คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5 สืบเสาะ ดิ้นรน
บทที่ 5 สืบเสาะ ดิ้นรน
ในที่สุด เขาก็ เลือกที่จะคืนชีพ จางซันหลาง อันเป็นพี่น้องคนที่สาม หลังจากตัดสินใจแน่วแน่เซียวเตียน หยิบขวดยาเปิดออก แล้วกรอกยาลงปาก จางซันหลางทันที
การเลือกครั้งนี้ เป็นการเลือกที่ยากลำบากที่สุดเท่าที่ เซียวเตี่ยน เคยเลือกมาใน ฐานะนักเล่นเกมส์ ในเกมส์ ทั่วไป ภารกิจต่างๆ ไม่ว่าจะลับเพียงใด ก็ มักจะมีโอกาส ทำซ้ำ หรือว่าอย่างน้อยๆ ก็ จะมีตัวช่วย บ่งบอกที่แน่ชัดกว่านี้ แต่ในเกมส์ Gate of Dream เกมส์นี้ เขายังไม่พบอะไรที่ช่วยในการตัดสินใจ หรือว่าระบบช่วยเหลืออะไรที่เด่นชัดเลย ตอนนี้ที่ทำได้ก็ เพียงแต่คลำทางไปเรื่อยๆ แต่นั่นไม่ใช่ข้อแก้ตัวถ้าเลือกผิดพลาด และมันก็ไม่ช่วยทำให้เรื่องต่างๆ ดีขึ้นด้วย สิ่งเดียวที่พึ่งได้ ในเวลานี้คือ ตรรกะที่เที่ยงตรงและความเชื่อมั่นเท่านั้น
ดังนั้นการเลือกครั้งนี้ ของเขาได้ ผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบที่สุดเท่าที่เขาคิดได้แล้ว จาก ประเด็นแรก ทำไมทุกคนต้องมาประชุมที่บ้าน ของจางซันหลาง แสดงว่าเงื่อนปมใจความสำคัญ ของภารกิจ ตอนเริ่มแรก น่าจะมีอะไรบางสิ่งที่ ทั้ง 4 คนต้องพึ่งจางซันหลาง และไม่ว่านั่นคืออะไร จะต้องสำคัญอย่างมากแน่นอน
ประเด็นที่สอง หยกที่ใช้กักขังมารโลหิต ชิ้นนี้ได้มาจากบ้านของ จางซันหลาง ดังนั้นไม่ว่า จะมองอย่างไร จางซันหลางน่าจะมี ข้อมูลเรื่องมารโลหิตมากกว่า ใครๆ ในกลุ่มนี้ และแน่นอนว่าข้อมูลเรื่องนี้ เขาอยากได้มาก
และมาถึงประเด็นสุดท้ายที่ทำให้ เขาเลือก จางซันหลาง และน่าจะเป็นประเด็น ที่สำคัญที่สุด แม้จางซันหลาง จะเป็นคนสุดท้ายในกลุ่มที่ถูกเชิญชวนเพื่อหา หรือทำอะไรบางสิ่ง แต่ทว่าเมื่อมองในแง่ความสำคัญ จางซันหลาง น่าจะเป็นพี่น้องร่วมตระกูล ที่น่าจะแยกตัวออกมาอยู่ห่างจากพี่น้องคนอื่นๆ แต่พี่น้องทั้งหมด ถึงกับลากเอา คุณ
หลังกรอกยาเข้าไปในปากจางซันหลางจนหมด ในเวลา ไม่ถึง 2 นาที จางซันหลางที่กลายเป็น ศพไปแล้วก็เริ่มค่อยๆ เปิดเปลือกตาออก หลังจากหันไปมอง ศพพี่น้อง และคุณชายฮกแล้วก็หันกลับมามองหน้า เซี่ยวเตี่ยน และกล่าวว่า
“พวกเราทั้งหมดถูกฆ่าตายไปแล้วสินะ...”
เสียงที่และสีหน้าที่ดูเศร้า และหมดหวังของจางซันหลาง ที่แม้จะเป็นการแสดงออกทางอารมณ์ตามการตั้งโปรแกรมไว้ แต่ก็สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกออกมาให้ที่พบเห็นอย่างอย่างสมจริง แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาเห็นใจหรือว่าทนฟังคำโอดครวญ ของ NPC หากแต่ในเวลาสั้นๆ นี้ เขาต้องหาข้อมูลให้มากที่สุด
“คุณจาง ผมรู้ว่าคุณเศร้าแต่เวลามีไม่มากแล้ว กรุณาช่วยตอบคำถามผมหน่อย”
เซียวเตี่ยนที่พูดถามอย่างร้อนรน เพราะเวลาของยานั้นมีไม่มากเท่าไหร่ แล้วข้อมูลที่เขาอยากได้ก็ไม่รู้ว่ามี อารัมภ์บทมากแค่ไหน แถมเวลานี้ไม่มีใครอยู่นอกจาก NPC เขาคงไม่ต้องเสียเวลามาคิดคำดัดจริตแล้ว
“ตกลง ถามมาเถอะ” เสียงตอบรับจากจางซันหลาง ในท่าทีปลงตก
“มีวิธีไหนหยุดมารโลหิตได้บ้าง” เซียวเตี่ยนรีบถามอย่างร้อนรน เพราะแม้แต่ในเวลานี้ เสียงจากระบบ ที่บอกถึงการฆ่าคนของเขายังดังก้องหู ไม่หยุดหย่อน
“ต้องให้ผู้ที่ทำพันธสัญญากับมารโลหิต จึงจะสั่งมารโลหิตได้” เสียงตอบอย่างราบเรียบ ของจางซันหลาง
“พันธสัญญา เอ แต่ผมก็ ทำสัญญากับมารโลหิตไปแล้วนี่นา ทำไมถึงสั่งมันไม่ได้”
“เพราะเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติ และยังไม่บรรลุเงื่อนไข”
“ต้องมีคุณสมบัติอะไร ผมถึงสั่งมารโลหิตได้หรือ”
“เนื่องจาก มารโลหิต คือภูตฝ่ายมารที่เกิดจากโลหิต และความแค้น ดังนั้นเวลาที่มันกำเนิดมันจึง ดูดเอาเลือดเนื้อ ของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด รอบๆ เขตที่มันเกิด และมันจะไม่ดูด เลือดเนื้อเปล่าๆ มันจะซึมซับเอาคุณสมบัติ และทักษะต่างๆ ในเลือดที่มัน ดึงดูดเข้ามา และยังไม่จบเพียงแค่นั้น พลังชีวิต 1 ใน 5 ของ พลัง โจมตี และพลังเวทย์ ของเจ้าของเลือดทุกตน ที่ถูกมันดึงดูดเข้ามาจะกลายเป็นของมัน ดังนั้น ในเขตการกำเนิด ของมารโลหิต ถ้ายิ่งมี สิ่งมีชีวิต มาก หรือ ยิ่งมี สิ่งมีชีวิตแกร่งเท่าไหร่ มารโลหิตก็ ยิ่งน่ากลัวเท่านั้น แถมตัวมารโลหิตเองยังสามารถดูดกลืนทักษะ และใช้สะท้อนออกมาได้”
ถึงว่า ทำไมมารโลหิตถึงได้เก่งกาจขนาดนั้น เพราะพลัง 1 ใน 5 ของทุกตัวที่ถูกดูดไปปั่นรวมกลายเป็นของมันไปแล้วนี่เอง แต่สิ่งที่เซียวเตี่ยนเริ่ม คิดหนักไม่ใช่เรื่อง มอนสเตอร์ที่ถูกดูดเข้าไปแถวๆ นี้หรอกนะ หากแต่เป็นตัวที่อยู่ในค่ายกล ซึ่งไอ้ตัวพวกนั้น มันจะมีพลังเท่าไหร่นะ แล้วถ้าพวกยมทูตพวกนั้น เป็นอำมตะแล้ว มารโลหิตที่ได้พลัง 1 ใน 5 ไปมันก็กลายเป็นอำมตะด้วยหรือเปล่า!!!!
“นอกจากนี้ มารโลหิต ยังกำเนิดในยุคสมัยมหาสงครามสามโลก อัลสิลอส (Ulciloss Great three world war.) โดยที่สงครามครั้งนี้เริ่มจากเทพ..”
“หยุดก่อนๆ ผมถามเรื่องวิธีที่จะได้คุณสมบัติ ที่จะควบคุมมารโลหิตนะครับ ไม่ได้ถามถึงประวัติ ของมัน”
เซียวเตี่ยนที่รีบเบรก ก่อนที่จางซานหลาง จะพาเรื่องไปไกลขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเสียงจากการฆ่าคน ของมารโลหิตที่ดังก้องไม่หยุดแล้ว เวลายังผ่านไปเรื่อยๆ เขาไม่มีเวลา ฟังตำนาน หรือนิทานอะไรแล้ว แม้อาจมีข้อมูลลับแฝง แต่เวลานี้เขาต้องการ ข้อมูลที่ใช้ประโยชน์ได้ทันที และกระชับ อะไรที่มีแต่น้ำคงต้องยอมสละทิ้งไป
“ใจร้อนจริง แต่ในเมื่อไม่อยากฟังที่มาของมัน ข้าก็ไม่ฝืนใจ ส่วนหนทางการได้มาซึ่งคุณสมบัติ การควบคุมมารโลหิตนั้น มี 3 วิธี วิธีแรกคือ ขจัดจิตมารออกจากตัวมารโลหิต แล้วมารโลหิตก็ จะเชื่อฟังผู้ทำสัญญาเอง”
“แล้วจะกำจัดจิตมาร ได้อย่างไรครับ”
“กำจัดจิตมาร วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ ผู้ทำสัญญา ต้องเป็นผู้สังหารมารโลหิต ด้วยมือของตัวเองซักครั้ง แล้วจิตมารจะสลายไปเองหลังจากนั้น มารโลหิต จะเชื่อฟังผู้ทำสัญญาเอง”
จะให้เขาฆ่ามารโลหิต..... Mission Impossible ชัดๆ สู้ให้ มารโลหิต ฆ่าเขายังง่ายกว่าเป็นล้านเท่า ยังไงวิธีแรกคงไม่ไหว
“ส่วนวิธีที่สอง คือ ผู้ทำสัญญาต้องมี อาชีพที่สามารถบงการภูตได้ แม้ระดับจะไม่ถึงขนาดสั่งให้ทำตามที่ต้องการได้ แต่ก็ สามารถ สั่งให้มันผนึกตัวอยู่ในร่างผู้ทำสัญญาได้ จนกว่า
“แล้วมีอาชีพอะไรบ้างครับที่ สามารถบงการภูตได้”
“เท่าที่ข้ารู้มี เซียน ผู้ใช้ภูต จอมอาคม และคนทรง ที่สามารถบงการภูตได้ แต่ก็อาจมีอาชีพ อื่นๆอีก ซึ่งข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะมีอาชีพอะไรบ้าง”
วิธีที่ 2 ไม่เลว แถมการได้อาชีพ ก็เป็นเป้าหมายของเขาอยู่แล้ว ถ้าสามารถได้อาชีพ แล้วยังบงการมารโลหิตได้อีก ถือว่ายิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว
“แล้วการได้อาชีพ พวกนั้น ต้องทำอย่างไรบ้างครับ”
“ข้าไม่รู้อาชีพเหล่านี้มักมีความลับ และข้าไม่แน่ใจว่าต้องทำอย่างไรถึงได้อาชีพ”
จบกัน เห็นพูดมาซะดิบดี นึกว่าจะมีข้อมูลทางได้อาชีพให้ครบซะอีก แต่ไม่ว่าเกมส์อะไรการได้อาชีพ ต้องไม่ยากเกินไปทำให้เซี่ยวเตี่ยน ไม่ค่อยหนักใจเรื่องนี้มากนัก แต่ปัญหาคือกว่าเขาจะได้ อาชีพ จะมีคนถูกฆ่าตายไปเท่าไหร่...
