คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : [SF] ความทรงจำ... [ kihae ]
“นี่ ทำอะไรอยู่น่ะด๊อง ....อะไรกัน ยังไม่เลิกดูอีกหรอภาพพวกนี้เนี่ย นายจะดูอะไรกันทุกวันกะไอภาพเดิมๆเนี่ย” ฮยอกแจที่เดินมาหาเพื่อนรักที่นั่งอยู่ในห้องเรียนอยู่เพียงคนเดียว ดวงตากลมโตมองไปยังสิ่งที่เพื่อนกำลังถืออยู่ พลางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“คืนฉันมาเถอะฮยอก นายก็รู้ว่านี่มันความสุขของฉัน....ความสุขอย่างเดียวที่ฉันมี” คนตัวบางเงยหน้ามองเพื่อนรักด้วยแววตาที่เศร้าสลดลง ฮยอกแจมองเพื่อนอย่างอ่อนใจ พลางลงนั่งข้างๆดงเฮ มือบางส่งรูปถ่ายในมือคืนให้เพื่อน พลางเอ่ยบอกด้วยความเป็นห่วง
“ดงเฮ....ฉันเข้าใจนะว่ามันคือความสุขของนายน่ะ แต่ฉันก็ไม่อยากให้นายมาจมปลักอยู่กับอดีตแบบนี้ นายลองลืมตามองรอบๆตัวกว้างๆสิ แล้วนายจะเห็นปัจจุบันที่สวยงาม ที่ไม่ใช่แค่ความสุขในอดีตอย่างที่นายจมอยู่กับมันนะ” ฮยอกแจเอ่ยเตือนสติเพื่อน แม้ถ้อยคำที่เอ่ยมานั้นจะรุนแรงและกระทบกระเทือนกับจิตใจของเพื่อนไม่น้อย แต่เค้าก็จำเป็นที่จะต้องทำมัน เพื่อให้เพื่อนเค้าตาสว่างเสียที
“ขอบใจนะฮยอก ....ฉันรู้ว่านายหวังดีกับฉัน แต่...ขอฉันตามหาเค้าให้เจอก่อนนะ ได้โปรดให้เวลาฉัน ให้ฉันได้ตามหาเค้า แล้วฉันสัญญาว่าฉันจะเลิกจมปลักอยู่กับมันสักที ” ดงเฮเอ่ยบอกเพื่อนรักพลางเหลือบมองรูปถ่ายในมือ ของตนเอง ภาพถ่ายของเด็กชาย 3 คนที่ยืนยิ้มแป้นกอดคอกันถ่ายรูป เด็กตัวน้อย 2 คนที่ยืนอยู่ริมซ้ายขวานั้นหน้าตาหวานราวกับเด็กผู้หญิง คงไม่ต้องเดามากนักว่าเป็นใคร....นอกจากฮยอกแจเพื่อนของเค้า กับอีกคน นั่นคือเค้าเอง ส่วนเด็กชายที่ยืนอยู่ตรงกลางนั้นรูปร่างสูง หน้าตาหล่อคมผิดกับเด็ก2คนข้างๆนั้น คือ “เค้า”คนที่ทั้ง 2 กำลังพูดถึง
“อาทิตย์หน้าฉันกับซีวอนจะไปเที่ยวที่ประเทศจีนด้วยกัน ด๊องจะเอาอะไรหรือเปล่า จะซื้อมาฝาก”
“ไปเดทกันหรอ ดีจังนะ....เที่ยวให้สนุกนะ ส่วนของฝากน่ะไม่เอาหรอก ...เอาเป็นข่าวคราวของเค้าแทนได้มั้ย” ดงเฮเอ่ยถามพลางส่งยิ้มบางๆให้อีกคน
“ด๊องนี่น้า...ทำอะไรก็คิดถึงแต่นายนั่นตลอดเลย จะหายใจเข้าหายใจออกก็ต้องมีแต่ชื่อนายนั่นทุกลมหายใจใช่มั้ยเนี่ย เฮ้อ เอางี้แล้วกันนะ ไว้ถ้าฉันได้ข่าวอะไรมา ฉันจะรีบมาบอกด๊องแล้วกันนะ ^^” คนทั้งสองยิ้มให้กัน ก่อนที่ทั้งคู่จะหันกลับไปสนใจอาจารย์ที่เข้ามาทำการสอนในเช้าวันนี้
พวกคุณอยากรู้มั้ยครับ...ว่า เค้า คนที่ผมและฮยอกพูดถึงนั้นเป็นใคร ถ้าคุณอยากรู้ ผมก็ยินดีจะเล่าอดีตที่ผม จมปลักอยู่นี้ให้พวกคุณฟังครับ
...ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปี ก่อน....
“ทำอะไรอยู่น่ะด๊อง ทำไมมานั่งคนเดียวแบบนี้อีกแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งตามวัยเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่นั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เป็นที่เล่นของพวกเค้า
“อ๊ะ..มาเมื่อไรน่ะคิบอม พอดีด๊องกำลังคิดอะไรเพลินๆน่ะ” ดงเฮยิ้มหวานพลางหันไปบอกเพื่อนรักของตน
“คิดอะไรละ ทำหน้าเครียดเชียว” ว่าพลางจิ้มนิ้วลงไประหว่างคิ้วที่ขมวดเข้าหากันมุ่นของร่างบาง
“กำลังคิดว่า...ถ้าวันนึงพวกเราต้องแยกกันจะเป็นยังไงนะ ..ด๊องว่าด๊องคงเหงาแย่เลยถ้าไม่มีคิบอมกับฮยอกเป็นเพื่อนเล่นน่ะ” ดงเฮเอ่ยอย่างกังวล พลางหันไปมองคนร่างสูงข้างกาย
“คิดมากจริงๆเลย ฉันจะไปไหนได้ละ อยู่ด้วยกันนี่ละ อยู่กันแบบนี้ไปจนแก่เลย” คิบอมเอ่ยบอกเพื่อนให้หายเครียด พลางทิ้งตัวลงนอนบนผืนหญ้า โดยใช้ตักของคนตัวบางเป็นหมอน
“จริงอ่า....แน่นะว่าจะอยู่กับฉันไปจนแก่น่ะ ถ้าคิบอมทิ้งฉัน ฉันเอาตายน้า” คนตัวบางเอ่ยบอกคนที่นอนอยู่บนตักพลางแซวอย่างหยอกล้อ
“อื้ม...ไม่ทิ้งหรอก ใครจะทิ้งเพื่อนรักคนนี้ได้ลงกัน” ว่าพลางหยิกแก้มบางอย่างเบามือ
“แล้วถ้าสมมติมีวันที่เราต้องจากกันจริงๆ คิบอมจะลืมด๊องป่ะ” ถามคน ร่างสูงอีกครั้งพลางรอคำตอบอย่างตั้งใจ
“ไม่ลืมหรอก ต่อให้เราอยู่ที่มุมไหนของโลก เราก็ไม่มีทางด๊องหรอก เราสัญญา^^” คนตัวสูงเอ่ยคำมั่นสัญญา พลางยื่นนิ้วก้อยให้ร่างบาง
“อย่าลืมคำสัญญาของเรานะคิบอม ^^” ดงเฮยิ้มหวาน พลางเกี่ยวก้อยกับคนร่างสูง
“สองคนแอบมาเล่นกันไม่ยอมเรียกฮยอกเลยนะ ฮยอกจะงอนสองคนแล้ว” ฮยอกแจร้องแง้วๆมาตามทาง พลางอมลมแก้มพองอย่างงอนๆ
“โอ๋ ฮยอกอ่า อย่างอนเลยนะ คิบอมก็เพิ่งมาเหมือนกัน เค้าไม่ได้แอบมาเล่นกันสองคนสักหน่อย มาๆ นอนเล่นกันเนอะ” ว่าพลางฉุดแขนเพื่อนอีกคนให้ลงนั่ง
“เค้าไม่นอนบนตูดคิบอมหรอก คนตูดเหม็น เค้าจะนอนบนตักด๊อง เขยิบไปเลยคนตูดเหม็น” ฮยอกแขหันไปแขวะใส่เพื่อนอีกคนนึงอย่างหมั่นไส้ จะไม่ให้หมั่นไส้ได้ไง ก็ดูด๊องสิ เอาใจแต่คิบอมอ่า เค้าก็เพื่อนด๊องนะ น้อยใจๆ
“อะไรกัน ฉันนอนก่อนนะฮยอก ฮยอกนั่นละนอนบนพื้นหญ้าไปเลย ตักนิ่มๆนี่ของฉัน” คิบอมเอ่ยบอกอีกคน พลางกอดเอวคนที่นั่งอยู่ไว้อย่างแสดงความเป็นเจ้าของ ดงเฮได้แต่นั่งนิ่งหน้าแดงอยู่กับที่
“ปล่อยมือออกจากด๊องเลยนะ ด๊องของเค้านะ” ฮยอกแจแหวลั่นเมื่อเห็น คิบอมกอดหมับเข้าที่เอวของเพื่อนรักของเค้า
“ไม่ปล่อย แบร่ๆ” คิบอมแลบลิ้นใส่ พลางลุกขึ้นวิ่งหนีฮยอกแจที่ตอนนี้วิ่งไล่ตีเค้าไปทั่วสนาม ดงเฮนั่งมองเพื่อนทั้งสองวิ่งเล่นกันพลางยิ้มบางๆ
ก็อย่างที่เห็นละครับ เรา 3 คนเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน คบกันมาตั้งแต่ตอนอายุได้ 8-9 ขวบน่ะครับ จนปัจจุบันผมอายุจะ 20 แล้ว จนตอนนี้ผมเรียนมหาลัยแล้ว ผมก็ยังคบกับฮยอกอยู่เลยครับ สงสัย ใช่มั้ยละครับว่าคิบอมไปไหน
นั่นสิครับเค้าไปไหนกันนะ......
ครั้งสุดท้ายที่ผมเจอเค้า คือเมื่อ 3 ปีก่อน วันที่ผมต้องไปส่งเค้าที่สนามบิน
“ม๊าป๊า ผมไปนะครับ ดูแลรักษาสุขภาพดีๆนะครับ” คิบอมเดินเข้าไปกอดพ่อกับแม่ของตัวเอง ก่อนจะหันมามองเพื่อนอีกสองคนที่ตามมาส่งเค้าถึงสนามบิน
“ไปนะฮยอก ฉันฝากดูแลด๊องด้วยนะ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ” คิบอมลูบหัว ฮยอกแจ พลางส่งยิ้มบางๆให้
“คิบอมอ่า รีบกลับมานะ เค้าไม่มีคนคอยกัดด้วยแล้ว เหงาแน่ๆเลย” ฮยอกแจเอ่ยบอกน้ำตาซึม พลางเดินตรงเข้าไปกอดคนร่างสูงเป็นการบอกลา
“ด๊อง....มากับฉันหน่อยได้มั้ย” คิบอมว่าพลางจูงมือคนตัวบางเดินแยกออกไปอีกทางอย่างไม่รอคำตอบ
“คิบอม...ต้องไปจริงๆหรอ ฮึก..” ดงเฮเอ่ยถาม น้ำตาเริ่มคลอหน่วย แววตาสั่นเครือราวกับจะปล่อยโฮออกมาให้ได้
“ขี้แยจริงๆเลยนะ ฉันไปเรียนต่อแค่ 2 ปีเอง เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว ไม่ร้องนะ^^” เอ่ยบอกเพื่อนตัวเล็ก พลางเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มเนียนอย่างเบามือ
“รอฉันนะ ไปแค่ 2 ปี แล้วฉันจะรีบกลับมานะ อยู่นี่ต้องดูแลตัวเองดีๆนะ อย่าร้องไห้ขี้แยนะ เดี๋ยวไม่มีใครปลอบนะ ” คิบอมยิ้มให้คนตรงหน้า
“ไหนบอกจะไม่ทิ้งกันไง ไหนบอกเราไม่ต้องแยกจากกันไง” ดงเฮถามอย่างงอแง มือบางดึงเสื้อของร่างสูงไว้ไม่ให้คนร่างสูงไปไหน
“ไม่ได้ทิ้งครับ ไปแปปเดียวนะ เดี๋ยวกลับมานะครับ ไม่งอแงนะ คิดถึงก็โทรมาหานะ อย่าลืมคิดถึงฉันทุกวันนะด๊อง” คนร่างสูงดึงคนตัวบางตรงหน้าเข้ามากอดไว้แน่น มือหนาลูบหัวเล็กๆนั้นอย่างปลอบประโลม ดงเฮสะอื้นตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวสูง
“ถึงเวลาที่ฉันต้องขึ้นเครื่องแล้วนะ อีก 2 ปี ฉันจะกลับมาหา แล้วเมื่อถึงเวลานั้น ฉันมีอะไรที่สำคัญมากจะบอกด๊องด้วยนะ รอฉันได้มั้ย” คิบอมก้มตัวลงให้อยู่ในระดับสายตาของคนตัวบาง สายตาคมสบมองกับดวงตาคู่สวยอย่างจริงจัง ดงเฮพยักหน้ารับคนร่างสูงช้าๆ ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะทาบทับลงบนกลีบปากนุ่มอย่างแผ่วเบา แม้จะเป็นเพียงการแตะริมฝีปากกันโดยไม่มีการรุกล้ำใดๆ แต่นั่นก็สร้างความอุ่นวาบไปทั้งหัวใจได้เป็นอย่างดี
“ฉันไปนะ” คิบอมเอ่ยลาคนตัวบาง พลางส่งยิ้มหวานมาให้ ก่อนที่ร่างสูงจะเดินลากกระเป๋าเข้าไปในช่องผู้โดยสารขาออก คนตัวบางมองตามแผ่นหลังแกร่งไปจนสุดตา.....ทำไมเค้ารู้สึกเหมือนกับว่าเค้าจะได้เห็นแผ่นหลังนี้เป็นครั้งสุดท้ายกันนะ คิดแล้วน้ำตาก็พานจะไหลอีกระลอก
เวลาผ่านไป 3 ปีกว่ากับการรอคอยที่แสนทรมานของคนตัวบาง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเค้าเฝ้าคอยการติดต่อกลับมาของคนร่างสูงอยู่ทุกวัน แรกๆที่ไปร่างสูงก็ยังพอติดต่อมาบ้าง แต่นานวันเข้าการติดต่อก็เริ่มหายไป จนในที่สุดเวลาสามปีที่ผ่านไปร่างสูงก็ขาดการติดต่อกับเค้าไปโดยสิ้นเชิง แม้แต่พ่อแม่ของคิบอมเองก็ไม่สามารถติดต่อกับคนร่างสูงได้ ท่านเองก็รอคอยวันที่ลูกของท่านจะกลับมาเช่นกัน จนกระทั่ง....วันที่ท่านทั้งสองลาโลกไป
“ดงเฮ ลูกต้องตามหา..คิบอมให้เจอนะลูก ฮึก...พาเค้ากลับมา..หาป๊ากับม๊านะ..ละ ลูก” คุณพ่อที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงสีขาวเอ่ยบอกกับดงเฮที่จับมือของตนไว้แน่น
“ฮือออ ป๊าอย่าพูดอย่างนี้สิครับ ป๊าต้องไม่เป็นไรนะ ฮึก...อยู่รอคิบอมกับ ด๊องนะครับป๊า ฮืออออ.....” ดงเฮเอ่ยขอร้องทั้งน้ำตา ร่างบางแนบมือหยาบกร้านที่เย็นเฉียบของชายวัยกลางคนลงบนใบหน้าหวานของตนเอง น้ำตาหยดใสไหลไล้ผ่านมือของชายหนุ่ม
“ดูแลตัวเองด้วยนะลูก...ป๊าจะไปอยู่กับม๊าแล้วล่ะ.....” มือเย็นๆนั้นปาดน้ำตาบนใบหน้าหวานพลางส่งยิ้มบางๆให้ เปลือกตาหนาค่อยๆปิดลงช้าๆอย่างเหนื่อยอ่อนเต็มทน ก่อนที่เสียงลมหายใจที่รวยรินนั้นจะเงียบลง
“ม่ายยยยยยยย ป๊า ฮือออออ” คนตัวบางร้องไห้อย่างหนักกับวินาทีสุดท้ายของการอยู่บนโลกใบนี้ของบุคคลที่เค้ารักเหมือนพ่อแท้ๆ ข้างๆกันนั้นเป็นร่างที่ไร้วิญญาณของหญิงสาวอีกคนที่เป็นดั่งคนรักของชายที่เพิ่งจากไป คนตัวบางกอดร่างของคนทั้งคู่พลางร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับจะขาดใจ อุบัติเหตุที่พรากชีวิตคนทั้งสองไปอย่างกะทันหัน ทำให้ยากที่จะทำใจรับมันได้จริงๆ .......
และนี่คือเรื่องราวของ ‘เค้า’ และจุดเริ่มต้นของการรอคอยของผม ผมขอร้องนะฮะทุกคน ใครที่เจอเค้าได้โปรดบอกผม บอกให้ผมรู้ทีว่าเค้าอยู่ที่ไหน ตอนนี้ผมคิดถึงเค้ามากเหลือเกินครับ.....
.1 อาทิตย์ผ่านไป...
