ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ราชันย์บัลลังก์เลือด

    ลำดับตอนที่ #3 : ซือถูจิ้งหลัน

    • อัปเดตล่าสุด 3 ธ.ค. 62




         เช้าตรู่ พรรคน่าหลัน เมืองหลวงจงหยวน
     
         เสียงนกขับขานในยามเช้าสอดประสานกับเสียงพิญลื่นพริ้วไปกับสายลมอ่อนๆ สวยหย่อมเล็กๆ ภายในพรรคมีดอกไม้งามสีสันแปลกตาหลายดอกสิ่งกลิ่นหอมหวานประชันไม่หยุดหย่อน เหยี่ยวตัวโตบินโฉบไปมามันมีขนสีเทาเป็นประกายเงางามบ่งบอกถึงการดูแลให้ความรักของเจ้าของมัน
         "จิ้งเอ๋อร์เอ๋ย นับวันเสียงพิญของเจ้าจะเทียบเทียมเสียงสวรรค์เข้าไปทุกที มา พ่อจะให้รางวัลเจ้า"
         "ท่านจะให้อะไรลูกเจ้าคะท่านพ่อ"
         ซือถูชิงหวินโบกมือวูบ พลันเด็กรับใช้ก็ยกกรงไม้ขนาดกลางเข้ามาในห้องรับรอง จิ้งเอ๋อร์มองสิ่งที่อยู่ข้างใจตาเป็นประกายระยับ
         "ลูกจิ้งจอกหิมะ!! ท่านพ่อไปได้มาจากที่ไหนเจ้าคะ"
         "ศิษย์ในพรรคของเราไปเจอแม่ของมันถูกนายพรานยิงเข้า เห็นว่ากำลังจะฆ่าลูกของมัน ศิษย์ในพรรคเราจึงขอมาเพราะเห็นว่าเจ้าอยากได้มันนักหนา"
         "ศิษย์คนไหนของเราคะท่านพ่อ"
         มือบางเลื่อนฝากรงออก ค่อยๆ ประคองจิ้งจอกน้อยที่อ่อนแรงออกมา มันส่งเสียงขู่ฟ่อพร้อมขนที่ตั้งชันเพื่อข่มขู่นาง จิ้งเอ๋อร์ยิ้มน้อยๆ แล้วลูบหัวเล็กๆ นั้นอย่างเบามือ
         "โถ ไม่ต้องกลัวแล้วนะเจ้าจิ้งจอกน้อย เจ้าอยู่ที่นี่เจ้าจะปลอดภัย ไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้ ข้าจะตั้งชื่อเจ้าว่าอะไรดีนะ...ท่านพ่อว่าไงคะ"
         "เป็นจิ้งจอกหิมะ ชื่อเสวี่ยไปเลยดีไหมลูกพ่อ"
         "ก็ดีนี่คะท่านพ่อ ดีไหม อาเสวี่ย"จิ้งเอ๋อร์ยิ้มร่าพลางเขี่ยใบหูเสวี่ยอย่างอารมย์ดี

         วิ้ดดดดด

         นางเป่าปากเบาๆ เรียกเหยี่ยวตัวโตเข้ามาในห้องนั้น จิ้งเอ๋อร์ใช้ผ้าพันแขนบางไว้เพื่อป้องกันกรงเล็บคมของหลิน
         มันใช้จงอยปากงับนิ้วของนางเบาๆ จากนั้นก็จ้องมองจิ้งจอกตัวน้อยที่อยู่บนโต๊ะสูงรอบกายมีผ้าสีขุ่นรองอยู่รอบๆ
         "นี่คืออาเสวี่ย ถือเป็นน้องเล็ก เจ้าเป็นพี่ใหญ่ห้ามรังแกน้องเด็ดขาด เข้าใจไหมอาหลิน"

         แกว๊กกกกกก

         มันร้องคล้ายจะยอมรับจิ้งจอกน้อยเป็นน้องเล็ก จิ้งหลันมักจะเอ็นดูและใจอ่อนกับสัตว์อยู่เสมอ เพราะอย่างนั้นพรรคน่าหลันจึงมีสัตว์ต่างๆ วิ่งพล่านทั่วสวนไปหมด แต่กลับไม่เคยมีสัตว์ตัวไหนกันกันเองซักทีเพราะจิ้งหลันมีวิธีการเลี้ยงสัตว์ที่เป็นเอกลักษณ์ของนางเอง

