คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 ศัตรูทั่วหล้า
บทที่ 4 ศัตรูทั่วหล้า
ในเมื่อไม่อาจห้าม แถมหนีก็โดนขัดขวาง แม้ไม่แน่ในว่าจงใจ หรือว่าไม่จงใจ แต่ถ้าขืนปล่อยไปโดยไม่ทำอะไร ก็เสียยี่ห้อเขาแย่ ยังไงก็ต้องขอตอบโต้ให้สาแก่ใจเถอะ
แต่ไม่ว่าจะคิดแก้เผ็ดซักแค่ไหนแต่ความเป็นจริงที่เขายังกระจอกกว่าพวกที่กำลังตีกันอยู่ ขืนเข้าไปจัดการตรงๆ ก็เหมือนเอาไข่กระทบหินชัดๆ แต่จะให้เขาปล่อยพวกนี้ไปแบบนี้หรือ ถ้าทำแบบนั้นเขาก็ไม่ใช่ ปองพล หรือสายฟ้า แห่ง Thunder and Storm แล้วใครทำอะไรมา เขาต้องสนองให้ เจ็บแสบกลับไปแน่นอน
แต่จะทำอย่างไรล่ะ เซี่ยวเตี่ยนเริ่มใช้ความคิด ที่แน่ๆเขาคงไม่มีทางสู้ซึ่งหน้าแน่นอน แถมสถานการณ์การรบของทั้งสองฝ่ายก็เป็นไปอย่างดุเดือด จะให้เข้าไปแทรกก็คงแทรกไม่ได้ เซี่ยวเตี่ยนได้แต่ค่อยถอยออกจาก สนามรบแห่งนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงหลังก้อนหินแห่งหนึ่ง
สถานการณ์รบตอนนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองฝ่ายเริ่มงัดไม้ตายก้นหีบ ที่เก็บไว้ ใช้ออกมาเรื่อยๆ ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีการล้มตาย แต่ความรุนแรงที่ทวีความรุนแรงทำให้ขึ้นกับเวลาเท่านั้น ว่าจะมีฝ่ายใดล้มตายก่อน
“ค่ายกล 5 ธาตุ ด่วน” สิ้นเสียงสั่งการของเฟยหวู่ พรรคพวกของเขาก็เริ่มเคลื่อนตัวเป็นหน้ากระดาน 5 คนพร้อม 4 ใน 5 นั้น ถือกระบี่ชี้ไปทิศต่างๆ ส่วนคนสุดท้ายนั้น ถือหินหรืออะไรซักอย่างอยู่ที่มือ 1 ก้อน พร้อมกับการเปล่งแสงสีที่ปลายกระบี่ทั้ง 4 มีสีแดง ฟ้า เขียว และทองส่วนเฟ่ยหวู่และคนที่เหลือก็ ดาหน้าเข้ามาคุ้มครองคนที่กำลังตั้งค่ายการการโหมบุกของ หวงต้าน ซึ่งไม่ยอมอยู่เฉยๆ ให้พวกเขาตั้งค่ายสำเร็จแน่ๆ
“เหอะ คิดว่ามีค่ายกลคนเดียวหรือไง ตั้งค่ายสี่สัณฐานไปประลองกันหน่อยพี่น้อง” สิ้นเสียงหวงต้าน ก็มีพรรคพวก 4 คนที่แยกออกมา ตั้งแถวกระดานเรียงหนึ่ง พร้อมชูดาบใหญ่ขึ้นฟ้าทั้ง 4 คน ซึ่งส่งผลให้ ปลายดาบทั้ง 4 เปล่งพลังออกมาเป็นรูปแบบต่างๆ เล่มหนึ่งมีเปลวเพลิง อีกเล่มมีน้ำแข็งเกาะอยู่เต็ม อีกด้ามมีประกายสายฟ้าอยู่แปลบปลาบ ส่วนด้ามสุดท้ายแม้จะไม่เห็นว่ามีอะไรแต่เสื้อผ้าของคนที่ถือดาบนั้นลู่ลมไปมา น่าเป็นไปได้ว่า มีลมรุนแรงห้อมล้อมอยู่
ส่วนผู้ที่ไม่ได้ตั้งค่ายกลก็ พยายามป้องกันคายกลของตนเอง พร้อมทั้งพยายามจะไปทำลายค่ายกลฝ่ายตรงข้ามให้ได้ แม้ทางฝ่าย นักดาบจะมีฝีมือเหนือกว่าเล็กน้อย แต่ลูกเล่นฝ่ายเฟยหวู่ จะมีมากกว่า ทำให้การต่อสู้เป็นไปอย่างสูสี จนกระทั่ง
“ทองพิสุทธิ์” กล่าวพร้อมกับผู้ถือกระบี่เปล่งแสงสีทองวาดกระบี่ชี้ไปยังค่ายกลฝ่ายตรงข้าม
“ไม้กำเนิด” กล่าวพร้อมกับผู้ถือกระบี่เปล่งแสงสีเขียววาดกระบี่ชี้ไปยังค่ายกลฝ่ายตรงข้าม
“น้ำหลอเลี้ยง” กล่าวพร้อมกับผู้ถือกระบี่เปล่งแสงสีฟ้าวาดกระบี่ชี้ไปยังค่ายกลฝ่ายตรงข้าม
“ไฟแผดเผา” กล่าวพร้อมกับผู้ถือกระบี่เปล่งแสงสีแดงวาดกระบี่ชี้ไปยังค่ายกลฝ่ายตรงข้าม
“ดินรองรับ” กล่าวพร้อมกับผู้ที่ถือก้อนหินขว้างก้องหินก้อนนั้นไปยังเป้าหมาย พร้อมตะโกนพร้อมกันว่า
“ค่ายกล 5 ห้าธาตุ” สิ้นเสียงร่าย ก็ปรากฏแผนภาพดาว ห้าเหลี่ยม พุ่งไปอย่างรวดเร็วไปยังค่ายกลของฝ่ายหวงต้าน แต่ยังไม่ทันที่ไปถึง ค่ายกลดาบก็ ตะโดนอย่างเร่งร้อนว่า
“พระเพลิงร่ายรำ”
“เหมันต์ยะเยือก”
“อัสนีประกายกล้า”
“วาตะหมุนวน”
“สี่สัณฐานรวมหนึ่ง พายุมหาวิบัติ” สิ้นเสียงนักดาบทั้ง 4 รีบวาดดาบพันไปยังทิศที่ดาวห้าแฉกที่กำลังพุ่งเข้ามา!!!!
สิ่งที่ตามมาคือพายุขนาดใหญ่สีดำคล้ำผิดจากพายุทั่วๆ ไปเกิดขึ้นเบื้องหน้านักดาบทั้ง 4 และขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พุ่งเข้าหาดาวห้าแฉก ที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน แต่ยังไม่ทันที่ขุมพลังทั้งสองจะเข้าปะทะเข้าหากัน ทั้งหวงต้าน และเฟยหวู่ ก็ตะโกนสั่งการลูกน้องของตนทันทีว่า
“หลบไป” “รีบหนี”
ภาพต่อมาที่เซียวเตี่ยนเห็นคือผู้คนทั้ง 2 ฝ่ายต่างหลบหนีออกจากจุดปะทะให้ห่างออกไปให้มากที่สุดเหมือนคนที่กำลังวิ่งหนีระเบิดก็ไม่ปาน
ในสภาพการณ์เช่นนี้ไม่ว่าใครจะเข้ามาเห็นก็ตามคงคาดหมายว่า การปะทะครั้งนี้ไม่เกิดการ ระเบิดใหญ่ ก็คงเกิด อะไรซักอย่างที่ ควรจบลงด้วยการระเบิด แต่ทว่าภาพที่เซียวเตี่ยน เห็นนั้น กลับผิดคาด เพราะเมื่อลูกพลังทั้งสองรูปแบบเข้าปะทะกันแล้ว วงเวทย์ดาวห้าแฉกที่พุ่งมาตลอด ก็ เพียงแค่คว่ำตัวลง และขยายวงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว และเช่นกัน ลูกพายุที่พุ่งนั้นก็ หยุดการเคลื่อนที่ลง หากแต่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว จนในที่สุด ทั้งวงเวทย์ดาวห้าแฉกและ พายุลูกนั้น ก็ขยายตัวจนครอบคลุมบริเวณนั้นทั้งหมดอย่างรวดเร็ว!!!