‘ติ๊ดๆๆๆ’ เสียงเครื่องมือสื่อสารสีหวานของคนตัวบางดังขึ้นเรียกความสนใจจากร่างบางที่กำลังนั่งเหม่อมองกรอบรูปในมือได้เป็นอย่างดี ดงเฮละสายตาจากภาพที่นั่งมองทุกวันอย่างไม่มีวันเบื่อ พลางกดรับเพื่อสนทนากับปลายสาย
“สวัสดีครับ ดงเฮพูดครับ” ร่างบางกรอกเสียงหวานๆลงไป พลางรอปลายสายตอบรับ
‘ด๊อง อยู่ไหนเนี่ย ฉันกลับจากจีนแล้วนะ มีของขวัญมาฝากด้วย ด๊องต้องชอบแน่ๆ’ ฮยอกแจเอ่ยบอกเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงที่ปกปิดความตื่นเต้นไว้ไม่มิด
“กลับมาแล้วหรอ ตอนนี้ฉันอยู่บ้านน่ะ บอกแล้วไงว่าไม่ต้องซื้อของมาก็ได้”
‘ไม่ได้ซื้อ ได้มาฟรี 555+ เดี๋ยวเอาเซอไพร์สไปให้ที่บ้านแล้วกัน อย่าออกไปไหนนะ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน อ้อ แต่งตัวสวยๆนะ ’
“แค่จะมาบ้าน จะให้แต่งตัวสวยทำไมเนี่ย” ดงเฮเอ่ยถามเพื่อนอย่างไม่เข้าใจนัก
“เอาน่าบอกให้แต่งก็แต่งเถอะ รับรองด๊องต้องชอบของขวัญที่เค้าเอามาให้แน่ๆ บอกลารูปที่นั่งดูทุกวันได้เลย คิคิ” ฮยอกแจพูดอย่างมีเลศนัยพลางกดตัดสายไป
“พูดอะไรแปลกจริงๆเลยเพื่อนคนนี้นี่ ....จะมีของขวัญชิ้นไหนที่มีค่ากว่ารูปนี้กัน” มือบางหยิบรูปใบเดิมขึ้นมาดูอีกครั้ง พลางยิ้มบางๆให้คนในรูป ปากบางพึมพำๆกับรูปอย่างรักใคร่ ก่อนจะเก็บมันลงในลิ้นชัก แล้วเดินไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อรอรับเพื่อนที่กำลังจะมาหาที่บ้าน
‘ติ๊งง......ต่อง’ เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงในที่สุดเสียงออดหน้าบ้านก็ดังขึ้น ดงเฮเดินไปเปิดประตูบ้านพลางส่งยิ้มกว้างให้กับแขกผู้มาเยือน
“เที่ยวสนุกมั้ยฮยอก ดูซิไปไม่กี่วันกลับมานี่หน้าตาสดใสมาเชียว” ดงเฮถลาเข้าไปกอดเพื่อนรักพลางเอ่ยทักทายอย่างสดใส มือบางยื่นไปหยิบถุงเพื่อนช่วยเพื่อนถือของ
“สนุกดีนะ ไปช้อปปิ้งมาได้ชองมาเต็มเลยล่ะ พี่ชายของซีวอนก็ใจดีมากๆ”
“พูดถึงซีวอน วันนี้ไม่มาด้วยหรอ ทำไมปล่อยแฟนมาคนเดียวได้ละวันนี้” ดงเฮเอ่ยแซวเพื่อนที่ไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนคนเดียวมากนัก เพราะปกติพ่อรูปหล่อจะตามคุมตลอดงาน
“ใครบอกว่ามาคนเดียว เค้าพาแขกคนอื่นมาด้วยต่างหากละ” เอ่ยบอกเพื่อนพร้อมยิ้มกว้าง
“ไหนละแขก ด๊องไม่เห็นใครเลย” อึนฮยอกว่าพลางมองหาคนที่เพื่อนว่า .. ก็เห็นอยู่ว่าฮยอกยืนอยู่คนเดียว
“ทำไมไม่เข้ามาด้วยกันละ มานี่มาเดี๋ยวฮยอกจะแนะนำให้รู้จักนะ” ฮยอกแจวิ่งไปคุยกับใครบางคนที่ยืนพิงอยู่กับกำแพงหน้าบ้าน ทำให้ดงเฮมองไม่เห็นว่ามีใครอีกคนมากับเพื่อนรักด้วย
“สวัสดีนะฮะเป็นเจ้าของบ้าน ถ้าไม่รังเกียจเชิญเข้าไปในบ้านด้วยกันก่อนนะฮะ...” ด้วยความเป็นเจ้าบ้านที่ดีร่างบางจึงเดินออกไปชวนแขกเข้าไปพักในบ้าน
“นี่.....// ด๊อง” ฮยอกแจกำลังจะแนะนำคนตรงหน้าให้ดงเฮได้รู้จัก แต่ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนนั้นกลับเรียกชื่อคนร่างบางออกมาเสียก่อน มือหนาดึงคนตัวบางตรงหน้าเข้ามากอด น้ำตาไหลรินลงมาทันทีที่ได้สัมผัสคนตัวบาง
“นี่.....คุณ คุณเป็นใครฮะเนี่ย” ดงเฮเอ่ยถาม พลางกอดตอบอีกคนเมื่อรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่เสื้อของตน
“คิบอม!!! นายจำด๊องได้หรอ ....ฉันได้ยินไม่ผิดใช่มั้ย นายจำด๊องได้ นายเรียกชื่อด๊องเมื่อกี้ใช่มั้ย” ฮยอกแจร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อได้ยินสิ่งที่หลุดออกมาจากปากของร่างสูง
“ฮยอก นายบอกว่าอะไรนะ คิบอมงั้นหรอ....ใครกันคิบอม นายเจอคิบอมแล้วหรอ” ดงเฮที่ยังคงกอดปลอบคนร่างสูงอยู่นั้นหันมาถามเพื่อนอีกคนที่ยืนอยู่ในเหตุการณ์ ความสับสนอลหม่านเกิดขึ้นเมื่อต่างคนต่างไม่พูดอะไรที่มันชัดเจน
“โอ๊ย!!! หัวฉัน!!!!!!” อยู่ๆคนร่างสูงก็ร้องออกมาเสียงลั่น มือหนาที่โอบเอวบางถูกยกขึ้นมากุมขมับ พลางร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ขาแกร่งนั้นทรุดลงนั่งที่พื้นอย่างหมดแรง
“คุณๆๆ เป็นอะไรมั้ย คุณ ฮยอกมาช่วยฉันหน่อยสิ” ดงเฮเอ่ยถามคนที่เป็นลมหมดสติไป พลางเขย่าตัวเรียกคนร่างสูง ก่อนจะหันไปเรียกเพื่อนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างกาย ฮยอกแจที่เพิ่งได้สติจึงรีบมาช่วยเพื่อนพยุงพาคนร่างสูงเข้าไปในบ้าน
“เดี๋ยวฉันไปหาผ้ามาเช็ดตัวให้เค้าก่อนนะ แล้วเรามาคุยกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ฉันงงไปหมดแล้ว” ดงเฮเอ่ยบอกเพื่อนก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
“อย่าว่าแต่นายงงเลยด๊อง ฉันเองก็สับสนเหมือนกัน” มือบางนวดขมับตัวเองอย่างสับสน ก่อนจะเหลือบไปมองคนร่างสูงที่นอนนิ่งอยู่บนโซฟา
‘นี่นายจำด๊องได้งั้นหรอคิบอม.....’ ร่างบางได้แต่คิดในใจ พลางยืนครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
“เค้าดูเหนื่อยมากเลยนะเนี่ย .....ตกลงเค้าเป็นใครกัน แล้วไหนคิบอมที่นายเรียกเมื่อกี้กัน” ดงเฮเอ่ยถามพลางใช้ผ้าขนหนูผืนนุ่มชุบน้ำอุ่นพลางลากไล้ไปตามเนื้อตัวของคนร่างสูง ใบหน้าซีดเซียวของร่างที่นอนอยู่ตรงหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดจากอาการเมื่อครู่ได้เป็นอย่างดี
“คืออย่างงี้นะด๊อง เรื่องมันอาจจะดูเหลือเชื่อไปหน่อยนะ....คือ....คนที่นอนอยู่ตรงนี้ คือ คิม คิบอม เพื่อนของเราไงด๊อง” ฮยอกแจเอ่ยบอกเสียงเครียด สีหน้า บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่นอน
“คนนี้....คิ...คิบอมงั้นหรอ” กลีบปากนุ่มครางชื่อคนที่เฝ้าคิดถึงอยู่เสมอออกมาอย่างแผ่วเบา มือบางลูบไล้ใบหน้าหล่อคมของคนตรงหน้าพลางเพ่งพินิจดูให้ดีๆว่าใช่เค้าคนนั้นจริงหรือไม่
“แต่ด๊องรู้มั้ยว่าอะไรที่มันน่าตกใจ” ประโยคคำถามที่เรียกสติเพื่อนให้กับมาอีกครั้ง ดงเฮมองหน้าอีกคนอย่างสงสัย
“คิบอมจำด๊องได้.....แต่คิบอมจำฉันหรือแม้แต่ใครต่อใครไม่ได้เลย” ดงเฮถึงกับตาโตเมื่อได้ฟังคำชองเพื่อน
“เกิดอะไรขึ้นกับคิบอม” ร่างบางรีบถามด้วยความเป็นห่วง มันต้องเกี่ยวอะไรกับอาการปวดหัวของคนร่างสูงเมื่อกี้แน่ๆ
“ฉันจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง.....เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่คิบอมไปเรียนที่ประเทศจีนได้ 3 เดือนน่ะ ตอนระหว่างทางที่เค้ากลับบ้าน อยู่ๆก็มีรถคันนึงพุ่งมาชน คิบอมเข้าเต็มๆ สมองของคิบอมได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง กระดูกไหปลาร้าและกระดูกซี่โครงหัก และเอ็นกล้ามเนื้อฉีก คิบอมนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ประมาณ 6 เดือน เพื่อนๆต่างก็ถอดใจคิดว่าคิบอมคงไม่รอดแน่ๆ แต่อยู่ๆก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น เมื่อคิบอมฟื้นขึ้นมา ทุกคนต่างก็ดีใจ ร่างกายของเค้าก็หายเป็นปกติหลังจากได้รับการรักษาอยู่เป็นปี แต่สิ่งเดียวที่ไม่ปกติ คือสมองของคิบอม เค้าจำใครๆไม่ได้เลยหลังจากเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวเค้าเอง หรือว่าเรื่องของคนรอบๆตัวก็ตาม ความทรงจำของคิบอมหายไปหลังจากเกิดอุบัติเหตุในครั้งนั้น เพื่อนๆต่างพยายามหาทางติดต่อกับทางบ้านของคิบอม แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าบ้านอยู่ที่ไหน รู้เพียงว่าเค้าเป็นนักเรียนทุนจากเกาหลีเท่านั้น ”
“นี่มัน..ฮึก..เรื่องบ้าอะไรกัน ฮือออ” ดงเฮถึงกับหลั่งน้ำตาเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด
“เพื่อนๆของคิบอมพยายามช่วยกันฟื้นความจำให้ แต่ก็ไม่เป็นผล ทุกคนจึงต้องสร้างความทรงจำใหม่ให้กับเค้าแทน โดยมีพี่ฮันคยองที่เป็นเพื่อนสนิทกับพี่ฮีชอลพี่ชายของคิบอมน่ะเป็นคนช่วยในเรื่องนี้ ตอนฉันไปถึงที่บ้านของพี่ฮีชอล ฉันก็ว่าคนนี้หน้าคุ้นๆ พอถามชื่อก็บอก ชื่อ คิม คิบอม พอฉันไปถามพี่ฮีชอลเลยได้รู้เรื่องราวทั้งหมดน่ะ และฉันก็มั่นใจด้วยว่าคนๆนี้ต้องใช่คิบอมเพื่อนของเราแน่ๆ นายว่ายังไงละดงเฮ” เอ่ยถามเพื่อนเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง
“ฮืออ ใช่...เค้าคือคิบอม ฮึก.....ฮือออออ” ไม่ต้องใช้ทฤษฏีใดๆมายืนยัน เค้าสัมผัสได้ เค้ารู้สึกได้ว่าคนตรงหน้า คือคนที่เค้าเฝ้ารอ
“แต่มันก็มีเรื่องที่น่าแปลกนะ ....ทำไมคิบอมถึงจำฉันไม่ได้ ตอนฉันไปเจอเค้าครั้งแรก ฉันก็ถามแล้วนะว่าจำกันได้มั้ย เค้าก็ได้แต่ส่ายหน้ากลับมา แล้วบอกว่านึกไม่ออกจริงๆว่าเป็นใคร พอเค้านึกมากๆเข้าอาการก็จะกำเริบอย่างที่เห็นนี่ละ” ว่าพลางพยักเพยิดไปทางคนร่างสูงที่ยังคงสลบอยู่
“แล้วมันแปลกยังไงละ ฮึก...ก็เค้าความจำเสื่อม จำฮยอกไม่ได้ก็ไม่เห็นแปลก ฮึก...” ดงเฮที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้บ้างแล้วเอ่ยถามเพื่อนพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ยังคงหลงเหลือ
“ก็เค้าจำฉันไม่ได้ แต่เค้าจำด๊องได้ ...ด๊องไม่ได้ยินที่เค้าเรียกชื่อด๊องหรอ ฉันยังไม่ทันแนะนำเลยว่าเป็นใคร เค้าก็พุ่งไปกอดด๊องซะแล้ว ฉันว่าที่เค้าปวดหัวคงเป็นเพราะพยายามคิดเกี่ยวกับความทรงจำน่ะ” ฮยอกแจสันนิษฐานไปตามที่คิด
“ฉัน...ฉันจะทำยังไงดี” ดงเฮว่าพลางกุมขมับอย่างเครียดๆ ที่อยากเจอก็ได้เจอแล้ว แต่ไม่คิดว่าพอได้เจอแล้วจะเป็นแบบนี้นี่นา
“ฉันว่าตอนนี้ ด๊องคงเป็นคนเดียวที่จะช่วยคิบอมได้ ....เชื่อฉันสิเค้าจะต้องหาย ด๊องทำได้ คิบอมรักด๊องจะตาย” ดงเฮจับมือเพื่อนพลางส่งยิ้มให้เพื่อเรียกกำลังใจให้กับเพื่อนรัก
“รัก...งั้นหรอ” คนตัวบางเอ่ยราวกระซิบพลางหันไปมองคนที่นอนอยู่
“ได้ ฉันจะทำ เค้าจะต้องหาย ฮยอกช่วยฉันนะ ช่วยเพื่อนรักของเรา ^^” ร่างบางทั้งสองส่งยิ้มให้แก่กันและกันแทนกำลังใจ มือบางของทั้งคู่กุมกันแน่นบ่งบอกถึงความตั้งใจที่แน่วแน่และเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
.... ตกเย็นวันนั้น....
