คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Trick 4 รักแรกพบ....
TRICK 4 : รักแรกพบ...
ดวงจันทร์ยามค่ำคืนปรากฏเด่นเต็มดวงกลางท้องฟ้ามืดกว้าง ดวงดาว สุกสกาวกระจายทั่วผืนฟ้าสีดำสนิท เสียงหัวเราะที่บ่งบอกถึงความสุขของคนทั้งสามดังลอดออกมาจากห้องนั่งเล่นเล็กๆของตัวบ้าน ต่างคนต่างผลัดกันเล่าเรื่องราวที่ได้พบเจอมาในวันนี้ให้กันและกันฟัง
“ฮ่าๆ... ฉันว่าน่ารักดีออกนะ ทำไมนายไม่ชอบละซองมิน” อึนฮยอกหัวเราะอย่างขำขันเมื่อได้ฟังเรื่องราวที่ซองมินเล่าเกี่ยวกับชายหนุ่มที่มาหยอดมุกเลี่ยนๆจีบตนในวันนี้
“โอ๊ย ไม่ไหวหรอก ไม่ใข่สเป็คเลย เสี่ยวขนาด พูดแล้วยังขนลุกไม่หาย พูดมาได้ให้ฉันเปลี่ยนนามสกุลจะได้ชื่อเหมือนแม่ของลูก บรื้อออออ” ซองมินว่า พลางลูบแขนอย่างขนลุกเมื่อคิดถึงใบหน้าของอีกคนที่ลอยเด่นกวนตากวนใจตนเอง
“555+ดูทำหน้าเข้าสิ ฉันว่าเข้ากับนายออกนะ ซองมิน” ดงเฮเอ่ยเชียร์อีกคน และก็โดนคนร่างอวบตีไหล่กลับมาอย่างงอนๆที่มาล้อตนเช่นนี้
“ว่าแต่เค้า ตัวเองก็เถอะ ไปติ๊ต่างเอาเองว่าเค้าเป็นเนื้อคู่แบบนี้อ่านะ เค้ารู้ตัวหรือเปล่าเถอะว่าตกเป็นเนื้อคู่ของลีดงเฮเจ้าแม่ไสยศาสตร์แล้วเนี่ย นี่ถ้า เจ้าตัวรู้เรื่องคงเผ่นแน่บเพราะกลัวโดนของแน่ๆเลย” ซองมินย้อนอีกคน หลังจากที่ ได้ฟังเรื่องราวที่ดงเฮเล่า ก็ชักอยากจะเห็นเนื้อคู่ของเพื่อนรักของตนซะแล้วสิ
“ฉันมีวิธีพิสูจน์แล้วกันน่ะว่าเค้าจะใช่เนื้อคู่ฉันมั้ย ไว้ฉันมั่นใจก่อนว่ามันจะได้ผลแล้วจะเอามาให้พวกนายใช้กันบ้างนะ”ร่างบางว่าพลางเหลือบมองหนังสือ เล่มใหม่ที่ซื้อมาจากร้านอาแปะ นี่มันมีค่ายิ่งกว่าทองคำอีกนะ จะหาหนังสือที่รวบรวมวิธีตามหาเนื้อคู่กว่า 30 วิธีไว้ในเล่มแบบนี้ได้ที่ไหนกัน ว่าแล้วคืนนี้ก็ลอง ซักหน่อย ว่ามันจะได้ผลมั้ย
“จ้าๆ เชิญหาไปคนเดียวเลยเถอะจ้า ฮยอกเจอแล้ว ไม่หาใหม่แล้วจ้า” อึนฮยอกว่าอย่างขอบาย ในเมื่อตนเองได้เจอพ่อหนุ่มสุดเพอเฟคแห่งปีขนาดนี้แล้ว เรื่องอะไรจะมองคนอื่นอีกกัน
‘ติ๊ง....ต่อง’ ในระหว่างที่ทั้งสามนั่งพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงออดหน้าบ้านก็ดังขึ้นเรียกร้องความสนใจของทุกคนได้เป็นอย่างดี อึนฮยอกเดินไปเปิดประตูบ้านต้อนรับแขกผู้มาเยือนยามวิกาล ดวงตากลมโตเหลือบมองช่องตาแมวหน้าประตูบ้านเพื่อดูว่าใครมาหา
“อ้าว พี่ฮีชอล พี่ฮัน มาได้ไงฮะเนี่ย มาซะดึกเลยมีอะไรหรือเปล่าฮะ” อึนฮยอกเอ่ยทักพี่ชายทั้งสองที่มาเยี่ยมตนที่บ้าน ทั้งๆที่เพิ่งจะแยกกันมาไม่ถึง 2 ชั่วโมงแท้ๆ
“พี่จะมาดูเสื้อผ้าในตู้เราน่ะ จะได้ดูว่าต้องซื้ออะไรเพิ่ม ยังขาดอะไรอยู่บ้างน่ะ ให้พี่เข้าไปดูได้มั้ย” ฮีชอลเอ่ยถามอีกคน ก่อนจะยิ้มหวานเมื่อเห็นน้องสองคนของตนเดินออกมาต้อนรับเช่นกัน
“ซองมิน ดงเฮ ยังไม่นอนกันอีกหรอเด็กๆ” คนร่างบางอ้าแขนรับอีกสองคนที่วิ่งเข้ามากอดตน
“ยังฮะ คงอีกสักพักละฮะ เดี๋ยวก็นอนกันแล้ว พอดีนั่งคุยอะไรกันนิดหน่อยน่ะฮะ” ซองมินบอกเสียงอู้อี้เมื่อคนร่างบางจมอยู่ในอกบางของอีกคน
“ทำไมทักทายกันแต่พี่ฮีชอล พี่ก็ยืนอยู่ตรงนี้ น้อยใจนะครับเนี่ย” หลังจากที่ยืนไร้ตัวตนอยู่นาน ร่างสูงก็เอ่ยทักน้องๆทั้งสามพลางโชว์แสงออร่าจากศีรษะให้สว่างจ้าทั่วทั้งบ้าน