“และวิธีสุดท้าย ก็คือเจ้ากลายเป็นจอมมาร แล้วมารโลหิตก็ จะอยู่ในสังกัดของเจ้าแล้วเจ้าก็ จะสามารถสั่งหรือบงการมันได้เหมือน ภูตที่ถูกทำสัญญาทั่วไป”
มีการกลายเป็นจอมมารด้วย เกมส์นี้แปลกดีแฮะ หรือจะให้ Player เป็นบอสของเกมส์ แต่ก็น่าสนใจ โดยเฉพาะเขาต้องเร่งทำเวลาเพื่อเล่นแข่งกับสมชายด้วย แต่ต้องฟังเงื่อนไขดูซะก่อน
"แล้วจะเป็นจอมมารต้อง ทำยังไงครับ"
"ง่ายมากขอแค่มีการบันทึกว่าได้ฆ่าคนไปหนึ่งหมื่นศพ ก็สามารถเป็นจอมมารได้แล้ว"
แบบนี้ก็ง่ายสิ จนถึงตอนเสียงบอกว่าเขาฆ่าคนยังดังก้องไม่หยุด ถ้าการฆ่าของมารโลหิตยกบัญชีฆ่าให้เขาแบบนี้ นอนเล่นไม่กี่วันคงเป็นจอมมารได้ เซี่ยวเตี่ยนคิดอย่างสบายใจ แต่ก็มีบางอย่างน่าสงสัย เขาจึงถามต่อ
"แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าได้ฆ่าไปกี่ศพแล้ว"
หวังว่าไม่ใช่ให้ไปนับเองนะ นับเลข 1 ถึงหมื่น แค่คิดก็บ้าแล้ว...
"เจ้าสามารถดูจำนวนคนที่เจ้าฆ่าได้ที่แผนที่อเนกประสงค์ ทันทีที่ฆ่าคน มือของเจ้าจะเปล่งแสงสีแดง และจำนวนคนที่เจ้าฆ่า จะไปปรากฏบนแผนที่อเนกประสงค์ทันที แต่ถ้าเจ้าตายระหว่างรวบรวมจำนวนการฆ่า จำนวนคนที่ฆ่า จะถูกลดไปครึ่งหนึ่งทันที"
"แล้วการเป็นจอมมารมีอะไรดีหรือ"
"ทันทีที่เป็นจอมมาร
“หา ทำไมมันโหดแบบนี้ แค่ตายครั้งเดี๋ยว ถึงกับลดมา 1 ทุกอย่างเลยหรือ” เซียวเตี่ยนที่ได้รับ ฟังเงื่อนไขถึงกับอุทานออกมา
“เฮอะ ผู้ที่สามารถฆ่าคนอย่างต่อเนื่องได้ถึง หนึ่งหมื่นคน แถมได้รับพลังพิเศษเพิ่มระดับทุกอย่างตั้งร้อย จะให้ไม่มีบทลงโทษกันเลยหรือไง แถมลือกันว่า ถ้าสามารถฆ่าต่อเพิ่มได้อีก 999 ศพ ก็จะมีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้น”
เสียงสบถจากจางซันหลาง ที่ทำให้เซียวเตี่ยนเริ่มสงสัยว่า ปกติ NPC มีความสามารในการตอบโต้ ได้มากถึงขนาดนี้เชียวหรือ หรือว่าที่คุยกับเขาคือคนจริงๆ กันแน่
แต่ถึงจะสงสัยอย่างไรแต่เวลาที่เขายังถามได้ ก็คงลดไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นคนสวมบทบาท หรือ NPC ก็ตาม ดังนั้นเขาไม่ควรใส่ใจเรื่องพวกนี้ตอนนี้ แล้วเรื่องต่อไปที่เขาควรถามคืออะไร ในเมื่อเรื่องมารโลหิต คิดว่าน่าจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง แม้ยังไม่มีหนทางแก้ไขได้ในเวลานี้ ตอนนี้สิ่งที่สัมพันธ์เกี่ยวกับ ภารกิจนี้ก็ เหลือเพียง 2 สิ่ง คือ ดาบที่เขาได้มา และเรื่องที่พวกนี้ประชุมกัน อะไรคือสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในเวลานี้ ในเวลาที่จำกัด เขาคงต้องเชื่อตนเองแล้ว ถามให้ไวที่สุด
“แล้วคุณจางซันหลาง พวกพี่น้อง แล้วคุณชายฮกมารวมกันเพื่ออะไรที่บ้านคุณหรือ”
“พวกพี่น้องข้า และคุณชายฮกมาที่บ้าน ข้าเพื่อชักชวนข้าไปหาตำหนักสวรรค์”
“ตำหนักสวรรค์?” เซียวเตี่ยนทวนคำ ชื่ออย่างกับออกมาจาก นิยายเทพยุทธอะไรซักเรื่องทีเดียว
“ใช่ ตำนักสวรรค์ ที่นั่นคือแหล่งรวมสรรพสิ่งในใต้หล้า ความรู้ทุกอย่าง ความวิเศษทั้งหมด ไม่ว่าเจ้าต้องการอะไร ที่นั่นมีพร้อมทั้งหมด” จากซานหลางพูดพลาง แสดงความกระตือรือร้นจนออกนอกหน้า
“ตำนักสวรรค์ ดีขนาดนั้นเลยหรือแล้วพวกคุณมีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับที่นั่นบ้างล่ะ”
“จากที่พวกเราประชุมกัน เวลากระชั้นสั้น จึงคุยกันไม่ได้มาก แต่เรื่องเริ่มที่ คุณชายฮก เขาเป็นคนที่ค้นพบบันทึกโบราณที่โบราณสถานที่มีชื่อว่า ตำนักทอง ซึ่งอยู่ละแวกเมืองจิน (
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ อาการของจางซานหลาง ก็เริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคยดูสบายๆ ก็เริ่มออกอาการร่อแร่ หอบ เหมือนคนใกล้ตายมากขึ้นเรื่อยๆ
“อุก.. จาก... ที่ คุณชายฮกได้อ่านบันทึก... ตำหนักสวรรค์ ปรากฏขึ้นครั้งสุดท้าย เมื่อครั้งสงคราม มหาสงครามสามโลกอัลสิลอส โดยครั้งนั้น ตำหนักสวรรค์ ได้มอบสมบัติ ....... แก่ผู้กล้าชาวจิน ..... หลายชิ้นหนึ่งในนั้น คือหยกผนึกมาร... ที่เป็นมรดกตกทอด ของตระกูลเรา...........อึก อ๊อก ครอก”
สิ้นเสียงลมหายใจสุดท้ายของจางซันหลางที่กล่าวค้างคาไว้เพียงครึ่งๆ กลางๆ แถมยังทิ้งท้ายให้เจ็บใจ ด้วยเรื่องของมหาสงครามสามโลกอัลสิลอส ที่เขาบอกให้พูดข้ามไป ตกลงว่านี่สินะแกนหลักของเรื่อง แล้วเขาจะไปหาข้อมูลจากที่ไหน ดูจากชื่อ คงเป็นตำนานที่เกมส์แต่งเอง ไม่น่าจะหาอ้างอิงจาก โลกภายนอกได้ หรือถึงหาได้ เขาก็ไม่รู้ว่านี่มัน ตำนาน ของประเทศไหน
ส่วนตำหนักสวรรค์ ที่พูดถึงว่ามีทุกอย่าง แต่ของในเกมส์ ไม่มีทางที่มีอะไรดีเลิศขนาดนั้นแน่ แต่ก็น่าจะเป็นภารกิจลับที่ระดับสูงเอาการ ของรางวัลภารกิจนี้คงเป็นอะไรที่เลิศหรู อย่างที่พอคาดหวังได้ แต่เบาะแส และความเข้าใจในตัวเกมส์ของเขาตอนนี้ออกจะน้อยเกินไป คงต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม และอย่างน้อยเบาะแสเรื่องตำหนักสวรรค์ ก็มีส่วนเชื่อมต่อที่ตำหนักทอง ที่เมืองจิน แต่ปัญหาคือ ไอ้เมืองที่ว่าอยู่ที่ไหน
หลังจากรวบรวมความคิดและเรียบเรียงข้อมูลที่ได้มา เซียวเตี่ยน ก็เริ่มกวาดตามองรอบๆ ด้าน ขณะที่รอบๆ ตัวเขามีแต่ ศพ ศพ และ ศพ ของทั้ง ผู้เล่นและจาก NPC จะอย่างไรตอนนี้เขาก็โดนหมายหัวเป็น PK[0] ไปแล้ว จะให้เขาทำตัวเป็นคนดีต่อไปก็ใช่ที่ ดังนั้น เซียวเตี่ยน จึงเริ่มกิจกรรมอันเก่าแก่ ของมนุษย์ชาติปล้นศพ!!!