“อืม.....” คนร่างสูงครางเสียงแผ่วหลังจากที่ฟื้นจากอาการที่กำเริบ มือหนากุมขมับอย่างมึนๆ สายตาคมสอดส่องมองไปทั่วห้องที่ไม่คุ้นตานัก
“ฟื้นแล้วหรอ เป็นยังไงบ้าง ทานน้ำก่อนนะ ยังปวดหัวอยู่มั้ย” ดงเฮที่เห็นคนร่างสูงตื่นขึ้นมาก็รีบเข้ามาถามอาการอย่างห่วงใย มือบางส่งแก้วน้ำให้คนร่างสูงรับไปดื่มแก้กระหาย
“ขอบใจนะด๊อง” คิบอมหันมาส่งยิ้มให้คนร่างบาง ดงเฮได้แต่นิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ...นี่คิบอมจำเค้าได้จริงๆหรอเนี่ย
“คิบอม.....นายจำฉันได้หรอ จำฉันได้จริงๆใช่มั้ย” ดงเฮเอ่ยถาม น้ำตาเริ่มคลอหน่วย
“ลีดงเฮ เกิดวันที่ 15 เดือน 10 ปี 1986 เป็นเด็กขี้แยที่เอาแต่ร้องเรียก คิบอมๆๆๆ ไงละครับ ทำไมจะจำไม่ได้กัน” มือหนาวางลงบนหัวเล็กๆนั้น ก่อนจะขยี้ผมจนยุ่งไม่เป็นทรง
“นาย.....นายปล่อยให้ฉันรอนานนะ ฉันนึกว่านายจะลืมฉันไปแล้ว ฮือออออ” ดงเฮถึงกับปล่อยโฮ คนร่างบางเอ่ยตัดพ้อเพื่อนร่างสูง
“สัญญาแล้วไง...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะไม่มีวันลืม ลีดงเฮแน่นอน” คนร่างสูงดึงคนตัวบางเข้ามากอดไว้แนบอก ปล่อยให้อกแกร่งเป็นที่พักพิงในยามที่คนตัวบางอ่อนแอเข่นนี้
“ทำไมนายถึงจำได้แต่ฉันละคิบอม” ดงเฮที่เริ่มควบคุมสติได้บ้างแล้วเอ่ยถามร่างสูงอย่างสงสัย
“ฉันก็ไม่รู้มันกัน ตั้งแต่ฉันฟื้นขึ้นมา ฉันก็จำใครที่อยู่รอบๆตัวฉันไม่ได้เลย...แม้แต่ฮยอกแจที่บอกว่าเป็นเพื่อนสมัยเด็กของฉัน ฉันก็จำเค้าไม่ได้ ..แต่พอฉันเห็นหน้าด๊อง ภาพอะไรต่อมิอะไรมันก็วิ่งวนเข้ามาในหัวของฉันทันที ฉันรู้แต่ว่าทุกๆภาพเป็นเรื่องราวของลีดงเฮ ฉันรู้แค่นี้จริงๆ” คิบอมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองเป็นอะไร ทำไมเค้าถึงจำได้แค่คนๆนี้คนเดียว ทำไมพอเห็นหน้าคนร่างบาง ความทรงจำที่เคยมืดสนิทกับไหลเข้ามาในหัวราวกับกระแสน้ำเชี่ยว
“ช่างมันเถอะ ไม่ว่าเหตุผลมันคืออะไร แค่นายไม่ลืมฉัน....ฉันก็ดีใจ ฉันจะพานายไปหาใครบางคนที่เค้ารอนายอยู่ ไปไหวมั้ย” ดงเฮเอ่ยถามคนร่างสูงที่ใบหน้าเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว
“อืม ไปสิ ฉันก็อยากรู้อดีตของตัวเองแล้วเหมือนกัน” ว่าพลางลุกตามคนร่างบางไป คนร่างสูงมองแผ่นหลังบางที่เดินนำหน้าตน ก่อนที่มือหนาจะเอื้อมไปกุมมือบาง ดงเฮหันกลับมามองเล็กน้อย ก่อนจะกระชับมือนั้นให้แน่นขึ้น
“เข้าไปหาพวกท่านสิคิบอม ท่านรอนายมานานแล้ว นานจนท่านรอนายต่อไปไม่ไหว” ดงเฮหันมาบอกคนร่างสูงพลางกลั้นเสียงสะอื้นไห้ของตนเองไว้ เมื่อนึกไปถึงวันที่คนทั้งคู่ลาโลกไป คิบอมปล่อยมือบาง ก่อนจะเดินตรงไปยังหลุมศพที่มีรูปของหญิงชายวัยกลางคนคู่หนึ่งประดับอยู่บนแผ่นหินสีขาวสะอาด
“ท่าน......ท่านคือใครกันด๊อง” ร่างสูงลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าป้ายหลุมศพนั้น แววตาสลดลงราวกับรับรู้ได้ว่าคนตรงหน้าคือคนสำคัญ...แต่ก็ไม่สามารถนึกได้ว่าเค้าคือใครกัน
“ดูชื่อเค้าสิ คิบอม ” ดงเฮยกมือขึ้นปิดปากตนเองไว้ไม่ให้เสียงสะอื้นหลุดออกมาให้คนตรงหน้าได้ยิน
“ตระกูลคิม ....คิมมินซุก & คิมแจวอน” คนร่างสูงอ่านชื่อที่สลักบนแผ่นหินอ่อน พลางหันไปมองคนร่างบาง
“พวกท่านคือ....พ่อแม่ของฉันอย่างนั้นหรอ” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ดงเฮพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะหันหลังให้กับภาพตรงหน้า มือหนาลูบแผ่นหินอ่อน อย่างเบามือ น้ำตาไหลรินเมื่อรับรู้ว่าบุพการีของตนนั้นลาโลกไปแล้ว นาทีสุดท้ายของชีวิตของพ่อแม่เค้า นอกจากเค้าจะไม่ได้กอดแล้ว เค้ายังจำพวกท่านไม่ได้อีกด้วย เค้ามันลูกเนรคุณจริงๆ ร่างสูงกอดแผ่นป้ายเย็นชืดนั้นแน่นราวกับจะส่งผ่านความรู้สึกไปถึงพ่อกับแม่ที่อยู่ที่ไหนสักแห่ง
“ผมขอโทษ....ขอโทษที่จำอะไรไม่ได้ ขอโทษที่ผมมาหาพ่อกับแม่ช้าไป ผม ฮึก....ขอโทษครับ” ร่างสูงก้มโค้งให้กับตัวแทนของพ่อแม่เค้าอย่างสำนึกผิด ดงเฮเดินตรงเข้าไปหาร่างสูง พลางซบหน้าลงกับแผ่นหลังแกร่ง มือบางทั้งสองข้างสอดผ่านลำตัวหนาพลางโอบกอดคนตรงหน้าไว้แน่น เค้ารับรู้ดีว่าคนร่างสูงเสียใจแค่ไหน เค้ารู้ดีว่าการไม่เหลือใครบนโลกใบนี้เป็นเช่นไร เพราะเค้าก็ผ่านมันมาแล้วเช่นกัน
“คิบอม....พวกท่านคงดีใจที่นายกลับมา อย่าเสียใจกับการจากไปนะ ท่านไปดีแล้ว ท่านต้องมองเห็นนายจากที่ไหนสักที่แน่ๆ เชื่อฉันเถอะ นายยังมีฉันนะ” คิบอมพลิกตัวกลับมาประจันหน้ากับคนตัวบาง น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินลงมาอย่างไม่ขาดสาย มือบางปาดน้ำตาอย่างเบามือ
“ไม่ร้องนะ ไหนบอกไม่ให้ฉันขี้แยไง แล้วนายร้องไห้ทำไมกัน ไม่ร้องนะ คิบอมของดงเฮ” ดงเฮเอ่ยบอกพลางกดจูบซับน้ำตาบนใบหน้าคม คนสองคนกอดกันแน่นเป็นกำลังใจให้แก่กันและกัน
“ขอบคุณนะด๊องที่ยังรอคนไม่สมประกอบแบบฉัน” คิบอมเอ่ยขอบคุณ ร่างบางจากใจ คนทั้งคู่นั่งทานข้าวเย็นด้วยกัน ข้าวเย็นที่ดูน่ากินกว่าทุกวัน ข้าวเย็นที่มีคนนั่งทานด้วยไม่เหมือนทุกๆวันเค้าต้องนั่งทานคนเดียว
“พูดอะไรของนาย ทำไมว่าตัวเองแบบนั้น ฉันโกรธจริงๆ ห้ามว่าคิบอมแบบนั้นนะ” ดงเฮบอกอย่างงอนๆ มือบางกอดอกพลางอมลมแก้มพองสะบัดหน้าหนีคนร่างสูงที่นั่งทานข้าวอยู่ข้างกัน
“อ้าว...งอนซะงั้นเลย งอนอะไรกันน่ะ หืม” ร่างสูงวางช้อนลงพลางหันมาดูอาการคนข้างกาย
“งอนนายนั่นละ มีสิทธิ์อะไรมาว่าคิบอมเพื่อนด๊องไม่สมประกอบ” ดงเฮหันกลับมาว่าก่อนจะเชิดหน้าหนีอีกครั้ง
“555+ ไม่ว่าก็ได้ๆ ”
“ถอนคำพูดด้วย” ร่างบางที่เห็นร่างสูงยอมแพ้แล้วจึงหันมาบอกให้ถอนคำพูดซะ
“ครับ ถอนคำพูดครับ ขอบคุณเพื่อนด๊องที่คอยดูแลคิบอมสุดหล่อคนนี้นะครับ” ว่าพลางหยิกแก้มบางเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยวในความน่ารัก
“หยิกแก้มเค้าทำไมเนี่ย เดี๋ยวถ้ามันหย่อนยานลงมาเพราะแรงดึงของคิบอมนะ เค้าจะไม่ทำกับข้าวอร่อยๆให้กินเลยด้วย นี่น่ะกินเข้าไป บำรุงสมอง จะได้จำได้เร็วๆ กินเยอะๆด้วย” ว่าพลางตักอาหารมากมายใส่จานของคนร่างสูง
“ขอบคุณนะครับ” ยิ้มหวานพลางหอมแก้มนุ่มเสียฟอดใหญ่แทนคำขอบคุณ ดงเฮยิ้มบางๆให้คนร่างสูง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานข้าวของตนเองต่อไป
“คืนนี้นอนที่บ้านฉันแล้วกันนะคิบอม นี่มันก็เริ่มดึกแล้ว” ดงเฮเอ่ยชวนคนร่างสูงที่นั่งอยู่ในห้องนอนของตน
“ไม่บอกฉันก็จะนอนที่นี่อยู่แล้ว ฉันจะใช้บ้านของด๊องเป็นที่สิงสถิตนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป” ว่าพลางยิ้มหวานให้คนร่างบาง
“ไม่ค่อยเลยนะ มาอยู่บ้านคนอื่นเค้าก็หัดช่วยทำงานบ้านบ้างนะ”
“งานบ้านทำไม่เป็น ทำเป็นแต่ การบ้าน น่ะได้มั้ย” คนร่างสูงถามพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์ สายตาคมมองคนร่างบางที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำตั้งแต่หัวจรดเท้า พลางเลียปาก
“อย่ามาหื่นนะ คิบอม ฉันเพื่อนนายนะเนี่ย” ดงเฮหน้าแดงซ่านเมื่อถูกคนร่างสูงจ้องเช่นนี้ มือบางขยุ้มคอเสื้อไว้ไม่ให้ร่างสูงเห็นอะไรที่มันมิควรของตน ก่อนที่คนตัวบางจะรีบคว้าชุดเข้าไปใส่ในห้องน้ำทันที
“555+ เด็กน้อยจริงๆ แต่...ขาวชะมัดเลย” ดงเฮหัวเราะคนที่วิ่งหนีเข้าห้องน้ำไป ก่อนจะนึกถึงตัวขาวๆ ปากแดงๆของคนร่างบาง ผมที่เปียกลู่ประบ่ายิ่งแลดูเซ็กซี่...แล้วคืนนี้จะอดใจไหวมั้ยละเนี่ย
“เอ้านี่ ที่นอนของนายนะ นายมากะทันหันฉันเลยยังไม่ได้ทำความสะอาดห้อง ไว้พรุ่งนี้ฉันจะไปทำห้องให้นะ” ว่าพลางวางผ้าห่มและหมอนลงบนโซฟาข้างเตียง
“ไม่ต้องจัดหรอก อยากนอนห้องนี้ อยากนอนกับด๊อง” ว่าพลางดึงคนตัวบางที่ยืนอยู่ให้นั่งลงบนตักของตน กลิ่นหอมอ่อนๆจากสบู่ช่างเย้ายวนเหลือเกิน
“ไม่ต้องเลย ห้องก็มีจะมานอนกับฉันทำไมกัน”
“ก็อยากนอนกับด๊องนี่ ....กลัวอะไรกัน เด็กๆก็นอนด้วยกันออกบ่อย”
“นั่นมันเด็กๆ แต่ตอนนี้อายุจะ 20 แล้วนะคิบอม” ดงเฮเอ่ยท้วงคนร่างสูง
“ไม่เป็นไร จะอายุเท่าไรก็จะนอน ....ด๊องไม่ไว้ใจฉันหรอ” เอ่ยถามพลางส่งสายตาตัดพ้อไปให้ ดงเฮเห็นก็ถึงกับใจอ่อน
“อื้มๆ นอนห้องนี้ก็ได้ แต่มีข้อแม้....คิบอมต้องนอนที่โซฟาเท่านั้นนะ”
“แต่..”
“ถ้ามีแต่เค้าก็จะไปจัดห้องให้ใหม่เดี๋ยวนี้เลย” คนร่างบางขัดขึ้นก่อนที่คนร่างสูงจะท้วง คิบอมจึงต้องจำใจพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้
“ถ้างั้นไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวอาบดึกๆแล้วจะไม่สบายนะ”
“ครับคุณแม่.....” ว่าพลางหอมแก้มคนที่นั่งบนตักไปหนึ่งที ก่อนจะอุ้มคนร่างบางไปวางบนเตียงนอน
“งั้นนอนรอก่อนนะครับเดี๋ยวออกมาเล่นด้วย” ว่าอย่างทะเล้น ก่อนจะรีบหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป
“นายนี่มันจริงๆเลยน้า คิบอม” ดงเฮบ่นตามหลังคนที่เข้าห้องไป พลางส่ายหัวให้กับความทะเล้นของเพื่อนที่ไม่ว่ากี่ปีก็หลอกแต๊ะอั๋งตนมาตลอด...แต่คนโดนแต๊ะอั๋งก็ไม่เคยต่อว่าสักคำ ดูเหมือนจะชอบด้วยซ้ำนะนั่น
“เสร็จแล้ว....หอมมั้ยครับ” ว่าพลางกระโดดลงบนเตียงนอนที่คนร่างบางนอนอยู่ ทั้งๆที่ตัวเองก็นุ่งแค่ผ้าขนหนูพันแค่รอบเอวแค่นั้น
“คิบอมแต่งตัวอะไรของนายเนี่ย ไปแต่งตัวให้เรียบร้อย” ร่างบางเอ่ยบอกคนที่กอดตนเองอยู่ พลางเอามือปิดตาไว้ (มีแอบถ่างนิ้วไว้ด้วย555+)
“บอกก่อนว่าหอมมั้ย ” คิบอมต่อรองกับคนตัวบาง มือหนากระชับอ้อมกอดให้คนตัวบางมาอยู่ใกล้ตนมากขึ้น
“หอมสิ หอมมาก” ดงเฮรีบพูดรัวด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ใบหน้าหวานแนบชิดกับอกแกร่งที่เปลือยเปล่า กล้ามเนื้อเป็นมัดๆที่สัมผัสได้นั้นทำให้จิตใจของคนตัวบางเตลิดไปถึงไหนต่อไหน
“ฟอด.....หอมจริงๆด้วย” คนร่างสูงฉวยโอกาสหอมแก้มนิ่ม ก่อนจะคลายอ้อมกอดออกจากคนตัวบาง
“แค่กอดแค่นี้ทำไมต้องหน้าแดงขนาดนั้นกันครับ”
“ก็ถ้านายมาหอมแก้มฉันพร้อมเสื้อผ้ามันก็คงไม่เป็นอะไรหรอก นี่อะไรแก้ผ้าวิ่งมากอดคนอื่น ไปแต่งตัวเดี๋ยวนี้เลยนะคิบอม” ร่างบางออกปากไล่คนร่างสูงที่ยืนยิ้มกว้างอยู่ปลายเตียง
“ไปก็ได้ครับ” ว่าพลางเดินไปแต่งตัวตามที่คนตัวบางบอก
“ฮ้าว....ง่วงนอนจังเลย นอนกันเถอะ ง่วงนอนๆๆ” ร่างสูงทำท่าหาวเสียปากกว้าง พลางแทรกตัวลงใต้ผ้าห่มผืนหนาที่คลุมเตียงกว้างไว้
“นี่อย่ามาเนียน นี่มันที่นอนฉัน ที่นอนนายอยู่นู่นไปนอนที่ตัวเองเลย” คนตัวบางเขย่าตัวคนร่างสูงที่แกล้งหลับตาพริ้มอยู่ข้างกาย
“คิบอม.....ตื่นขึ้นมาเลยนะ ฉันรู้ว่านายยังไม่หลับ กลับไปนอนที่ตัวเองเดี๋ยวนี้นะ” ดงเฮยังคงโวยวายต่อไป
“ถ้านายไม่ไป ฉันไปนอนตรงนั้นเองก็ได้” ว่าพลางคว้าหมอนและตุ๊กตาปลาน้อยตัวโปรด เตรียมจะเดินลงจากเตียง แต่มือหนาที่เร็วกว่ากลับกดคนตัวบางให้ลงนอนบนเตียงอีกครั้ง คิบอมดึงตัวคนตัวบางเข้ามานอนกอดแทนหมอนข้าง ดงเฮได้แต่นอนนิ่งให้คนร่างสูงกอดอยู่อย่างนั้น ขี้เกียจจะดิ้นรู้ดีว่าดิ้นยังไงก็ไม่รอด ร่างบางจึงหลับตาลง พลางเอื้อมมือไปปิดไฟ มือบางกอดปลาน้อยอย่างที่ทำทุกคืน แปลกที่คืนนี้กลับมีอีกคนที่มานอนกอดตนอีกทีหนึ่ง คิบอมยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นคนตัวบางสงบลง ลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอทำให้รู้ว่าคนร่างบางเข้าสู่นิทราไปอย่างง่ายดาย
“ฝันดีนะครับ” ว่าพลางกดจูบลงบนหน้าผากเนียน ก่อนจะหลับตาลงนอน
ดวงจันทร์ที่มืดมิดถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างของเช้าวันใหม่ คนร่างสูงค่อยลืมตาขึ้น พลางมองหาคนในอ้อมกอดที่ตนกอดมาทั้งคืน เมื่อกวาดตามองจนทั่วแล้วไม่เห็นคนตัวบาง ร่างสูงจึงออกตามหาจนทั่วบ้าน