ความเร็วในการขยายตัว ของวงเวทย์ และพายุนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ แม้แต่กลุ่มคนที่เตรียมพร้อมจะหลบหนี ทั้ง 2 ฝ่าย แม้การหลบหนีจะรวดเร็ว แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นจาก ขอบเขตที่มันครอบคลุมไปได้ ในสภาวการณ์เช่นนี้ เซียวเตียนไม่มีเวลาคิด และไม่มีเวลาแม้จะเคลื่อนไหวหลบหนีจากขอบเขตของมันเลย แต่นับเป็นโชคดี ของเขาที่หลบออกมาห่างจากกลุ่มทั้งสองพอสมควร เนื่องจากเมื่อขอบเขตทั้ง 2 ครอบคลุม ผู้ก่อตั้งค่ายทั้งสองฝ่ายแล้วทั้งพายุ และดาวห้าแฉก ก็ยุติการขยายตัว และภายในขอบเขตนั้นก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น!!!
ที่ปลายของดาวห้าแฉกทั้งห้า ก็มีเสาแสง 5 สีปรากฏขึ้นพร้อมกำแพงแสงล้อมรอบวงขอบเขตดาวห้าแฉกไว้ทั้งหมด ในขณะที่ พายุก็ทวีความรุนแรงขึ้น พร้อม มีภาพเงา ของมอนสเตอร์รูปร่างคล้ายๆ คนใส่ผ้าคลุม 4 ตนค่อยๆ ปรากฏออกจาผนังของพายุ แต่ไม่ใช่มอนสเตอร์ ปกติแน่นอน เพราะพวกมันนอกจากมีรูปร่างแปลกๆ ที่คล้ายยมทูต หรือ ภูตผีแล้ว ตัวมันยังโปร่งแสงจนมองทะลุไปอีกฝั่งได้ ในขณะที่ฝ่ายของเฟยหวู่ ที่ตอนนี้หนีออกจากค่ายกลไปไม่ทันแล้ว ก็เริ่มมีแสงเปล่งออกจากรอบตัวจางๆ
มิน่า ถึงเรียกว่าค่ายกลแทนที่จะเรียกการโจมตีผสาน เซียวเตี่ยนที่ อยู่นอกค่ายกลเริ่มคิดในใจ พร้อมวิเคราะห์ค่ายกลที่เขาเห็นไปเรื่อยๆ รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครา!!!!
“ชิ ในที่สุด พวกนายก็รู้ความลับของการสร้างค่ายกลแล้วสินะ” เฟ่ยหวู่กล่าว พร้อมส่งสัญญาณเตรียมตัวไปให้พวกฟ้อง เพราะตอนนี้เขายังไม่แน่ใจฤทธิ์เดช ของค่ายกลสี่สัณฐาน ในขณะที่ค่ากลห้าธาตุของพวกเขานั้น เป็นค่ายกลขึ้นชื่อ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามนับว่าได้เปรียบในการรู้ข้อมูลของฝ่ายเขาไปอย่างมาก
“เหอะ ความลับไม่มีในโลก นายคิดว่าจะกุมความลับเรื่องค่ายกลไปได้นานเท่าไหร่กัน ภายในค่ายกลนี้ไม่เหมือนค่ายกลเก่าเก็บของพวกนายหรอกนะ” หวงต้านกล่าวทับถม ในขณะเดียวกัน พวกเงายมทูตทั้ง 4 ที่ลอยไป ลอยมา ก็เริ่มลอยเข้าไปใกล้ พวก เฟยหวู่ ขึ้นเรื่อยๆ แม้การเคลื่อนที่จะไม่รวดเร็วแต่น่าสยองขวัญ บวกกับความสามารถที่ยังเป็นปริศนา ก็ยิ่งทำให้กลุ่มเฟยหวู่ระวังตัวกันแจ แต่ในเมื่อค่ายกลทั้งสองได้เริ่มต้นแล้ว เวลานี้ย่อมไม่อาจที่จะถอนตัวได้อีก แม้จะยังกังวลกับเหล่ายมทูตที่ล่องลอยไปมา ทั้ง 4 ตนนั้น แต่ในเวลาเช่นนี้คงไม่มีเวลาที่จะให้เขาเลือกหนทางมากนัก
ชิงลงมือก่อนได้เปรียบ!!!!
เมื่อตัดสินใจได้ เฟยหวู่ก็ออกคำสั่งให้ โจมตีทันที ในขณะทีหวงต้านเองก็ไม่ได้ประมาท เพราะค่ายกลของเฟยหวู่จัดเป็นของขึ้นชื่อของกลุ่มบัญชาสวรรค์อยู่แล้ว แต่สิ่งที่หวงต้านถือดีนั้น มีเพียงค่ายกลค่ายนี้ และยมทูตทั้ง 4 ตน
“ทุกคนประจำตำแหน่ง หาเครื่องสังเวย” คำสั่งนี้คือคำสั่งลับของกลุ่ม ที่เป็นการบัญชาให้คนในกลุ่ม วิ่งเข้าไปหายมทูตที่ใกล้ตัวที่สุดเพื่อล่อให้อีกฝ่ายมาหาที่ตาย ด้วยความสามารถอันเป็นความลับของยมทูต ซึ่งเป็นวิธีที่คนในกลุ่มดาบโลหิตทั้งหมดลงความเห็นว่าเป็นวิธีเดียวในการใช้ค่ายกลนี้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
ซึ่งการต่อสู้ ของทั้งสองฝ่ายในสายตาคนนอกแบบเซียวเตี่ยนนั้น เหมือนเล่นลิงชิงหลัก โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายของหวงต้านที่ปกติ บ้าพลังออกขนาดนั้น กลับเป็นยอมฝ่ายถอยไปหาเงายมทูต ไม่ว่าใครมาเห็นก็คิดได้ไม่ยากว่า ไอ้ยมทูต 4 ตัวนี้ต้องมีปัญหาแน่ๆ แต่ พวกเฟยหวู่ที่ร่างมีแสงเปล่งออกมา ก็เป็นเรื่องน่าสงสัยไม่หยอก ดูจากที่หวงต้านไม่กล้าเข้าไปปะทะตรงๆ คงมีผลอะไรน่ากลัวขนาดทำให้ คนระดับนั้นกลัวได้
การปะทะครั้งแรกก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว ทางฝ่าย เฟยหวู่เมื่อมีบัญชาการมาให้รุก ทุกคนในทีมก็ พุ่งตรงไปยัง เป้าหมายแรกนั่นก็คือกลุ่มคนก่อตั้งค่ายกล แม้ค่ายกลของพวกเขา ต่อให้คนก่อตั้งตายไป ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อค่ายกล แต่กับค่ายกลคนอื่นมันไม่แน่นี่นา ดังนั้นการโจมตีครั้งแรกจึงมุ่งไปยังคนก่อตั้งค่ายกลทั้ง 4 ของพวกหวงต้าน
แต่ในเวลาเดียวกัน พวกของหวงต้านก็ กระจายตัวไปยัง ยมทูตทั้งสี่ ซึ่งสร้างความหนักใจให้กับ ฝ่ายเฟยหวู่ไม่น้อยแม้ว่าพวกเขาจะได้รับพลังจากค่ายกลห้าธาตุ ทำให้มีพลังทุกอย่างเพิ่มมากกว่าเดิมถึงห้าเท่า ถ้าเป็นการต่อสู้ธรรมดาทั่วไปไม่ว่าใครตกอยู่ในค่ายกลนี้มีแต่ต้องตายเพียงอย่างเดียว แต่ในเวลาเมื่อเป็นค่ายลปะทะค่ายกลสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป นอกจากความสามารถ ของค่ายลแล้ว ยังดูว่าคนในค่ายกลใครจะใช้ประโยชน์ จากความได้เปรียบ ของค่ายกลของตัวเองมากกว่ากัน แต่ในสภาวะที่ ไม่ทราบความสามารถ ของฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้ ยิ่งทำให้ เฟยหวู่ ยิ่งไม่กล้าจะประมาท เงายมทูตทั้ง 4 ตนนี้ เพราะสิ่งที่ออกมาจากค่ายกลได้ มันต้องซ่อนความร้ายกาจไว้อย่างแน่นอน