“แกร๊ก” เสียงเหยียบอะไรซักอย่าง ระหว่างที่เซียวเตี่ยน จะเดินไปกองศพของพวก หวงต้าน
เมื่อก้มมองดู มันคือเศษหยกที่เขาหักทิ้ง เซียวเตี่ยนมองแล้วคิดอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจว่า เก็บมันไปด้วย ในเมื่อข้อความสุดท้าย ของจางซันหลางระบุว่าหยกคือ มรดกตระกูลที่ได้มาจากตำหนักสวรรค์ มันก็อาจเป็นอีกเงื่อนงำ ที่เขาไม่ควรสลัดทิ้ง
เมื่อมองไปที่ศพต่างๆ ที่อยู่บนพื้น ถ้าเขาได้ยินไม่ผิด แต่ล่ะศพน่าจะมี ของที่เขาสามารถเอาไปได้ซัก 2 ชิ้น แต่เขาจะเอาของออกมายังไงดีล่ะ เซียวเตี่ยนเริ่มมองไปยังศพแต่ล่ะศพแล้วลองหาทาง ดึงกระชาก หรือลอกคราบ แต่ก็สำเร็จน้อยกว่าล้มเหลว ได้ของมาแค่ กระบี่ที่ตกข้างๆ นักพรตคนหนึ่ง แล้วล้วงไปได้ ขวดเหล้า อีก 2 ขวด จากนักดาบ นอกจากนั้น ดูเหมือนว่า เขาจะไม่สามารถเอาอะไรออกมาจากศพได้เลย คงเป็นการป้องกัน การเอาของที่ไม่ได้ดรอป[1] ลงมากระมัง แต่ยังมี ศพอีกมากที่ให้เขาต้องรื้อค้น ทำให้ อดที่จะท้อใจไม่ได้
ยิ่งในเวลานี้เขาควรจะต้องรีบหาที่หลบซ่อนตัว แต่ศพพวกนี้ก็ดันมาอยู่ที่โล่งแจ้ง แถมเสียงจากการฆ่าคนในชื่อของเขาก็ ดังเป็นระยะๆ ขึ้นกับเวลาเท่านั้น ที่จะต้องมีพรรคพวกของกลุ่มคนที่โดนฆ่าไป จะต้องมาคิดบัญชีกับเขา แต่ถ้าจะให้ซ่อนตัวเขาควรไปซ่อนที่ไหนดี หรือจะไปอธิบายแล้วใครจะเชื่อเขา ถึงจะเชื่อ แต่ใครล่ะไม่อยากฆ่า PK เพราะการฆ่า PK นั้น มักจะมีข้อดี อื่นๆ ตามมา เช่น ชื่อเสียงเอย ได้ของจาก PK เอย เพราะเหตุนี้ ตัวเลือกที่ไม่มีทางเลือกก็คือหาที่หนี
แต่ในใจของเซียวเตี่ยนก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางดิ้นรนเสียทีเดียว อย่างน้อย วิธีที่เขาคิดขึ้นมาตอนหนี พี่น้องตระกุลจาง ก็ใช่ว่าจะใช้ไม่ได้ การกระโดดหน้าผา แล้วใช้ ท่าทะยานบันไดเมฆ ก่อนตกถึงพื้น ก็ยังเป็นหนึ่งในหนทางที่เขาคิดว่า น่าจะช่วยให้หนีรอด ดังนั้นที่ๆ เขาใช้หลบซ่อนตัวคงเป็น จุดที่ใกล้ๆ กันริมหน้าผา
แต่ว่าการที่เขาต้องหลบซ่อนตัวเฉยๆ เพื่อรอให้เป็นจอมมาร ดูเป็นหนทางที่ดู จะสิ้นคิดเกินไป แต่ระหว่างที่ยังหาทางที่ดีกว่านี้ไม่ได้ การหลบซ่อนตัวไปพลาง หาหนทางไปพลาง ก็เป็นวิธีเดียวที่เขาทำได้ตอนนี้ แต่สิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาจากคือ เกมส์ นี้มันมีการ หิว กระหาย และเหนื่อย ดังนั้น สิ่งที่เขาต้องการนอกเหนือจาก ที่หลบซ่อน คือ เสบียง อย่าพูดถึงว่าเงินที่ใช้ซื้อ เสบียงที่เขาไม่มีเลย ต่อให้มีเงิน ก็ใช่ว่าเขาที่ติด สถานะ PK จะสามารถเข้าเมืองได้ตามใจชอบ
ดังนั้น ก็ต้องย้อนกลับมาที่ศพพวกนี้อีก ยังไง เขาก็ ควรตักตวงไปให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้จาก ศพพวกนี้ เมื่อคิดอย่างไร ก็กลับมาที่จุดนี้ เซียวเตี่ยนได้แต่ถอนหายใจ แล้วก็ลงมือรื้อค้นต่อไป เพื่อหาสิ่งที่จำเป็นเท่าที่หาได้ แต่เขาก็ไม่เสียเวลารื้อค้นนานนัก เพราะหลังจากรื้อไประยะหนึ่ง ศพก็เริ่มหายไปทีล่ะศพ ทีล่ะศพ เหลือทิ้งไว้แต่ ไอเท็ม บางอย่างที่ ดรอป ตกลงมาหลังจาก ศพหายไปเท่านั้น
เนื่องจาก ระบบเกมส์ Gate of Dream นั้น มีการตั้งเวลาไว้ให้ศพหายไปในเวลาที่กำหนด ซึ่งเวลาที่แน่นอน นั้นคือ 45 นาที เพื่อจะให้ผู้เล่นมีโอกาสที่จะใช้ไอเท็มหรือทักษะ ในการคืนชีพเพื่อนๆ ได้บ้าง แต่ถ้าเกินเวลาที่กำหนดไว้จะให้ ถือว่าตายอย่างแน่นอน และศพก็จะหายไปหลงเหลือเพียง ไอเท็มที่โดนลงโทษให้ดรอป เท่านั้น
ซึ่งสำหรับผู้ที่กำลังปวดหัว กับการค้นหาสมบัติ แบบเซียวเตี่ยนมันก็ ทุ่นเวลาไปได้โข คราวนี้เมื่อของทั้งหมดตกลงพื้นก็เป็นเวลาเลือกของที่ต้องเอาไปกัน หลังจากสำรวจกองสมบัติทั้งหมด ก็มีน้ำยาแปลกๆ อยู่ 8 ขวด ใบยันต์อีก 12 แผ่น กระบี่ 2 เล่ม ดาบ 1 เล่ม เข็มขัด 1 เส้น ผ้าคาดหัว 1 อัน เหล้า 5 ขวด และ กล่องใส่อาหารต่างๆ นานา อีก 4 กล่อง และหินแปลกๆอีก 6 ก้อน แต่ก็ยังดีที่ขวดน้ำยาแปลกๆ สามารถเอาไปใส่ไว้ในปลอกแขน ส่วนผ้าคาดหัว และเข็มขัด ก็สามารถใส่ได้เลย แม้จะไม่เพิ่มพลังป้องกัน ซึ่งน่าแปลก สำหรับอุปกรณ์สวมใส่ แต่ด้วยเหตุนี้ก็สามารถทำให้เซียวเตี่ยนสามารถยัดของที่เหลือทั้งหมดลงไปในกระเป๋าข้างเอวได้ ส่วนไอเท็มนอกจากนั้น อาจมีหลงหูหลงตาไปบ้าง แต่ทั้งหมดก็เป็นสมบัติส่วนใหญ่ในบริเวณนี้ที่เซียวเตี่ยน เก็บกวาดได้
แต่จะให้เสียเวลาค้นหาต่อไป ก็คงได้อะไรไม่มากไปว่านี้เท่าไหร่ แถมยังเพิ่มความเสี่ยงโดยใช่เหตุ ดังนั้นน่าจะถึงเวลาที่เขาควรออกเดินทางเสียที
จากแผนที่วางไว้ เซียวเตี่ยนพยามเดินเลาะชายป่าไปเรื่อยๆ ในขณะที่ก็พยายามหลีกเลี่ยง ฝูงหมาป่า และสัตว์ต่างๆ ระหว่างทาง แต่การหลบหนีทั้งๆ ที่ยังมี LV ไม่เท่าไหร่ แถมยังสู้ตัวอะไร ยังไม่ค่อยได้ จะได้แบบนี้ ยิ่งทวีความยากลำบากในการหลบหนีของเซียวเตี่ยนเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะ เมื่อ มารู้ว่า ดาบและกระบี่ที่เอามา เมื่อลองเอามาใช้ โจมตีแล้ว พลังโจมตีที่ได้ เบาหวิว เหมือนใช้มือเปล่านานๆ จะมีแรงๆ ออกมาซักครั้ง ดูท่าคงเป็นอาการ ของไอเท็ม ที่ยังไม่ได้ปลดผนึก[2]แน่ๆ ดังนั้นอาวุธหลักของเซียวเตี่ยน ก็ยังคงเป็น ดาบเล่นมหึมาเล่มเดิม ที่ดูจะมีค่าการโจมตีค่อนข้างคงที่ แม้การใช้งานจะลำบาก แต่เมื่อความจำเป็นมาถึง เซียวเตี่ยนก็เริ่มเรียนรู้วิธีการวาดดาบให้ว่องไว ขึ้นเรื่อยๆ ได้ แต่ก็ยังไม่พอที่จะต่อกรหมาป่า หรือตัวที่เก่งกว่านั้น แต่สำหรับพวกกบ เขียด หรือ หนูที่มาโจมตีเขาประปราย ก็ ยังพอสู้ไหว (แต่มาคิดอีกที เอาดาบเล่มใหญ่เท่ากับฝาบ้าน มาสู้กับตัวกระเปี๊ยกอย่าง พวก หนู พวก กบ พวกเขียด ก็ดูอนาถจิต ยังไงชกกล)
แต่ยังไงเขาก็เอาตัวรอดมาเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไป 2 วัน ในที่สุด เขาก็ เดินทางมาจนถึง ริมหน้าผาแห่งหนึ่งจนได้
“แฮกๆ เดินมา 2 วัน กว่าจะเจอที่เหมาะๆ ให้พักซักที”
เซียวเตี่ยนที่เดินเรื่อยมา ตลอด 2 วัน 1 คืน ก็เริ่มหมดแรง แถมอาหารมื้อสุดท้ายที่ได้กินก็หมดไปตั้งแต่เช้า ดังนั้นตั้งแต่เที่ยงมา เขายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย แถมยังต้องเดินป่ามาตลอดทั้งวันทั้งคืน ถึงเวลานี้นับว่าถึงขีดสุดของเขาแล้ว เมื่อมองเห็นเป้าหมาย และรู้สึกว่าโล่งใจ ความง่วงที่สะกดมานาน ก็เริ่มมีชัยเหนือสติ ในที่สุดเซียวเตี่ยนก็หลับอยู่ริมหน้าผาอย่างหมดเรี่ยวแรง...
“.... ไป จะทำอะไร” เสียงสนทนา ที่ไม่คุ้นหูดังลอดเข้ามาในสติ ของเซียวเตี่ยน ที่เริ่มตื่นขึ้น
“ก็ รอดูไปก่อน ฆ่าไปก็ไม่ใช่ว่าแก้ปัญหาได้” เสียงของชายอีกคนที่ดังออกมา
“ใช่แล้ว ท่านจ้าวพูดถูก เราไม่ได้ใช่มาล้างแค้น แต่มาป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก ขืนฆ่ากันไปฆ่ากันมาเมื่อไหร่ พวกเราจะมีเวลาว่าง” เสียงของชายอีกคนที่ดังลอดมา
“สรุปว่า พวกพี่คิดจะขังเธอไว้ซักหลายวันเหมือนเดิมสินะ”
“ก็คงต้องทำตามนั้น ยังไงเสียพวกเรา ก็สามารถฝึกทักษะระหว่างรออยู่ได้แล้วนี่ เสียกี่วันไปก็ไม่เท่าไหร่ ดีกว่าให้สมาชิกร้องเรียนไม่จบ”
“เอายังไงก็เอากัน ผมทำตามพวกพี่อยู่แล้ว”
เสียงสุดท้ายพูดพร้อมกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ในขณะที่เซียวเตี่ยน ตอนนี้ตื่นเต็มที่แล้ว แต่ยังไม่กล้าลุกขึ้นมา แต่ในใจรู้แน่ชัดว่า ตอนนี้เขาโดนล้อมแล้ว และก็สงสัยอย่างมากว่า คนพวกนี้จะกักขังเขาอย่างไร หรือคิดตามติดเป็นเงาตามตัว ก็ไม่น่าจะใช่ ส่วนการหาห้องขังก็ดูไม่น่าจะทำได้ เพราะถึงอย่างไรนี่ก็คือเกมส์ ไม่ว่าเขาจะทำความผิดยังในนี้ ตราบที่ยังไม่ผิดกฎของเกมส์ ไม่น่าจะสามารถกักขังตัวละครเขาได้ โดยเฉพาะ ด้วยฝีมือผู้เล่นด้วยกัน
แต่คิดมากไปหัวล้านกันพอดี สู้คุยกันให้รู้เรื่องดีกว่า ไหนๆ พวกนี้ก็พูดว่าจะไม่ฆ่าเขาแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ในขณะที่เซียวเตี่ยนเริ่มขยับตัว กลุ่มชายทั้งสามที่ห้อมล้อมเซียวเตี่ยน ไว้ก็มีปฏิกิริยาเช่นกัน โดยได้ เคลื่อนที่ไปล้อมเซียวเตี่ยนเป็นสามเส้า