“เจอตัวแล้ว แอบมานั่งเล่นอยู่นี่เอง” ร่างสูงที่เดินตามหาร่างบางอยู่นานเอ่ยทักคนตัวบางที่นั่งนิ่งพิงต้นไม้ใหญ่พลางหลับตาลงเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้า คิบอมเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆคนตัวบาง มือหนาตวัดเอวบางเข้ามากอดไว้ พลางซุกหน้าลงบนไหล่บาง
“ทำไมชอบมานั่งเล่นตรงนี้จัง ” คนตัวสูงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ก็ที่นี่.....มันคือที่ในความทรงจำของเราน่ะสิ” ดงเฮเอ่ยบอกคนร่างสูงที่กอดตนไว้แน่น เปลือกตาบางค่อยๆเปิดขึ้นช้าๆ ลูกแก้วสีใสจ้องมองนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม
“คิบอม ถ้านายจำอดีตไม่ได้ ขอร้องได้มั้ย อย่าไปรื้อฟื้นมันเลย”
“ทำไมกันละ ด๊องไม่อยากให้ฉันจำเรื่องของเราได้หรอ” ถามอย่างไม่เข้าใจ
“อยากสิ แต่ถ้าการทำให้นายจำได้มันทำให้นายเจ็บปวด ฉันก็ไม่อยากให้นายทำมัน ทำไมนายไม่ลองสร้างความทรงจำใหม่ลงไปแทนความทรงจำที่มันหายไปกันละ .....ฉันจะช่วงสร้างความทรงจำใหม่ให้กับนายเอง” สิ้นเสียงหวาน กลีบปากอ่อนนุ่มก็ประทับลงเรียวปากของคนร่างสูง ลิ้นเล็กๆสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากเพื่อความหาความหอมหวานจากชายหนุ่มตรงหน้า มือบางยกขึ้นโอบรอบคอแกร่งให้แนบชิดยิ่งขึ้น คิบอมที่อยู่ๆก็ถูกจูบนิ่งอึ้งไปสักพัก ก่อนจะตอบรับรสจูบแสนหวานนี้ด้วยการบดเบียดเรียวปากอิ่มเข้าหาเชอร์รี่สีแดงช่ำรสเลิศตรงหน้า ลิ้นเรียวเกี่ยวตวัดหยอกล้อกับลิ้นเล็กพลางกวาดเก็บความหอมหวานจากภายในของร่างบาง ร่างสูงค่อยๆผละจูบออกมาช้าๆเมื่อเห็นคนตรงหน้าหอบหายใจถี่ ลิ้นร้อนตวัดเลียน้ำสีใสที่เลอะมุมปากบาง
“ฉันอยากให้นายรู้ไว้ว่าที่แห่งนี้เป็นที่ที่มีความทรงจำของเรามากมาย เมื่อใดที่นายมองไปรอบๆตัวแล้วไม่เห็นแม้แต่เงาของฉัน ฉันอยากให้นายมาหาฉันที่นี่ ฉันจะอยู่ที่นี่ อยู่ในสถานที่แห่งความทรงจำนี้ และจะอยู่ข้างๆนายตลอดไป ” ดงเฮเอ่ยบอกคนร่างสูงเสียงสั่น หยดน้ำอุ่นคลอหน่วยขึ้นที่ดวงตา
“ทำไมพูดเหมือนจะทิ้งฉันอย่างนั้นละ เราจะอยู่ด้วยกันที่นี่ อยู่ด้วยกันแบบนี้ ไม่ทิ้งกันนะ” คิบอมที่เห็นคนตัวเล็กเริ่มร้องห่มร้องไห้ก็เริ่มใจเสีย ร่างสูงโอบกอดกายบางไว้ในอ้อมแขนแกร่ง มือหนาลูบศีรษะเล็กอย่างปลอบโยน ริมฝีปากได้รูปจูบซับน้ำตาบนแก้มสีแดงระเรื่ออย่างแผ่วเบา
“ด๊องคือคนสำคัญของฉันเสมอ และไม่ว่าอะไรจะมาพรากเรา ฉันก็จะไม่มีวันลืม ลีดงเฮ คนสำคัญของฉันแน่นอน” สายตาจริงจังถูกส่งมาแทนความจริงใจที่คนร่างสูงมี ว่าจบก็กดจูบลงบนหน้าผากเนียนแทนคำสัญญา
‘ต่อให้ฉันไม่มีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ ฉันก็อยากให้นายรู้ไว้ว่าฉันจะอยู่ข้างๆนายแบบนี้ เราจะมีกันแบบนี้ตลอดไป‘เสียงที่ดังกึกก้องในใจของคนตัวบาง แม้มันจะตะโกนก้องดังสักแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถเล็ดลอดออกมาให้ร่างสูงรับรู้ได้
จากกลางวันสู่กลางคืน จากความมืดมิดสู่แสงสว่าง วันเวลาที่ไหลผ่านไปในแต่ละวันดูจะเป็นช่วงเวลาที่แสนล้ำค่าของคนทั้งสองที่ช่วยกันเติมเต็มความทรงจำที่ขาดหายไปด้วยการสร้างความทรงจำใหม่ที่แสนหวานให้แก่กัน คิบอมยังคงดูแล ดงเฮประหนึ่งอัญมณีล้ำค่าที่เปราะบางราวกับคริสตัลสีใส ดงเฮเองก็ใช้ทุกวินาทีอยู่กับคนที่ตนรักสุดหัวใจอย่างคุ้มค่าที่สุด ราวกับอยากจะชดเชยเวลาที่หายไปให้แก่กัน
‘ซ่า.......’ เสียงน้ำจากฝักบัวที่ไหลรินลงมากระทบกับเรือนกายขาวนวล ความเย็นจากน้ำทำให้ร่างบางตัวสั่นเล็กน้อย มือบางลูบไล้ไปตามใบหน้าสวยหวานของตนเพื่อชำระล้างความเหนื่อยล้าจากกิจกรรมที่ทำมาในวันนี้
“อ๊ะ....” คนตัวบางร้องอย่างตกใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวของเลือด เลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาจากจมูกของคนตัวบางหยดไหลมาตามกายขาวซีดเป็นสีจางๆ มือบางยกขึ้นปาดโลหิตสีแดงออกจากใบหน้า
“ถึงเวลาแล้วสินะ....ไม่คิดเลยว่ามันจะเร็วแบบนี้” เอ่ยบอกกับตัวเองเสียงแผ่ว แม้จะพยายามปาดเลือดออกจากจมูกมากเท่าไร แต่เลือดก็ยังคงไหลไม่หยุดและมีทีท่าว่าจะไหลมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ ร่างกายเริ่มขาวซีดจนแทบไร้สี ความหนาวเย็นจากน้ำทำให้กายบางสั่นไหว คนตัวบางทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เมื่อภาพตรงหน้าเริ่มดับมืดลง ก่อนที่สติที่เลือนรางจะดับวูบลงพร้อมกับร่างกายที่ทิ้งตัวลงนอนบนพื้นเย็นเฉียบ
“ดงเฮ....ทำไมวันนี้อาบน้ำนานจัง นี่มันจะชั่วโมงหนึ่งแล้วนะ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” คิบอมเดินมาเคาะประตูเรียกคนตัวบางที่หายเข้าไปในห้องน้ำร่วมชั่วโมง คนตัวสูงเอ่ยเรียกคนด้านในอยู่นานแต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดๆกลับมา ร่างสูงเริ่มใจไม่ดี เมื่อเคาะแล้วไม่ตอบร่างสูงจึงเดินไปหยิบกุญแจสำรองมาเปิดประตูห้องน้ำ
“ดงเฮ....เกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรไป ตื่นสิ” เมื่อเปิดประตูเข้ามา คนร่างสูงก็ถลาเข้าไปหาร่างบางที่นอนนิ่งอยู่ที่พื้น มือหนาช้อนตัวคนตัวบางขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด พลางตบหน้าหวานเบาๆเพื่อเรียกสติ กายที่เย็นเฉียบกับเลือดที่ไหลนองออกมาจากจมูกของคนร่างบางทำให้คนร่างสูงแทบเสียสติ มือหนาตวัดผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่อยู่ข้างกายมาห่อตัวคนร่างบางไว้เพื่อเพิ่มความอบอุ่น ร่างสูงอุ้มคนตัวบางไปวางไว้บนเตียง มือหนาจัดการแต่งตัวให้คนตัวบาง ก่อนจะอุ้มไปโรงพยาบาลด้วยความร้อนใจ
“อย่าเป็นอะไรนะด๊อง เข้มแข็งไว้นะ” ตลอดทางร่างสูงได้แต่ภาวนาให้คนข้างกายตนนั้นปลอดภัย เมื่อถึงโรงพยาบาล ดงเฮก็ถูกส่งตัวเข้าไปในแผนกฉุกเฉินทันที
“ญาติคนไข้รอด้านนอกนะคะ” พยาบาลสาวเอ่ยบอกคิบอมที่ตั้งท่าจะเดินตามคนตัวบางเข้าไป
“คุณหมอ ช่วยแฟนผมด้วยนะครับ” คนร่างสูงเอ่ยบอกคุณหมออย่างร้อนใจ
“หมอจะพยายามสุดความสามารถนะครับ” คุณหมอหนุ่มเอ่ยบอกพลางส่งยิ้มบางๆให้ ก่อนจะขอตัวเข้าไปรักษาคนไข้ที่ด้านใน
เวลาผ่านไปได้สักครู่ คุณหมอก็ออกมาจากห้องฉุกเฉิน คิบอมที่นั่งคอยด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดรีบลุกไปถามอาการของคนร่างบางทันที
“คุณคือญาติของคนไข้ใช่มั้ยครับ...หมอขออนุญาตคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวสักครู่นะครับ” คุณหมอว่าแค่นั้นก่อนจะเดินนำไปยังห้องทำงาน คิบอมเดินตามคุณหมอไปด้วยความตึงเครียด
“เชิญนั่งครับ” คุณหมอว่าพลางผายมือเชิญ
“ดงเฮเป็นอะไรหรอครับคุณหมอ” ถามอย่างสงสัยในอาการของคนร่างบาง
“แสดงว่าคุณคงยังไม่ทราบว่าคุณดงเฮนั้นเป็นโรคเกี่ยวกับเม็ดเลือดที่ผิดปกติ คนไข้เป็นโรคนี้มาหลายปีแล้วครับ แต่คนไข้ไม่ยอมเข้ารับการรักษา ทำให้อาการของโรคลุกลามมาจนถึงระยะสุดท้าย”
“แล้วมีวิธีรักษามั้ยครับ มีวิธีจะช่วยให้เค้าหายจากโรคที่เป็นอยู่มั้ยครับ”
“หมอต้องแจ้งให้ทราบก่อนว่าโรคนี้เป็นโรคที่ทางการแพทย์ยังไม่มียารักษาที่จะทำให้หายจากอาการของโรคได้ มีเพียงหนทางที่จะยื้อชีวิตผู้ป่วยไว้เท่านั้นครับ ซึ่งก็ต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิดกับทางแพทย์ แต่ในกรณีของคุณดงเฮ คนไข้ไม่ยอมมารักษาตัวกับทางโรงพยาบาลและยังปล่อยให้อาการของโรคลุกลามและกำเริบในหลายครั้ง หมอเกรงว่า...... ” คุณหมอนิ่งไปสักพัก คิบอมจ้องใบหน้าของคนตรงหน้านิ่ง แววตาสลดลงเมื่อรู้ถึงสิ่งที่คุณหมอต้องการจะสื่อ
“เมื่อไรครับ....เค้าจะอยู่ได้อีกถึงเมื่อไรกัน 10 ปี 5 ปี หรือ 1 ปี” คิบอมตรงเข้าไปหาคุณหมอ มือหนาจับเข้าที่ไหล่ของคนตรงหน้าก่อนจะเขย่าไปมาอย่างบ้าคลั่งเหมือนคนเสียสติ
“ใจเย็นๆนะครับ ทางหมอเองก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าคนไข้จะอยู่ได้อีกถึงเมื่อไร สิ่งเดียวที่จะสามารถยื้อชีวิตของคนไข้ได้คือ ความเข้มแข็งของตัวคนไข้เองที่จะต่อสู้กับโรคร้ายนี้ ยิ่งเค้ามีกำลังใจในการต่อสู้มากเท่าไร มันก็จะเป็นการต่ออายุชีวิตของเค้าให้เพิ่มได้มากเท่านั้น คุณคงต้องช่วยดูแลคนไข้ให้ทานยาและก็เป็นกำลังใจให้กับคนไข้อีกแรงหนึ่งด้วยนะครับ เดี๋ยวหมอจะจัดยาบำรุงเลือดให้ แล้วก็จัดรายการอาหารที่คนไข้ควรรับประทานให้ด้วยนะครับ ผมอยากให้คุณดูแลเค้าอย่างใกล้ชิด หากมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นขอให้คุณรีบพาคนไข้มาที่โรงพยาบาลโดยด่วนเลยนะครับ ”
“ครับ ขอบคุณมากๆนะครับคุณหมอ ผมจะดูแลเค้าให้ดีที่สุด ขอบคุณจริงๆครับ” คิบอมกล่าวขอบคุณคุณหมอ พลางก้มโค้งให้อย่างสุภาพ ขาเรียวยาวตรงออกจากห้องไปยังห้องพักผู้ป่วยทันที
‘ก็อกๆๆ’ มือหนาเคาะประตูห้องตามมารยาทก่อนจะเปิดเข้าไปหาคนตัวบางที่นอนตัวขาวซีดอยู่บนเตียงสีขาว ดงเฮค่อยๆหันหน้ามามองอีกคนช้าๆ น้ำตาหยาดใสไหลรินเป็นทาง
“รู้แล้วใช่มั้ย....นายรู้เรื่องหมดแล้วใช่มั้ยคิบอม” เสียงแหบพร่าถามด้วยความสั่นเครือ คิบอมพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะนั่งลงข้างกายบาง มือหนากอบกุมมือบางพลางเช็ดน้ำตาให้กับคนตรงหน้า
“ไม่ร้องนะ ไม่ต้องกลัวนะด๊อง ฉันจะดูแลนายเอง นายจะต้องหาย นายจะไม่เป็นอะไรนะ” คิบอมลูบเรือนผมนิ่มอย่างปลอบโยน ร่างสูงพยุงกายบางให้ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะส่งน้ำให้ร่างบางดื่ม ริมฝีปากที่แห้งผากและซีดขาวจรดลงบนขอบแก้ว เพียงแค่น้ำเปล่าอึกเดียวยังยากที่จะกลืนลงคอ
“ไม่...มันไม่มีทางหาย ฉันรู้ตัวดี ฉันรู้ดีว่าชีวิตของฉันมันอยู่ต่อไปได้อีก ไม่นาน ฉันรู้ตัวของฉันดี” ดงเฮจับมือของร่างสูงไว้แน่น พลางเอ่ยบอกด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด
“ไม่ อย่าพูดอย่างนั้น ด๊องจะต้องอยู่ข้างๆฉัน ไหนบอกว่าเราจะไม่ทิ้งกันไง อย่าพูดแบบนั้นอีกนะ ฉันจะดูแลนายเอง นายจะต้องหาย นายจะต้องไม่ไปไหน ไม่ทิ้งฉันนะ” คนร่างสูงสวมกอดกายบางแน่นราวกับว่าหากปล่อยอ้อมกอดนี้กายบางตรงหน้าจะหายไป สัมผัสเปียกชื้นที่อกและแรงสะอื้นไห้จากคนในอ้อมกอดบ่งบอกถึงความเสียใจและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากจิตใจของคนทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี
“นายต้องยอมรับความเป็นจริงให้ได้นะคิบอม...” เสียงแผ่วดังอู้อี้แทบไม่เป็นภาษาอยู่ที่อกแกร่ง คำพูดที่ทิ่มแทงใจนั้นทำให้ร่างสูงไม่อาจทนฟังมันได้อีกต่อไป คิบอมผละจากอ้อมกอดอุ่นนั้น ก่อนจะกดจูบลงบนริมฝีปากซีดขาวนั้นแทน
“อย่าพูดแบบนั้นให้ฉันได้ยินอีก ฉันบอกว่าด๊องจะไม่เป็นไร ฉันบอกว่านายจะต้องหาย เชื่อฉันสิ พักผ่อนซะนะ หายดีแล้วเราจะได้กลับบ้านกัน นอนนะครับ คนดี” ว่าแล้วก็พยุงร่างบางให้เอนตัวลงนอนบนเตียง มือหนาลูบลงบนเปลือกตาสีเนื้อนั้นให้ปิดลง นิ้วเรียวสอดประสานกับมือเล็กๆของคนตัวบาง ริมฝีปากประทับเบาๆลงบนเรียวปากอิ่ม
“พักผ่อนนะครับเด็กดี ตื่นมาก็หายแล้วนะ” เอ่ยปลอบโยนคนตรงหน้าให้เข้าสู่นิทรา ความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจนำพาให้คนบนเตียงตรงดิ่งสู่นิทราไปอย่างรวดเร็ว ลมหายใจอุ่นๆดังแผ่วเบาเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ มือบางที่เย็นเฉียบกลับอุ่นขึ้นอย่างหน้าประหลาดเมื่อมีมือของอีกคนกอบกุม คิบอมนั่งมองใบหน้าสวยหวานที่ซีดขาวด้วยแววตาเศร้าสลดลง
“จะไม่มีอะไรมาพรากความรักของเราได้ เชื่อใจฉันนะด๊อง ฉันจะดูแลด๊องให้ดีที่สุด....เพราะฉันรักด๊องนะ” คำพูดที่ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยบอกเพื่อนสนิทในยามตื่น คำพูดที่เค้าไม่สมควรพูดกับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิท คำพูดที่คนฟังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ฟังมันหรือไม่ในช่วงเวลาที่ยังมีลมหายใจอยู่เช่นนี้....