โดยเฉพาะการปะทะระหว่างค่ายกลด้วยกัน เป็นสิ่งที่ เฟยหวู่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน และที่แย่กว่านั้นคือ ไม่เคยมีการ ปะทะระหว่างค่ายกลกับค่ายกลมาก่อนเลย เนื่องจากเมื่อก่อตั้งค่ายกลแล้ว การที่จะทำให้ค่ายกลสลายไปได้นั้น จะมีอยู่ 3 กรณีเท่านั้น คือ ฆ่าฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด หรือ ถูกฝ่ายตรงข้ามฆ่าทั้งหมด และ ถ้าศึกนี้ยืดเยื้อต่อไป ค่ายกลจะมีขีดจำกัดของเวลา ซึ่งจะทำลายตัวเองและจะส่งพลังทำลายที่สามารถฆ่าทีมของคนก่อตั้งค่ายกลได้พอดี และส่งหลังทำลายทั้งหมดนั้น เข้าไปทำลายทุกคนที่อยู่ค่ายกลนั้น ซึ่งแน่นอน ถ้าเป็นกรณีหลังสุด คนก่อตั้งค่ายกลย่อมต้องตายทั้งหมด แต่ฝ่ายตรงข้ามจะอยู่หรือรอด ก็ต้องดูว่า ถ้าเหนือชั้นว่าฝ่ายก่อตั้งมากก็มีโอกาสรอด แต่ถ้าเป็นกรณีนั้น ก็มักจะสามารถฆ่าฝ่ายก่อตั้งได้ทั้งหมดก่อนหมดเวลาอยู่แล้ว แต่เหตุที่เฟยหวู่รู้ข้อมูลนี้ก็เนื่องจาก ทางกลุ่มบัญชาสวรรค์ ได้มีการทดลองในการใช้ ค่ายกลและขีดจำกัดต่างๆ เพื่อหาจุดอ่อน เพื่อป้องกัน และหาทางรับมือ
แต่ในเวลาเช่นนี้การทำสำคัญกว่าการคิด และเพื่อความไม่ประมาท เฟยหวู่จึงบัญชาให้ คนในทีมเขาใช้การโจมตีระยะไกลโจมตีไปยังเป้าหมาย ซึ่งแน่นอนว่าคือการใช้ยันต์นั่นเอง
ลำแสงสีต่างๆ พุ่งจากกลุ่มเฟยหวู่เข้าหานักดาบทั้งสี่ แต่ยังไม่ทันถึงตัว พวกเขาก็พยายามพุ่งตัวหลบไปคนล่ะทิศล่ะทาง แต่โชคร้ายที่หนึ่งนั้นนั้นไม่อาจรอดพ้นพลังสายหนึ่งที่ พุ่งเข้ามาจนกระเด็นไปผลคือทำให้ เขาโดนพลังสายอื่นๆ เข้ามาปะทะเพียงพริบตา ไม่ทันที่ร่างเขาจะตกสู้พื้น นักดาบคนนั้นก็ สิ้นชีพไปแล้ว นับเป็นผู้ตายรายแรกของการรบครั้งนี้ทีเดียว
แต่ทางเฟยหวู่ที่ ผิดคาดกับการที่สามารถสังหารหนึ่งในสมาชิกหวงต้านได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ทั้งๆ ที่หวงต้านได้พูดคุยโตไว้ ค่ายกลนี้หรือว่ามันจะกระจอกแบบนี้จริงๆ แต่ไม่ทันที่เฟยหวู่จะคิดอะไรได้ต่อไป ที่ตำแหน่งศพของนักดาบคนนั้นก็ มีควันดำลอยขึ้นมาเป็นเงา และค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นยมทูตอีกตน!!!
มันไม่ใช่เรื่องตลกซะแล้ว หรือว่าทุกครั้งที่ฆ่าคนของฝ่าย หวงต้าน มันจะกลายเป็นยมทูตแบบนี้ทุกคนในสภาวะที่ ยังไม่แน่ใจในความสามารถ ของยมทูต เฟยหวู่เริ่มลังเลใจการจะทำอะไรต่อไป แต่ลูกทีมเขากลับไม่ได้คิดอะไรยังคงทำตามคำสั่งที่เขาบัญชา ระหว่างที่เขากำลังฝ้ามองการกำเนิด ของยมทูตนั้น นักดาบอีกคนก็สิ้นชีพตามไปอีกคนแล้ว!!!
แต่ทีมของเฟยหวู่ไม่ทันจะได้ดีใจ หนึ่งในลูกน้องของเฟยหวู่ที่น่าเป็นนักพรต ด้วยความชะล่าใจ หรือว่าการฆ่านั้นง่ายผิดคาดจนทำให้ได้ใจจนเกินเหตุ ทำให้ เขาคนนั้น เข้าใกล้เงายมทูตตนหนึ่งอย่างไม่ทันระมัดระวังตัว ในสภาวะที่เพิ่งสังหารนักดาบคนหนึ่งไปหมาดๆ ทำให้การป้องกันของนักพรตนี้ค่อนข้างเปราะบาง แต่ด้วยพลังป้องกันที่เพิ่มขึ้น 5 เท่าก็ไม่ใช่พลังป้องกันธรรมดาๆ แต่ยมทูตตนนี้กลับพ่นลมหายใจสีดำเป็นก้อนกลมๆหลายๆ ลูกติดๆ กันเป็นพวงพุ่งเข้าหานักพรตอย่างไม่ปราณี ด้วยความรวดเร็วประดุจฟ้าร้อง ไม่ทันที่แก้ไขสถานการณ์ นักพรตรายนั้นก็ ตายไปทันทีที่โดนกลุ่มลูกดำๆนั้น
แต่ที่น่าตระหนกไม่จบเพียงแค่นั้น เฟยหวู่ยังมองไปยังศพของเพื่อนร่วมทีม เขาสังเกตเห็นมีไอสีดำกำลังแผ่ออกมาจากศพของเพื่อนคนนั้น หรือว่า มันจะทำให้เกิดยมทูตตัวใหม่ขึ้นอีก!!!
โบราณว่า หวังสิ่งดีๆไม่มาหวังสิ่งร้ายๆ มักจะเกิด สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเฟยหวู่ เพราะไอสีดำนั้นในที่สุดมันก็ กลายเป็น ยมทูตอีกตนจนได้ แล้วแบบนี้ จะให้สู้ยังไง จะฆ่า หรือถูกฆ่า ก็เกิดไอ้พวกยมทูตอัปรีย์ พวกนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้มันจะเคลื่อนไหวเชื่องช้า และดูเหมือนไปมาไม่มีเป้าหมาย แต่ไอ้พลังโจมตีที่รุนแรงอย่างน่ากลัวนี่สิ เขาจะรับมือกับมันอย่างไรดี
เฟยหวู่ที่เริ่มกังวล ยิ่งเมื่อเห็นการโจมตีที่ร้ายกาจของยมทูต เขาก็ยิ่งเป็นกังวลหนักไปอีก ถ้าเป็นไปได้ เขาต้องรีบลดจำนวนยมทูตนี้ไปให้เร็วที่สุด ดังนั้น เฟยหวู่ จึงหยิบยันต์มา 1 ใบมาเสียบปลายกระบี่พร้อมใช้ท่ายิงระยะไกลเข้าใส่ยมทูตในทันที
“เพี้ยว” เสียงของพลังจากกระบี่ที่เปล่งแสงสีฟ้า พุ่งตรงเข้าหายมทูตตนหนึ่งที่กำลังล่องลอยเหมือนไม่เห็นกระแสพลังที่เข้ามาหา ทั้งไม่หลบหลีก และไม่ตอบโต้
แต่ทว่าพลังที่ยิงออกไปเมื่อปะทะกับร่างยมทูตสิ่งที่ เฟยหวู่คาดหวังคือ เสียงการปะทะ หรือว่า เสียงการสะท้อน หรืออะไรก็ได้ที่แสดงความเป็นตัวตนของพวกยมทูต แต่เขาไม่ได้พบสิ่งนั้น เพราะลำแสงพลังนั้นพุ่งทะลุผ่านร่างยมทูตไปเหมือนผ่านอากาศธาตุ!!!
