัลเฟดต้องถอยห่างออกไปด้วยความทรมาน

     

                    ปลอดปล่อย พวกข้า เพื่ออะไร หรือเพื่อต้องการ ใช้พวกข้าเพื่อ พิสูจน์ศักดิ์ศรี ผู้กล้า ของท่านกระนั้นหรือ

     

                    ไม่ เรื่องนั้นไม่สำคัญแล้ว

     

                    แล้วทำไม

     

                    เพื่อรักษาจิตวิญญาณของข้าฮัคแบค ตอบด้วยความสงบทำให้ท่าทีที่เกรี้ยวกราดเมื่อครู่เป็นเหมือนเรื่องโกหก

     

                    เพื่อจิตวิญญาณของท่าน ทำไม

     

                    ใช่ เพื่อจิตวิญญาณของข้า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าล้วนเกิดจิตใจตำหนิตัดฟ้อ รวมทั้งน้อยใจในเมื่อข้าทำเพื่อทุกคน ทำไมทุกคนทำกับข้าอย่างนี้ จนมันแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ หากข้าไม่สามารถระงับจิตใจได้ ข้าคงกลายเป็นจอมมารเสียเอง ในเวลานั้น จิตวิญญาณส่วนหนึ่ง ได้ถามคำถามขึ้นในใจข้าว่า ข้านั้นหลงตัวเองเกินไปหรือเปล่า หากไม่มีข้า หากไม่มีผู้กล้า จะไม่มีใครสามารถต่อสู้ป้องกันปีศาจได้เลยหรือ ถ้าไม่มีข้าโลกมนุษย์ จะถูกทำลายจริงหรือ ดังนั้น เพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ และเพื่อรักษาจิตวิญญาณที่ดีงามที่เหลือ ของข้า ข้าจำเป็นต้องพิสูจน์

     

                    ทะ ท่าน ท่าน จะทำจริงๆ หรือ อัลเฟด ระงับความปลื้มปิติไม่อยู่ มันฉายออกมาบนสีหน้าทั้งหมด

     

                    ใช่ ข้าจะทำ ฮัคแบค ชูกระบี่วางพาดก้อนหิน แล้วใช้สันมือ ฟันลงไปเต็มแรง จนกระบี่ส่องแสงสว่างวาบ พร้อมสลายเป็นเสี่ยงๆ กระบี่แห่งพระเจ้าที่ไม่มีวันสิ้นสลายในน้ำมือศัตรู ในที่สุดก็ต้องแตกสลายในน้ำมือของเจ้าของ ของมัน

     

                    อัลเฟด เฝ้ามองด้วยความยินดีเป็นที่สุด ในเมื่อกระบี่เล่มนี้สูญสลายไป ผู้กล้าก็จะไม่มีมาอีก แถมผู้กล้าที่ผ่านมาก็แค่พวกไก่อ่อน ที่พึ่งพาอำนาจของกระบี่ เพิ่งจะมี ผู้กล้าที่น่ากลัวอย่าง ฮัคแบค เป็นครั้งแรก จนทำให้ภายในโลกปีศาจถึงกลับหวาดกลัว และหวาดผวาตลอดเวลาที่ผ่านมา ว่าจะมีผู้กล้าเข้ามาทำลายล้างทั้งโลกปีศาจ แต่ในเมื่อ กระบี่จัญไรนี้ถูกทำลายไปนับแต่นี้ พวกเขาก็ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวอีกแล้ว

     

                    และต่อจากนี้ ก็ไอ้ผนึกอันนี้ ฮัคแบค ง้างกำบั้น รวบรวมพลังกายและพลังเวทย์ลงในกำปั้นทั้งหมด แล้ว ต่อยทำลายม่านผนึกในครั้งเดียว เกิดการระเบิดครั้งใหญ่รอบๆ บริเวณที่ปะทะ จนแผ่นดินสะท้าน สะเทือน หินทรายปลิวกระเด็นคละคลุ้งไปหมด เมื่อฝุ่นจางหายลง ทางสู่โลกปีศาจนั้นกว้างใหญ่ขึ้นกว่าเดิมกว่าเท่าตัว

     

                    อัลเฟดถึงกับตะลึงงัน นี่คือพลังของมนุษย์ แน่หรือ นี่พวกเขาเคยต่อสู้ กับผู้กล้าคนนี้ จริงๆ หรือ อัลเฟดถึงกับสั่นสะท้าน และขนลุกชันไปด้วยความหวาดกลัว

                   

                    เอาล่ะ จากนี้ไปก็ตามใจพวกเจ้าแล้ว นับจากนี้ไปข้าจะไม่ใช่ ผู้กล้าฮัคแบค และจะไม่มีผู้กล้ากำเนิดอีกต่อไป จากนี้ไปข้าคือผู้เฝ้าดู ข้าจะเฝ้าดูจนถึงวันสิ้นโลก ฮัคแบคกล่าว พร้อมเดินจากไปอย่างสงบ

     

                    อัลเฟด ลุกขึ้นจากพื้นหลังจากแรงกดดันจาก ฮัคแบคหายไป พร้อมค้อมศรีษะแสดงความเคารพ ไปยังทิศที่ฮัคแบคเดินจากไป พร้อมกล่าวว่า

     

                    ข้าขอแสดงความเคารพ ต่อผู้กล้าที่กล้าแกร่งที่สุด มนุษย์ผู้น่ากลัว และผู้เฝ้ามองวันสิ้นโลก จากนั้นอัลเฟด ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมแสยะยิ้ม แล้วกล่าวต่อไปว่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า พวกมนุษย์หน้าโง่ เจ้าได้กำจัดผู้คุ้มครองที่แข็งแกร่งที่สุด ด้วยมือของพวกเจ้าเอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า วันเวลาแห่ง เผ่าพันธุ์เรามาถึงแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่าเสียงหัวเราะที่ดังก้องไปทั่วท้องฟ้ารัตติกาล อันเป็นจุดเริ่มต้น ของยุคมืด (Dark Age)

                     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×