“สวัสดีคุณผู้หญิงคุณคือ เซียวเตี่ยนสินะ”
เสียงทักจากชายร่างใหญ่หัวโล้น แต่งกายราวกับพระจีนจีวรสีเทา ที่ยืนอยู่ด้านหน้าของเซียวเตี่ยน ที่ทำเอาเขางงไปพัก ก่อนนึกขึ้นได้ว่า เขายังอยู่ในร่างของผู้หญิงนี่นะ
“ค่ะ ฉันคือเซียวเตี่ยนไม่ทราบว่า พวกคุณคือใครหรือค่ะ” จริตจะก้าน ที่เซียวเตี่ยนพย้าเปมเอามาประเคนหวังว่าจะขายผ้าเอาหน้ารอดไป อย่างน้อยตอนนี้เขาก็เป็นผู้หญิงนี่นะ ไม่ว่ามองมุมไหนเวลา เขาก็คือสาวน้อยน่ารัก แถมเขามั่นใจว่าสวยกว่าดาราทั่วไปแน่ๆ (ก็ปั้นแต่งมากับมือนี่นะ)
แต่ชายทั้งสามที่ยืนสามเส้าทันทีที่ได้รับการยืนยันชื่อจาก เซียวเตี่ยน พวกเขาทั้งสามก็ตะโกนพร้อมกันว่า
“ค่ายกลวชิระสยบมาร”
หา!!! ค่ายกลอีกแล้วไหนเฟยหวู่ เคยบอกว่าว่าค่ายกลนี้เป็นความลับเฉพาะของกลุ่มเขาไง นี่อะไรไม่ทันไร เขาเจอค่ายกลใหม่ๆ จากทั้งหวงต้าน และชายปริศนานี่อีก สงสัยที่ว่าค่ายกลเป็นความลับ คงแค่ราคาคุยซะแล้ว แบบนี้มันของโหลชัดๆ
แต่ถึงเซียวเตี่ยนจะคิดอย่างไร แต่ค่ายกลที่ทำงานแล้วก็น่ากลัวอยู่ดี ซึ่งสำหรับค่ายกลนี้อาจไม่มีแสงสีพิศดาลเหมือนค่ายกลทั้งสองที่เขาเคยเห็น มันเพียงเกิดเป็นโดมแสงทอง ครอบลงมาปิดพื้นที่ที่ชายทั้งสามล้อมเขาไว้พอดี แถมตัวของชายทั้งสามยังปรากฏแสงสีทอง อาบทั้งร่างเหมือนผ่านการชุบทองมาจนมองไม่เห็นเสื้อผ้าเนื้อเดิมว่าสิอะไร กลายเป็นมนุษย์ทองคำสามตัว แต่ขึ้นชื่อว่าค่ายกล มันก็ต้องมีอะไรที่น่ากลัวซ่อนอยู่แน่
“ขออภัยที่เสียมารยาท แต่ถ้าไม่พึ่งค่ายกลนี้ พวกเราก็ไม่แน่ใจว่า จะรั้งคุณเซียวเตี่ยนไว้อยู่ ผมชื่อจ้าวจื่อหลง มาจากทีม เทพฤทธิ์สยบมาร (Demon Destroy Divine บางครั้งจะมีคนเรียกทีมนี้ว่า DDDหรือ 3D)” ชายที่ยืนตรงหน้าได้กล่าว
“ผมชื่อ ฮวยบ่อข่วย มาจากทีมเดียวกับท่านจ้าว” ชายอีกคนที่ หัวโล้นแต่งกายคล้ายๆ กับเตียวจูล่ง หากแต่มีรูปร่างผอมสูงได้กล่าว
“ผมชื่อ ไต้ซือตั๊กม้อ เช่นกันพวกเรามาจากทีมเดียวกัน” ชายคนสุดท้าย ซึ่งหัวโล้นเช่นกันกล่าว
สงสัยทีมนี้จะเป็นทีมพระมาเล่น หรือไม่ก็พวกนิยมสกินเฮดแน่ๆ เซียวเตี่ยนคิด แต่ไม่ใช่คิดเฉยๆ หากแต่จ้องมองไปที่หัวทั้งสามอย่างสนใจ ซึ่งทำให้บรรยากาศที่เคร่งเครียด ดูกระอักกระอวลขึ้นมาพิกล
“ไม่ขอพูดอ้อมค้อมล่ะนะ หยุดฆ่าคนของทีมเราได้ไหม เซียวเตี่ยน” ตั๊กม้อกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน
“พูดตรงๆ ไปเลยก็ดี อย่างที่ท่านตั๊กม้อพูด พวกเราไม่ใช่ผู้พิทักษ์ธรรมหรือ คนดีที่เสนอหน้าไปทั่ว แต่ก็คงปล่อยให้คุณ ฆ่าพรรคพวกของเราโดยที่เราอยู่เฉยๆ คงไม่ได้ แต่ขณะเดียวกัน พวกเราเองก็แค่นักเล่นเกมส์ธรรมดา ไม่อยากมีเรื่องให้น่ารำคาญใจมาก ดังนั้น สัญญาได้ไหมว่า ไม่ฆ่าคนของเรา” ฮวยบ่อข่วยกล่าวอย่างใจเย็น
“ถูกแล้ว ถ้าเราตกลงกันได้ พวกเราจะฆ่าคุณเพียงครั้งเดียว และจะเก็บไอเท็มคืนคุณทั้งหมด แล้วจะไม่มายุ่งกันคุณอีกเลย ยังไงการมีศัตรูน้อยลงซักกลุ่มก็ไม่เลว ไม่ใช่หรือ” จ้าวจื่อหลงกล่าว
แม้การเรียกร้องของจ้าวจื่อหลง ออกจะเกินเลยไปแต่ เมื่อมองจากลักษณะการเล่นเกมส์เป็นทีมแล้ว โดยปกติ ทีมของการเล่มเกมส์ จะแบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ ทีมที่หัวหน้า ชี้สั่งให้ลูกน้องทำทุกอย่าง กับ ทีมที่มีกลุ่มผู้นำที่แทบจะบริการทุกอย่างให้กับคนในทีม ซึ่งการสร้างทีม ทั้ง 2 แบบนี้จะมีข้อดีและเสียต่างกัน โดยมาก ถ้าหัวหน้าเป็นคนชี้นิ้วสั่งจะมีต้องมีผู้บริหาร ที่ทำหน้าที่บริการสมาชิกในทีม ถ้าไม่เช่นนั้นทีมที่มีแต่การสั่งการอย่างเดียว ในทีมสุดลูกทีมก็จะขอแยกตัวจากไปเรื่อยๆ ในขณะที่ทีมที่ กลุ่มผู้นำบริการทุกอย่างให้คนในทีม อาจทำให้ทีมเหนียวแน่น แต่ทีมจะโตยาก เพราะทุกอย่างจะโดนโยนภาระไปให้ผู้นำ ทำให้ทีมประเภทนี้จะไม่ค่อยขยายตัว และถ้าทีมที่มีผู้นำชีนิ้ว และมีผู้บริหารช่วยเหลือ ทีมแบบนี้ก็ มีจุดอ่อนที่ ความนับถือ ของลูกทีมจะตกไปสู่ผู้ที่ช่วยเหลือลูกทีมเสมอแล้วมักเป็นปัจจัยให้ทีมแตก
แต่จากที่ฟังๆ มาทั้ง 3 คนที่มา ถ้าไม่ใช่ผู้บริหารก็น่าจะเป็น คนที่เป็นผู้นำที่ให้บริการทีม ซึ่ง แน่นอนว่าถ้ามีการ ฆ่าสมาชิกในทีมเกิดขึ้น การที่เขาจะเรียกร้องขอฆ่าซักครั้งเพื่อจะได้มีคำไปบอกกล่าวแก่สมาชิก เป็นเรื่องสมควร แถมยังมีสัญญาว่าคืนของทั้งหมดให้อีก ก็ถือว่าเป็นการเจรจาที่ไม่เลว เสียแต่เขายังไม่อยากตายตอนนี้ แถมคนฆ่าก็ไม่ใช่เขาอีก จะมีใครรับประกันได้บ้างว่า มารโลหิต จะไม่ฆ่า คนของทีมนี้อีก ต่อให้เขายอมตายซักครั้ง แต่สุดท้ายก็คือตายฟรีเท่านั้น เพราะงั้นเขาต้องพยายามเจรจาให้ได้.......แถมเวลานี้เขาอยู่ในร่างสาวน้อยน่ารักน่าทนุถนอม มันน่าจะมีหนทาง มั่งสิน่า...
“คือ แม้อาจเชื่อยาก แต่จริงๆ ตั้งแต่เข้าเกมส์ มา ฉันยังไม่เคยฆ่าใครเลยจริงๆ นะคะ”
“ฮ่าๆ จะมาเล่าตลกหรือยังไง เซียวเตี่ยน นี่คือเกมส์นะ แถมตัวละครตัวไหน ฆ่าใคร มันมีบันทึกไว้หมด เสียงจากระบบบอกว่าใครฆ่าคิดว่าจะมีผิดหรือ ต่อให้บอกว่ามีคนปลอมเป็นคุณ สุดท้ายเวลาฆ่าไปแล้ว มันก็ต้องขึ้นชื่อคนฆ่าอยู่ดี คิดหรือว่าในเกมส์แบบนี้ จะมีคดีฆาตกรรมอำพรางได้” ไต้ซือตั๊กม้อพูด
“ได้โปรดเชื่อฉันเถอะ มันเป็นภารกิจลับที่ฉันบังเอิญได้มา มันมีมอนสเตอร์ ตัวหนึ่งจำลองร่างเป็นฉันไปฆ่าคนทุกคน” เซียวเตี่ยนพยายามอธิบาย
“เลิกแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ เถอะครับ ยอมรับมาเถอะ ในนี้โลกในเกมส์ ไม่มีการใส่ร้ายกันแน่นอน ทุกคนที่ตายก็มีประกาศบอกชัดเจนว่าคนฆ่าคือคุณ แถมสถานะมือเปื้อนเลือด[3] ที่คุณ ติดอยู่จะให้อธิบายว่าอย่างไร” ฮวยบ่อข่วย กล่าว
“เรื่องการแปลงร่างที่ว่ามา ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนทำนะคุณเซียวเตี่ยน แต่ไม่ว่าจะแปลงร่างเป็นใครหรือ ปลอมตัวเป็นใคร แม้แต่มอนสเตอร์ที่ชอบแปลงร่างอย่าง ปีศาจลอกเลียน เวลามันฆ่าในร่างแปลงก็ ยังถูกระบบบันทึกว่าเป็นการ โดนฆ่าโดยปีศาจลอกเลียนเลยครับ แต่ไม่ว่าที่คุณเซียวเตี่ยน จะยอมหรือไม่ยอมรับ พวกเราก็จะฆ่าคุณอยู่ดี แต่ถ้ารับข้อเสนอของเราอย่างน้อยๆ ก็จะได้จบเรื่องกันไปดีไหมครับ” จ้าวจื่อหลงกล่าวปิดท้าย พร้อมเตรียมตั้งท่าจะสังหาร
“เดี๋ยวๆ หยุดก่อน อย่างน้อยๆ ขอคุยให้เข้าใจกันก่อนสิ ยังไม่ทันคุยรู้เรื่องก็จะฆ่ากันแล้วหรือ”
“เอ้า มีอะไรก็ว่ามา แต่ถ้าคิดจะหลอกกันล่ะก็ อย่าหวัง รู้ไหมว่าพวกเราไม่ใช่กลุ่มมือใหม่นะ แถมที่อยู่ตรงนี้คือผู้เล่นที่เล่นเกมส์นี้เป็นกลุ่มแรกสุด ดังนั้นถ้าคิดพูดเรื่องไร้สาระ อย่าเสียเวลาและที่สำคัญอย่าคิดว่าการฆ่าเป็นวิธีเดียวที่เราจะสั่งสอน พวก PK ได้ เรามีวิธีที่ถูกกฎที่ทำให้เจ็บแสบกว่าการฆ่าอีกมาก” ไต้ซือตั๊กม้อกล่าวข่มขู่
“เชื่อกันมั่งสิ แล้วพวกคุณทั้งสาม ลองมามองดูที่ฉันดีๆ สิว่ามีปัญญาจะไปฆ่าใครที่ไหน แถมยังเล่นเกมส์ ยังไม่ทันข้ามวันเลย มันเป็นภารกิจพิเศษ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ แบบนี้นี้ขึ้นจริงๆ ที่ฆ่าคนไปมากมายไม่ใช่ฉัน แต่เป็นมารโลหิต ที่จำแลงร่างเป็นฉัน ถ้าพวกคุณพูดถึง รู้เรื่องในเกมส์นี้ดีจริงๆ ก็น่าก็น่าจะเคยได้ยินภารกิจพรรณนี้สิ”
“หากจะยืนยันว่ามันคือภารกิจอย่างที่ว่า ก็ต้องมีหลักฐานหรืออะไรซะอย่าง ที่ทำให้พวกเราเชื่อถือได้สิ” จ้าวจื่อหลงกล่าว
พูดน่ะ พูดง่าย แต่ถ้าเขาสามารถ้าหาหลักฐานมายืนยันได้ เขาก็คงไม่จำเป็นต้องหนีมาอย่างหัวซุกหัวซุนแบบนี้หรอก แถมสามคนที่ล้อมเขาไว้ ก็น่าสงสัยว่าเป็นพวกตายด้าน หรือว่าอยากเป็นนักบวชจริงๆ ขนาดร่างที่เขาใช้สวยน่ารักขนาดนี้แล้วนะ กลับไม่ยักมีคนใจอ่อนซะคน แต่จะแก้ตัวส่งๆ ไปคงไม่ได้ มีหวังตายเปล่า แต่จะหาอะไรมายืนยัน!!!