หลังจากที่ต้องพักฟื้นดูอาการอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 3 วัน ในที่สุดดงเฮก็ได้รับอนุญาตจากคุณหมอให้กลับบ้านได้เสียที
“จะได้กลับบ้านแล้ว คิดถึงบ้านเราจังเลยเนอะ” ร่างบางเอ่ยบอกพลางยิ้มหวานให้กับคนร่างสูง คิบอมส่งยิ้มบางๆให้ มือหนารับถุงยามาถือพลางพยุงคนร่างบางอย่างทะนุถนอม
“นี่ ฉันเดินเองได้นะ ไม่ต้องพยุงขนาดนี้ก็ได้ ทำยังกับฉันป่วยอะไรมากมายอย่างนั้นละ” ดงเฮหันไปบอกคนร่างสูงที่ประคบประหงมตนซะเหมือนกับตนเป็นคนป่วยร้ายแรง ตลอดเวลาที่อยู่ที่โรงพยาบาล คิบอมก็ดูแลเค้าแทบไม่ห่างกาย เรียกได้ว่านางพยาบาลแทบไม่ต้องแตะตัวเค้าเลยล่ะ ทั้งป้อนยา ป้อนข้าว เช็ดตัว ร่างสูงอาสาทำเองซะหมด แล้วเค้าจะมานอนโรงพยาบาลให้ผลาญเงินเล่นทำไมกัน สู้กลับไปนอนบ้านไม่ดีกว่าหรอ ในเมื่อกลับไปก็เป็นร่างสูงที่ดูแลเค้าอีกอยู่ดี
“หน้านี่ซีดเป็นไก่ต้มขนาดนี้ยังบอกไม่เป็นไรอีกนะ มานี่มา ฉันอุ้มเอง” ไม่พูดเปล่า มือหนาช้อนคนตัวบางขึ้นแนบอก พลางกระชับร่างให้นอนในท่าที่สบายขึ้นเพื่อไม่ให้ร่างบางตกลงมา
“จะบ้าหรอคิบอม ปล่อยเลยนะ อายคนอื่นเค้ามั่งมั้ยเนี่ย ฉันบอกว่าเดินเองได้ไงเล่า” มือบางทุบเข้าที่ไหล่หน้าเป็นการปรามพลางดิ้นขลุกขลักๆอยู่ในอ้อมกอด
“ถ้าดิ้นแล้วตกลงมาฉันไม่ช่วยนะ จะให้ฉันอุ้มไปดีๆหรือต้องให้จูบโชว์ถึงจะหยุดดิ้นกัน” สิ้นเสียงร่างสูง คนตัวบางก็หยุดดิ้นทันที มือบางโอบคอร่างสูง พลางเม้มปากแน่น คิบอมถึงกับหัวเราะกับท่าทางของคนตัวเล็กกว่า ร่างสูงอุ้มคนตัวบางไปขึ้นรถที่จอดอยู่ทางด้านหน้าโรงพยาบาล ยานพาหนะคันใหญ่นำพาคนทั้งคู่กลับไปยังบ้านหลังน้อยที่ห่างหายไปหลายวัน
“ถึงซักที เย้ๆๆ” คนตัวบางรีบก้าวลงจากรถทันทีที่รถจอดเทียบที่หน้าบ้าน ร่างสูงหันไปจ่ายเงินให้โชเฟอร์ ก่อนจะจูงมือบางเดินเข้าบ้านไป
“เดี๋ยวด๊องขึ้นไปพักผ่อนบนห้องก่อนนะ หิวหรือยัง เดี๋ยวฉันไปทำอะไรมาให้กินนะ”
“ไม่เอาอ่า เบื่อจะนอนแล้วอ่า อยู่ที่โรงพยาบาลก็นอนมาทั้งวันแล้ว กลับบ้านมายังต้องมานอนอีก น่าเบื่อจะตาย” คนตัวบางว่าพลางทำแก้มพองลมอย่างน่ารัก
“ไม่ได้ ไม่พักผ่อนจะหายได้ยังไงกัน ไปนอนนะเด็กดี เดี๋ยวตื่นมาทานข้าวนะครับ” มือหนาขยี้ผมนุ่มจนยุ่งเหยิง พลางหัวเราะน้อยๆอย่างชอบใจ ร่างบางหน้ายู่ลง
“คิบอมอ่า แกล้งเค้าอีกแล้วนะ” ร่างบางกอดอกก่อนจะหันหน้าหนีอีกคนเมื่อเห็นว่าตนสู้ไม่ได้
“55+’ งอนหรอ โอ๋ๆๆ ดีกันนะๆ ฟอด~” ไม่ง้อเปล่า ร่างสูงยังหอมแก้มเป็นการง้ออีกด้วย
“ไปนอนดีกว่า อยู่ตรงนี้ เปลืองตัวมากๆเลย” ว่าพลางเดินขึ้นไปนอนที่ห้องนอนของตัวเองด้วยใบหน้าที่แดงซ่าน คิบอมมองตามเพื่อนรักไปจนลับตา ก่อนที่จะเดินเข้าไปทำอาหารในครัว
“มาแล้วๆ ทานข้าวกันนะด๊อง” เพียงไม่นานชามข้าวต้มที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นก็เสร็จเสียที ร่างสูงจัดยาที่ร่างบางต้องทานพร้อมน้ำดื่มใส่ลงในถาดชามข้าวต้ม ก่อนจะยกขึ้นไปที่ชั้น 2 ให้คนตัวบางที่คงนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงกว้างเป็นแน่
“ก็อกๆ ด๊อง ข้าวต้มเสร็จแล้วนะ” เคาะเรียกสักพัก ก่อนจะเอื้อมมือที่ว่างไปบิดลูกบิดประตู คิบอมวางถาดลงบนโต๊ะหน้าโซฟา ก่อนจะเดินเข้าไปปลุกร่างบางที่นอนอยู่ที่เตียง
“ด๊อง ตื่นได้แล้วนะ” ร่างสูงเอ่ยเรียก พลางเอื้อมมือไปเขย่าร่างที่นอนนิ่งอยู่
‘เอ๊ะ ทำไมตัวนิ่มๆ ’ เมื่อเปิดผ้าห่มดูก็พบเพียงหมอนข้างที่ร่างบางเอามาวางไว้หลอกตน ร่างสูงถึงกับกุมขมับกับความซุกซนของเพื่อน ขาเรียวยาวก้าวออกจากห้องไปยังสถานที่ที่คิดว่าคนตัวบางจะไปทันที
“ซนจริงๆเลยน้า บอกให้นอนพักไงละ” เมื่อเจอตัวร่างสูงก็เดินเข้าไปสวมกอดจากทางด้านหลังทันที พลางต่อว่าร่างบางเล็กน้อย
“แหะๆ...เจอเค้าแล้วหรอ ” ร่างบางหัวเราะแห้งๆพลางหันหน้าไปสบตากับสายตาดุที่ร่างสูงส่งมาให้
“ก็เค้านอนไม่หลับนี่นาเลยมานั่งเล่นตรงนี้”
“แดดร้อนขนาดนี้เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปจะทำยังไงกัน ไปทานข้าวได้แล้ว จะได้ทานยากันนะ” ร่างสูงว่าพลางจับมือบางให้ลุกขึ้น
“เค้าอยากขี่หลัง...ถ้าคิบอมให้เค้าขี่หลัง เค้าจะยอมไปกินข้าว ...ยอมป่ะ” ถามพลางมองหน้าคนตัวสูงกว่าอย่างรอคำตอบ คิบอมยิ้มให้ร่างบาง ก่อนจะหันหลังให้ ดงเฮรีบกระโดดเกาะหลังคนร่างสูงทันที ท่อนแขนเรียวคล้องคอแกร่ง ขาเรียวบางหนีบเข้าที่เอวของคนตัวสูงกว่า
“ไปเลยๆๆ เย้ๆๆ” ร่างบางร้องเย้วๆอยู่บนตัวคนร่างสูงพลางกอดคนใต้ร่างแน่น เสียงหัวใจที่ไม่รู้ว่าเป็นของตนหรือของคนร่างสูงกันแน่นั้นดังจนแทบจะระเบิดออกจากอก กว่าคนทั้งคู่จะขึ้นมาถึงห้องนอนได้ก็เล่นเอาพ่อแก้มป่องของเราเหนื่อยเลยทีเดียว (ที่เหนื่อยเพราะต้องพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ที่มันพลุ่งพล่านให้เข้าที่ ก็ร่างบางเล่นบดเบียดแนบชิดขนาดนี้ จะไม่ให้ฟุ้งซ่านได้ไงกันเล่า)
“ทานข้าวแล้วทานยาก่อนนะครับ” ว่าพลางวางคนตัวบางลงบนโซฟ้า มือหนาขยับถาดมาใกล้ๆพลางตักข้าวต้มใส่ช้อนก่อนจะเป่าให้พออุ่น ร่างบางที่นั่งรออยู่แล้วก็อ้าปากรับข้าวต้มคำโตเข้าป่ากอย่างว่าง่าย
“อร่อยมั้ย” คิบอมเอ่ยถามอย่างลุ้นๆว่าอาหารจะถูกปากร่างบางมั้ย
“ที่สุดของที่สุดเลยล่ะ” ดงเฮว่าพลางยิ้มหวานให้อีกคน ก่อนจะอ้าปากรับข้าวต้มที่ส่งมาคำแล้วคำเล่าอย่างไม่ขาดปาก
“อิ่มแปล้เลย....คิบอมทำอาหารอร่อยเหมือนกันนะเนี่ย เอ๊ะหรือเค้าหิว 55+” ร่างบางเอ่ยบอกเหมือนจะชม
“จะเพราะอะไรด๊องก็กินหมดอยู่ดีละ มาทานยาก่อนครับ” ว่าพลางส่งแก้วที่บรรจุยาเม็ดหลากสีให้คนร่างบาง ก่อนจะยื่นแก้วน้ำดื่มให้
“แต่ด๊องไม่อยากทานยานี่นา มันขมจะตายไป” ดงเฮว่าพลางส่งแก้วที่ใส่เม็ดหลากสีนั้นคืนให้ร่างสูง
“ไม่ทานยาแล้วจะหายได้ยังไงกัน ต้องทานครับ จะทานเองหรือจะต้องให้ป้อนกัน หืม?” เอ่ยถามพลางส่งยิ้มกรุ้มกริ่มไปให้
“ไม่ต้องมาจ้องจะฉวยโอกาสเลยนะ ฉันกินเองก็ได้” อีกคนว่าอย่างปรามๆเมื่อเห็นสายตานั้น มือบางรับยาเม็ดหลากสีมาใส่ที่ฝ่ามือ พลางกรอกมันเข้าปาก ก่อนจะดื่มน้ำตาม ใบหน้าหวานทำหน้ายี้กับความขมของยาที่เพิ่งทานเข้าไป
“หมดแล้วนะ คิบอม” เมื่อกลืนมันลงคอจนหมด ร่างบางก็หันมาอ้าปากให้อีกคนดูว่าตนทานลงไปเรียบร้อยแล้ว
“อย่ามาหลอกกัน แล้วเม็ดนี้มันอะไรกัน ” คิบอมว่าพลางล้วงมือเข้าไปด้านหลังคนตัวบางที่นั่งทับยาเม็ดสีดำสนิทที่บ่งบอกถึงความขมได้เป็นอย่างดี
“อ้าว...ทำไมเม็ดนี้มาอยู่ตรงนี้ได้นะ ด๊องไม่รู้เลยนะเนี่ย” ร่างบางแกล้งทำหน้าตกใจ พลางตั้งท่าจะลุกหนี แต่ก็โดนมือหนานั้นเกี่ยวกลับมานั่งบนตักเสียก่อน
“ไม่ต้องมาทำแบ๊วเลย เนียนเชียวนะ” แขนแกร่งตวัดโอบกายบางไว้แนบอก ดงเฮดิ้นขลุกขลักๆอยู่ในวงแขนของร่างสูง
“ปล่อยนะคิบอม มากอดเค้าทำไมเนี่ย”
“ทำโทษเด็กดื้อไม่ยอมกินยาไง”
‘ก็มันขมน่า ด๊องไม่ชอบยาขมๆ” ว่าพลางดันมือหนาที่ส่งยามาให้ตนออก
“ถ้ายังดื้อแบบนี้ ฉันจะใช้ไม้ตายแล้วนะ” มือหนาพลิกกายบางให้หันหน้ามาประจันหน้ากับตน ดงเฮมองหน้าร่างสูงอย่างงงๆ คิบอมกรอกยาสีดำสนิทใส่ปากของตนเอง ก่อนจะดื่มน้ำตาม ร่างสูงดึงคนตัวบางเข้ามาประกบปากกับตน ดงเฮที่อยู่ในช่วงกำลังงงๆ ตั้งท่าจะอ้าปากถามซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ลิ้นเรียวผลักยาใส่ปากอีกคนนั่นเอง
“กลืนครับ” ร่างสูงผละจูบออกมาก่อนเอ่ยบอกร่างบางตรงหน้า ดงเฮกลืนยาลงคออย่างว่าง่าย ใบหน้าเปลี่ยนสีเป็นสีแดงซ่าน
“เก่งมาก” เอ่ยชมพลางจุ๊บลงที่เรียวปากสีเชอร์รี่นั้นอีกครั้งแทนรางวัล
“ยังขมอีกมั้ย” ถามอย่างเย้าๆ คนตัวบางได้แต่ก้มหน้างุดๆอย่างเขินอาย ร่างบางดันตัวลุกขึ้นจากตักของอีกคน ก่อนจะเดินไปนอนบนเตียงกว้าง
“55+ เงียบทำไมกันครับเนี่ย เขินหรอ น่ารักจัง” ว่าพลางหยิกแก้มยุ้ยของร่างบาง ดงเฮทำแก้มพองลมอย่างงอนๆ
“คนขี้แกล้ง ชอบฉวยโอกาส วันนี้ไปนอนที่โซฟาเลยนะ ” เอ่ยไล่ พลางดึง ผ้าห่มขึ้นคลุมโปง คิบอมลงนั่งบนเตียงอีกฟาก ใบหน้าคมเข้มระบายยิ้มกว้างกับความน่ารักของคนตรงหน้า
“งอนหรอด๊อง~~ ” มือหนาสะกิดร่างบางใต้ผ้าห่มพลางส่งเสียงอ้อน เมื่อเห็นว่าร่างบางยังนิ่ง มือปลาหมึกปลาไหลนั้นก็ค่อยๆเลื้อยสอดเข้าไปใต้ผ้าห่ม พลางกกกอดคนตัวบางที่นอนอยู่ไว้แน่น
“คิบอม !!! เอาอีกแล้วนะ ” ร่างบางแหวลั่นเมื่อร่างกายของตนโดนคน ร่างสูงฉวยโอกาสเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้ของวันนี้
“555+ โอ๋ๆๆ ดีกันไม่แกล้งแล้วๆ” ว่าพลางส่งนิ้วก้อยให้คนตรงหน้าเกี่ยว
“ห้ามแกล้ง ห้ามฉวยโอกาสเค้าแล้วนะ สัญญาก่อน” ร่างบางโผล่หัวออกมาจากผ้าห่มพลางเอ่ยบอก
“ครับ สัญญาว่าจะไม่แกล้งแล้วครับ^^” เมื่อได้ยินคำสัญญาร่างบางก็ยิ้มกว้างพลางยื่นนิ้วไปเกี่ยวก้อยด้วย สองคนมองหน้าพลางส่งยิ้มให้กันและกัน เวลาแห่งความสุขที่ต่างคนต่างก็อยากเก็บเกี่ยวมันไว้ในหัวใจให้ได้มากที่สุด เพราะวันพรุ่งนี้เค้าไม่รู้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง....