         เมื่อวันเวลาพ้นผ่านจิ้งหลันยิ่งมีความผูกนพันธ์กับจิ้งจอกน้อยเป็นพิเศษดูเหมือนมันจะเข้าใจทุกคำสั่งของนางอีกทั้งดูเหมือนมันจะมองจิ้งหลันเป็นเหมือนมารดาของมันไปเสียแล้ว ทุกวันเจ้าจิ้งจอกน้อยจะมาปลุกจิ้งหลันด้วยการตะกายผ้าห่มจากนั้นจะนั่งเรียบร้อยรอนางทำธุระส่วนตัวยามเช้าแล้วจึงรับประทานอาหารเช้าพร้อมนาง เมื่อจิ้งหลันบรรเลงเพลงพิญ มันจะนอนหูแนบพื้นฟังเสียงพิญที่นางเล่นนอกจากนั้นยังแสนรู้สารพัดจิ้งหลันจึงรักมันมากเป็นพิเศษ
        
         ในตอนสาย จิ้งหลันฝึกวิทยายุทธ์อยู่ในสวน ฝีมือนางจัดว่าเยี่ยมยอด แม้จะเป็นรองประมุขพรรคอยู่สองส่วน แต่ก็ยังถือว่าดีเลิศนางเป็นบุตรีคนเดียวของประมุขเป็นบุตรีที่ซือถูชิงหวินทั้งรักทั้งถนอมนางดั่งแก้วตาดวงใจ เมื่อยังเล็กไม่รู้ความ มารดาของนางเสียชีวิตไปด้วยสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ ประมุขกลัวว่านางจะประสพชะตากรรมเดียวกับมารดา จึงฝึกให้นางเข้มแข็งมาแต่เล็ก นางจึงมีสุขภาพที่สมบูรณ์และมีหน้าตาที่งดงามตามมารดาของนาง จิ้งหลันถูกจัดอันดับให้อยู่ในอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจงหยวน แม้ว่านางจะไม่ค่อยยอมแต่งตัวสวยงามแต่นางก็ยังเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของจงหยวนได้อยู่ดี ด้วยใบหน้าเรียวได้รูป คิ้วเฉียงพาดผ่านดวงตากลมโตสุขใสดุจกวางป่า ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีกุหลาบ พวงแก้มอ่อนใสเป็นสีเลือดฝาดสุขภาพดี ผมดำเป็นประกายเงางามเหยียดตรงทิ้งตัวระแผ่นหลังบาง ผิวเนียนละเอียดดั่งหยกน้ำนมล้ำค่าประเมินราคามิได้ หนำซ้ำนางยังเป็นบุตรีประมุขพรรคใหญ่ที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ ที่ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จักพรรคน่าหลัน
         "จิ้งเอ๋อร์ ฝีมือเจ้าก้าวหน้าขึ้นมาก อีกเดี๋ยวเจ้าคงไม่ต้องให้ข้าสอนแล้วกระมัง"
         "โธ่ ศิษย์พี่ก็ ข้าน่ะวรยุทธ์อ่อนด้อยกว่าท่านตั้งเยอะ ท่านสอนข้าต่อน่ะดีแล้ว"นางพูดจาฉอเลาะกับอิ่นค้วง ศิษย์ที่ในพรรคที่นางสนิทที่สุด อิ่นค้วงนับเป็นพี่ใหญ่ของพรรค ด้วยวิทยายุทธ์ที่ดีเลิศเป็นรองเพียงประมุขพรรค อีกทั้งยังมีหน้าตาที่หล่อเหลาไว้ให้จิ้งหลันใช้เขาเป็นไม้กันสุนัขที่มาตอแยนางอีกด้วย
         "วันนี้ข้าจะไปเดินเที่ยวที่ตลาดในเมือง เจ้าจะไปกับข้าไหม"
         "ไปสิ ข้าไป เอาเจ้าเสวี่ยไปด้วยนะ มันอยากไปเที่ยวกับข้า"
         "ฮ่าๆๆ ได้สิได้ตามประสงค์เจ้าทุกอย่างจิ้งเอ๋อร์"