“โอ๋ๆๆ อย่าน้อยใจเลยน้า มาๆ น้องกอดๆ” ว่าแล้วซองมินกับดงเฮก็พุ่งตรงเข้าไปกอดพี่ชายอีกคน ฮันคยองโอบกอดน้องทั้งสองไว้ในสองแขน พลางยิ้มอย่างมีความสุข
“หน้างี้บานเท่าฝาบ้านเชียวนะ พอเจอน้องน่ารักๆกอดเนี่ย” ฮีชอลเอ่ยแขวะอีกคนเมื่อเห็นคนร่างสูงยิ้มเสียหวานหยดตอนได้กอดคนน่ารักๆแบบนี้
“หึงหรอครับ คุณนี่ก็ หึงแม้กระทั่งน้องเนอะ มาๆ ผมกอดบ้างนะ” ว่าพลางคลายอ้อมกอดจากน้องทั้งสอง ก่อนจะตวัดเอวบางเข้ามากอดแนบกาย พลางก้มลงหอมแก้มโชว์น้องๆ
“คนบ้า ไม่อายน้องๆบ้างหรือไงกัน ปล่อยเลยนะ” ฮีชอลดันหน้าหล่อๆของอีกคนที่ระดมหอมแก้มตนออก มือบางตีเข้าที่ไหล่หนาอย่างเขินอาย พลางเหลือบมองน้องๆที่เอามือปิดตากันไว้
“ตามสบายฮะ น้องๆไม่เห็น เราไม่เห็นอะไรเนอะ ดงเฮ ซองมิน” อึนฮยอกว่าพลางถ่างนิ้วให้พอมองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า
“55+ เจ้าสามลีนี่น่ารักจริงๆเลยน้า” ฮันคยองยอมปล่อยมือออก จากเอวบาง พลางลูบหัวน้องๆสามลีของตนอย่างเอ็นดู
“ใจคอเราสามคนจะไม่ชวนพวกพี่เข้าบ้านเลยหรอ หืม?” ยืนคุยมาก็นาน แต่เจ้าของบ้านยังไม่อัญเชิญเข้าบ้านไปนั่งคยกันดีๆเสียที
“ขอโทษฮะ ฮยอกลืม คุยเพลินไปหน่อย เข้ามาก่อนสิฮะ เดี๋ยวฮยอกพาไปดูตู้เสื้อผ้าข้างบนนะฮะ” ว่าพลางพาพี่ชายทั้งสองคนเข้ามาในบ้าน
“น้ำเย็นๆฮะ ได้ยินมาว่าพี่ฮีชอลเป็นคนหาเนื้อคู่มาให้ฮยอกหรอฮะ .... หล่อมั้ยฮะ มินนี่อยากรู้” ซองมินเองก็เดินไปเอาน้ำมาเสิร์ฟให้พี่ชายอีก 2 คน ร่างบางลงนั่งข้างพี่ชายคนสวย พลางนวดไหล่ให้อย่างเอาใจ
“อ้อ ซีวอนน่ะหรอ ก็หล่อดีนะ เคยลงปกนิตยสารอยู่บ่อยๆน่ะ ไว้เดี๋ยวสักวันเราคงได้เจอละ แล้วเราล่ะ ไม่มีเนื้อคงเนื้อคู่อะไรกับเค้าบ้างหรือไง”
“โหย หน้าตาแบบมินนี่จะไปขุดหาเนื้อคู่อะไรแบบนั้นได้จากไหนกันละฮะ แต่ถ้าพี่ฮีชอลหาให้ น้องก็ยินดีรับไว้พิจารณานะฮะ ขอหมอหล่อๆรวยๆเลี้ยงมินนี่ให้อิ่มหนำได้ตลอดชีพ แค่นี้ก็โอเคแล้วล่ะฮะ 55+” เอ่ยบอกสเป็คตนเสร็จสรรพ
“โหย เลี้ยงมินนี่ไหวนี่คงต้องเป็นพวกเจ้าของฟาร์มวัวอะไรงี้มากกว่านะ 555+ ไม่ยักรู้ว่าชอบแนวนี้นะซองมิน นึกว่าชอบแนวเสี่ยวๆ ตามจีบด้วยมุกเลี่ยนๆอะไรแบบนี้ซะอีก 555+” ดงเฮเอ่ยแซวเพื่อนอีกคน แล้วก็โดนร่างอวบเขวี้ยงค้อนใส่
“ล้อได้ล้อดีนะดงเฮ ล้อมากๆ ขอให้มีแฟนเสี่ยว ชิชะ” ว่าอย่างงอนๆพลางสะบัดก้นงามๆเดินหนีเข้าไปหาอะไรกินในครัว
“ทำเป็นงอนๆ อยากจะเดินไปหาอะไรกินก็พูดเถอะ แหมๆๆ กินดึกๆเดี๋ยวก็กลายเป็นตุ่มหรอกน้า” ดงเฮตะโกนแซวเข้าไปในครัวเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนรื้อค้นหาของกินอะไรบางอย่างมากระแทกปากในยามที่หงุดหงิด
“เค้าเป็นอะไรของเค้าน่ะ” ฮันคยองเอ่ยถามอย่างงงๆกับอาการของน้อง
“ไปโดนลูกค้าที่ร้านกาแฟจีบเอาน่ะฮะ ยังเป็นเด็กม ปลายแท้ๆ ริอาจ ปีนเกลียว 55+” อึนฮยอกเฉลยให้อีกคนทราบ พลางพาพี่ๆทั้งสองขึ้นไปยังห้องนอน เพื่อให้ฮีชอลได้ดูชุดที่อยู่ในตู้ของตน