“ว่าไง หากมีอะไรเป็นหลักฐานอะไรก็รีบๆ แสดงมา แต่เรื่องไร้สาระไม่ต้องนะ” ไต้ซือตั๊กม้อเร่งรัด
“โธ่โว้ย ถ้ามีหลักฐานแสดงได้ ฉันจะหนีหัวซุกหัวซุนอย่างนี้หรือ” เซี่ยวเตี่ยนสบถออกมาอย่างเหลืออด
“ถ้าไม่มีหลักฐานแล้วจะให้เชื่อได้อย่างไร ยิ่งคนทำผิดที่ถูกจับได้มีใครบ้างที่ไม่บอกว่าใส่ร้าย ตอนทำไม่คิดบ้างว่าจะโดนเอาคืนบ้างเลยหรือ อะไรที่ไม่อยากโดนไม่ควรทำเขาก่อนสิ” จ้าวจื่อหลงกล่าว
“ก็บอกแล้วว่า ไม่ได้ทำ มันเป็นเควส[4] เชื่อกันบ้างสิ”
“พูดปาวๆ อยู่นั่นว่าเป็นเพราะภารกิจ แต่มันมีอะไรที่ยืนยันได้ไหม” ไต้ซือตั๊กม้อกล่าว
แต่ในขณะนั้น ฮวยบ่อข่วย ที่เงียบมานานก็ได้กล่าวแทรกขึ้นมา
“ในเมื่อคุณยืนยันเสียงแข็งถึงขนาดนั้นว่านี่คือภารกิจ ไหนลองเล่ามาให้ฟังหน่อยครับ ถ้าพอฟังได้พวกเราก็จะเลิกราไป แถมอาจช่วยคุณอีกแรงด้วย”
“ขอบคุณที่ยอมรับฟังกันซะที ถ้าให้เล่าตั้งแต้ต้นคงยาวมาก แล้วภารกิจที่ฉันรับมานั้นค่อนข้างซับซ้อน เพราะดูเหมือนมันคาบเกี่ยวกันอยู่หลายภารกิจ เท่าที่ลองสรุปความเห็นส่วนตัวของฉัน คิดว่าน่าจะมีการคาบเกี่ยวกันทั้งหมด 4 ภารกิจ ซึ่งมี ภารกิจมารโลหิต ภารกิจตำหนักสวรรค์ ภารกิจการเป็นจอมมาร และสุดท้ายยังไม่แน่ใจนักว่าเป็นภารกิจหรือไม่ แต่น่าจะเป็นจุดเชื่อม ของ 3 ภารกิจที่ว่า หรือไม่ก็อาจเป็นเป้าหมายสุดท้าย นั่นคือ ภารกิจมหาสงครามสามโลกอัลสิลอส”
“มหาสงครามสามโลกอัลสิลอส หึๆ ชื่อนี้ไม่ได้ยินมาซะนาน ไม่นึกว่าจะได้ยินที่ทวีปนี้นะ” จ้าวจื่อหลงพูดไปยิ้ม แต่ประกายตากลับไม่ได้ยิ้มตาม ทำให้รอยยิ้มนี้ดูน่ากลัวมากกว่าน่าสนิทสนม
“ท่านจ้าว เคยได้ยินเรื่องเควสนี้ด้วยหรือ” ไต้ซือตั๊กม้อถาม
“อืม แต่ไว้รอเราฟังเรื่องทั้งหมด จากเขาก่อนดีกว่า“
“คุณจ้าวรู้เรื่องมหาสงครามนี้ด้วยหรือ” เซี่ยนเตี่ยนถามกลับทันที เพราะนี่คือเบาะแสที่เขาต้องการ
“ไว้หลังจากฟังเรื่องราวของคุณก่อนดีกว่า”
“อืม จะเริ่มเล่าจากที่ไหนดีนะ ถ้าให้เป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจนี้ คงต้องเริ่มจาก ตึกในเมืองที่มีหน้าต่างของชั้นสองเปิดอ้าอยู่......” จากนั้นเซี่ยวเตี่ยน ก็เริ่มไล่เล่าเรื่องต่างๆ ซึ่งเรียกทั้งเสียงฮือฮา และคำถามจากคนทั้งสามมากมาย การสนทนาตอบโต้ดำเนินอยู่นาน
“และสุดท้าย ก็หมดแรงมาหลับอยู่ที่นี่” เซี่ยวเตี่ยน กล่าวปิดท้ายเรื่องที่เล่ามายาวนาน
“ท่านจ้าวคิดว่าอย่างไร” ฮวยบ่อข่วยถาม
“เท่าที่ฟังก็ดูโลดโผน แต่หลายๆ จุด ก็สอดคล้องกับข้อมูลที่ผมเคยได้สมัยอยู่ทวีปยูเรีย ข้อมูลพวกนี้จัดว่าเป็นข้อมูลลับที่ ไวซูสหวงยิ่งกว่าอะไรดี หากไม่ใช่คนใกล้ชิดหรือคนที่เล่นมาตั้งแต่เริ่มแรก ก่อนที่ไวซูล จะมีอำนาจนั้นไม่มีทางที่ได้ข้อมูลพวกนี้หรอก”
“ถ้าอย่างนั้น ท่านจ้าวก็คิดว่าเรื่องที่ เซี่ยวเตี่ยนพูดเชื่อถือได้สินะครับ” ไต้ซือตั๊กม้อกล่าว
“อืม คิดว่าเชื่อได้ล่ะนะ แล้วท่านฮวยคิดว่ายังไง”
“ผมว่าก็น่าเชื่อครับ แต่ปัญหาคือถ้าเราเชื่อจะทำอย่างไรต่อไป และถ้าไม่เชื่อจะทำอะไรต่อไป”
“ท่านฮวยกับไต้ซือ จะว่าอะไรไหมหากผมคิด จะร่วมมือกับเซี่ยวเตี่ยน ในการคลี่คลายภารกิจนี้“
“ท่านจ้าว แน่ใจว่าจะอยากยื่นมือเข้ามาในปลักโคลนนี้จริงๆ หรือเรื่องนี้คงไม่อาจจบลงง่ายๆ นะท่าน” ฮวยบ่อข่วยกล่าวเตือน
“จะว่าเป็นความดื้นรั้น ของผมก็ได้นะ แต่ผมอยากแก้ภารกิจนี้จริงๆ ซึ่งผมก็มีเหตุผลที่น่าร่วมมือทั้งเรื่องส่วนตัวและส่วนรวม สำหรับส่วนตัว ผมก็อยากจะบรรลุภารกิจนี้ก่อนไวซูส ส่วนสำหรับส่วนรวม ภารกิจมหาสงครามนี้ เท่าที่เคยรวบรวมข้อมูลมา ภารกิจนี้จะเป็นภารกิจสุดท้ายของเกมส์นี้ ซึ่งน่าสนใจว่า หากจบภารกิจนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรกับเกมส์นี้บ้าง แถมไวซูสก็เคยคาดว่าทันทีที่จบภารกิจนี้ หมายถึงเกมส์นี้ก็จบเหมือนกัน แต่มันก็น่าสนุกไม่ใช่หรือ แถมโอกาสนี้มาอยู่ตรงหน้าแล้วด้วย ทำไมจะไม่คว้าล่ะ” จ้าวจื่อหลง พูดไปยิ้มกริ่มไป
แต่จากคำพูดของเขาทำให้ผู้ฟังทั้ง 3 เริ่มคิดหนัก หนึ่งในนั้นก็คือ เซี่ยวเตี่ยน แม้เขาจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่จะมีจุดจบ หรือการเคลียเกมส์ จะภารกิจ เพราะขืนทำแบบนั้นเท่ากับทุบหม้อข้าวตัวเองพอดี แถมนักเล่นเกมส์ ยังมีจำพวกจอมถึกที่สามารถเล่นจนระดับสูงสุดในเวลาไม่นาน ดังนั้นประเด็นว่าจบเควสแล้วจบเกมส์นั้นเขาไม่ค่อยเชื่อซักเท่าไหร่ ยิ่งเป็นเกมส์นี้ที่มีระบบที่ไม่มีใครเหมือน เขาลงทุนไปเท่าไหร่ ขืนยอมเลิกกันง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้ แต่การที่มีข่าวลือว่ามันคือภารกิจสุดท้ายโอกาสเป็นไปได้คือ มันคือภารกิจระดับสูงสุดเท่านั้น (ทุกเกมส์ ไม่ว่าเกมส์ใดๆ แม้มีภารกิจมากมาย แต่ก็ย่อมมีภารกิจที่ยากที่สุดอยู่เช่นกัน) ขณะที่คิดคะเนต่างๆ กันไปนั้น จ้าวจื่อหลง ก็ได้กล่าวขึ้นมา
“แต่ทั้งนี้ ขึ้นกับว่า ท่านเซี่ยวเตี่ยนจะร่วมมือกับพวกเราไหม”
เซี่ยวเตี่ยนขบคิดชั่วครู่ แล้วกล่าวว่า “ถ้าหากไม่ตกลง จะยอมปล่อยฉันไปไหม”
“หึๆ ไม่คิดว่าจะโดนคำถามทดสอบแบบนี้เลยจริงๆ แต่อยากได้คำตอบของคำถามนี้จริงๆ หรือ” จ้าวจื่อหลงตอบพร้อมรอยยิ้ม
เซี่ยวเตี่ยนยิ้มตอบ พร้อมตอบกลับว่า “คงไม่จำเป็นแล้วล่ะ”
ทั้งสองสบตากันอีกครั้งอย่างรู้ทันกัน พร้อมส่งเสียงหัวเราะประสานกัน ในคำถามที่ดูเหมือนธรรมดาๆ นี้เป็นคำถามทางจิตวิทยาของ เซี่ยวเตี่ยน ที่คิดขึ้นเพื่อตรวจสอบอีกฝ่าย หากอีกฝ่ายไม่อาจรู้ทันถึงอุบายในคำถามของเขา แล้วตอบซื่อตามคำถามโดยตรง เนื่องจากคำถามแบบนี้ ไม่ว่าตอบอะไรออกไปล้วนไม่สามารถ สร้างความเชื่อถือได้เลย ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องการคือต้องการทดสอบอีกฝ่ายว่าจะสามารถมองทะลุถึงอุบายของเขาหรือไม่ เพื่อดูว่าอีกฝ่ายนั้นมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะร่วมมือกับเขาหรือไม่ เพราะในการแก้ไขภารกิจระดับสูงนั้น เชาว์ปัญญาเป็นสิ่งสำคัญ
“แต่เราคงต้องตกลงกันในรายละเอียดซะหน่อย อย่างน้อยก็เรื่องของที่ได้ระหว่างการคลี่คลายภารกิจ จะได้ไม่ผิดใจกันที่หลัง” จ้าวจื่อหลงกล่าว
“เรื่องผลประโยชน์นี่ผมขอเสนอแล้วกัน ไม่ว่าอะไรเราใช้วิธี รับเวียนไปเรื่อยๆ ดีไหมครับ ใครเคยได้ของแล้วก็วนคิวต่อไป ได้อะไรมาก็ให้มันแล้วแต่ดวงเป็นอย่างไรครับ แต่แน่นอนข้อตกลงนี้สำหรับของที่มีค่ามากเท่านั้น ส่วนของที่มีค่าน้อย เราก็รวมมาแบ่งเป็น 4 ส่วนแล้วแบ่งเท่าๆ กัน ก็ตามปกติของการรวมกลุ่มน่ะครับ หวังว่าคุณเซียวเตี่ยน คงไม่คิดว่าพวกผู้ชายอย่างพวกเราเอาเปรียบนะครับ” ฮวยบ่อข่วยเสนอ