“เค้าง่วงจัง กินเสร็จก็อยากจะนอนแล้ว ฮ้าวววว” มือบางที่ตวัดโอบกายหนาข้างกายเอ่ยบอกด้วยสายตาปรือ พลางหาวเสียปากกว้าง
“กินแล้วนอนเดี๋ยวอ้วนนะ 55+ พักผ่อนเยอะๆนะครับ” แม้ปากจะแซว แต่มือหนาก็จัดการดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกายของเพื่อน พลางลูบผมนิ่มอย่างเบามืออย่างขับกล่อม ดงเฮยิ้มหวานให้อีกคน พลางหลับตาลงอย่างเหนื่อยๆ คิบอมก้มลงกดจูบบนหน้าผากเนียน พลางยิ้มกว้างจนเนื้อล้นหน้า ร่างสูงค่อยๆจับมือบางที่กดตนนั้นออกจากตัว พลางจัดท่านอนให้ร่างบางนอนได้สบายขึ้น ก่อนที่ตนเองจะไปนั่งทำงานที่มุมห้อง
‘ดงเฮ.....’ เสียงเรียกที่ดังแผ่วมาตามทางเดินที่มืดเสียจนไม่เห็นแม้แต่ร่างกายของตนเอง ร่างบางมองไปรอบๆตัวที่มืดสนิทอย่างหวาดกลัว ลมหนาวที่เย็นยะเยือกจนถึงขั้วหัวใจทำให้ร่างบางต้องยกมือขึ้นกอดตัวเองไว้แน่น
“ใครเรียกด๊องหรอฮะ” เมื่อเดินมาตั้งนานก็ยังไม่เจอแม้แต่แสงสว่าง ร่างบางจึงเอ่ยทำลายความเงียบนี้ขึ้นมาแทน
‘ทางนี้ลูก...พ่อกับแม่อยู่ทางนี้ มาหาพ่อกับแม่สิลูก พ่อกับแม่คิดถึงหนูมากๆรู้มั้ย’ เสียงนุ่มของหญิงสาวที่คุ้นเคยดังขึ้น หัวใจที่เหน็บหนาวเมื่อครู่อุ่นวาบขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าเจ้าของเสียงคือใคร ดงเฮรีบสาวเท้าไปตามต้นเสียงทันที แสงสว่างที่ปรากฏเป็นจุดเล็กๆเบื้องหน้า ค่อยๆขยายวงกว้างขึ้นเมื่อร่างบางเริ่มเดินลึกเข้าไปใกล้จุดนั้นมากขึ้น จนกระทั่งความมืดมิดที่มีหายไป แสงสว่างสีขาวนวลถูกแทนที่พร้อมความอบอุ่นที่มาแทนที่ความเหน็บหนาวเมื่อครู่
“คุณพ่อคุณแม่ครับ ด๊องอยู่นี่แล้วครับ พ่อกับแม่อยู่ไหนครับ” ร่างบางเอ่ยเรียกบุพการีที่จากตนไปตั้งแต่ยังเล็กด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำอุ่นๆค่อยๆไหลรินจากดวงตาเรียว
“แม่อยู่นี่ไงครับลูก” มือบางของใครอีกคนโอบกอดลูกรักจากทางด้านหลังพลางเอ่ยกระซิบเสียงแผ่ว ดงเฮค่อยๆหันหน้าไปมองคุณแม่คนสวยของตนช้าๆ ยิ่งเห็นก็ยิ่งคิดถึง น้ำตาที่มีก็ยิ่งไหลริน ร่างบางโผเข้ากอดคนเป็นแม่ทันที
“คุณแม่ ฮึก.... ด๊องคิดถึงคุณแม่ ฮืออออ” ร่างบางกอดไปพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วย หญิงสาวยิ้มบางๆให้คนเป็นลูก ก่อนจะผละอ้อมกอดออกให้ลูกได้เห็นหน้าบุคคลที่เหลือที่ยืนอยู่รอบๆกาย
“คุณพ่อ...ป๊าม๊าก็อยู่ด้วยหรอครับ ด๊องคิดถึงทุกคนจังเลย” คนตัวบางทั้งยิ้มทั้งร้องไห้ไปในเวลาเดียวกัน ร่างบางโผเข้ากอดคนที่เหลือด้วยความคิดถึง
“พวกเราก็คิดถึงหนูนะจ้ะดงเฮ” แม่ของคิบอมเอ่ยบอกร่างบางพลางลูบผมคนตัวบางอย่างเอ็นดู ทุกคนแลดูมีความสุข ต่างคนต่างยิ้มกว้างเมื่อได้เจอคนตัวเล็ก
“ทำไมทุกคนมาอยู่ด้วยกันละฮะ ... ด๊องอยากมาอยู่ด้วยจังเลย” ร่างบางเอ่ยบอกพลางยิ้มให้อย่างไร้เดียงสา
“แม่รู้ว่าลูกคิดถึงพวกเรามาก แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่หนูจะมาอยู่กับพวกเรานะลูก...ลูกยังมีคนที่รอหนูอยู่ไม่ใช่หรอจ้ะ มีอะไรก็รีบๆบอกเค้านะ อย่าให้อะไรๆมันสายเกินไปละ เข้าใจมั้ยครับ คนเก่งของแม่” หญิงสาวย่อตัวลงนั่งข้างลูกน้อยพลางเอ่ยบอกอย่างอ่อนโยน
“ดงเฮ ฟังนะลูก นี่คือนาฬิกาชีวิตของลูก” พ่อของคิบอมเอ่ยขึ้นเรียกความสนใจจากคนร่างบาง มือหนายื่นแท่งนาฬิกาทรายที่ตอนนี้ทรายในนั้นค่อยๆไหลลงสู่อีกด้านหนึ่งจนแทบจะหมดแล้ว
“ป๊าหมายความว่า.....ด๊องกำลังจะตายหรอฮะ” เอ่ยถามเสียงแผ่วอย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่อีกคนต้องการจะสื่อ ทั้งสี่คนค่อยๆพยักหน้ารับช้า สีหน้าที่มีความสุขเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความโศกเศร้าและความเจ็บปวดที่ฉายขึ้นบนใบหน้า
“พ่อกับแม่มาเตือนลูก...กลับไปซะ กลับไปล่ำลา กลับไปทบทวนในสิ่งที่อยากจะทำแต่ยังไม่ได้ทำ เวลาของลูกเหลือไม่มากนะดงเฮ ใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่า สร้างความทรงจำดีๆไว้ในหัวใจให้ได้มากที่สุด วันใดที่ลูกต้องจากลา ลูกจะได้ไม่ลืมความผูกพันนั้นจากใจของลูกเอง พ่อกับแม่ช่วยลูกได้เท่านี้จริงๆ” พ่อของดงเฮเอ่ยบอกอีกครั้งพลางดันหลังร่างบางให้กลับไปยังโลกแห่งความจริง
“ม๊าฝากบอกคิบอมด้วยว่าม๊าคิดถึงเค้ามาก สักวันหนึ่งพวกเราคงจะได้เจอกัน บอกให้เค้าใช้ชีวิตที่มีให้คุ้มค่า อย่าทำให้มันเสียเปล่าเหมือนที่แล้วมา แล้วม๊าจะรอวันที่เค้าจะกลับมาหาม๊ากับป๊านะลูก” คุณแม่คนสวยของคิบอมเอ่ยบอกร่างบางพลางเข้าไปกอดอีกคนแน่นเป็นการสั่งลา
“ขอบคุณนะฮะ คุณพ่อคุณแม่ ป๊ากับม๊า ด๊องจะกลับไปจัดการทุกอย่างตามที่ทุกคนบอก รอด๊องนะฮะ อีกไม่นานเราคงจะได้พบกันอีก ด๊องลานะฮะ” ร่างบางเดินตรงเข้าไปกอดคนทั้งสี่ น้ำตาหยาดใสไหลรินเปรอะเปื้อนแก้มเนียน
ร่างบางโค้งให้ผู้อาวุโสกว่าทั้ง 4 คน ก่อนจะส่งยิ้มบางๆให้ แล้วหันหลังเดินจากไปจากสถานที่แห่งนี้ เพื่อกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง....กับการสะสางเรื่องราวครั้งสุดท้ายในชีวิต
“แฮ่กๆๆๆ.....ฮืออออออ....ม่ายยยยยยย” ร่างบางนอนหอบหายใจถี่ เสียงหวานแผดลั่นพลางสะอื้นไห้ เหงื่อเม็ดโตผุดทั่วใบหน้าหวาน
“ดงเฮ....เป็นอะไร ด๊องๆๆๆ” ร่างสูงเขย่าตัวคนตัวบางให้ได้สติ เสียงที่แผดลั่นนั้นทำให้เค้าที่เผลอหลับไปที่โต๊ะทำงานเมื่อครู่สะดุ้งตื่น ใบหน้าหวานขาวซีดไร้สี ปากบางสั่นระริก น้ำตาหยาดใสไหลรินทั้งๆที่ดวงตายังคงปิดสนิท
“ด๊อง ตื่นสิ ด๊องๆๆๆ เป็นอะไรกัน ตื่นมาคุยกับฉันสิ” ร่างสูงตบหน้าบางๆเบาๆเพื่อเรียกสติ ดงเฮค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ร่างบางรีบคว้าคนตรงหน้าเข้ามากอดอย่างหวาดกลัว
“คิบอม ฮือออออ ด๊อง....ด๊องกลัว” คิบอมกอดปลอบคนตัวบางที่สั่นระริก
“ไม่เป็นไรนะ ก็แค่ฝันร้ายนะ ฉันอยู่นี่แล้ว ไม่ร้องนะ โอ๋ๆๆ” บอกอย่างปลอบโยน ร่างบางค่อยๆตั้งสติ เสียงสะอื้นค่อยๆแผ่วลงจนเงียบไป ดงเฮผละตัวออกจากอกแกร่ง
“คิบอมเรียกฮยอกมาหาด๊องที่นี่ทีได้มั้ย” ร่างบางเอ่ยบอกอย่างขอร้อง คนร่างสูงที่ได้ยินก็พยักหน้ารับคำ มือหนาหยิบโทรศัพท์ก่อนจะกดโทรออกหาฮยอกแจในทันที
“ฮยอกหรอ....มาหาด๊องหน่อยได้หรือเปล่า ด๊องมีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ อืมๆ ทานข้าวเย็นที่บ้านด้วยกันเลยนะ เดี๋ยวฉันทำเผื่อ อืมๆ มาเร็วๆละ” กดวางสายไป ก่อนจะหันมาหาคนตัวบางที่นิ่งสงบลง
“ดีขึ้นหรือยัง หืม...” เอ่ยถามอย่างห่วงใย ก่อนจะส่งยิ้มให้อีกคน ดงเฮพยักหน้าเล็กน้อย มือบางดึงชายเสื้อคนร่างสูงให้ลงนั่งบนเตียง ก่อนที่กายบางจะทิ้งตัวลงนอนบนตักอีกคน มือเล็กๆนั้นตวัดเกี่ยวเอวหนาเข้ามาข้างกาย คิบอมเองที่เห็นคนตัวเล็กอ้อนถึงแม้จะแปลกใจแต่ร่างสูงก็ไม่ได้ว่าอะไร คิบอมเองก็เขยิบตัวเข้าใกล้คนร่างบางมากขึ้นเช่นกัน มือหนาโอบเอวบางพลางกอดแน่นๆ
“อ้อนจังนะวันนี้ ” มือหนาทัดผมที่ปรกหน้าคนตัวบางไว้ที่หู ก่อนจะลูบใบหน้าหวานอย่างหลงใหล
“ขออยู่อย่างนี้....สักพักนะ” เสียงหวานเอ่ยบอกอย่างแผ่วเบา พลางซุกหน้าลงแนบอกแกร่ง ยิ่งคิดว่าตัวเองจะต้องผละจากอกอุ่นนี้ จะไม่ได้กอดแบบนี้ จะไม่ได้จูบ ไม่ได้หยอกล้อกันอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ น้ำตาก็พาลจะไหลในทุกวินาทีที่ต้องสบตากับร่างสูง ....ทำไมฟ้าช่างเล่นตลกกับชีวิตของเค้าอย่างนี้กันนะ คนนึงที่รอคอยอย่างเจ็บปวด กับอีกคนที่หลงลืมความทรงจำที่เคยมี วันนี้ได้กลับมาอยู่ด้วยกันนึกว่าจะมีความสุขล้น นึกว่าจะได้สร้างความทรงจำใหม่ๆแทนที่ความเจ็บปวดที่พบเจอเมื่ออดีต แต่ฟ้ากลับกลั่นแกล้งเราอีกครั้ง โดยการพรากเราออกจากกัน....ตลอดกาล
‘ติ๊ง....ต่อง’ เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้นเรียกความสนใจจากคนสองคนที่นอนกกกอดกันอยู่บนเตียงได้เป็นอย่างดี คิบอมก้มลงหอมแก้มคนในอ้อมกอดก่อนจะผละตัวออกมา แล้วเดินไปออกไปรับแขกที่หน้าประตู
“มาแล้วหรอ...ไวจังนะ เข้าไปข้างในก่อนสิ ฉันฝากดูด๊องก่อนนะ เดี๋ยวไปทำข้าวเย็นก่อน” คิบอมเอ่ยบอกกับเพื่อนสมัยเด็กของเค้าอีกคน ก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว ทิ้งให้ฮยอกแจที่ตั้งท่าจะเอ่ยปากตอบแต่ก็ไม่ทันยืนเอ๋ออยู่หน้าประตู เมื่อตั้งสติได้ร่างบางจึงเดินขึ้นไปหาดงเฮที่ห้องนอนด้านบนทันที
“ก็อกๆ ด๊อง ฉันเข้าไปนะ” มือบางเคาะประตูเรียกพลางเปิดประตูเข้าไปในห้อง ดวงตาคู่สวยกวาดมองทั่วห้องเพื่อหาร่างของเพื่อนรัก
“ฮยอก.....” เสียงหวานเอ่ยเรียกเพื่อนที่ยืนอยู่หน้าประตู ก่อนที่ร่างบางจะโผเข้ากอดกัน
“เป็นอะไร ทำไมหน้าซีดแบบนี้ อย่าบอกนะว่าอาการกำเริบน่ะ” ฮยอกแจถามพลางมองสำรวจใบหน้าของเพื่อนที่ดูซีดเซียวไป
“อืม ฉันเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลน่ะ” เอ่ยบอกความจริงกับเพื่อนอย่างไม่ปิดบัง
“งั้นแสดงว่าคิบอมก็รู้แล้วน่ะสิว่าด๊องป่วยน่ะ” ถามย้ำให้แน่ใจอีกครั้ง
“อื้ม..รู้แล้ว”
“แล้วเค้าว่าไงบ้าง”
“เค้าบอกว่าฉันจะไม่เป็นอะไร ยังไงฉันก็ต้องหาย ...แต่ฮยอกรู้ใช่มั้ยว่าโรคของเค้ามันรักษาให้หายไม่ได้ ฮยอกรู้ใช่มั้ยว่าเค้าป่วยเป็นโรคนี้ระยะสุดท้ายแล้ว ฮึก....ฮยอกรู้มั้ยว่าฉันกำลังจะไร้ลมหายใจแล้วน่ะ ฮือออออ” ร่างบางทรุดตัวลงนั่งบนพื้นพรม มือบางกำชายเสื้อของเพื่อน พลางกอดรัดขาของฮยอกแจแน่น เมื่อต้องบอกความจริงที่ตนได้รับรู้มา ฮยอกแจยืนอึ้งกับคำที่ได้ยิน ร่างทั้งร่างแข็งทื่อราวกับหิน
“ดะ...ด๊องพูดอะไรน่ะ ทำไมถึงพูดจาแบบนี้ ไม่น่ารักเลยนะ” ฮยอกแจต่อว่าเพื่อนทันทีที่ตั้งสติได้ มือบางฉุดแขนดงเฮให้ลุกขึ้นยืนคุยกับตน แต่เรี่ยวแรงที่มีของคนทั้งคู่กับหายไปตั้งแต่ได้รับรู้ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ฮยอกแจเข่าอ่อนทรุดตัวลงนั่งข้างดงเฮพลางกอดคนตรงหน้าแน่น ไหล่บางไหวสั่นไปตามแรงสะอื้น ถึงแม้จะต่อว่าเพื่อนแต่ก็รู้ดีว่าความจริงมันคืออะไร
“เวลาของฉันหมดแล้วฮยอก....ฉันกำลังจะไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่และป๊ากับม๊าของคิบอม ฮึก..พวกท่านรอฉันอยู่ละฮยอก”
“แล้วฉันละด๊อง...คิบอมล่ะ ถ้านายไปแล้วฉันกับคิบอมจะอยู่กับใคร ไม่ไปได้มั้ย อยู่กับฉันได้มั้ย นะ...ฉันขอร้อง อย่าทิ้งฉันได้มั้ย ฮืออออ” ยิ่งพูดก็ยิ่งร้อง ยิ่งกอดคนตรงหน้าแน่น
“ฮยอก ถ้าฉันเลือกได้ ฉันจะไม่จากฮยอกกับคิบอมไปไหนเลย แต่หากฟ้าลิขิตมาให้มันเป็นเช่นนี้ มันก็คงต้องเป็นไปตามที่ฟ้ากำหนด ...ฮึก ฉันไม่ได้ทิ้งฮยอกไปไหนนะ ฉันจะอยู่กับฮยอกเสมอ ฉันจะอยู่กับนาย อยู่ตรงนี้กับนายเสมอ” มือบางลูบลงบนตำแหน่งหัวใจของเพื่อน ดงเฮแนบหูลงบนแผ่นอกของเพื่อนเพื่อฟังเสียงหัวใจที่ดังอยู่ด้านใน
“ฉันรักด๊องนะ หากมีวันที่เราต้องพรากกันจริงๆ ฉันจะไม่มีวันลืมเพื่อนรักคนนี้ ไม่มีวันลบภาพด๊องออกจากใจจริงๆ ฉันรักด๊องนะ” คำรักที่พร่ำบอก อ้อมกอดที่อบอุ่น มือบางที่ปาดน้ำตาจากใบหน้าของกันและกัน ภาพมิตรภาพครั้งสุดท้าย เราสองคนจะบันทึกภาพเหล่านี้ลงในความทรงจำของเราและจะไม่มีวันลบมันออกจากความทรงจำเลย พวกเราสัญญา
“ฉันก็รักฮยอกนะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ขอบคุณความห่วงใย ขอบคุณมิตรภาพ ขอบคุณความผูกพัน ขอบคุณความรักที่ฮยอกมีให้ฉันมาตลอดระยะเวลาที่เราคบกัน ฮยอกคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันจริงๆ....ขอโทษที่ทำให้เสียใจ อย่าร้องไห้นะ ก่อนฉันไปฉันอยากให้ฮยอกยิ้มให้ฉันดูได้มั้ย... ฮยอกเป็นคนที่ยิ้มแล้วน่ารักที่สุดในโลกเลยรู้หรือเปล่า” ดงเฮว่าพลางยิ้มทั้งน้ำตาให้คนตรงหน้า ฮยอกแจปาดน้ำตาบนใบหน้าตัวเองพลางกลั้นก้อนสะอื้นที่จุกที่คอ ใบหน้าหวานยกยิ้มกว้างตามคำขอของเพื่อนรัก