“นี่ ชุดเรามีแค่นี้หรออึนฮยอก” ฮีชอลเอ่ยถามในขณะที่มือบางก็รื้อค้น ตู้เสื้อผ้าที่ไม่ค่อยมีเสื้อผ้ามากมายนัก นอกจากชุดนักศึกษาเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว กางเกงแสล็คทรงกระบอกสีดำตามกฎระเบียบของมหาวิทยาลัยแล้ว นอกนั้นก็จะเป็นเสื้อยืดลายการ์ตูนสีสันสดใส ฟ้าบ้าง เหลืองบ้าง ชมพูเขียวสลับกันไป ส่วนกางเกงก็จะเป็นกางเกงยีนส์ขาสั้นใส่สบายๆเหมือนอยู่บ้านเสียมากกว่า
“หน้าตาก็น่ารักทำไมไม่รู้จักแต่งตัวให้มันเหมาะกับหน้าตาบ้างนะเราเนี่ย” บ่นอีกคนอย่างอดไม่ได้ ขาเรียวยาวสาวเท้าไปยังโต๊ะกระจกของคนน่ารัก พลางสำรวจหาครีมบำรุงผิว
“ครีมเราอยู่ที่ไหน ในห้องน้ำหรอ” เมื่อเห็นว่าหน้าโต๊ะกระจกมีเพียงแค่หวีแปรงวางอยู่อันเดียว ไร้ซึ่งเครื่องสำอางใดๆวางให้เห็น ฮีชอลจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ครีมอะไรหรอฮะ...ฮยอกมีแต่แป้งเด็กแคร์ มันอยู่ในห้องน้ำน่ะฮะ” ว่าพลางชี้ไปที่ประตูห้องน้ำ ฮีชอลเดินไปเปิดห้องน้ำออกดูและก็เห็นขวดแป้งกระปุกใหญ่ตั้งอยู่ตามที่คนร่างบางว่า
“ตายแล้วๆ ฮัน ดูน้องสิ ทำไมเป็นคนแบบนี้นะ ฉันไม่เข้าใจเลย ทั้งๆที่หน้าตาก็ออกจะน่ารัก แต่ไม่รู้จักดูแลตัวเองเลย” ฮีชอลแทบจะทึ้งผมตัวเองด้วยความเครียด เมื่อเห็นสภาพความเป็นอยู่ของน้องข้างบ้าน ฮันคยองต้องเข้ามารวบตัวคนร่างบางมากอดไว้ไม่ให้ระเบิดลง
“เอาน่าคุณ เรามีหน้าที่เปลี่ยนแปลงน้องไง เดี๋ยวเราค่อยๆเริ่มหัดน้องให้ดูแลตัวเองก็ได้ ใจเย็นๆนะครับ” ว่าพลางลูบหัวคนร่างบางเบาๆให้อีกคนได้เย็นลง.
“อื้ม สูดลมหายใจลึกๆฮีชอล อื้มมมมมมมม” คนร่างบางบอกตัวเองพลางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะพ่นออกมาอย่างผ่อนคลาย
“เอาละ พี่เห็นสภาพความเป็นอยู่ของเราแล้ว เดี๋ยวพี่จะให้ซีวอนเป็นคนจัดการเรื่องแปลงโฉมเราเอง เดี๋ยวพรุ่งนี้เรามีตรวจร่างกายเบื้องต้นก่อนใช่มั้ย เอาเป็นว่าเดี๋ยวพี่จะจดรายการที่ต้องซื้อไว้ให้ เดี๋ยวเราไปกับซีวอนแล้วกันนะ ไม่ว่าซีวอนมันจะจับเราไปเปลี่ยนแปลงยังไง พี่อยากให้เรามั่นใจและเชื่อใจซีวอนไว้ ว่าเค้าจะทำให้เราดูดี ดังนั้นนั่งทำหน้าตาน่ารักเฉยๆก็พอ นอกนั้นพวกพี่จะสอนและเปลี่ยนให้เราเอง โอเคนะ อึนฮยอก” เอ่ยบอกอีกคนที่นั่งฟังตาปริบๆ คนน่ารักพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“ขอบคุณพี่สองคนมากเลยนะฮะ ราตรีสวัสดิ์ นอนหลับฝันดีนะฮะ” อึนฮยอกเดินมาส่งคนทั้งคู่ที่หน้าบ้าน พลางโค้งให้เป็นการบอกลา มือบางปิดล็อกประตูบ้านอย่างแน่นหนา พลางปิดไฟในตัวบ้าน เตรียมตัวที่จะขึ้นไปนอนที่ห้อง ดวงตาคู่สวยเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว พลางยกมือปิดปากที่หาวเสียหวอดใหญ่ เนื่องด้วยความง่วงที่เข้าครอบงำ
“ราตรีสวัสดิ์นะ ซองมิน ดงเฮ หลับฝันหวานๆน้า” บอกลาเพื่อนทั้งสองที่นอนอยู่เตียงถัดไป พลางทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มของตนเองบ้าง มือบางคว้าตุ๊กตาสิงโตตัวใหญ่มากอดไว้แนบอก ดวงตาคู่สวยหลับพริ้มตรงดิ่งสู่นิทราในยามค่ำคืนนี้
เวลาเที่ยงคืนตรง
‘ครืดดด...คราดดด ....ๆๆ’ เสียงของของมีคมถูกลากถูไถไปกับเนื้อหิน มีดเงินสีมันวาวส่องแสงสะท้อนกับเงาของกระจกบานใหญ่ตรงหน้า