        
         จิ้งหลันออกมาเดินตลาดพร้อมกับอิ่นค้วงและเจ้าเสวี่ย นางสวมอาภรณ์สีม่วงเข้มแซมด้วยสีขาวมีผ้าคลุมหน้าปิดเอาไว้ เผยให้เห็นเพียงบริเวณดวงตาคู่งามส่องประกายสดใสเท่านั้น นางใช้เวลาเกือบทั้งวันเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ ได้ของติดไม้ติดมือมากมาย จวบจนตกเย็นนางจึงแวะเข้าโรงเตี๊ยมวังจา โรงเตี๊ยมชั้นหนึ่งของเมืองหลวงสั่งอาหารมาทานมากมาย อีกทั้งยังสั่งกระดูกอ่อนให้เสวี่ยได้แทะกินอีกด้วย
         ทั้งสองทานไปดูบรรยากาศรอบข้างไปก็ต่างมีความสุข เสียงเพลงขับกล่อมฟังสบายคลอเบาๆ จนลืมเสวี่ยตัวน้อยที่แทะกระดูกอ่อนจนหมดแล้วและกลิ้งกระดูกนั้นเล่นไปมา เจ้าเสวี่ยแสนซนบังเอิญกระโดดงับกระดูกชิ้นโตพลาด ส่งให้อาหารโอชะของมันกระเด็นไปนอกร้าน มันมองอย่างนึกสนุก ออกวิ่งตามกระดูกนั้นไป....

         "ข้าอิ่มแล้วล่ะศิษย์พี่ กลับกันเถอะ"
         "นั้นสินะ อาจารย์คงคอยแย่แล้ว"
         "เสี่ยวเอ้อร์ เก็บเงินด้วย เอาล่ะอาเสวี่ย...อาเสวี่ย..."
         "มีอะไรหรือจิ้งเอ๋อร์"
         อิ่นค้วงเอ่ยถามนางที่เหลียวมองรอบกายดวงตาตระหนก ปากก็ร้องหาเจ้าจิ้งจอกตัวน้อยนั้น
         "เจ้าเสวี่ยหายไป... มันหายไปแล้วศิษย์พี่!"
         "เดี๋ยวเจ้าใจเย็นๆ ก่อนนะจิ้งเอ๋อร์ มันอาจจะอยู่แถวๆ นี้ก็ได้ ข้าจะช่วยเจ้าหาอีกแรงนะ ใจเย็นๆ ก่อน"
         "ค่ะศิษย์พี่"

         ทางด้านเจ้าเสวี่ยดูเหมือนมันจะรู้ตัวว่าเล่นเลยเถิดออกมานอกร้านไกลเกินไปเสียแล้ว มันร้องหาเจ้าของเสียงดังผู้คนมากมายเดินไปมาทำเอามันมึนงงและหวาดกลัว มันซุกตัวอยู่ในซอกเล็กๆ ในตรอกเพื่อหลบเท้าของคนที่สัญจรไปมา ร่างเล็กๆ นั่นสั่นไหว ใบหูตกลู่ มันสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีมือใหญ่ดึงหนังด้านหลังคอของมันขึ้น

        เอ๋ง~~

         "ลี่เหริน เจ้ามาดูนี่สิ"
         "ครับคุณชาย"ดวงหน้าหวานมองสิ่งที่ฟงอวิ๋นถืออยู่แล้วหันกลับมาถาม
         "นั่นลูกจิ้วจอกหิมะนี่ มาอยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไงกัน"
         "นั่นสิ คงต้องหลงมาจากบ้านไหนซักหลัง อาจจะเป็นร้านจากหนังสัตว์ขนสัตว์ก็ได้ เขาว่าหนังจิ้งจอกหิมะขายได้ราคาดีไม่ใช่รึ?"

         ฟ่อ~~~

         "กล้าขู่ข้าด้วยงั้นหรือ กล้าไม่เบาเจ้าตัวน้อย"

         โฮ่งๆๆ

         เสวี่ยเห่าเสียงดังทั้งยังแยกเขี้ยวขาวใส่เขา สี่ขาตะกุยแขนเสื้อเขาเสียไม่มีดี ดุแบบนี้ดูท่าคงไม่มีเจ้าของกระมัง

         แกว๊กกกกกก

         พลันเหยี่ยวสีเทาตัวโตก็บินโฉบเข้ามาหา เขาปัดป้องมันด้วยท่อนแขนแกร่งแต่ด้วยความไม่ระวังจะถูกกรงเล็บคมเฉี่ยวเป็นแผลยาวทว่าไม่ลึก

         "ฝ่าบาท!!"ลี่เหรินรี่เข้ามาดูบาดแผล เมื่อพบว่าไม่ลึกมากก็วางใจ ฟงอวิ๋นใช้ดวงตาคมจับจ้องที่เหยี่ยวนั้นและเมื่อมันบินโฉบมาอีกครั้งเขาก็ตั้งท่าซัดฝ่ามื่อใส่มันทันที

         "อย่านะ!!!"

         ฟิ้ว!!!
         ฉึก!!!