“ไม่แน่นอนค่ะ เพราะถึงภารกิจฉันเป็นคนได้มา แต่ก็คงไม่มีปัญญาทำให้จบ หากไม่มีพวกคุณมาช่วยหรอก” เซี่ยวเตี่ยนที่ตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ใจกลับคิดว่า เกือบไปแล้วเกือบลืมว่าเป็นผู้หญิงอยู่หวังว่าไม่ได้หลุดอะไรไปนะ เพราะถึงอย่างไรการเป็นผู้หญิง ก็มีข้อได้เปรียบหลายๆ อย่าง ยิ่งต่อจากนี้ไปคงต้องยิ่งระวังตัวมากกว่านี้ล่ะนะ
“ท่านจ้าว ท่านฮวย อย่าพูดเหมือนรู้สองคนสิ ตกลงเรื่องราวมันเป็นยังไง” ไต้ซือตั๊กม้อที่เงียบมานานได้ถามขึ้น
“จริงสิท่านตั๊กม้อ ยังไม่รู้นี่นา เรื่องมันค่อนข้างยาว ถ้าให้ไล่คงต้องเริ่มจาก จริงๆ แล้วผมไม่ได้เล่นเกมส์ นี้ครั้งแรกที่ทวีปนี้นะ ผมเริ่มเกมส์ครั้งแรกที่ทวีปยูเรีย เป็นผู้เล่นกลุ่มแรกๆ ที่เล่นตั้งแต่เริ่มเปิดเกมส์ ที่กลุ่มพวกเราขนานนามว่า ยุคสมัยแห่งความวุ่นวาย เพราะตอนแรกเริ่มทุกอย่างยังไม่อยู่ตัว ทั้งพวก DPM(Debug Programmer), GM(Game Master), QM(Quest Master) เดินกันเกลื่อน และยังติดต่อกับผู้เล่นอยู่ ทั้งให้ผู้เล่นเสนอแนะ ช่วยเหลือบ้าง แต่ในทางกลับกัน ก็ทำให้ข้อมูลลับบางส่วนรั่วมาให้พวกเราที่เป็นผู้เล่นกลุ่มแรกรู้ไม่ใช่น้อย ดังนั้นพวกเราเองก็ใช้ประโยชน์ตรงนี้ที่ได้เปรียบกว่าผู้เล่นที่มาช่วงหลังที่พวกเจ้าหน้าที่ เริ่มถอนตัวจากการติดต่อผู้เล่น จากเดิมติดต่อได้เสมอ กลายเป็นติดต่อเท่าที่จำเป็น จนกลายเป็นไม่ได้ติดต่อย่างทุกวันนี้
แน่นอนด้วยข้อมูลที่มากกว่า ทำให้คนกลุ่มแรกที่ทวีปยูเรีย ได้เปรียบเหนือกว่า ผู้เล่นภายหลังหลายขุม อย่าว่าแต่ระบบบางอย่างในนี้ ยังเป็นข้อเสนอแนะจากคนกลุ่มนี้อีก แถมยังมีการรวมกลุ่ม และวางแผนเป็นองค์กรที่เบ็ดเสร็จ บทคนดีก็คนของกลุ่มนั้น บทคนร้ายก็ใช่เรียกได้ว่าเหมือสร้างฉากหลอกลวงไปหมด เลยทำให้ผมทนอยู่ไม่ได้ พอมีการเปิดทวีปใหม่ ผมก็เลยลบตัวละครเก่าและสร้างตัวละครใหม่ที่ทวีปนี้ไง” จ้าวจื่อหลงเล่าความหลังอย่างยืดยาว ที่สร้างความประหลาดใจให้กับเซียวเตี่ยนไม่ใช่น้อย ก็ในเมื่อได้เปรียบชาวบ้านขนาดนั้น ทำไมถึงกลับแยกตัวมาเล่นใหม่
“แล้วไวซูส คือใครกันครับ แล้วทำไมเขาถึงสนใจภารกิจมหาสงครามถึงขนาดนี้ละครับ” ไต้ซือตั๊กม้อถามต่อ
“ไวซูสก็คือผู้นำคนกลุ่มนั้นครับ แล้วก็เป็นคนที่น่าจะมีอิทธิพลมากที่สุดในเกมส์นี้ ส่วนที่ทำไมที่เขาสนใจภารกิจนี้ผมคงต้องเท้าความกลับไปยังสมัยที่เรายังติดต่อกับพนักงาน ของเกมส์นี้ทั้งหลายโดยตรงได้อยู่ เวลานั้นมีการเสนอแนวคิดใหม่ๆ หลายอย่างจากผู้เล่น แต่หนึ่งในข้อเสนอที่ทางนั้นสนใจมากที่สุดคือเรื่อง การสร้างประวัติศาสตร์ ที่แท้จริงในโลกสมมตินี้ ซึ่งการสร้างประวัติศาสตร์ในแนวที่ บริษัท สนใจนั้นไม่ใช่ ประวัติศาสตร์ธรรมดาทั่วไป หากแต่เป็นลักษณะการ สร้างประวัติศาสตร์ที่ประกอบด้วยคำเล่าลือต่างๆ มีแนวทางสับสนที่ทั้งสอดคล้อง และขัดแย้งกันตามแต่ล่ะมุมมอง แต่จะโยงไปสู่จุดเริ่มต้นเดียวกัน นั่นคือมหาสงครามสามโลก
แต่ข้อมูลต่างๆที่เชื่อมโยงถึงนั้น กลับหายากกว่าที่คิด ตลอดเวลามีการหาเบาะแส และทำภารกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภารกิจนี้ไปไม่น้อย แต่ก็ได้ข้อมูลที่เกี่ยวเนื่องกับมหาสงครามน้อยมาก ส่วนที่ผมพูดว่าทำไมพอจบภารกิจมหาสงครามนั้น ทำไมจึงเป็นจุดจบของเกมส์นี้ได้ เพราะเป็นอีกแนวคิดของการนำเสนอ ที่น่าเชื่อกันว่า ทางบริษัทต้องการเก็บรวบรวมเหตุการณ์ต่างๆ เป็นตำนานบทหนึ่ง ก่อนเปิดตัวเกมส์ใหม่ เพื่อให้ผู้เล่นที่ไปเล่นเกมส์ใหม่มีเป้าหมายในการพิชิตเกมส์ ซึ่งดึงดูดมากกว่าเล่นไปวันๆอย่างเกมส์ทั่วๆไป”
จ้างจื่อหลงพูดถึงข้อมูลอย่างยืดยาว แต่ทั้งหมดก็ตั้งใจฟังอย่าไม่ขัดจังหวะ เพราะข้อมูลแต่ล่ะอย่างที่ได้ยินนั้นล้วนแล้วแต่น่าสนใจ และเหมือนได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ในเกมส์นี้ โดยเฉพาะเซียวเตี่ยนที่ดูจะตื่นเต้นที่สุด ทั้งด้วยว่าเขาเป็นมือใหม่ในเกมส์นี้ ความกระตือรือร้นต่อเกมส์ยังเต็มเปี่ยม แถมด้วยแนวคิดของเกมส์ ที่มีจุดจบ ในฐานะเกมส์เมอร์ มันย่อมท้าทายเป็นที่สุด ที่จะลองฟันฝ่า และแน่นอนว่าเดิมพัน กับสมชายก็ยังไม่ถูกลืมเลือนในสมองของเขา ในเมื่อเขากุมความลับบางส่วน ของเควสที่ทำให้จบเกมส์ได้ จะมีอะไรแสดงถึง การเหนือกว่าอีกฝ่ายได้ชัดเจนกว่านี้อีกล่ะ หุ หุ หุ
“แต่ก็อย่าเพิ่งดีใจไปนะครับ เพราะภารกิจนี้มันก็อาจแค่หนึ่งในภารกิจที่ไม่รู้ว่ามีเท่าไหร่ที่โยงถึง เรื่องมหาสงคราม ดังนั้นต่อให้สาวไปจนสุดภารกิจมันก็อาจเป็นแค่ภารกิจธรรมดาเท่านั้น” จ้าวจื่อหลงเตือน
“นั่นสิครับ แต่ข้อมูลมันก็น่าสนใจ ไหนๆ ลองทำดูก็คงไม่น่าจะเสียหาย แต่เราคงต้องเหนื่อยกันหน่อยในเรื่องทำความเข้าใจกับกลุ่มอื่นๆ เพราะตอนนี้ คุณเซียวเตี่ยน เป็นคนมีค่าหัวเสียแล้ว” ฮวยบ่อข่วยพูดอย่างตรึกตรอง
“ถ้าพูดคุย ผมว่ามีท่านจ้าวกับท่านฮวย ก็พอคุยกับกลุ่มอื่นๆ ได้เกือบหมดไม่น่ามีปัญหา แต่ติดตรงกลุ่มบัญชาสวรรค์ นี่ล่ะที่เป็นปัญหา กลุ่มนี้มันฟังใครซะที่ไหน แถมมองทีมอื่นๆ ที่ใหญ่ๆ ซักหน่อย เป็นศัตรูไปซะทั้งหมด” ไต้ซือตั๊กม้อบ่น
“ค่อยๆแก้ปัญหาไปทีล่ะเปราะแล้วกัน” จ้าวจื่อหลงพูด
“แต่พวกเราจะเริ่มทำอะไรจากนี้ไป” เซี่ยวเตี่ยนถาม
“ก่อนอื่นคงต้องสลายค่ายกลนี้ไปก่อนครับ” ฮวยบ่อขวยตอบอย่างมีอารมณ์ขันพร้อมทั้ง ส่งสัญญาณไปยัง จ้าวจื่อหลงและ ไต้ซือตั๊กม้อ
“ยกเลิกทักษะ” เสียงประสานของทั้งสามคน แสงที่เปล่งจากค่ายกลก็เหมือนถูกเร่งแรงขึ้นและ แตกสลายเป็นละอองสว่างมากมาย ก่อนสลายไป
“ปกติ ค่ายกลจะยกเลิกไม่ได้จนกว่าจะฆ่าศัตรูภายในจนหมดนะ แต่ด้วยทักษะพิเศษจากการข้อมูลของท่านจ้าว ทีมของเรา ไม่สิ น่าจะมีแค่พวกเราสามคนเท่านั้นที่สามารถยกเลิกค่ายกลของตัวเองได้” ไต้ซือตั๊กม้อเริ่มโม้
“พอๆ ท่านตั๊กม้อ ขืนคุยมากไปขืนกลุ่มอื่นเขาได้ทักษะนี้หรือว่ามีวิธีอื่น เราจะหน้าแตกเอานะ” ฮวยบ่อข่วยปรามพร้อมรอยยิ้ม
“เอาล่ะหยอกล้อ กันพอแล้ว ก็ไปกันซะทีดีไหม” จ้าวจื่อหลงตัดบท
“แล้วจะไปที่ไหนกันหรือคะ” เซี่ยวเตี่ยนถาม
“แน่อยู่แล้วว่าต้องเป็นเมืองจิน (
การเดินทางเริ่มต้น พวกจ้าวจื่อหลง ระหว่างเดินไปก็เริ่มแนะนำตัวกันไป ก็มีการให้ข้อมูลเบื้องต้นกับ เซี่ยวเตี่ยนมากมาย ซึ่งเกมส์นี้ จะแตกต่างจากเกมส์อื่นๆ ตรงที่สามารถมีอาชีพ ได้ถึง 10 อาชีพ แต่การเพิ่มระดับทักษะ ของอาชีพระดับถัดไปนั้นก็ใช้ค่าความเชี่ยวชาญมากกว่าเดิมเท่าตัว ในทุกลำดับเช่นในลำดับที่ 1 ใช้ค่าคามชำนาญ 1 เท่า อาชีพลำดับที่ 2 ก็ใช้ค่าความชำนาญ 2 เท่า อาชีพลำดับที่ 3 ก็ใช้ 4 เท่า และถ้าไปถึงลำดับที่ 10 ก็จะใช้ค่าความชำนาญถึง 1024 เท่า!!!!!