“หึหึ....จะเริ่มทำพิธีแล้วนะ ”เสียงแหบพร่าเอ่ยบอกกับตัวเอง พลางหัวเราะอย่างน่ากลัว เวลาเที่ยงคืนตรงของคืนจันทร์เพ็ญวันนี้ ถือเป็นฤกษ์ดีในการประกอบพิธีนี้เป็นอย่างยิ่ง ร่างผอมเพรียวใช้นิ้วแตะที่ใบมีดเพื่อเช็คความคมชองมันหลังจากที่นำมันไปถูไถรับคมจากหินลับมีดอยู่ครู่ใหญ่ มือบางจุดไม้ขีดไฟเพื่อจุดเทียนไขเล่มยาวที่วางอยู่หน้ากระจกให้พอมองเห็นสิ่งต่างๆในยามค่ำคืน
เมื่อเห็นสมควรแก่เวลา ดงเฮก็เดินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้ากระจกบานใหญ่ เงาสะท้อนร่างเพรียวระหงส์ปรากฏบนกระจกเบื้องหน้า ภาพของชายรูปร่างบอบบางในชุดสีดำสนิท ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่ถูกแสยะยิ้มออกมาให้กับภาพของตนเอง
“ขอให้ภาพของเนื้อคู่ฉัน ปรากฏขึ้นบนกระจกเบื้องหน้านี้ด้วยเถิด” คนร่างบางหลับตาลงตั้งจิตอธิษฐาน
“ขอให้ฉันเห็นเนื้อคู่...ๆๆๆ” เมื่อลืมตาขึ้น มือบางก็หยิบมีดและผลแอปเปิ้ลสีแดงสดที่เตรียมไว้มาปอก คมมีดกรีดลงบนเนื้อผลไม้สีแดงฉาน เปลือกบางค่อยๆลอกออกมาเป็นเส้นตามรอยมีดที่กรีด ริมฝีปากยังคงพร่ำอธิษฐานตามบทคาถาที่ในหนังสือเขียนไว้ไม่หยุด นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองภาพบนกระจกตรงหน้าที่สะท้อนเงาของตนเองตาไม่กระพริบ
เพียงไม่นานภาพตรงหน้าก็เริ่มแปรเปลี่ยนจากใบหน้าของลีดงเฮ เงาจางๆปรากฏขึ้นให้เห็นเป็นแผ่นหลังของใครอีกคน คนในกระจกค่อยๆหันหน้ามามอง ร่างบางช้าๆ ใจดวงน้อยเต้นระรัวอย่างตื่นเต้น เมื่ออีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าตนกำลังจะได้เห็นหน้าเนื้อคู่ที่แท้จริงเสียที...
“ปัง!!! ด๊อง.....ทำอะไรอยู่หรออออออ” อึนฮยอกที่เดินโซซัดโซเซเข้ามาหาด้วยอาการงัวเงียเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ยืนปอกแอปเปิ้ลอยู่หน้ากระจก ดงเฮที่อยู่ในอาการตกใจเมื่ออยู่ๆเพื่อนก็เปิดประตูผัวะเข้ามาในห้องเสียอย่างนั้น มือบางเผลอตัดฉับโดนเข้าที่เปลือกแอปเปิ้ลที่ตนกำลังปอกอยู่ขาดสะบั้น ภาพเนื้อคู่ตรงหน้าที่กำลังจะปรากฏให้เห็นเมื่อครู่หายวับไปกับตา เหลือไว้เพียงเงาสะท้อนภาพของตนเอง
“ฮยอก!!!!ตื่นมาทำไมกลางดึกแบบนี้กัน” ร่างบางวางมีดในมือลง ก่อนจะเดินเข้าไปรับเพื่อนที่ดูกึ่งหลับกึ่งตื่นเหมือนละเมอแถมยังทำท่าจะทิ้งตัวลงนอนตรงนี้เสียให้ได้ซะอีก
“หาวววววว ก็ตื่นมาเข้าห้องน้ำ...เห็นแสงเทียนและเสียงอะไรไม่รู้ตะกุกตะกักเลยเดินมาดู ..ด๊องอยากกินแอปเปิ้ลหรอ ทำไมแอบมาปอกกินตอน เที่ยงคืนซะละ” ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้มั้ยว่าพูดอะไรอยู่ หรือได้ถามอะไรเพื่อนออกไปบ้าง อึนฮยอกที่ยืนปิดตาสนิทเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงยานคราง พลางซบลงบนอกเพื่อน ก่อนจะหลับปุ๋ยไปเสียดื้อๆ
“ฮยอก....ๆๆ หลับแล้วหรอ” มือบางเขย่าตัวเพื่อนรักที่ซุกอกอยู่เบาๆ ไม่มีเสียงตอบรับใดๆกลับมา นอกจากเสียงของลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ดงเฮกึ่งลากกึ่งจูงเพื่อนของตนกลับไปยังห้องนอนอีกครั้ง ร่างบางค่อยๆวางร่าง ของเพื่อนรักลงบนฟูกนิ่ม ก่อนจะห่มผ้าให้อย่างเบามือ
“แสบจริงๆเลยนะ ทำลายพิธีฉันเสร็จก็ชิ่งหลับก่อนเนี่ย คอยดูนะ ตื่นมาแม่จะวีนให้หูชาเลย ฝากไว้ก่อนเถอะอึนฮยอก” ไม่ว่าเปล่า มือบางบีบจมูกรั้นๆของเพื่อนอย่างกลั่นแกล้งด้วยความหมั่นเขี้ยว