         ฟงอวิ๋นชะงักมือเมื่อเห็นปิ่นเงินพุ่งมายังเขาเขาปัดมันออกไปจนมันเฉไปปักอยู่ที่กำแพงปูนลี่เหรินเห็นสถานการณ์ไม่ดีตั้งท่าเตรียมอารักษ์ขาราชาทันที
         "เจ้าใจร้าย!!"เสียงใสแหวขึ้นมา ทั้งสองมองไปยังร่างบางที่เป็นผู้ซัดปิ่นเงินนั่น นางรี่เข้ามาแย่งลูกจิ้งจอกหิมะจากเขาและลูบขนมันอย่างถนอม เจ้าจิ้งจอกพอเจอนางก็ร้องหงิงๆ ต่างจากเมื่อครู่ฟ้ากับดิน เจ้าเหยี่ยวสีเทานั้นก็บินมาเกาะคอนไม้ใกล้ๆ นางอีกด้วย

         "เหยี่ยวของเจ้าทำร้ายข้าก่อน"เขาเปรยขึ้น
         "ไม่จริง อาหลินของข้าข้าสอนมาดี มันไม่ทำร้ายใครก่อนแน่นอน เจ้าคงกำลังทำร้ายอาเสวี่ยอยู่ล่ะสิ เฮอะ! สมน้ำหน้า ทีหลังจำไว้อย่ารังแกสัตว์"นางเถียงเอาเป็นเอาตาย
         "ข้าก็แค่หยิบมันมาดู สุนัขของเจ้าต่างหากที่ตะกุยแขนเสื้อข้าเสียยับ"
         "เจ้าทำมันเจ็บ ไม่งั้นเสวี่ยไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน"
         "รู้ดีจริงนะ เป็นพันธ์เดียวกันมันหรือไง"
         "หนอย เจ้า!!"
         จิ้งหลันพอถูกยั่วโทสะพลันรู้สึกทนไม่ได้ วางอาเสวี่ยแล้วปรี่เข้าไปหาร่างสูงนั้นหมายจะสั่งสอนให้รู้สึก แต่ก็ถูกมือใหญ่นั้นปัดป้องได้ทุกครั้งไป ยิ่งเห็นเช่นนั้น นางยิ่งรู้สึกโหโมระดมทั้งหมัดทั้งฝ่ามือใส่ไม่ยั้งฟงอวิ๋นเห็นท่าไม่ดีจึงรั้งแขนนางไว้แล้วบิดไปด้านหลังทำให้ตอนนี้เขาและนางอยู่ห่างกันเพียงคืบ ผ้าผืนบางที่นางใช้เปิดหน้าเกิดเลื่อนหลุด ใบหน้างามค่อยๆ ปรากฏ ฟงอวิ๋นมองดวงหน้านั้นตะลึงงัน ลี่เหรินที่มองดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ ก็ตกใจไปด้วย
         ร่างบางที่กำลังเสียเปรียบ เห็นว่าศัตรูกำลังเผลอไผลจึงซัดมืออีกข้างที่เป็นอิสระเข้าที่ท้องน้อยของเขาทันทีแล้วสะบัดตัวหลุดมาจากเงื้อมมือใหญ่จนได้
        
         "เจ้า...."
         "แบร่...ผู้ชายใจร้าย ชาตินี้อย่าได้เจอกันอีกเลย แบร่ๆๆๆ"นางแลบลิ้นใส่เขาแล้ววิ่งหนีออกไปพร้อมกับจิ้งจอกหิมะและเหยี่ยวตัวโต

         ฟงอวิ๋นมองตามหลังบอบบางนั้นไปและก้มลงหยิบผ้าผืนบางสีขาวของจิ้งหลันขึ้นมาและกำไว้แน่นแนบอก

         "ตามหานาง ตามให้เจอแล้วพานางมาหาข้า จำเอาไว้ว่า นางต้องไร้รอยขีดข่วน!!"สุรเสียงทรงอำนาจออกคำสั่งทั้งที่ข้างกายเขานอกจากลี่เหรินก็ไม่มีใครอื่นอีก

         "น้อมรับคำสั่ง!!"

         เสียงดังก้องออกมาจากรอบทิศ นี่คือเสียงของหน่วยหลี่เฮิ่นเทียนอันเป็นองค์รักษ์ที่ขึ้นตรงกับองค์ราชาโดยเฉพาะ ทุกคนในหน่วยได้รับการฝึกอย่างหนักมาแต่เล็ก จึงมีเพียงยอดฝีมือเท่านั้นที่สามารถอยู่ในหน่วยนี้ได้ หลี่เฮิ่นเทียนไม่ได้เป็นเพียงดั่งแขนขาของราชาแต่ยังเป็นดาบที่พร้อมจะทะลวงอริศัตรูให้พินาศอีกด้วย...
        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×