ที่แท้แล้วยมทูตในค่ายกลของหวงต้านจะไม่สามารถ เพิ่มพลัง ช่วยป้องกัน หรือสนับสนุนอะไรให้คนในกลุ่ม เช่นเดียวกันค่ายกล 5 ธาตุ แต่ยมทูตเหล่านั้นไม่ใช่ของประดับแน่ๆ ถึงมันจะเคลื่อนไหวช้า และลอยไปลอยมาเหมือนไม่มีจุดหมาย แต่การโจมตีใดๆ ก็ไม่อาจโจมตีใส่ยมทูตได้ หรือพูดง่ายๆว่ามันเป็นอำมตะ และเมื่อไหร่ที่คนเข้าไปใกล้พวกมันไม่ใช่คนในกลุ่มมันจะโจมตีทันที ด้วยพลังโจมตีเทียบเท่าพลังโจมตีของคนก่อตั้งค่ายทั้งสี่คนรวมกัน แถมยังโจมตีได้ต่อเนื่องและรวดเร็ว ด้วยสิ่งที่พวกกลุ่มดาบโลหิตขนานนามให้ว่า ลมหายใจมัจจุราช แถมถ้ามีคนตายในค่ายกลไม่ว่าฝ่ายใด เมื่อตายไป ก็จะเกิดยมทูตตนใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สมชื่อ ค่ายกลพายุมหาวิบัติ!!!
เหตุการณ์ภายในค่ายกลทั้งสองจึงยิ่งวุ่นวาย และสับสนเพราะต่างก็มีข้อกริ่งเกรงอีกฝ่ายอย่างไม่น้อยหน้ากันเลย ด้วยพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย และ ยมทูตที่น่าสะพรึงกลัว ก็ล้วนแล้วแต่ทำให้คน ของทั้งสองฝ่ายไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่าม หลังจากเห็นพิษสงของฝ่ายตรงข้ามตำตาแบบนี้ การคุมเชิงและการต่อสู้จึงเปลี่ยนไปเป็นแบบ ฉาบฉวย พร้อมทั้งหาหนทางสร้างความได้เปรียบไปเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อมองตามสายตาคนนอกอย่างเซี่ยวเตียนแล้ว การจัดตั้งคายกลนั้นนับว่าน่าสนใจไม่เลวทีเดียว โดยเฉพาะลูกเล่นที่ออกมาจากค่ายกลต่างๆ นั้น ดูเหมือนจะ แตกต่างตามค่ายกลรูปแบบต่างๆ สำหรับเขาที่เพิ่งเข้ามาเล่นเกมส์ นี้ไม่นาน แต่ก็มั่นใจว่านี่คงเป็นหนึ่งในไม่กี่รูปแบบที่จะทำให้ สามารถเอาชนะคู่แข่งอย่างเด็ดขาดในการต่อสู้อย่างแน่นอน
และดูเหมือนว่า รูปแบบของค่ายกลนั้น คนในจะออกมาไม่ได้และคนนอก ก็น่าจะเข้าไปไม่ได้เช่นกัน ในระหว่างว่างๆ มองดูการคุมเชิงที่น่าเบื่อหน่าย เซียวเตี่ยนก็เริ่ม เดินออกมาจากที่ซ่อนและเริ่ม สำรวจบริเวณค่ายกลรอบๆ โดยไม่สนใจกับคนที่อยู่ภายใน ลักษณะภายนอกของค่ายกลเท่าที่ตาเห็นตอนนี้ คือ วงกลมแสงที่ซ้อนทับกับพายุสีดำคล้ำ ดูท่าทางไม่น่าจะไปแตะต้องอย่างยิ่ง และรอบๆบริเวณวงกลมแสงนั้น แวดล้อมไปด้วย เสาแสง 5 ต้นที่มี สีแตกต่างกันไป จากที่เรียกค่ายกล 5 ธาตุคงเป็นตัวแทนธาตุต่างๆ ทั้ง 5 ของจีนอันได้แก่ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และ ดิน เป็นแน่
ตามหลักของ 5 ธาตุที่เขารู้มางูๆ ปลาๆ จากเกมส์ต่างว่า ธาตุทั้ง 5 จะเสริม และข่มกันเอง โดย ปกติน้ำ จะข่มไฟ และละลายดิน ขณะเดียวกัน ไฟ ก็น่าจะเผาไม้ และหลอมทอง กล่าวคือ การข่มของระบบ 5 ธาตุ จะมี 2 ธาตุ สามารถข่มธาตุต่างๆ ซึ่งระบบนี้มีหลายเกมส์ ได้นำมาใช้ แต่ก็มีการตีความแตกต่างกันตามคนเขียนเกมส์ จะเลือกใช้ และแน่นอนว่า ในเกมส์นี้ ก็ไม่สามารถระบุได้แน่นอนว่า ระบบนี้จะใช้การตีความในรูปแบบใด ดังนั้นกับ เสาแสง 5 สีนี้เขาคงไม่มีปัญญาไปทำอะไรมันได้ และไม่มีความสามารถไปทำอะไรได้ด้วย
และเมื่อสำรวจไปยังกำแพงลม เซียวเตี่ยนก็อดสงสัยไม่ได้ว่า กำแพงพายุที่ดูรุนแรงแบบนี้จะมีพลังรุนแรงซักแค่ไหนกัน แน่ล่ะว่าเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ เขตกำแพงลมที่พัดมาก็ แรงจากทำให้ตัวเขาแทบจะปริวได้ แต่มันมีความหมายแค่นนี้จริงๆ หรือถ้าใช้แค่เพื่อกันขอบเขต การสร้างกำแพงแสง แบบที่ค่ายกลอีกค่ายทำ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ยิ่งในเกมส์ที่สมจริงไปซะทุกรายละเอียด เขาก็ยิ่งไม่กล้าคิดว่าที่ทำกำแพงที่แตกต่างจะทำแค่เพื่อทำเท่ห์หรอกนะ
แม้เกมส์สำหรับผู้ใหญ่บางคนแล้วอาจมองว่าเป็นแค่การเฟ้อฝันหรือ เอาเรื่องไร้สาระมารวมกันๆ แต่สำหรับเขาแล้ว เกมส์ไม่ใช่แค่นั้นแน่ๆ มันคือผลึกความคิด ของคนสร้างที่ต้องการท้าทายความสามารถของคนที่เข้าไปเล่น โดยการตั้งเงื่อนไขต่างๆ ไว้ ในขณะที่ผู้เล่นจะต้องเอาชนะผู้สร้างผ่านการ ทำตามเงื่อนไข หรือหาช่องโหว่ของเงื่อนไข ยิ่งเกมส์ที่ ยิ่งใหญ่เท่าไหร่เงื่อนไข ก็จะยิ่งซับซ้อน และยิ่งมีช่องโหว่มากเท่านั้น ระบบต่างที่สร้างยิ่งต้องมีหลักเกณฑ์ ที่สร้างมาอ้างอิงได้ ดังนั้นผู้เล่นเกมส์ที่เก่งกาจสิ่งแรกที่ต้องทำคือ ต้องทำความเข้าใจระบบของเกมส์ให้มากที่สุด ยิ่งมีข้อมูลมากก็ยิ่งประยุคได้มาก แม้จะเป็นเกมส์ที่สมจริงแบบเกมส์นี้ ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ดังนั้น เขาเชื่อว่าการตั้งค่ายกลทั้งสองนี้ต้องมาจากหลักเกณฑ์บางอย่าง และแน่นอนว่า ค่ายกลแบบอื่นๆ ก็อาจสร้างขึ้นตามกฎเกณฑ์นี้