“งื้ออออ หายใจม่ายยยย ออกน้า....” มือบางปัดมืออีกคนออก ก่อนจะพลิกตัวนอนตะแคงหนี
“ฝันดีนะ อึนฮยอก” ว่าพลางก้มลงหอมแก้มนุ่มของเพื่อนสนิท ก่อนจะเดินกลับไปที่เตียงพลางสอดตัวลงใต้ผ้าห่มผืนหนา ในหัวครุ่นคิดถึงชายในกระจกที่ปรากฏเป็นเงาสะท้อนให้เห็นเพียงชั่วครู่
‘เค้าคือใครกัน...จะใช่คนที่ฉันคิดหรือเปล่านะ’ ได้แต่เอ่ยถามตัวเอง พลางครุ่นคิดนู่นนี่ไปเรื่อย ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด
ทั้งสามคนหลับตาเพียงชั่วครู่เช้าวันใหม่ก็มาทักทายเสียแล้ว แสงสว่าง ยามเช้าสอดส่องเข้ามาทักทายคนทั้งสามให้ตื่นจากนิทราที่แสนหวาน อึนฮยอกที่นอนอยู่ริมผนังห้องรีบคลุมโปงผ้าห่มตนเองทันที ส่วนดงเฮก็นำหมอนที่นอนหนุนขึ้นมาปิดหน้าปิดตา คงมีเพียงซองมินเท่านั้นละที่ตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรในยามเช้าของตนเองอย่างเช่นทุกวัน
“ลั้ล ลั้ล ลาๆๆ” คนตัวบางอาบน้ำไปก็ฮัมเพลงไปเรื่อยอย่างคนอารมณ์ดี เมื่อคืนนอนหลับสบายแถมตื่นมาก็ได้รับแดดรับลมในยามเช้ารู้สึกสดชื่นดีจริงๆ เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็ลงมาเตรียมอาหารเช้าให้เพื่อนที่นอนอุดอู้อยู่บนเตียง มือบางหยิบจับเครื่องครัวอย่างคล่องมือ ไม่นานนักอาหารเช้าสามจานก็ถูกจัดวาง บนโต๊ะ รอเพียงผู้รับประทานลงมาจัดการมันเท่านั้น
“ตายละ จะแปดโมงแล้วหรอเนี่ย ด๊องฮยอกมีเรียนเช้าไม่ใช่หรือไงนะวันนี้” คนตัวบางเดินไปดูตารางเรียนของเพื่อนทั้งสองคนที่แปะอยู่ที่ริมบันได
“เรียน 9.30 กันหรอ ได้เวลาตื่นของเด็กดีกันแล้วสินะ” ว่าพลางเดินไปหยิบฝาหม้อมาสองอัน พลางเดินขึ้นไปยังห้องนอนที่อยู่ชั้นสอง
“เพล้งๆๆๆ!! ตื่นเถิดชาวไทย อย่ามัวหลับใหลลุ่มหลง ชาติจะเรืองดำรงก็เพราะเราทั้งหลาย ~~~” ร่างบางแหกปากร้องเพลงปลุกใจ(?) ต้องเรียกเพลงปลุกเพื่อนสินะถึงจะถูก เอาเป็นว่าคนตัวอวบของเราแหกปากเสียลั่นบ้านพลางเอาฝาหม้อมาตีประกอบจังหวะอย่างเมามัน ขาอวบๆกระโดดขึ้นเตียงของอึนฮยอก ก่อนจะร้องรำทำเพลงอย่าสนุกสนานในยามเช้าเช่นนี้
“โอ๊ยๆๆๆๆ ใครก็ได้ทำคลอดหมาน้อยตัวนี้ให้เสร็จทีซิ มันจะได้เลิกร้อง” ดงเฮระเบิดอารมณ์ขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว ปิดหูก็แล้ว คลุมโปงก็แล้ว นี่ถ้าเค้าไม่ตื่นจะไม่หยุดร้องจริงๆใช่มั้ยเนี่ย
“เสียงดังแต่เช้าเดี๋ยวข้างบ้านเค้าก็ด่าเอาหรอกซองมิน” อึนฮยอกแหวลั่น “ข้างบ้านเราก็พี่ฮีชอลกับพี่ฮันคยองไง สองคนนั้นเค้าตื่นมาจู๋จี๋กันที่สวนหน้าบ้านตั้งแต่เช้าแล้วเถอะ เหลือแต่เราสองคนนั่นล่ะ นอนอุดอู้อยู่แต่ในห้องอยู่ได้ ตื่นเดี๋ยวนี้นะ นี่แน่ะๆๆ” มือบางหยิบหมอนมาตีลงบนตัวเพื่อนที่นอนดิ้นพล่าน ไม่ยอมตื่นอยู่บนเตียง สองคนส่งเสียงง๊องแง๊งๆ อยากนอนต่อ ไม่ยอมลุก
“ชักช้าเดี๋ยวเข้าเรียนสายแล้วจะรู้สึก นี่มัน 9 โมงแล้วนะ ไม่ไปก็ไม่เป็นไร ไม่ปลุกแล้วก็ได้” ว่าพลางลุกขึ้นจากตัวดงเฮที่ร่างอวบนั่งคร่อมทับอยู่
“เรียน ...9 โมง ตายแล้ว!!!มีเรียนตอน 9 โมงนี่หว่า” สมองอันชาญฉลาดของอึนฮยอกรีบประมวลผลในสิ่งที่เพื่อนพูดก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นไปอาบน้ำในทันที