โดยจ้าวจื่อหลงนี้เป็นผู้เล่นที่มี
แต่ถึงจะบอกว่าอาชีพนี้มีพลังการโจมตีที่ไม่แรง แต่ที่เซี่ยวเตี่ยนเห็นจากการเดินทาง แทบไม่เจอมอนสเตอร์ในแถบนี้แม้แต่ตัวเดียวที่ทนการโจมตีพวกเขาไม่ไหว ยิ่งทำให้เซี่ยวเตี่ยนเพิ่มความมั่นใจในการบรรลุภารกิจนี้ แต่การเดินทางกับคนกลุ่มนี้ก็มีข้อเสียอย่างที่ เขาไม่มีโอกาสในการเก็บ ค่าประสบการณ์เลยน่ะซิ!!!!
ทุกอย่างดูราบรื่น การเดินทางนั้นจ้าวจื่อหลง แนะนำให้เลือกเดินเลียบป่า แทนที่จะเดินทางตามถนน เนื่องจากจะลดปัญหาจากคนที่จะตามล่าเซียวเตี่ยน แถมยังเพื่อป้องกัน การที่มารโลหิต จะล่าสังหารคนไปเรื่อยๆ เนื่องตัวมารโลหิตนั้นจะอยู่ห่างจาก เซี่ยวเตี่ยนมากเกินระยะหนึ่งไม่ได้ ขอเพียงพวกเขาเลือกเดินในเส้นทางที่ไม่ค่อยมีผู้เล่นก็จะลดปัญหา การฆ่าลงไปได้ แม้ว่าเซี่ยวเตี่ยนยังกังวลว่า ถ้าหากกลุ่มของเขาเกิดไป จ๊ะเอ๋ กับมารโลหิตจะทำยังไง แม้พวกจ้าวจื่อหลงจะเก่ง แต่ผลงานที่ผ่านมาของมารโลหิต ก็ทำให้เขาไม่กล้าเล็งผลเลิศนัก
“ปกติ ผู้เล่นใหม่ๆ จะไปเมืองจิน โอกาสรอดคงมีไม่มาก เพราะละแวกนั้น มีแต่พวกมอนสเตอร์
“ถ้ายังไง พกไอ้นี่ไว้นะครับ มันจะช่วยรับพลังโจมตีทั้งหมดได้ 1 ครั้ง น่าจะช่วยได้ แต่ถ้าไม่คับขันถึงตายจริงๆ อย่าใช้นะครับ เพราะมันจะถามทุกครั้งที่โดนโจมตี” ฮวยบ่อข่วยกล่าวพร้อมโยน ถุงเครื่องรางขนาดประมาณผ่ามือ ที่มีเชือกร้อยยาวมัดปากถุง น่าจะเหมาะในการคล้องคอ
เซี่ยวเตี่ยนรับ ถุงที่ว่ามาคล้องคอทันทีพร้อมถามว่า “ถุงนี้มันคืออะไรหรือค่ะ แล้วมีขายที่ไหน”
“ถุงนี้ชื่อว่า เครื่องรางปัดเป่าหนึ่งเคราะห์ ของหายากระดับสุดยอด เพราะต้องสร้างเอาเท่านั้น แถมวัตถุดิบที่ใช้สร้างก็หายากมาก ในทวีปนี้ มีแต่ท่าน ฮวย กับ จีพีเท่านั้นที่สร้างได้” ไต้ซือตั๊กม้อตอบ
“หายากขนาดนั้นเชียวหรือคะ”
“ก็ ถึงขนาดที่ถ้าตั้งราคาไว้ที่ แสนกิล ก็มีคนแย่งกันซื้อเลยล่ะ” ไต้ซือตั๊กม้อกล่าว
“อีกอย่าง ผมว่าคุณเซี่ยวเตี่ยนน่าจะมีภูตสื่อสารได้แล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นเราอาจติดต่อกันได้ลำบาก หากออกจากเกมส์กันไป” จ้าวจื่อหลงกล่าว
สำหรับภูตสื่อสารนั้น เซี่ยวเตี่ยนเองก็ได้ข้อมูลเพิ่มจากพวกจ้าวจื่อหลง มาไม่น้อย ทำให้รู้ว่า ตัวภูติสื่อสารนั้น นอกจากใช้ติดต่อสื่อสารได้ตามชื่อแล้ว ยังเป็นเหมือนบันทึกช่วยจำ ที่สามารถถามถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้อย่างดี แถมสามารถรวบรวมข้อมูล จากหนังสือและบันทึดต่างๆ และยังสามารถ ต่อ หรือเปลี่ยนคำพูดที่ใช้เมื่อเรียกใช้ทักษะได้ เรียกว่าคุณสมบัติ มีอย่างเหลือล้น จนน่าเรียกได้ว่าเป็นเลขาส่วนตัวของผู้เล่น เพียงแต่รูปร่างภายนอกเมื่อเลือก แล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนได้อีก และเลือกรูปร่างภายนอกได้จากการสำเนารูปร่างภายนอก ของมอนสเตอร์เท่านั้น ซึ่งภูตสื่อสารของ จ้าวจื่อหลงนั้น เป็นนกสีเขียวตัวเล็กๆ ฮวยบ่อข่วยเป็น กระรอกสีขาวหางฟูท่านทางซุกซน ส่วนของไต้ซือตั๊กม้อนั้น ภูตสื่อสาร อลังการกว่าเพื่อเพราะเป็นเสือโคร่ง แต่ไม่ว่ารูปลักษณ์ใด ก็จะมีขนาดสูงไม่เกิน 1 ศอก
“ค่ะ ฉันก็คิดว่าคงจำเป็นต้องมีเหมือนกัน” เซี่ยวเตี่ยนกล่าวพร้อมล้วงไปหาไข่ภูตสื่อสาร
“ถ้าไม่ว่าอะไร ผมขอแนะนำให้เลือกรูปแบบไม่สะดุดตานักนะครับ เพราะถ้าสะดุดตาเกินไป อาจทำให้มีปัญหาภายหลัง” จ้าวจื่อหลงแนะนำ
“เรื่องนี้ผมไม่เห็นด้วยนะ พี่จ้าว ภูตสื่อสารเราสามารถเรียกให้มันซ่อนตัวได้ ดังนั้นการเลือกรูปแบบที่ไม่สะดุดตา ผมว่าไม่ค่อยช่วยอะไรเลยนะ ผมว่าเลือกตามที่ตัวเองชอบดีกว่า เพราะมันเปลี่ยนรูปแบบอีกไม่ได้” ไต้ซือตั๊กม้อแย้ง
“ผมว่าไว้ให้คุณเซี่ยวเตี่ยนเลือกเองเถอะอย่างไร เธอก็เป็นคนใช้ แถมเธอยังเป็นผู้หญิง อาจมีเรื่องแฟชั่นเข้ามาเกี่ยวข้อง” ฮวยบ่อข่วยกล่าว
“ท่านฮวยสมเป็นคนที่มีครอบครัวจริงๆ เข้าใจจิตใจผู้หญิงได้ดีจริงๆ” จ้าวจื่อหลงแซวด้วยรอยยิ้ม ส่วนฮวยบ่อข่วยก็ยิ้มตอบอย่างสบายอารมณ์
สำหรับเซี่ยวเตี่ยน แฟชั่นมีความหมายต่อเขาไม่มาก ก็เขาเป็นผู้ชายนี่นา แต่ก็อยากได้ไอ้ที่พอดูได้ซักหน่อย แต่ใช่ว่าต้องการแบบเลิศหรู แถมความจำเป็นต้องใช้ก็มีแล้วด้วย ดังนั้นเขาจึงเดินมองไปรอบๆ เพื่อหาเป้าหมาย แม้ในป่าจะสัตว์ ให้เห็นไม่น้อย แต่ที่ดูเข้าท่ากลับมีไม่มาก จนเขาออกจะปลงๆ จนในที่สุดเขาเลือก นกฮูกสีขาวตัวหนึ่ง มาเป็นต้นแบบ ให้ภูตสื่อสารของเขา พร้อมกับตั้งชื่อให้มันว่า ไป่(ชื่อภาษาจีน มีความหมายว่า สีขาว) จากนั้นเซียวเตี่ยน ก็ได้ทยอยจับมือกับพวกจ้าวจื่อหลงทั้งสาม เพื่อลงทะเทียนเพื่อน กับภูตสื่อสารเพื่อที่ภายหลังจะติดต่อกันได้ทุกเมื่อ
หลังจากเดินทางมาหนึ่งวัน พวกเซียวเตี่ยน ก็ได้เดินทางมาถึงเขตมือใหม่ อันเป็นทางเดินเลียบหน้าผาแห่งหนึ่งที่มีทางเดินลงไปวนรอบๆ จุดที่พวกเซี่ยวเตียนอยู่ตอนนี้เป็นที่ราบมีพื้นที่รอบๆ ข้างค่อนข้างมากพอให้คนเป็นร้อยอยู่ได้สบาย แต่ก็สูงจากพื้นดินเบื้องล่างอยู่มากจนกระทั่งมองต้นไม้ขนาดเท่าเมล็ดข้าว ที่หน้าผาที่ติดกับที่ราบนี้มีถ้ำที่ดูใหญ่โต และมีทางเดินทอดลงไปเบื้องล่าง ในขณะที่รอบๆ ริมหน้าผานั้นก็มีทางเดินไปต่อ หากแต่ทางเดินแคบลงเดินจนผ่านได้ทีละคน ไต้ซือตั๊กม้อ ก็ได้กล่าวขึ้นมาว่า
“ทางที่เดินออกจากเขตเมืองใหม่นั้น มีสองทางครับ ทางแรกนั้นจะต้องเดินทางเข้าไปในถ้ำที่เป็นทางลัดตัดตรงลง จากภูเขาที่ล้อมรอบด้วยหน้าผารอบทิศ ลงไปที่ราบเบื้องล่าง อีกทางคือเดินทางบนถนนเลียบริบหน้าผา ซึ่งทั้งสองทางจะมีความสี่ยงที่แตกต่างกัน โดยทางแรกนั้น จะพบกับมอนสเตอร์ ระดับ 15-20 เป็นฝูง ที่อาศัยในถ้ำทั้งกลางวันกลางคืน ส่วนทางที่สองนั้น เป็นทางเลียบริมหน้าผา ถนนจะแคบ และหวาดเสียว ระหว่างทาง ไม่มีมอนสเตอร์ประจำ แต่นานๆ ทีอาจมี มอนสเตอร์ ประเภทบินได้หลงมา แล้วโจมตีนักเดินทาง ซึ่งจะรับมือได้ยากเนื่องจาก ทางเดินที่คับแคบนั้น เรียกได้ว่าไม่เก่งจริงตายชัวร์ แถมช่วยเหลือกันลำบากคุณเซียวเตี่ยน คิดจะเลือกทางไหนครับ”
เซียวเตี่ยน แทบไม่ต้องคิดมากก็ตอบไปทันทีว่า “ฉันขอเลือกทาง เลียบริบหน้าผาค่ะ”
“แน่ใจหรือครับทางนั้น แทบต้องพึ่งดวงกัน เลย ถึงพวกผมจะไม่มีปัญหา แต่จะไปช่วยคุณเซียวเตี่ยนก็ทำได้ลำบากนะครับ” ไต้ซือตั๊กม้อกล่าวเตือน
“แน่ใจค่ะ เพราะว่าฉันมีทักษะทะยานบันไดเมฆ คิดว่าถ้ามีอะไรมาโจมตี จะกระโดดลงหน้าผาหนีไปเลย” เซียวตี่ยนตอบ พร้อมรอยยิ้ม
“ก็เป็นวิธีที่ดีนะครับ เพราะเข้าถ้ำไป พวกเราเองก็คุ้มกัน คุณเซียวเตี่ยนได้ลำบาก เพราะ
“ในเมื่อตกลงกันได้ ก็เดินกันเถอะครับหนทางยังอีกไกล” ฮวยบ่อขวยตัดบทและเดินนำไป ในขณะที่ ให้เซียวเตี่ยนเดินตาม ฮวยบ่อข่วย และ จ้าวจื่อหลงเดินตามมา เพื่อคอยคุ้มกันเซียวเตี่ยน ในขณะที่ ไต้ซือตั๊กม้อ เดินปิดท้ายเพื่อระวังหลัง
การเดินทางด้วยเส้นทางนี้ ตอนนี้เซี่ยวเตี่ยนเริ่มชักไม่แน่ใจซะแล้วสิว่า จะเป็นความคิดที่ดี เนื่องจากมันคงไม่ง่ายขนาด กระโดดลงไปแล้วใช้ทักษะทะยานบันไดเมฆ แล้วจะลงพื้นอย่างปลอดภย เพราะมอนสเตอร์ที่รอเขาอยู่ที่เบื้องล่างมี
ก็ลองคิดดูสิครับ หากเดินบนถนนริมหน้าผา ที่มีทางเดิน แค่พอวางเท้า แล้วคุณต้องแบกของใหญ่ๆ ราวๆ ฝาบ้าน แบบดาบรวมภูติ!!!! มันคงดูจืดอยู่หรอกนะ!!