แต่ว่าจะใช้กฎเกณฑ์อะไร สิ่งที่ใช้ทำลายค่ายกลได้ ก็คือพลัง แต่สำหรับเขาที่เพิ่งเริ่มเข้ามาเล่นหมาดๆ จะมี พลังอะไรไปทำลายค่ายกล แถมทำลายไปก็ไม่เห็นจะมีผลดีอะไรกับเขา ในเมื่อสำรวจจนพอใจแล้ว เซียวเตี่ยนก็ตกลงใจว่า จะเข้าเมืองไปตามแผนแรก เพราะถึงเขาจะไม่พอใจคนทั้งสองกลุ่มนี้ แต่ในตอนนี้จะให้เขาทำอะไรได้ล่ะ แถมในเมื่อพวกเขาตีกันภายในค่ายกล ทั้งเข้าและออกไม่ได้แบบนี้ มัวนั่งเฝ้าก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมานอกจากได้ลูกหลง
ดังนั้น เซียวเตี่ยน ก็เลิกสนใจคู่กรณีทั้งสอง กลับมาเปิดแผนที่หาทางเดินกลับเข้าเมือง ซึ่งไม่นานนัก เซียวเตี่ยน ก็เดินทางมาถึงประตูเมือง ตอนนี้เป็นเวลาใกล้รุ่งพอดี ทางเข้าเมืองจึงไม่คึกคักนัก มีเพียงคนเดินไปมาไม่กี่คน แต่ที่หน้าประตูเมืองมีกลุ่มคนที่เด่นสะดุดมากอยู่ 4 คนยืนจับกลุ่มกันอยู่หน้าประตูเมือง แต่เหตุที่ทำให้คนทั้งกลุ่มนี้เด่นสะดุดตาคนเดินผ่านไปมาให้อย่างน้อยต้องหันมาเหลียวมองนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเขาเหล่านั้น หล่อ หรือว่าอัปลักษณ์ หากแต่เป็นการแต่งตัวของเขาที่ออกแบบเป็นเอกลักษณ์ ถึงจะเป็นทรงจีน แต่ก็มีสีสันฉุดฉาดทั้งชุด ทั้งสีเขียว สีแดง สีม่วง และสีดำ แถมเสื้อที่พวกเขาใส่ยังเปล่งระกายแปลกๆ แบบบอกยี่ห้อว่า เป็นของพิเศษชัวร์ และแน่นอนว่าเซียวเตี่ยนเรา ก็เป็นคนไทยเห็นอะไรประหลาดๆ มีหรือจะไม่ไปมุงดูแต่ยังไม่ทัน จะได้มองได้ถนัด หนึ่งในชายกลุ่มนั้นก็ได้ตะโกนว่า
“เจอตัวแล้วพี่ใหญ่ นั่งไงขโมยที่ไปขโมยดาบของพี่รองไป” ชายคนที่ใส่เสื่อสีม่วงกล่าวพร้อมเดินมุ่งมาทางเซียวเตี่ยน
ดาบ! ขโมย! พี่ใหญ่! น้ำเสียงที่คุ้นๆ! ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่กระตุ้นความทรงจำเซียวเตี่ยนทั้งนั้น ไม่คิดว่าจะได้สานต่อภารกิจได้ไวแบบนี้ แต่วันนี้โชคของเขาเป็นยังไงกันแน่ คิดจะเข้าเมืองทีไรเป็นต้องได้เจออุปสรรคตลอด แถมดูท่าทางของชายทั้ง 4 ที่เมื่อตะโกนมาแล้วก็วิ่งกรูเข้ามาคงพูดกันดีๆ แบบคืนดาบให้แล้ว จะแล้วๆ กันไปได้ ดังนั้นโกยก่อน แต่ยังไม่ทันจะไปได้ไกล เสียงหนึ่งก็ลอยตามมา
“ฆ่ามัน!!!” เสียงตะโกนจากหนึ่งในชายทั้งสี่ ที่วิ่งไล่หลังเซียวเตี่ยนมา เป็นการพิสูจน์ว่าเขาตัดสินใจไม่ผิดที่โกยไว้ก่อน แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้น เพราะชายทั้งสี่ไม่ได้แค่วิ่งตามมาเฉยๆ หากแต่มีการปา อาวุธลับเข้าหาเขาเป็นระยะ แต่นับเป็นโชคของเขาได้มั้ง เพราะเขาสะพายดาบรวมภูติที่มีขนาดมหึมาอยู่ แม้จะหนักซักหน่อย แต่ก็เป็นโล่กันอาวุธลับได้เป็นอย่างดี แต่มันก็ใช่ว่าจะวางใจได้แม้ดาบจะเล่มใหญ่แค่ไหน ก็ไม่ได้ป้องกันตัวเขาได้ทั้งตัว
แต่จะให้หนีไปไหนล่ะ แค่วิ่งก็แทบจะไม่ไหว ด้วยน้ำหนักที่ถ่วงตัวเขาไว้ ของดาบคู่ใจ แต่ก็ไม่กล้าถอดมาเก็บ เพราะยังไม่อยากเป็นเม่น เซียวเตี่ยน วิ่งไปพลางพยามหาหนทางรอดเต็มที่ ในที่สุดเขาก็ คิดได้อย่างหนึ่งว่า หน้าผา!!!!
ไม่ใช่ว่า เซียวเตี่ยน เป็นโรคจิตชอบความเจ็บปวดหรือว่าอยากหาที่ฆ่าตัวตายอีกรอบ หากแต่ เขานึกขึ้นมาได้ว่า ท่าทะยานบันไดเมฆ ของเขาสามารถทะยานตัวสูงขึ้นได้ จากตอนที่เขายังกระโดดลอยตัวอยู่ได้ แล้ว ทำไม จะไม่สามารถใช้ ดีดตัวเขาตอนก่อนตกลงถึงพื้นได้ล่ะ หากแผนนี้สำเร็จ อย่างน้อยๆ ความหวังที่จะรอดชีวิตเขาก็เพิ่มขึ้นอีกใยหนึ่งล่ะนะ
แต่โชคยังไม่เป็นของเขา แม้ตัวเขาจะตั้งใจวิ่งไปหาหน้าผา แต่ว่าทางไหนล่ะ!!!!
เซียวเตี่ยนที่วิ่งหนีไปเรื่อยๆ แต่ยังหาจุดหมายไม่ได้ แรงที่จะวิ่งรึก็แทบจะหมดแต่เซียวเตี่ยนเองก็ยังไม่พบหนทางพาตัวเขาไปยังหน้าผาซักแห่ง หากแต่เบื้องหน้าเขากลับมีของคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือพายุสีดำที่ล้อมรอบเสาแสงเอาไว้
ตายล่ะหว่า ดันวิ่งกลับมาหากลุ่มที่กำลังตีกันจนได้ จะไปทางไหนดี วิ่งตรงต่อไป หรืออ้อมหลบดี
แต่ยังไม่ทันจะตัดสินใจว่า มุ่งหน้าไปต่อหรือว่าจะวิ่งไปหนทางอื่น อาวุธลับที่ ปาพลาดมานานจู่ก็ แม่นขึ้นมาจนได้ ในที่สุด ก็ปักเข้าเท้าขวาของเขา ทำให้เกิดความรู้สึกแปล๊บๆ เหมือนไฟช๊อตขึ้นมาทันที ยังผลให้ขาข้างนั้นหมดแรงกะทันหัน ทำให้เซียวเตี่ยนหกล้มหัวคะมำไปอย่างหมดมาด แต่แล้วเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้ก็เกิดขึ้น หยกประดับที่ใส่ไว้ในกระเป๋าข้างเอวของระบบ กลับกระดอนออกมา!!!