“ขอบคุณนะฮยอก ฮึก...ขอบคุณมากๆ ฮือออ” ดงเฮยิ้มกว้างพลางโผเข้ากอดเพื่อนแน่นขึ้น
“ไม่เป็นไรนะ เพราะเราคือเพื่อนรักกัน ขอบคุณนะดงเฮ” สองคนต่างขอบคุณในความรักความผูกพันที่ผ่านมา ทั้งคู่นั่งกอดกันร้องไห้ได้สักพักใหญ่ ก่อนที่น้ำตาจะเหือดแห้งไปและแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหวานที่มอบให้แก่กันเข้ามาแทนที่
“ฮยอก...ฉันฝากดูแลคิบอมด้วยนะ แล้วก็ฝากจดหมายฉบับนี้ให้เค้าในวันที่ฝังศพฉัน ....ฉันอยากนอนพักผ่อนที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ฉันชอบไปนั่งเล่น ฮยอกจัดการให้ฉันได้ใช่มั้ย” เอ่ยถามเพื่อนรักพลางยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้ฮยอกแจ
“อื้ม ได้ ฉันจะจัดการให้นะ”
“ขอบคุณนะฮยอก อันนี้ฉันเขียนให้ฮยอกนะ ถึงแม้สิ่งที่ฉันอยากพูดฉันจะบอกฮยอกไปหมดแล้ว แต่ฉันก็อยากจะเขียนมัน เผื่อวันไหนฮยอกคิดถึงฉันก็หยิบมันขึ้นมาอ่านนะ ^^”
“อื้ม ฉันจะเก็บมันไว้อย่างดีเลยล่ะ ^^” ฮยอกแจเปิดดูในซองก็พบกับจดหมายสีหวานกับรูปถ่ายที่เค้าสองคนถ่ายคู่กัน ร่างบางส่งยิ้มให้เพื่อนอย่างจริงใจ
“สองคน ทานข้าวได้แล้วนะครับ” คิบอมตะโกนเรียกคนทั้งคู่ให้ลงไปทานข้าวที่เพิ่งทำเสร็จ
“ไปกันเถอะฮยอก” ดงเฮว่าพลางส่งมือให้เพื่อนจับ สองมือกุมกันแน่นพลางพากันเดินไปยังห้องอาหารที่มีร่างสูงง่วนอยู่การจัดโต๊ะอยู่ด้านใน
“มากันแล้วหรอ...แล้วทำไมต้องจับมือกันขนาดนั้นน่ะ ฉันหวงนะ” คิบอมเอ่ยถามพลางเลื่อนสายตาไปมองมือที่ทั้งคู่จับกัน
“หวงอะไรกัน ด๊องของเค้า เค้าจะจับมือ จะกอด จะหอมแก้ม จะทำอะไรกับด๊องของเค้าก็ได้” ว่าพลางหอมแก้มโชว์
“ฮยอกแจ อย่ามาแตะต้องด๊องของฉันนะ” ร่างสูงว่าพลางชี้หน้า ก่อนจะวิ่งไล่ร่างบางที่หันมาแลบลิ้นใส่ตน ดงเฮได้แต่ยืนหัวเราะคิกคักกับท่าทางของคนทั้งคู่ที่ไม่เคยเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี 2 คนนี้ก็มักจะทะเลาะกันเพราะแย่งเค้าตลอดเลย
“นี่ หยุดวิ่งไล่กันแล้วไปกินข้าวเถอะ ด๊องหิวแล้วนะ” ดงเฮเอ่ยบอกคนทั้งคู่ ก่อนจะเดินนำไปนั่งที่โต๊ะอาหาร 2คนรีบวิ่งตามไป เพื่อจะนั่งลงข้างๆร่างบาง
“นี่ ฮยอก นั่นมันที่ฉันนะ ฉันจะนั่งตรงนี้” คิบอมเอ่ยบอกพลางทวงเก้าอี้ที่ร่างบางลงนั่งก่อน ที่ประจำเค้านะนั่น
“ใครดีใครได้ อยากวิ่งช้าเป็นเต่าทำไมล่ะ ขาก็ยาว เค้าจะนั่งข้างด๊อง แบร่” สองคนเริ่มเปิดศึกกันอีกครั้ง จนดงเฮต้องออกมาปากห้าม
“คิบอมนั่งตรงนี้ก็ได้เนอะ ให้ฮยอกนั่งไปเถอะนะ” ดงเฮว่าพลางชี้ไปยังเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตน เมื่อเจอร่างบางพูดเข้าอย่างนี้ คิบอมก็คงขัดไม่ได้ ร่างสูงเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่ฝั่งตรงข้ามของร่างบาง ใบหน้าบึ้งตึงราวกับโกรธใครมาร้อยปี คิบอมกับฮยอกแจยังคงส่งสายตาอาฆาตใส่กันเป็นระยะๆ
“ด๊อง กินอันนี้ด้วยนะ จะได้หายไวๆ อันนี้เป็นยาบำรุงอย่างนี้เลยนะ” คิบอมว่าพลางตักกับข้าวใส่จานร่างบาง
“ด๊องกินอันนี้ดีกว่า อันนี้อร่อยมากๆเลยนะ กินเยอะๆนะด๊องของฮยอก” ฮยอกแจเองก็ไม่ยอมแพ้ ร่างบางก็ตักอาหารอีกจานให้เช่นกัน ตอนนี้จึงเกิดเป็นสงครามย่อยๆบนโต๊ะอาหาร ต่างคนต่างตักจนชามของดงเฮนั้นล้นทะลักไปด้วยอาหารมากมาย
“เอ่อ.. ด๊องว่าเยอะขนาดนี้ด๊องคงทานไม่หมดนะทั้งสองคน” ร่างบางว่าพลางชี้ให้ดูอาหารในจาน และก็ได้รับการหัวเราะแห้งๆกลับมาแทนคำขอโทษ
“เลิกตีกันแล้วมาทานข้าวกันเถอะฮะ” ดงเฮว่าพลางตักอาหารให้สองคนอย่างเอาใจ ทั้งคู่จึงสงบศึกกันชั่วคราวก่อนจะหันมาสนใจอาหารในจานตนเองบ้าง
หลังมื้ออาหารที่แสนวุ่นวายนี้ก็ถึงเวลาที่ไก่น้อยของเราจะต้องบอกลาเสียที
“ไปก่อนนะด๊อง ดูแลตัวเองดีๆนะ เค้ารักด๊องมากๆนะ ^^” ฮยอกแจว่าพลางสวมกอดเพื่อนแน่น ร่างบางจุ๊บแก้มเนียนของเพื่อนอีกครั้งก่อนจะผละตัวออกมา
“ฉันกลับแล้วนะคิบอม ดูแลด๊องด้วยละ” ฮยอกแจหันไปบอกอีกคนที่ยืนหน้าบึ้งตึงแยกเขี้ยวใส่เค้าอยู่ด้านหลัง พลางโบกมือลา ร่างสูงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปปิดประตูบ้านเมื่อเห็นว่าฮยอกแจขึ้นรถที่แฟนหนุ่มขับมารับไปแล้ว
เมื่อส่งเพื่อนกลับบ้านไปเรียบร้อยแล้วก็เหลือกันเพียงสองคนในบ้านหลังนี้ คิบอมเดินเข้าไปสวมกอดร่างบางทันที
“ร้องไห้มาใช่มั้ย ทำไมตาบวมแดงขนาดนั้น เป็นอะไรหรือเปล่า” เค้าสังเกตมาตั้งนานแล้วตั้งแต่ร่างบางเดินลงมาจากบันได ร่างสูงที่จ้องมองใบหน้าหวานอยู่ตลอดเอ่ยถามอย่างสงสัย
“คิบอม ....ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีเค้า คิบอมจะอยู่ได้มั้ย ” ร่างบางถามหยั่งเชิง
“ไม่ได้ !! ด๊องจะไปไหน
.” ร่างสูงสวนกลับทันควัน มือหนาดึงเอวบางมานั่งบนตัก พลางเอ่ยถามด้วยท่าทางที่อ่อนลง
“คนเราไม่ใช่ว่าจะอยู่ด้วยกันไปจนวันตายได้ทุกคนหรอกนะคิบอม สักวันนึงก็ต้องมีสิ่งใดมาพรากเราอยู่ดี ถ้าเกิดวันพรุ่งนี้ไม่มีด๊องอยู่ข้างๆคิบอม ด๊องอยากให้ คิบอมดูแลตัวเองดีๆ ใช้ชีวิตที่มีให้คุ้มค่า เก็บความทรงจำในทุกๆวันให้มากๆ^^” ดงเฮว่าพลางยกมือขึ้นลูบแก้มสากของร่างสูง
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้พูดอะไรแบบนี้ อย่าพูดอะไรที่มันเป็นลางไม่ดีอย่างนั้นสิครับ ไม่เอานะๆ ไปอาบน้ำนอนกันดีกว่าเนอะ พักสักหน่อยจะได้ไม่คิดมากนะครับ” คิบอมตัดบทพลางจูงมือคนตัวบางไปยังห้องนอน
“คิบอม ฉันจริงจังนะ นายต้องฟังฉันบ้างสิ ฉันมีเวลาเหลืออีกไม่มากนัก ฉันอยากให้นายได้รับรู้ในสิ่งที่ฉันรู้สึก ก่อนที่ฉันจะไม่มีโอกาสได้พูดมันอีกต่อไป ฟังฉันได้มั้ย ฉันขอร้อง” ดงเฮว่าพลางเกาะแขนแกร่งอย่างออดอ้อน
“ก็ได้ๆ ถ้าด๊องต้องการที่จะพูดมัน ฉันก็จะฟังมัน” คิบอมว่าพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงกว้างเมื่อมาถึงห้องนอน
“ขอบคุณนะที่ฟังฉัน...ฉันอยากให้นายเผื่อใจไว้ ฉันรู้ว่าชีวิตของฉันอยู่ได้อีกไม่นานนัก หากวันต่อไปไม่มีฉันแล้ว ฉันอยากให้นายดูแลตัวเองดีๆ ฉันอยากให้ คิบอมรู้ไว้ว่าถึงแม้จะไม่มีร่างของฉันอยู่ข้างๆ แต่ฉันยังคงอยู่รอบๆตัวนายเสมอ ถึงนายจะมองไม่เห็นฉันก็ตาม ฉันอยากให้รู้ไว้ว่า ความทรงจำระหว่างเราที่มีให้กัน แม้ร่างกายของฉันจะสลายไปมันจะไม่สลายตาม ฉันจะไม่มีวันลืมนายนะ คิบอม ฉัน......ฉันรักนายนะ” คิบอมที่นั่งฟังอยู่ถึงกับตะลึงตาค้างเมื่อได้ยินคำท้ายประโยคของร่างบาง คำที่เค้าไม่คิดว่าจะได้ยินมัน คำที่เค้ามักจะเอื้อนเอ่ยเสมอเวลาที่ร่างบางนอนหลับ ไม่กล้าแม้จะบอกออกมาตรงๆทั้งๆที่เป็นความรู้สึกจากใจ
“ด๊องว่าอะไรนะ...” ถามอีกครั้งเผื่อตนหูฝาด
“นี่นายไม่ได้ฟังที่ฉันพูดหรอเนี่ย ฉันต้องเริ่มพูดตั้งแต่แรกเลยมั้ยละ” มือหนาดึงร่างบางเข้ามากอดแน่น
“ไม่ต้อง....ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันรักด๊องนะ รักมากๆ รักมานานแล้ว ตั้งแต่เด็กจนโตฉันก็ไม่เคยรักใครนอกจากด๊องคนเดียว ขอโทษที่ฉันไม่กล้าพอจะบอกคำนี้ ขอโทษที่ฉันเอาแต่คิดว่าด๊องคิดกับฉันแค่เพื่อน ขอโทษที่พูดคำนี้ช้าไปนะ ฉันด๊องนะ ^^” คำรักที่ไม่เคยมีความกล้าพูดมันออกมา ตอนนี้กลับถูกถ่ายทอดให้อีกคนได้ฟังแบบไม่หยุดปาก คิบอมทั้งกอดทั้งหอมคนในอ้อมกอดด้วยความดีใจ
“ฉันดีใจนะที่ได้พูดและได้ยินคำนี้ก่อนมันจะสายเกินไป รักนายนะคิบอม” สองร่างกอดกันกลม อย่างๆน้อยๆวันนี้เค้าก็ได้ทำแล้ว สิ่งที่อยากทำอยากพูดอยากบอกกับคนพิเศษ เค้าทำมันเสร็จสิ้นแล้ว เค้าจะไม่ต้องห่วงอะไรอีก คราวนี้เค้าคงหลับตาพักผ่อนได้อย่างยาวนานแล้วสินะ.....
“ด๊อง....รอแปปนะ ฉันมีของจะให้” ร่างสูงว่าพลางเดินไปหยิบของในกระเป๋า
“หลับตาก่อน ยื่นมือมาด้วยนะ” ร่างบางเองก็ทำตามอย่างว่า
“ของขวัญชิ้นนี้เป็นของขวัญที่ฉันเตรียมไว้ เผื่อว่าสักวันนึงฉันจะกล้าพอที่จะบอกความรู้สึกกับด๊อง แล้ววันนี้มันก็เป็นจริงสักที มันอยู่กับฉันมานานเกินไปแล้ว มันสมควรจะไปอยู่กับเจ้าของตัวจริงสักที” ว่าพลางสอดโลหะเนื้อเย็นลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของคนตัวบาง ดงเฮตาโตทันทีที่รับรู้ว่ามันคืออะไร ร่างบางยกมือขึ้นดูแหวนสีเงินที่ส่องประกายอยู่ตรงหน้าอย่างตื่นตัน แหวนเงินเกลี้ยงๆที่สลักชื่อของเค้าและคิบอมไว้โดยรอบนั้นสร้างความประทับใจให้กับร่างบางเป็นอย่างมาก
“ฉันรักนาย ...เป็นแฟนกันนะ” คิบอมที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเอ่ยถามพลางบรรจงจุมพิตลงบนมือนุ่มนั้น
“อื้ม...เป็นแฟนกัน รักนาย จุ๊บ” ว่าพลางจุ๊บลงบนแก้มร่างสูงแทนคำตอบ
“ไม่เอา ...เอาตรงนี้” ว่าพลางชี้ไปที่ปากของตนเอง ดงเฮหน้าแดง แต่ก็ไม่อยากขัดใจอีกคน ร่างบางโน้มตัวลงมาใกล้ร่างสูงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่กลีบปากนุ่มทั้ง 2 จะแตะถึงกัน คิบอมไม่ปล่อยให้โอกาสดีๆแบบนี้หลุดไปแน่นอน ร่างสูงกดจูบลงบนเรียวปากอิ่มพลางสอดลิ้นเข้าไปกวาดหาความหวานภายใน น้ำหวานที่เชื่อมรักของทั้งคู่นั้นถูกเกี่ยวพันกันด้วยลิ้นเรียว จูบกันอย่างดูดดื่มแบบไม่ต้องพักหายใจกันเลยทีเดียว
“อาบน้ำก่อนเถอะ ก่อนที่ฉันจะกินด๊องซะตรงนี้” ผละตัวออกจากร่างบาง พลางดันคนตัวบางเข้าไปในห้องน้ำ ดงเฮที่ออกอาการงงเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินเข้าไปอาบแต่โดยดี
เมื่อคนทั้งคู่จัดการธุระส่วนตัวของตนเองกันเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลานอนกันเสียที วันนี้คนที่เคยนอนข้างกายนั้นออกจะเขินอายกันเล็กน้อยเนื่องด้วยสถานภาพที่เปลี่ยนไปของคนทั้งคู่
“ฉันจtไม่ทำอะไรด๊อง ถ้าด๊องไม่พร้อม ฉันสัญญา” ว่าแล้วก็แทรกตัวลงนอนใต้ผ้าห่มผืนหนาที่คลุมอีกร่างหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว
“55+ ต้องอดทนขนาดนั้นเชียว คิคิ” ร่างบางหัวเราะคิกคักอย่างหยอกเย้า
“ใช่สิ ก็เล่นน่ารักชนาดนี้ แค่อดใจไม่ทำอะไรล่วงเกินยังยาก นี่ถ้าห้ามแตะตัวฉันต้องขาดใจตายแน่ๆเลย” ว่าพลางตวัดเอวบางเข้ามากอดแทนหมอนข้าง
“อ๊ะ...ฉวยโอกาสอีกแล้วนะ” มือบางตีมือหนาที่ซุกซนลูบไล้อยู่ที่สะโพกมนของตน
“โอเคๆ ไม่ทำๆ ด๊องยังไม่แข็งแรงดี ฉันยังอยากอยู่กับด๊องอีกนาน เลยล่ะ” ว่าพลางก้มลงหอมแก้มคนรักเสียฟอดใหญ่
“นอนได้แล้ว เปลืองตัวจริงๆเลยน้า อยู่กับคิบอมเนี่ย ฉันก็อยากอยู่ให้นายลวนลามไปนานนนนนนนเลยเหมือนกัน” ลากเสียงยาวตามร่างสูงอย่างล้อเลียน ก่อนจะฝังจมูกโด่งๆลงบนแก้มอีกคน ร่างบางรีบชิงหลับตาแกล้งทำเป็นหลับก่อนทันทีก่อนคนร่างสูงจะได้พูดอะไร
“ซุกซนจริงๆนะ แฟนใครเนี่ย” ว่าพลางบีบจมูกรั้นๆนั้นเบาๆ
“ฝันดีนะครับ สุดที่รักของคิบอม” ว่าแล้วก็จุ๊บหน้าผากอีกคนอย่างที่เคยทำในทุกๆคืน มือหนากระชับอ้อมกอดแน่น กายบางขยับซุกเข้าหาอกแกร่งที่ให้ความอบอุ่นดีกว่าผ้าห่มเป็นไหนๆ
“รักคิบอมนะ” เสียงหวานๆดังแผ่วขึ้นมาทั้งๆที่คนพูดยังคงหลับตานิ่งทำเหมือนตัวเองละเมอ ร่างสูงยิ้มกว้างไปกับความน่ารักของคนตรงหน้า
‘พระเจ้าครับ ได้โปรดอย่าเพิ่งพรากเค้าไปจากผมเลยได้มั้ยครับ ความรักของเรามันเพิ่งเริ่มต้น อย่าใจร้ายกับเราสองคนเลยได้มั้ยครับ ...เห็นแก่ความรักที่แสนบริสุทธิ์ที่เรามีให้กันเถอะนะครับ ผมขอร้อง’ ได้แต่กล่าววิงวอนอ้อนวอนต่อฟ้าและโชคชะตาชีวิต ....คำขอของเค้าจะเปลี่ยนชะตาที่ถูกกำหนดไว้ได้มั้ย ปาฏิหาริย์จะมีอยู่จริงบนโลกนี้หรือไม่กัน อนาคตจะเป็นอย่างไร คงมีแต่พระผู้เป็นเจ้าเบื้องบนที่หยั่งรู้ และหวังว่าท่านจะเล็งเห็นถึงความรักของเรา.....