“เอ้า เพื่อนได้สติไปคนแล้ว ไอนี่ละ จะนอนอีกนานมั้ย เดี๋ยวฉันจะเอาไม้เสียบตูดประจานคนขี้เซา” ได้ยินอย่างนั้น ดงเฮก็รีบลุกขึ้นหยิบผ้าขนหนูวิ่งตามอีกคนไปที่ห้องน้ำทันที
“เฮ้อ....ปลุกยากปลุกเย็นจริงๆ สงสารเนื้อคู่ของสองคนนี้จริงๆที่จะต้องลำบากปลุกแทน” ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเดินลงไปรอทานข้าวกลับเพื่อนทั้งสองที่โต๊ะอาหารด้านล่าง
“มาแล้วๆๆๆ กลิ่นหอมฉุยเลยยยยย” อึนฮยอกที่อาบน้ำแต่งตัวในชุดนักศึกษาเรียบร้อยแล้วเอ่ยทักทันทีที่จมูกรั้นๆนั้นได้กลิ่นหอมของอาหารเช้าที่ถูกเตรียมไว้ คนตัวบางเดินตัวปลิวลอยมาตามกลิ่นอาหาร ก่อนจะตามมาด้วยดงเฮที่มีใบหน้าเรียบเฉยนิ่งราวกับตุ๊กตาปูนปั้น
“นอนไม่พอละสิ หน้าบูดบึ้งเชียว มัวทำอะไรละเมื่อคืนนี้น่ะ ”ซองมินเอ่ยทักอีกคนเมื่อเห็นใบหน้าของเพื่อนรัก
“เออ ใช่ เมื่อคืนฮยอกฝันด้วยนะ ฝันว่า...ด๊องตื่นมาปอกแอปเปิ้ลกินตอนกลางคืนละ ฝันแปลกดีเนอะ” หัวเราะเสียงใสเมื่อคิดไปถึงความฝันเมื่อคืน นี่เค้าคงกินมากไปจนฝันอะไรไร้สาระแบบนี้สินะเนี่ย
“พูดถึงปอกแอปเปิ้ล ใครเห็นมีดในครัวบ้าง จะทำกับข้าวเมื่อเช้าแต่มีดไปไหนไม่รู้” ซองมินเอ่ยถามเพื่อนอีกสองคนพลางจ้องมองเอาคำตอบ และก็ได้รับการส่ายหน้าจากอึนฮยอกช้าๆ สายตาจึงเบนไปที่อีกคนที่นั่งอยู่
“อิ่มพอดีเลย ไปล้างจานแล้วรีบไปเรียนก่อนนะ” ว่าพลางลุกขึ้นเก็บจาน ก่อนจะรีบคว้ากระเป๋าใบโปรดวิ่งออกจากบ้านไปอย่างน่าสงสัย อึนฮยอกที่เห็นเพื่อนออกจากบ้านไปแล้วก็รีบจ้วงอาหารในจานตน ก่อนจะกรอกน้ำเข้าปากแล้วคว้ากระเป๋าวิ่งตามดงเฮไปไม่ห่าง
“ด๊อง!!!รอด้วย” คนตัวบางตะโกนเรียกเพื่อนที่กำลังมุ่งหน้าไปมหาลัย ดงเฮหันมามองเพื่อนที่วิ่งตามแต่ขาเรียวก็ยังไม่หยุดเดิน จึงไม่ทันเห็นใครอีกคนที่เดินมาตรงหน้า
“อุ้ย...ขอโทษฮะ ไม่ทันได้มอง เป็นอะไรหรือเปล่าฮะ” ร่างบางรีบหันกลับมาดูอีกคนที่ตนชนล้มไป มือบางยื่นไปจับมืออีกคนเพื่อช่วยพยุงให้ลุกขึ้น
“อ้าว...คิบอม // อ้าว ฮยอง” ต่างคนต่างทักอีกคน พลางส่งยิ้มหวานให้กันดนตรีบรรเลงขึ้นทันทีที่ดวงตาทั้งคู่สบประสานกัน พรหมลิขิตบันดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด ~ ~ ~
“เจอกันแต่เช้าเลยนะ กำลังจะไปโรงเรียนหรอ” เอ่ยถามอีกคนเมื่อเห็นว่าคนร่างสูงตรงหน้าแต่งชุดยูนิฟอร์มนักเรียนเหมือนที่ตนเจอเมื่อวาน
“ครับผม ฮยองก็กำลังจะไปเรียนหรอครับ...ให้ผมไปส่งมั้ยครับ” เอ่ยถามอีกคน พลางขันอาสาจะเป็นคนไปส่งให้
“แฮ่กๆๆ ทันซักที บอกให้หยุดรอไง” คนตัวบางอีกคนที่วิ่งมาด้วยความเหนื่อยหอบเอ่ยบอกเพื่อนรักที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ของเราสอง ไม่ได้สนใจคำบอกของเพื่อนแม้แต่น้อย
“มะ...ไม่ต้องไปส่งฮยองหรอก” ดงเฮเอ่ยปฏิเสธอีกคน ทำเอาคิบอมหน้าสลดลงอย่างผิดหวังในคำตอบ แต่แล้วก็ต้องยิ้มหวานเมื่อได้ยินคำต่อมาจากปากบาง
“เดี๋ยวฮยองจะเดินไปส่งเราที่โรงเรียนเอง” ว่าพลางหลบตาอย่างเขินอายกับสิ่งที่ตนพูด
“จริงหรอครับ ฮยองใจดีจังเลยน้า น่ารักแล้วยังใจดีด้วย ใครได้เป็นแฟนรักตายเลยนะครับเนี่ย” ว่าพลางหยิกแก้มบางเบาๆ