“นั่นมันหยกผนึกมารใช่หรือเปล่า”
“หยกผนึกมาร พี่ใหญ่ซ่อนไว้ในบ้านไม่ใช่หรือ”
“แต่รูปร่างแบบนั้น น้ำสีแบบนี้ น่าจะเป็นหยกผนึกมาร ของพวกเราไม่ผิดแน่ๆ” ในเมื่อชายทั้งสี่กำลังถกเถียงกันเรื่อง หยกที่กระเด็นออกมา ยิ่งทำให้เซียวเตี่ยนมั่นใจว่า หยกแผ่นนี้ล่ะที่จะเป็นตัวสานต่อภารกิจ ที่เหลือรอดูว่าเขาต้องทำอะไรต่อไป
“ระวังอย่าปล่อยให้ มันหักหยกได้” เสียงตะโกนอย่างเร่งเร้ามาจากคนในกลุ่มที่ไล่ล่าเซียวเตี่ยน ซึ่งแน่นอน ว่าทำให้ เซียวเตี่ยนที่ได้ยินก็ไม่ลังเลที่ พุ่งตัวไปตระคลุบ หยกประดับอันนั้น พร้อมหักมันทันที!!!!
ทันทีที่แผ่นหยกหัก บรรยากาศรอบด้านก็เกิดบรรยากาศมืดมิดขึ้นทันที แม้แต่เสาแสง ของค่ายกลที่ห่างออกไปก็หม่นแสง รวมถึงพายุที่พัดล้อมค่ายกลอยู่ ก็อ่อนจางลงอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็เกิดลมพัดเข้ามาอย่างรุนแรงรอบๆ บริเวณ เบื้องหน้าเซียวเตี่ยน รวมตัวเป็นลมพายุหมุนขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แถมยังได้พัดพาเอาทั้ง มอนสเตอร์จากในป่า และรวมถึงยมทูต ที่ล่องลอยที่อยู่ภายในค่ายกลก็โดนหางเลขดูดเข้ามายังพายุหมุนนี้ด้วย!!
ภาพเบื้องหน้าเซียวเตี่ยน เวลานี้นิยามภาพได้อย่างเดียวว่ามันคือเครื่องปั่น แต่เป็นเครื่องปั่นที่บดผสมเลือดเนื้อมอนสเตอร์ และสิ่งต่างๆ ที่ดูดเข้ามา ล้วนถูกปั่นรวมและบดเบื้องหน้า กลายเป็นพายุเลือดสีแดง ที่มีอวัยวะต่างๆ ของมอนเสตอร์ปลิววนไปมาอย่างน่าสยดสยอง พร้อมเสียงจากระบบดังมาว่า
“มารโลหิตกำลังจะถูกปลดปล่อย ผู้เล่นเซียวเตี่ยน ต้องการทำสัญญากับภูตตนนี้ เพื่อให้เป็น ภูตรับใช้หรือไม่”
ไม่ว่าเป็นอะไรแต่ถ้าระบบบอกว่า ทำสัญญา เพื่อรับเป็นภูตรับใช้ ก็น่าจะเป็นของดีแหง เซียวเตี่ยนจึงตอบไปทันทีว่า
“ทำสัญญา”
สิ้นเสียงเซียวเตี่ยน พายุที่โหมดูทุกอย่างเข้ามาก็ เริ่มปั่นอย่างรวดเร็วยิ่งบิดสิ่งที่อยุ่ ภายในพายุให้ละเอียดยิ่งขึ้น พายุที่เห็ยยิ่งเป็นสีแดงข้นของเลือดสดๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
มันคืออะไรกัน แล้วจะเกิดอะไรต่อไป คำถามที่เกิดขึ้นในใจของเซียวเตี่ยน แม้เขาจะไม่กลัวการตายเพราะมันเป็นแค่เกมส์ แต่ความสมจริงปนสยอง ของเหตุการณ์เบื้องหน้า ก็ทำเอาทั้งอย่างเบือนหน้าหนี แต่ก็ยังสนใจว่าจะเกิดอะไรสำคัญๆ แล้วจะพลาดโอกาสได้เห็น แต่ก็ไม่นานนัก พายุที่ปั่นผสมรวม เลือดเนื้อนั้นเริ่มจะค่อยๆลอยสูงขึ้น แต่ที่ปลายของพายุกลับปรากฏเท้าคู่หนึ่ง!!
พายุยิ่งพัดสูงขึ้นไป เงาเลือดที่พายุก็ยิ่งอ่อนจาง ก็เริ่มปรากฏแขนขา ที่เบื้องล่างเหมือน พายุจะขึ้นรูปร่างกายใหม่ขึ้นมา มันจะเป็นอะไร เซียวเตี่ยน มองด้วยหัวใจระทึก ขณะที่รู้สึกคุ้นตาเท้าคู่นั้นอย่างบอกไม่ถูก
พายุที่ลอยสูงขึ้น ร่างกายก็เริ่มโผล่ให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นร่างของ ผู้หญิง มีดาบเล่มใหญ่สะพายหลัง เซียวเตี่ยน เมื่อมองมาถึงตรงนี้เริ่มเอะใจ หรือว่ามันจะจำลองรูปร่างของเขา!!!
“อย่าปล่อยให้ มารโลหิตมันเกิดขึ้นมาได้ พวกเราพี่น้องรีบทำลายมันเร็ว” เสียงที่ดังก้องจากชายหนึ่งในสี่ เซียวเตี่ยน เกือบลืมไปว่ากำลังโดนตามล่าอยู่ ตะโกนขึ้นมา แต่ไม่ได้ตะโกนเปล่าแน่นอน เพราะ คนทั้งกลุ่มัน้น วิ่งเข้ามา พร้อมใช้ อาวุธคู่มือ ทั้งฟาดทั้ง ฟัน แต่ร่างที่ยังไม่เกิดดีนั้น แค่ใช้มือเปล่า ก็สามารถปัดป้องการโจมตีทั้งหมดได้ ว่าแต่หน้ายังไม่มี ตาก็ยังไม่มี มองเห็นได้ไงหว่า
แต่ไม่มีเวลาให้ เซียวเตี่ยนสงสัยนานพายุเลือดก็จางจนสลายตัวไป พร้อม รูปร่างหน้าตาของมารโลหิตที่ปรากฏขึ้นมา ซึ่งมี ใบหน้ารูปร่าง และเสื้อผ้า เหมือนเซียวเตี่ยนอย่างกับสำเนาออกมา พร้อมเสียงจากระบบดังขึ้นมา
“มารโลหิตกำเนิด ผู้เล่นเซียวเตี่ยนปลดผนึกมารโลหิตสำเร็จ ดังนั้น มารโลหิต จะถูกประทับตราว่าเป็นภูตของเซียวเตี่ยน แต่เนื่องจาก ระดับของเซียวเตี่ยนต่ำเกินไปดังนั้น เซียวเตี่ยนไม่สามารถบังคับหรือควบคุม มารโลหิต”
เสียงจากระบบยังไม่ทันจางหาย มารโลหิต ก็ได้ชักดาบเล่มมหึมา ที่สำเนาจากเซียวเตี่ยน พร้อมกวัดแกว่งอย่างคล่องแคล่วชนิดที่ ตัวเซียวเตี่ยนเองไม่มีทางทำได้ ด้วยการฟันเพียงไม่กี่ครั้ง เซียวเตี่ยนก็ได้ยินเสียงจากระบบ ดังติดๆ มาทันทีว่า
“ผู้เล่น เซียวเตี่ยนได้ สังหารคุณชายฮก”
“ผู้เล่น เซียวเตี่ยนได้ สังหารจางซันหลาง”
“ผู้เล่น เซียวเตี่ยนได้ สังหารจางยี่หลาง”
“ผู้เล่น เซียวเตี่ยนได้ สังหารจางไต้หลาง”
เวลาเพียงไม่ถึงนาที มารโลหิตก็ส่ง ชายทั้ง 4 ไปสวรรค์เรียบร้อย แม้เขาจะยังไม่รู้ว่า ทั้ง 4 คนนี้เก่งหรือเปล่า แต่ยังไม่ทันคิดอะไร มารโลหิตก็หันมาทางเซียวเตี่ยน พร้อมพุ่งมาอย่างรวดเร็ว!!!!