เช้าวันใหม่ที่มาพร้อมแสงอาทิตย์สีทองอ่อนในยามเช้าส่องทะลุผ่านผ้าม่านสีขาวสะอาดเข้ามาในตัวห้องนอนใหญ่ที่มีร่างของคนทั้งสองนอนกอดกันแน่น ปลือกตาหนาค่อยๆขยับขึ้นเล็กน้อย ร่างสูงพยายามปรับแสงให้เข้ากับบรรยากาศของเช้าวันใหม่นี้
“อื้ม....” คิบอมส่งเสียงครางในลำคอพลางบิดขี้เกียจแม้ว่าจะขยับตัวไม่ได้มากนะ เพราะมีคนตัวบางนอนซุกกอดตนอยู่ ความเปียกชื้นที่หน้าอกทำให้ร่างสูงเกิดอาการสงสัยว่าเสื้อของตนเปียกเพราะอะไร
“ด๊อง นอนดีๆนะครับ ..วันนี้ตื่นสายจังเลยน้า” ว่าอย่างแซวๆคนที่หลับอยู่ มือหนาเลื่อนไปจับคนตัวบางที่นอนนิ่งซุกอกแกร่งเพื่อให้เปลี่ยนท่าให้ร่างบางนอนได้สะดวกขึ้น
“ทำไมตัวเย็นเฉียบอย่างนี้ละ ไม่สบายหรือเปล่าด๊อง” ถามอีกคนที่ยังหลับตานิ่งอย่างเป็นห่วง คิบอมพลิกร่างบางที่นอนตะแคงข้างอยู่นั้นออกจากอก และแล้วความสงสัยที่เคยมีก็กระจ่างขึ้น ความเปียกชื้นที่ตนรู้สึกยามตื่นนอนนั้น คือ ของเหลวสีแดงสดที่ปะปนกับน้ำตาสีใสที่ไหลริน เลือดที่แห้งกรังอยู่ที่จมูกกับรอยน้ำตาที่ไหลเป็นทางจากดวงตาคู่สวย
“ด๊องๆๆ ตื่นสิ นายจะเป็นอะไรไม่ได้นะ ตื่นขึ้นมาคุยกับฉันสิ ฮึก...ตื่นขึ้นมาสิ!!!” มือหนาเขย่ากายบางไปมาเพื่อเรียกสติอีกคน คิบอมโอบกอดร่างที่นอนแน่นิ่งนั้นแน่น ร่างสูงแนบหูลงฟังเสียงของก้อนเนื้อด้านในที่เคยเต้นเป็นจังหวะ มือหนาปาดเลือดที่ไหลเป็นทางจากจมูกของร่างบางออกก่อนจะเช็คลมหายใจเข้าออกของอีกคน ทุกสิ่งอย่างมีเพียงความเงียบปกคลุม เสียงเดียวที่ได้ยิน คือเสียงแห่งความเสียใจของคนร่างสูง
“ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยย” เสียงทุ้มตะโกนก้องอย่างเจ็บปวด ยิ่งรับรู้ถึงการจากไปของคนรัก สติที่มีก็แทบสิ้นตาม น้ำตาของลูกผู้ชายไหลรินอย่างกักเก็บไม่อยู่อีกต่อไป มือหนาประคองกอดร่างไร้วิญญาณแน่น ใบหน้าหล่อคมซุกลงแนบกับใบหน้าหวาน
“ฉันรักนาย ดงเฮ ฉันรักนายนะ ฮึก...ฉันรู้ว่านายได้ยินฉัน ฉันรักนายนะ” เสียงนุ่มกระซิบบอกอีกคนพลางพรมจูบทั่วใบหน้าหวานที่ซีดเซียวไร้สีสัน
“คิบอม!!!” ฮยอกแจที่ถือวิสาสะเปิดประตูห้องนอนของคนทั้งคู่เข้ามา เอ่ยเรียกอีกคนที่กอดร่างของดงเฮไว้แน่น คิบอมตอนนี้เหมือนคนไร้สติที่เอาแต่พร่ำพูดอยู่คนเดียว
“ปล่อยด๊องเถอะ...ด๊องเค้าไปสบายแล้วนะ” ฮยอกแจว่าทั้งน้ำตา มือบางพยายามแกะมือหนาออกจากร่างของอีกคน
“ไม่ ด๊องไม่ได้ไปไหน ด๊องยังอยู่กับฉัน ฮยอกแจ ด๊องรักฉัน ด๊องจะไม่ทิ้งฉัน” คิบอมหันมาว่าพลางปัดมือบางออก
“เพี๊ยะ!!!!” เสียงฝ่ามือบางของฮยอกแจที่กระทบเข้ากับใบหน้าหล่อเข้าอย่างจัง ปรากฏเป็นรอยแดงปื้นใหญ่ทั้ง 5 นิ้ว
“ฟังฉันนะคิบอม ด๊องตายแล้ว ดงเฮของเราไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว ...มันคือความจริงที่นายต้องทำใจยอมรับให้ได้สิ นายเห็นด๊องหายใจมั้ย ได้ยินเสียงหัวใจเค้าเต้นหรือเปล่า ฉันรู้ว่านายรักด๊อง ฉันเองก็รักด๊อง แต่ในเมื่อเรื่องมันเป็นถึงขนาดนี้แล้ว สิ่งเดียวที่นายต้องทำ คือทำใจยอมรับความจริงซะ ด๊องเองก็รู้ตัวดีว่าวันนี้มันจะต้องมาถึง ด๊องเองก็ต้องทำใจ เค้าเองก็เสียใจไม่ต่างจากนายหรอกนะ ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องยาก แต่ถ้านายรักด๊องจริง นายจะทำมันได้ คิบอม อย่าทำให้คนรักของนายต้องผิดหวังในตัวนายอีกเลย ” ฮยอกแจต่อว่าเพื่อเรียกสติของร่างสูง คิบอมนิ่งสงบลงพลางรับฟังและคิดตามในสิ่งที่ร่างบางพูด สติที่ขาดไปเมื่อครู่ค่อยๆกลับมาอีกครั้ง มือหนาค่อยๆวางร่างของคนรักลงบนเตียงช้าๆ พลางลูบผมนิ่มอย่างเบามือ
“ฉันขอโทษ....” คิบอมเอ่ยขอโทษกับร่างบางอีกคนที่ยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ต่างกัน
“ด๊องฝากอันนี้ไว้ให้นาย เค้าบอกว่าให้ฉันเอาให้นายในวันที่เค้าไม่อยู่แล้ว ดงเฮขอให้เราฝังร่างของเค้าไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เค้าชอบไปนั่งเล่นน่ะ เดี๋ยวฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้นะ นายเองก็ต้องทำใจซะบ้างนะคิบอม .... ” มือบางตบไหล่หนาเบาๆอย่างปลอบโยน คิบอมเงยหน้าขึ้นมองอีกคน พลางส่งยิ้มบางๆให้แทนคำขอบคุณ
“ถ้างั้น ฉันขอตัวไปจัดการเรื่องของด๊องก่อนแล้วกันนะ แล้วจะแวะมาคุยด้วยใหม่นะ” ฮยอกแจเดินออกไปจากห้องเพื่อจัดการเรื่องราวทุกอย่างให้มันเสร็จสิ้นตามประเพณี คิบอมนั่งมองจดหมายในมือ พลางแกะมันออกมาอ่าน
‘ถึง คิบอม คนที่ฉันรักมากที่สุด ... ถ้านายได้อ่านจดหมายฉบับนี้ แสดงว่าฉันไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว ฉันอยากให้นายดูแลตัวเองดีๆนะคิบอม มีความสุขกับชีวิตให้มากๆ ฉันไม่ว่าอะไรหากนายจะมีคนใหม่ ถ้าใครคนนั้นทำให้คิบอมของฉันยิ้มได้ สิ่งเดียวที่ฉันอยากจะขอคือ ฉันอยากให้นายเก็บความทรงจำของเราไว้ให้ลึกที่สุดในหัวใจ วันไหนที่นายเศร้า ลองค้นหัวใจของนาย แล้วนายจะเจอความทรงจำที่เราเคยมีความสุขด้วยกัน ขอได้มั้ยว่าอย่าลืมกัน เหมือนที่นายไม่เคยลืมฉันมาตลอด ตัวฉันเองไม่ได้หนีนายไปไหนเลย ฉันยังคงอยู่รอบๆตัวนาย แม้นายจะมองไม่เห็นฉัน แต่ฉันอยากให้รู้ว่าฉันยังคงเฝ้ามองคนรักของฉันจากที่แห่งหนึ่งเสมอ วันไหนที่นายเหงา นายโดดเดี่ยวให้ไปยังสถานที่แห่งความทรงจำของเรา ฉันจะคอยปลอบนายอยู่ที่นั่นเสมอ ยิ้มเยอะๆ มีความสุขมากๆนะ สุดท้ายนี้คงมีคำพูดเดียวที่อยากจะบอกให้นายฟัง ...ฉันรักนายนะ จาก ลี ดงเฮ เพื่อนสนิทที่รักนายที่สุด ’
วันเวลาผ่านไปจวบจนกระทั่งครบ 100 วันของดงเฮ ร่างสูงในชุดสูทสีขาวเดินถือดอกไม้ช่อโตมายังสวนหลังบ้านที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ร่างสูงหย่อนตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ที่มีป้ายหินอ่อนที่สลักชื่อของคนรักตั้งอยู่ข้างๆ มือหนาวางช่อดอกไม้ลงบนแผ่นหินอ่อนขาวสะอาด
“สุขสันต์วันครบรอบ 100 วันที่เราคบกันมานะครับ เวลาผ่านไปเร็วจังเลยเนอะว่ามั้ย นี่ก็ผ่านมา 3 เดือนกว่าแล้วตั้งแต่นายจากฉันไป ไม่สิ ตั้งแต่วันที่ฉันไม่เห็นร่างของนายมากกว่าสินะ ...ทุกครั้งที่ฉันมาที่แห่งนี้ ฉันรู้สึกได้เสมอว่านายยังอยู่กับฉัน ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกันนะครับ ตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะว่าทำไมนายถึงชอบมานั่งเล่นตรงนี้...เพราะที่แห่งนี้มันทำให้เรามีความสุขได้มากขนาดนี้นี่เอง ฉันรู้สึกสบายทุกครั้งที่ได้มานั่งตรงนี้จริงๆนะ ...คิดถึงนายจังเลยนะ ไม่รู้ว่านายจะเบื่อคำนี้หรือยัง แต่ยังไงวันนี้มันก็เป็นวันพิเศษของเรา ฉันจะพูดมันซ้ำๆถึงแม้ว่านายจะเบื่อมันก็ตาม.... ”
“ฉันรักนายนะ ลีดงเฮ รักนายตลอดไป” ร่างสูงเอ่ยบอกพลางก้มลงจูบบนป้ายหินอ่อนอย่างแผ่วเบา สายลมอ่อนๆพัดโชยมาพร้อมกับกลิ่นหอมหวานที่คุ้นเคย ทุกครั้งที่เค้าเอ่ยคำนี้มักจะมีลมอ่อนๆและกลิ่นนี้พัดมาเสมอ ราวกับอีกคนต้องการจะบอกให้รู้ว่าคำๆนั้นส่งผ่านมาถึงเจ้าตัวแล้ว....คิบอมค่อยๆหลับตาลงพลางเอนหลังพิงกับต้นไม้ มือหนาทำท่าเหมือนลูบอะไรสักอย่างบนตัก
ร่างโปร่งของใครอีกคนที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเอนตัวลงนอนบนตักแกร่ง มือหนาสัมผัสกับเรือนผมนิ่มของตนอย่างแผ่วเบา แม้ว่ามันจะเบาบางจนแทบจะไม่รู้สึกถึงตัวตนของอีกคนก็ตาม แต่ใจของร่างสูงรู้ดีว่าดงเฮอยู่กับเค้าตรงนี้เสมอ และจะคงอยู่แบบนี้ตลอดไป......
รักอาจจะไม่ได้จบอย่างสวยงามเสมอไป รักอาจจะไม่สามารถทำให้คุณยิ้มแย้มอย่างมีความสุขได้ รักอาจทำให้คุณต้องเสียน้ำตาอยู่เสมอ แต่สุดท้ายรักนี่ล่ะที่ช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจของคุณให้สามารถดำเนินชีวิตในทุกๆวันได้
“ขอเพียงมีความทรงจำแห่งรักที่คุณได้จากใครอีกคนซึ่งเป็น....คนที่คุณรักมากที่สุด”
talk : โอยยยยยยยยย จบแล้วคิเฮ ขอโทดที่ไรเตอร์หายไปนานมากๆๆ นะคะ เนื่องจากการขึ้นมหาลัยไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ นึกว่าจะสบายเหมือนม ปลาย งานเยอะมากๆเลย ไม่ว่างเลยจริงๆค่ะ ขอโทดนะรีดเดอร์ พอไม่ได้แต่งนานๆก็ทำให้ไรเตอร์ไม่สามารถแต่งเรื่องได้อีก นึกว่าจะต้องเลิกแล้ว แต่ว่าไรเตอร์ต้องรวมเล่มนี้ให้ได้เสียก่อน ทำให้ต้องแต่งเรื่องนี้ให้จย ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายที่ลงในเด็กดี แต่ในเล่มจะมีคู่ฮันชอลอีกเรื่อง ซึ่งไรเตอร์พยายามปั่นมันให้ทันงานฟิควันที่ 22 นี้อยู่ สำหรับใครที่ไปงานฟิคแล้วซื้อฟิคที่บูธ จะมีเกมจับรางวัลให้เล่นด้วย แอบบอกของรางวัลคือโปสเตอร์พี่ทงเฮละ ใครอยากได้ก็ไปหาที่บูธ D 10 นะคะ เดี๋ยวจะแจ้งรายละเอียดอีกที รวมถึงเรื่องของการจองฟิคเรื่องนี้ด้วย ใครอยากได้ก็รอรายละเอียดกันนิดนึงนะจ้ะ
มาพูดถึงตอนนี้กันก่อน ตอนนี้จริงๆเป็นเรื่องของวอนฮยอกที่ไรเตอร์เคยส่งประกวดในบ้านวอนฮยอก ใต้โปรเจค Always together แต่ว่ามันไม่ถูกเลือกเป็นหนึ่งในฟิครวมเล่ม ด้วยความเสียดาบของไรเตอร์ จึงจำมันมาแปลงโฉมเป็นฟิคสั้นคิเฮเสียเลย ต้องขอโทษคนที่เคยอ่านแล้วด้วยค่ะ แต่ไรเตอร์ไม่อยากทิ้งมันไปเปล่าๆจริงๆ ก็เอามาลงให้อ่านกันใหม่แล้วกันเนอะ ไรเตอร์ชอบตอนนี้มากๆเลย ทั้งตอนแต่งตอนรีไรท์น้ำตาไหลพรากทุกครั้งที่ได้อ่านเลยจริงๆ แต่งเองอินเอง ร้องไห้เองจ้า หวังว่ารีดเดอร์จะอินไปกับมันด้วยนะ หากอยู่ๆคู่ก็เปลี่ยนเป็นวอนฮยอก วอนเฮ หรือบอมฮยอก อย่าตกใจ ไรเตอร์เมาเอง สามารถบอกได้ ยินดีแก้ 555+
ก็คงไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ... (ยาวซะขนาดนี้) อย่างเดียวที่จะบอกคือคิดถึงแฟนฟิคมากจริงๆ จะพยายามแต่งเรื่องออกมาให้อ่านกันอีก แต่พอมันห่างนานๆก็เป็นเรื่องยากจริงๆ หากแต่งไม่ได้ไรเตอร์คงลาวงการละ 555+ รักรีดเดอร์มากๆนะ แล้วเจอกันเรื่องหน้านะจ้ะ
ปล. ใครอยากได้ฟิคเรื่องนี้หรือ แมรี่ยูสั่งจองได้เลยนะ แอบบอกเลยว่า ตามหน้าฟิคไว้ให้ดี เราจะมีของดีมาแจก ตลอดดดดดดดดด 555+ อย่าลืมตามไปอ่านรักแท้อยู่ไหนกันด้วยนะคะ กำลังจะเปิดตัวเร็วๆนี้
ความคิดเห็น