“เตรียมตัวรักฮยองจนตายได้เลย หึหึ” คนตัวบางพึมพำๆกับตัวเอง
“ฮยองว่าอะไรนะครับ พูดกับผมหรือเปล่า” ร่างสูงเอ่ยถามเมื่อได้ยินที่ ร่างบางพูดไม่ถนัดนัก
“เปล่าๆ ฮยองแค่บอกว่า เราน่าจะรีบไปกันได้แล้ว เดี๋ยวคิบอมจะเข้าเรียนสายเนอะ” ว่าพลางจับข้อมืออีกคนให้เดินตาม คิบอมก้มลงมองที่ข้อมือหนาของตนที่มีมือนิ่มจับอยู่ พลางยิ้มจนแก้มอูมอย่างมีความสุข
“เดี๋ยวๆๆ ด๊อง แล้วเค้าละ” อึนฮยอกรีบวิ่งไปดักหน้าเพื่อนพลางกางขากางแขนกันอีกคนไม่ให้เดินหนีไป
“ไปมหาลัยก่อนเลยแล้วกันนะฮยอก เดี๋ยวเค้าตามไป เดี๋ยวไปส่งน้องก่อน ฮยอกอยู่มหาลัยมาตั้ง 3 ปีแล้วคงไม่หลงทางหรอกเนอะ” ว่าพลางเดินเลี่ยงอีกคนไป
“ เจอหนุ่มหน่อยละทิ้งเพื่อนเชียวนะ ชิชะ ฮยอกอยู่มหาลัยมาตั้ง 3 ปีแล้วคงไม่หลงทางหรอกเนอะ ไอหนุ่มนั่นมันเรียนโรงเรียนนี้มากี่ปีแล้วเถอะ อาจชำนาญทางกว่าฉันด้วยซ้ำ ” คนตัวบางบ่นกระปอดกระแปด พลางเดินเตะฝุ่นเตะลม “ปริ้นๆๆ”
“โอ๊ย ตกอกตกใจหมด บีบแตรซะดัง รู้ว่ามีรถขับน่า จะบีบทำซากอะไรกัน” อึนฮยอกว่าเจ้าของรถAudi R8 ที่ขับมาจอดเทียบข้างๆ กระจกที่ติดฟิล์มดำมืดค่อยๆเลื่อนลงปรากฏให้เห็นเป็นใบหน้าหล่อเหลาของพี่หมอสุดหล่อ เนื้อคู่ของเค้า
“มาเดินเล่นอะไรแต่เช้ากันครับ” ร่างสูงเอ่ยทักทายอีกคนพลางส่งยิ้ม แก้มบุ๋มมาให้ อึนฮยอกตบหน้าตัวเองเบาๆเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป
“อ่า...พอดีฮยอกกำลังจะไปเรียนน่ะฮะ ว่าจะไปกับเพื่อน แต่เพื่อนดันชิ่งหนีไปส่งหนุ่มซะก่อน เลยต้องมาเดินคนเดียวน่ะฮะ” เอ่ยบอกอีกคนเสียงอ่อนเสียงหวาน พลางทำหน้าน่าสงสารสุดๆให้อีกคนสงสาร
“ถ้างั้นขึ้นรถพี่มั้ย เดี๋ยวพี่ไปส่ง จะได้ถึงไวๆไงครับ” ว่าพลางเปิดประตูลงมาจากรถ ก่อนจะเดินมาเปิดประตูรถอีกข้างพลางผายมือเชิญคนร่างบางให้ขึ้นรถ
“จะดีหรอฮะ” เอ่ยถามพลางเดินไปยังประตูที่เปิดอ้ารออยู่ ปากก็ถามอย่างไว้ตัวไปงั้นละ แต่ในใจนี่ก้าวเข้าไปมากกว่าครึ่งตัวแล้วเถอะ
“ดีสิครับ เดี๋ยวพี่ไปส่งเนอะ จะได้ถึงไวๆ” เมื่อเรียวขาสวยก้าวขึ้นไปนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว มือหนาก็จัดการปิดประตู พลางเดินอ้อมไปนั่งประจำตำแหน่ง “คาดเข็มขัดเพื่อความปลอดภัยนะครับ” ไม่พูดเปล่า ร่างสูงเอี้ยวตัวมาดึงสายเข็มขัดข้างกายร่างบาง ใบหน้าคมคายที่อยู่ห่างเพียงคืบ ลมหายใจที่รดรินอยู่แถวอกบาง ทำให้อึนฮยอกต้องหลับตาปี๋ เพราะกลัวว่าหากลืมตาขึ้นมาเจอใบหน้าที่ห่างจากปลายจมูกตนไม่ถึงคืบแล้วจะเผลอไผลกระชากเค้ามาจูบเสียตั้งแต่ยังไม่ออกรถซะก่อน
“ฮ่าๆ...น่ารักดีนะครับ” ว่าพลางหยิกจมูกเล็กนั้นเบาๆ ก่อนจะเบี่ยงตัวกลับไปขับรถออกจากสถานที่ตรงนี้ ส่วนตุ๊กตาหน้ารถก็ได้แต่นั่งหน้าแดงทำตัวไม่ถูก ซีวอนจึงชวนคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันอึดอัดจนเกินไป
“อ่า..เสียดายจังเลยนะครับ มหาลัยไม่น่าอยู่ใกล้เลย แปปเดียวก็ถึงซะแล้ว กำลังคุยสนุกอยู่เชียว เอาเป็นว่าเย็นนี้เจอกันนะครับ เรามีนัดตรวจร่างกายเบื้องต้น พี่หมอจะรอนะครับ รีบๆมานะ” ว่าพลางส่งตาวิ๊งมาให้อีกคนใจละลายเล่น อึนฮยอกเดินเข้ามหาลัยด้วยขาสั่นเทาเหมือนจะเป็นลมเสียตรงนี้ให้ได้ หัวใจที่พองโตจนแทบระเบิดนั้นเหมือนกับลูกโป่งสวรรค์ที่ถูกอัดก๊าซเข้าไปจนเต็ม รู้สึกเหมือนตัวเอง ตัวเบาๆเหมือนจะล่องลอยขึ้นไปบนฟ้าเสียให้ได้