แต่พวกจ้าวจือหลง ก็ไม่ได้เตือน ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าไอ้ดาบที่ใหญ่อย่างกับฝาบ้าน นี่เขาเอามาใช้ไม่ได้ ยิ่งริมหน้าผาเขายิ่งไม่มีทางที่จะใช้ได้ เพราะปกติคนที่ใช้อาวุธไม่ได้ ก็คงไม่บ้าพกไปไหนมาไหนให้หนักเปล่าๆ (บังเอิญว่าคนนี้บ้าพอ) แต่กว่า เซียวเตี่ยน จะรู้ตัว ก็เดินเข้ามาลึกแล้ว ทางเส้นนี้ยิ่งเดินมันก็ยิ่งแคบ แถมดันมีคนอีกกลุ่มใหญ่หนึ่งเดินตามมาเสียอีก
แม้เขาว่ากันว่า วิวที่มองจากหน้าผา จะสวยจนแทบละสายตาไม่ได้ แต่เขามีสายตามามองหรือ ในเมื่อ ไอ้ฝากระดานที่เขาแบกนั้น ก็เกะกะเหลือเกิน แถมมีของกีดขวางที่ด้านหน้าที่เขาไม่เคยมีมาก่อน มาขวางระหว่างตัวเขากับหน้าผาทำให้เขา เดินแนบหน้าผาลำบากเข้าไปอีก
การเดินทางที่ยากลำบากนี้ ดำเนินไปกว่าครึ่งวัน พวกเขาเองก็เดินทางมาไกลขึ้นเรื่อยๆ ในทางที่แคบแค่พอวางเท้า ตอนนี้เมื่อมองขึ้นไป เขาก็มองไม่เห็นยอดเขาแล้ว แต่ก็ยังห่างจาก พื้นดินอยู่มาก แต่นับว่าโชคของพวกเขายังดี ไม่มีมอนสเตอร์โผล่มาซักตัว แม้ไม่สบายนัก แต่ก็การเดินทางก็คืบหน้าไปเรื่อยๆ
แต่การเดินทางที่ราบรื่น (แน่หรือ) ก็มาถึงจุดจบเมื่อ ขบวนนักเดินทางที่เดินตามมาเริ่มมี เสียงตะโกนดังมาว่า
“มีพวก PK บ้าเลือดมา!!!! ผลัก!!! ฉัวะ!!!!! อ้ากกกกกก.....” เสียงที่ดังมา พร้อมการตะโกนนี้ คือเสียงการฟาดฟัน และเสียงอุทานก่อนตาย ของผู้เล่นที่ เดินทางตามกลุ่มของพวกเขา
“เฮ้ย!!!! นี่มันมารโลหิตนี่นา” เซี่ยวเตียนที่อุทานเมื่อ หันไปมองต้นเสียง เห็นว่า ผู้ที่กำลังล่าสังหารนี้ เป็นผู้หญิงถือดาบที่ใหญ่โต และคุ้นตา แต่กลับคล่องแคล่ว ในการจู่โจมแม้ในทางเดินแคบๆ การเคลื่อนไหวและโจมตีก็ไม่สะดุด หรือติดขัด และพร้อมๆ การสังหารของมารโลหิต เสียงจากระบบที่ระบว่าเขาเป็นคนฆ่า ดังนั้นมันจะเป็นอะไรไปได้อีกนอกจาก มารโลหิต!!!!
จ้าวจื่อหลงที่หันไปมองเช่นกันก็ทำสีหน้าแปลกๆ เหมือนไม่อยากเชื่อ พร้อมถามเซี่ยวเตี่ยนว่า “คุณเซี่ยวเตี่ยน แน่ใจหรือครับว่า นั่นใช่มารโลหิตที่คุณเคยเล่าจริงๆ”
“แน่ยิ่งกว่าแน่อีกค่ะ!!!! เพราะเวลานี้ ฉันยังได้ยินเสียงจากระบบทุกครั้งที่มันฆ่าคนเลย” เซี่ยวเตี่ยนตอบ
จ้าวจื่อหลงพอได้รับฟั ก็ทำหน้าแปลกๆ จากนั้นหันหน้าที่จริงจัง มาหาเซียวเตี่ยน พร้อมกล่าวว่า “ผมต้องขอโทษคุณเซี่ยวเตี่ยนจริงๆ คามจริงผมเองก็เชื่อเรื่องที่คุณเล่า แค่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเท่านั้น”
เมื่อเจอการขอโทษอย่างเป็น ทางการอย่างกะทันหันเซียวเตี่ยนเอง ก็คิดอะไรไม่ออกทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ตอบไปกลายๆ ว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรื่องมันผ่นไปแล้ว”
“ไม่หรอก ผมต้องขอโทษ” จ้าวจื่อหลงพูดพร้อมสูดลมหายใจ พร้อมขยับกายเข้าใกล้เซี่ยวเตี่ยน พร้อมกล่าวว่า “ยังไงผมก็ต้อง ขอโทษอีกครั้ง”
“ขอโทษ เรื่องอะไรค่ะ” เซียวเตี่ยนเริ่มสงสัยงงงวย
“ขอโทษนะ ในสถานที่นี้ พวกผมคงรับมอมารโลหิตไม่ไหว” จ้าวจื่อหลงกล่าวขอโทษอีกครั้งสร้างความสับสนยิ่งขึ้นให้เซี่ยวเตี่ยน แต่ยังไม่ทันหายสับสน จ้าวจื่อหลงก็ ถีบเซียวเตี่ยน อย่างสุดแรง พร้อมตะโกนว่า
“ตกลงไปแล้ว อย่าเคลื่อนที่ไปไหนนะ เดี๋ยวพวกผมจะตามไปรวมกลุ่ม”
เซี่ยวเตี่ยนที่โดดถีบตกหน้าผาในพริบตานั้นเอง ยังสับสนงงงวยไม่หาย ว่าทำเขาทำไม จนกระทั่ง ตกมาได้ระยะหนึ่ง เขาสังเกตเห็นมีร่างๆ หนึ่ง กระโดดตามมาด้วย ทำให้เขานึก ถึงคำพูด ของจ้าวจื่อหลงออกได้ว่า ภูตนั้นจะห่างจากเจ้านานเกินระยะหนึ่งไม่ได้ แสดงว่าการฆ่าที่เกิดขึ้น นั้นเกิดจากมารโลหิตตามเขามา และที่ถีบเขาลงมา ก็เพื่อให้มารโลหิตตามเขาลงไป ช่างเป็นวิธีการเอาตัวรอดที่รวบรัด และได้ผลจริงๆ
แม้สมอง จะเข้าใจ แต่การกระทำแบบนี้ ต่อสาวน้อย(อย่างน้อย ตอนนี้เขาก็อยู่ในร่างสาวน้อยล่ะน่า) มันช่างแสบสันจริงๆ จ้าวจื่อหลง ชื่อนี้เขาคงลืมไม่ได้ไปอีกนาน!!!!!
::<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>::
[0] PK หรือ Player Killer คือชื่อเรียกรวมๆ ของผู้เล่นที่จงใจ ล่าสังหารผู้เล่นโดนอีกฝ่ายไม่เต็มใจสู้ด้วย หรือโดนบังคับให้สู้ เนื่องจากในระบบเกมส์ ออนไลน์ มักมีสังคมที่เปิดกว้างและหลายเกมส์ ก็อนุญาต ให้มีการโจมตีระหว่างผู้เล่นกันเองได้ และมักเรียก PK ในกรณีที่เป็นการลอบโจมตี หรือ การฆ่ากันของผู้ที่มีระดับแตกต่างกันมาก หาเป็นการต่อสู้โดยสมัครใจทั้งสองฝ่าย แม้มีการฆ่ากันก็ไม่เรียก PK รวมถึงการทำสงคราม หรือการรบใดๆ ที่มีการ ยินยอม ทั้งสองฝ่าย ก็จะไม่เรียก PK
[1] ดรอปคือ คำเรียกของการที่ ไอเท็มตกลงพื้นหลังจากการตาย ทั้งของ ผู้เล่น และ มอนสเตอร์ เป็นศัพท์ที่รู้จักกันทั่วไป ที่เกมส์ ออนไลน์ที่อนุญาต การ PK กันมักมีการตั้งไว้ให้มีการ ดรอป ลงของไอเท็มที่ติดตัวของผู้เล่นหลังจากถูกฆ่าตายนอกเหนือจาก บทลงโทษด้านประสบการณ์ และระดับ เพื่อให้ผู้เล่นรู้สึกถึงความมีคุณค่าของชีวิต
[2] การปลดผนึกไอเท็ม หรือเรียกกันตามสากลว่า Item identify คือการทำให้ ไอเท็ม ที่ยังไม่ระบุรูปแบบ ได้มีรูปแบบที่จำเพาะเจาะจง แต่ในบางครั้งคือการเปิดเผยข้อมูลของไอเท็ม ถ้ายังไม่มีการเปิดเผยข้อมูล ไอเท็ม ไอเท็มชิ้นนั้นๆ จะใช้ไม่ได้ หรือ อาจใช้ได้ก็ไร้ประสิทธิภาพที่ควรจะมี
[3] มือที่มีสีแดงสดเรื่องแสงออกมา อันเป็นสัญลักษณ์ ของผู้ที่ทำร้ายผู้เล่นด้วยกันก่อน หรือที่ผู้เล่นต่างขนานนามสถานะนี้ว่า “มือเปื้อนเลือด”
[4] เควส หรือ Quest โดยมากในเกมส์ออนไลน์มักเรียกภารกิจทับศัพท์ ภาษาอังกฤษไปเลย แทนที่จะเรียกว่าภารกิจในภาษาไทย
ความคิดเห็น