ตายๆๆ แม้ใจจะคิดแบบนี้ แต่จะให้รามือรอความตายก็ไม่ใช่เขาแล้ว ดังนั้นเซียวเตี่ยนจึงได้ เอื้อมมือไป เพื่อพยามไปชักดาบเพื่อนำมาป้องกันตัว แต่เขาลืมไปอย่างเพราะตอนนี้เขายังนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้น แม้จะอยากชักดาบออกมาแค่ไหน แต่ดาบใหญ่แบบนี้ ถ้านั่งอยู่มันชักออกมาไม่ได้
ตาย งานนี้ตายแหงๆ เซียวเตี่ยน ปิดตาสนิทเตรียมใจยอมรับชะตากรรม
“เปรี้ยง” เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ตาย ตายแหงๆ
แต่ทำไมไม่รู้สึกอะไรเลย หรือว่า แรงจนไม่รู้สึกก็ตาย แล้วงั้นหรือ เซียวเตี่ยนที่แปลกใจก็เปิดตาออกมา แต่ทว่ามารโลหิตก็หายไปจากตรงเบื้องหน้าเขาแล้ว
“เซียวเตี่ยน มาทำลายค่ายกลทำไม”
“คุณเซียวเตี่ยนคุณมาช่วยผมหรือ”
เสียงคุ้นหูสองเสียงที่ดังแว่วมาจากข้างหลัง ทำให้เขาต้องรีบหันกลับไปดู ก็เห็น มารโลหิต นั้น ยืนอยู่กึ่งกลางกลุ่มที่ หวงต้าน และเฟยหวู่ที่เหลือผู้คนเพียงฝ่าย ล่ะไม่กี่คน แต่แล้ว มารโลหิตก็เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วๆ พร้อมวาดดาบฟานฟัน คนทั้งสองกลุ่มด้วยความเร็วที่จับตามองแทบไม่ทัน
“โอ๊ก ฮ้าก โอ้ย” เสียงครางระงม ของผู้ที่ถูกมารโลหิตกำลังไล่ฆ่า และแน่นอน ว่า หวงต้าน กับ เฟยหวู่ สองคนนี้ไม่ได้ กระจอกขนาดถูกพันเพียงครั้งเดียวแล้วจะตาย แต่เพื่อนร่วมกลุ่มที่ตามมานั้น ล้วนถูกมารโลหิตสังหารทั้งหมด พร้อมกับเสียงจากระบบดังติดตามมาว่า
“ประกาศ ผู้เล่นฟูจิโมริ
และเสียงประกาศทำนองนี้ติดตามมาอีก 6-7 ครั้ง ในเวลาติดๆกัน จากนั้น มือของเซียวเตี่ยน ก็ มีสีแดงสดเรื่องแสงออกมา อันเป็นสัญลักษณ์ ของผู้ที่ทำร้ายผู้เล่นด้วยกันก่อน หรือที่ผู้เล่นต่างขนานนามสถานะนี้ว่า “มือเปื้อนเลือด”
นี่มันเกิดอะไร ทำไมเขาโดนระบบ บอกว่าเขาเป็นคนฆ่า แต่เมื่อคิดถึงคำพูดสำคัญของคำประกาศว่า
“มารโลหิต จะถูกประทับตราว่าเป็นภูตของเซียวเตี่ยน แต่เนื่องจาก ระดับของเซียวเตี่ยนต่ำเกินไปดังนั้น เซียวเตี่ยนไม่สามารถบังคับหรือควบคุม มารโลหิต”
หรือว่าไม่ว่ามารโลหิตจะฆ่าคนไปเท่าไหร่ก็จะจดบัญชีเข้าหาเขาทั้งหมดงั้นหรือ!!! แบบนี้มันไม่ตลกซะแล้ว เข้ามาวันเดียวจะให้เขาเป็นฆาตกรใจโหดไปแล้วหรือ
“ดาบคือจ้าวแห่งศาตรา ข้าคือนายแห่งดาบ จงสำแดงอำนาจแห่งเจ้า ดาบพายุกระหน่ำ”
เสียงจากหวงต้านที่ทำให้ เซียวเตี่ยนต้องหันกลับไปมอง เป็นอย่างที่คาด หวงต้านกำลังใช้ทักษะดาบพายุกระหน่ำ ยิงพายุใส่มารโลหิต แต่มารโลหิตกลับไม่มีปฏิกริยาอะไรเหมือนจะรอรับพายูลูกโตลูกนั้น
“พิ้ว ควาก” เสียงของการวาดดาบเล่มโตของมารโลหิตที่ฟาดฟัดเข้ามาพายุ ยังผลให้ พายุฉีกขาดเป็น 2ส่วน เหมือนดูหนังจีนกำลังภายในก็ไม่ปาน
“เฮ้ย ทำงี้ได้ ทักษะโดนทำลายด้วยวีธีนี้ได้ด้วยหรือ” เสียงอุทานอย่างไม่น่าเชื่อจากหวงต้าน แม้แต่ เฟยหวู่เองก็ตะลึงไม่แพ้กัน แต่ไม่มีเวลาให้พวกเขาทั้งสองนานนัก มารโลหิตก็วาดดาบขึ้นเหนือ ศีรษะ พร้อมกล่าวว่า
“ดาบคือจ้าวแห่งศาตรา ข้าคือนายแห่งดาบ จงสำแดงอำนาจแห่งเจ้า ดาบพายุกระหน่ำ”
สิ้นเสียงสิ่งไม่น่าเชื่อก็บังเกิด พายุเหมือนกับที่ หวงต้านปล่อยออกมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน พุ่งเข้ามาโจมตีใส่หวงต้านอย่างไม่ทันตั้งตัว
“อ้าก” สิ้นเสียงสุดท้ายของหวงต้าน เสียงจากระบบก็ตามมาติดๆ ว่า
“ประกาศ ผู้เล่นหวงต้าน
“คุณเซียวเตี่ยน!!!” เสียงอุทาน อย่างพูดไม่ออกของเฟยหวู่ ที่มองฉากสุดท้ายของหวงต้านอย่างไม่เชื่อสายตา แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ลงมือทำอะไร ดาบเล่มโตของมารโลหิต ก็เสียบเข้าที่หน้าอกเขาจนมิดด้ามซะแล้ว!!!!
“ประกาศ ผู้เล่นเฟยหวู่
แม้เห็นด้วยตา เซียวเตี่ยนก็ยังคิดไม่ถึงว่ามารโลหิต จะเก่งกาจได้ขนาดนี้ หรือว่าระดับความเก่งของคนเกมส์มันทิ้งห่างกัน ขนาดนั้น ถึงได้มีมอนสเตอร์ ที่เก่งเกินไปแบบมารโลหิตโผล่มาได้ แต่นี่ไม่ใช่เวลามาวิเคราะห์ แต่เขาต้องพยายามหยุดมันให้ได้ ขืนปล่อยไว้ให้มันฆ่าคนอื่นๆ ไปเรื่อยๆ มีหวังได้ลำบากแน่ ไหนมันก็ ภูตรับใช้ของเขายังไงจะลองสั่งดู อาจเชื่อฟังเขาก็ได้ หวังว่านะ.....
“มารโลหิตกลับมา”
เซียวเตี่ยนที่ส่งเสียงไปทางมารโลหิตให้กลับมาหาเขา แต่ก็ ชักดาบเตรียมพร้อมรบไว้แล้วเช่นกัน หลังจากถอนดาบออกจากร่างเฟยหวู่ มารโลหิตก็เดินกลับเข้ามาทางเซียวเตี่ยน พร้อมวิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
ง่ะ มันจะฆ่าฉัน อีกคนไหม!!!
แต่โชคยังเป็นของเซียวเตี่ยน เพราะมันวิ่งอ้อมตัวเขาไปทันที
หลังจากมารโลหิตวิ่งหายลับตาไป เซียวเตี่ยน ความตึงเครียดที่สะสมมานาน ก็สลายไปทันที ทำให้ เขารู้สึกหมดแรงจนนั่งพังพาบอยู่กับพื้น พร้อมโล่งใจที่รอดแล้ว ในเมื่อวิกฤติการผ่านพ้นไป เขาก็นั่งแหมะหมดแรงอยู่กับพื้น ได้แต่เหลี่ยวมองตามทิศที่มารโลหิตวิ่งไป ได้แต่หวังว่า มารโลหิตตัวนี้ คงไม่หาศัตรูมาเพิ่มสุมหัวให้กับเขาอีกนะ
แต่ทิศที่มารโลหิตไป มันทิศที่เขาเพิ่งจากมา หรือว่า......ทิศนั้น.....ทิศนั้นมัน.... ถ้าจำไม่ผิดมันคือทางไปเมือง ซินเหริน นี่นา!!
หลังจากรู้ทิศทางของมารโลหิตที่แน่นอนแล้วเซียวเตี่ยนถึงกับเข่าอ่อนอีกครั้ง นี่มันเกิดอะไรขึ้นอะไรขึ้น เขากำลังโดนใส่ความอย่างร้ายกาจที่สุด เขายังไม่ทันได้ ฆ่าใครในเกมส์ ซักคน แต่เวลานี้ระบบระบุแน่นอนไปแล้วว่าเขาเป็น PK(Player Killer) ซึ่งแน่ล่ะว่าไม่ว่าเกมส์ไหนๆ PK ก็มักจะต้องโดนลิดรอนสิทธิแตกต่างจาก ผู้เล่นปกติ แถมดีไม่ดียังมีการตามล่าแปลกๆ จนถึงอาจเข้าเมืองไม่ได้ แต่เหมือนตอกย้ำความคิด ของ เซียวเตี่ยน เสียงจากระบบที่เงียบไปนาน ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ประกาศ ผู้เล่นจูหวนจาง
แต่เรื่องมันเกิดไปแล้ว จะให้เขาทำไงล่ะ จะให้เขาไปตายชดใช้หรือ เขาเองก็ ไม่ใช่พระเอกละครน้ำเน่าซะด้วย แถมปัญหาเมื่อเกิดมันก็ต้องหาทางออก ในเมื่อเลยเถิดมาขนาดนี้แล้วทางที่ดี มามองหาโอกาสในวิกฤติดีกว่า
แม้จะยังไม่คุ้นกับเกมส์ นี้ แต่เขาก็ไม่ใช่ไก่อ่อนในโลกเกมส์ อย่างน้อยๆ เสียงจากระบบก็บอกว่า จะมีของอย่างน้อย 2 ชิ้นตกลงพื้น เมื่อมองไปที่ศพต่างๆ รวมทั้ง NPC ที่โดนมารโลหิตฆ่า ก็ดูน่าจะมีอะไรให้เขาตักตวงได้เหมือนกัน
เป้าหมายแรกของเขาย่อมเป็น NPC เจ้าปัญหาทั้ง 4 ตัวนี้ ในเมื่อมันเป็นภารกิจ ของระบบต่อให้ตายไปด้วยน้ำมือของมารโลหิต แต่ไอ้เนื้อเรื่องแบบนี้ มุขมันคงไม่พ้นว่าต้องมีอะไรที่ พวกนี้ไม่ทันใช้แต่ตายไปก่อน หรืออย่างน้อยๆ ก็น่ามีจดหมาย หรือเอกสารที่บอกทางต่อภารกิจ
และไม่ผิดหวัง เซียวเตี่ยนเมื่อค้นทั่วทั้งตัว จนไม่เหลืออะไรจะให้ค้นในตัว NPC ทั้ง 4 แล้ว ในที่สุดก็ได้พบขวดยาขวดหนึ่งในศพจนได้ และเมื่ออ่านฉลากยา ก็เขียนไว้ว่ามันคือ ยาหน่วงชีวิต ที่มีคุณสมบัติสามารถทำให้ คนที่ตายแล้ว ฟื้นขึ้นมาสั่งเสียได้เป็นเวลา 10 นาที
เฮ้อ แทนที่ให้เป็นยาแบบนี้ สู้ให้ พวกนี้ปางตายแล้ว พล่ามๆ ก่อนตายแบบหนังจีนไม่ดีกว่าหรือ......
แต่เมื่อลองคิดดูอีกที การที่ให้เป็นยาแบบนี้ หรือว่ายาตัวนี้อาจไปใช้ที่อื่นได้ แถม มีศพตั้ง 4 ศพ แล้วเขาจะเลือกคุยกับคนไหนดีล่ะ
เมื่อลองมาลำดับภารกิจนี้ตั้งแต่ต้นใหม่ เริ่มแรก ภารกิจนี้เริ่มที่บ้านแห่งหนึ่งที่ชั้น 2 มีการนัดพบเพื่อ คุยถึงของดีอะไรบางอย่าง โดยพี่ใหญ่ ของตระกูลจาง พาคุณชายฮกมา ตรงนี้น่าจะแสดงว่า คุณชายฮก อาจกุมความลับของดีอะไรซักอย่างที่บอกไว้ตอนเริ่มภารกิจ
ที่เรื่องต่อมา ดาบที่เขาใช้ดูเหมือน จะเป้นของพี่น้องคนที่สองของตระกูลจาง เพราะเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ได้พกอาวุธมาเลย ซึ่งอาจเป็นอีกภารกิจต่อเนื่อง
และที่น่าสนใจคือ บ้านหลังนั้น จากบทสนทนาที่เขาได้ยินน่าจะเป้นของน้องชายคนที่สาม หยกที่ซ่อนอยู่ จากที่ได้ยินหมาดๆ ดูเหมือนคนที่เป็นพี่ใหญ่เอาไปซ่อน แต่บ้านเป็นของน้องชายคนที่สาม เงื่อนงำทั้งหมดของหยก และมารโลหิต อาจจะอยู่ พี่ชายคนโต หรือว่าคนที่สามก็ไม่แน่นัก
แต่ว่า ข่าวไหนล่ะที่เขาต้องการที่สุดตอนนี้ ถ้าคิดตอนเริ่มแรก ของดีที่ว่าน่าจะเป็นตัวสานต่อ ภารกิจให้ไปถึง จุดที่ได้รับของที่ดีที่สุดก็ได้ แต่ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกี่ยวกับ มารโลหิต ก็น่าสนใจที่จะแก้ไข ขืนปล่อยเอาไว้ ปัญหายิ่งหนักหนากว่านี้ เขาคงโดนตามล่าทั้งวันไม่เป็นอันเล่นเกมส์พอดี ส่วนคนรองที่ใช้ดาบอันนี้ อาจมีข้อมูลเกี่ยวกับดาบที่น่าสนใจ ไม่งั้นดาบหนักขนาดนี้ ใครจะไปใช้ไหว ถ้าไม่ใช่พวก บ้ากล้าม หรือว่าเขาจะเก็บยานี้ไว้ก่อน อาจมีโอกาสได้ใช้ที่อื่นอีกหรือเปล่า มันก็ไม่แน่ ในเมื่อให้ยามาเป็นรางวัลอาจเป็น ภารกิจที่แตกแยกจากภารกิจหลักก็เป็นไปได้
เซียวเตี่ยนที่ยังตัดสินใจไม่ได้ ก็ มองศพไปอย่างลังเล พร้อมทบทวนข้อมูลเหล่านี้วนเวียนไปมา จนในที่สุด
เฮอะ ไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือหรือ ไหนๆ ก็ ไหนๆ ศพมาถึงวัดแบบนี้ ไม่สวดก็ต้องฝัง
เซียวเตี่ยนหยิบขวดยาพร้อมเดินไปยังศพ ทั้ง 4 นั้น อย่างไม่ลังเล!!!
จบบทที่ 4
::<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>::
สรุปข้อมูลขอยกไปไว้ตอนหน้าครับ
ความคิดเห็น