“โอ๊ยยยยยยย มีความสุขที่สุดในสามโลก วู้วววว ฮู้ววววววว” ร่างบางตะโกนลั่นระบายความอัดอั้นที่มีล้นจนแทบกระอัก ผู้คนในมหาลัยที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างมองกันอย่างงุนงง เมื่อเห็นคนร่างบางตะโกนลั่นก่อนจะวิ่งหน้าบานเข้าห้องเรียนไป และยิ่งงงกันหนักเข้าไปอีก เมื่อเห็นเพื่อนสนิทของอึนฮยอกเดินยิ้มหน้าบานปากฉีกยิ้มกว้างจนจะถึงรูหูอยู่แล้ว ทั้งๆที่โดยปกติ เธอคนนี้ไม่เคยแม้แต่จะขยับปากยกยิ้มเลยแม้แต่น้อย วันนี้มันเป็นวันโลกแตกหรือไงกัน ทำไม 2 เพื่อนซี้ถึงได้ดูเปลี่ยนไปกันแบบนี้นะ
กลับมาที่เพื่อนตัวอวบอีกคนที่วันนี้ไม่มีคาบเรียนที่มหาลัย ร่างบางลงมือทำความสะอาดบ้านช่อง พลางมองนาฬิกาที่บอกเวลากว่า 10 โมงแล้ว มือบางจึงรีบหยิบกระเป๋าก่อนจะตรงดิ่งออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปทำงานพิเศษทันที
“อันยองฮะ พี่คังอิน” คนตัวบางเอ่ยทักทายเจ้าของร้านกาแฟ หรืออีกนัย คือเป็นเจ้านายของเค้านั้นเอง ร่างบางยิ้มหวาน พลางก้มลงทักทายอีกคนที่ยืนข้างๆ
“อันยอง น้องกาอิน จะไปไหนคะเนี่ย” มือบางหยิกแก้มลูกสาวคนสวยของคุณพ่อคังอินอย่างเบามือ
“ไปโรงเรียนค่ะ อาซองมินอยากไปกับกาอินมั้ยคะ” เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยถามคุณอา รอยยิ้มหวานปรากฏบนใบหน้าน่ารักนั้น
“ไปโรงเรียนหรอคะ ตั้งใจเรียนนะ เล่นเผื่อคุณอาด้วยนะคะ จุ๊บๆอาก่อนไปหน่อยสิคะ อาจะได้มีแรงทำงานไงคะ” ว่าพลางย่อตัวลงนั่งข้างๆเด็กน้อย พลางยื่นแก้มให้
“จุ๊บๆ” เด็กน้อยกอดคุณอา พลางจุ๊บลงบนแก้มทั้งสองข้างอย่างรักใคร่
“น่ารักมากๆเลย หลานของอา ^^” ว่าพลางหอมแก้มเด็กน้อยเสียฟอดใหญ่ ก่อนจะโบกมือบ๊าย บาย เพื่อให้น้องได้ไปโรงเรียนเสียที
“เดี๋ยวพี่ไปส่งลูกก่อนนะซองมิน ฝากดูแลร้านด้วยล่ะ เดี๋ยวพี่จะรีบกลับนะ” เอ่ยบอกลูกน้องคนสนิท ก่อนจะอุ้มลูกสาวออกไปจากร้าน
‘กรุ๊ง กริ๊งๆๆ’ เสียงกระดิ่งหน้าร้านบ่งบอกถึงผู้มาเยือนในยามเช้า ซองมินรีบใส่ผ้ากันเปื้อนก่อนจะวิ่งออกมาต้อนรับลูกค้ารายแรกของวัน
“สวัสดีครับ smile coffee… อ้าว พี่เยซอง ก็นึกว่าลูกค้า โธ่” เมื่อเห็นว่าเป็นใครร่างบางก็เดินกลับเข้าไปทำความสะอาดโต๊ะ จัดจานชามให้เป็นระเบียบแทนที่จะสนใจอีกคน
“เอ้า พอไม่ใช่ลูกค้าก็ไม่สนใจกันเลยนะซองมิน แล้วนี่พี่คังอินไปไหนซะละ”เยซองวางกระเป๋าก่อนจะเดินไปหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวมทับ
“ไปส่งกาอินที่โรงเรียนน่ะ แล้ววันนี้พี่ไม่มีเรียนหรอ ทำไมถึงมาทำงานได้ละ” ซองมินเอ่ยถามอีกคนในขณะที่มือก็ยังเช็ดโต๊ะ
“วันนี้ยกเลิกคลาสน่ะเลยแวะมาช่วยที่ร้าน เออนี่ วันเสาร์เราว่างมั้ย” ถามอีกคนพลางรอคำตอบอย่างใจจดจ่อ
“วันเสาร์หรอ อืม.....น่าจะว่างนะ ไม่ได้นัดใครไว้สักหน่อย” ครุ่นคิดถึงตารางของตนเองก่อนจะเอ่ยบอกอีกคน
“ดีเลย พอดีวันเสาร์นี้พี่ว่าจะชวนเราไปทานข้าวด้วยกันซักหน่อยน่ะ ไปด้วยกันนะ”
“เนื่องในโอกาสอะไรกันฮะ ร้อยวันพันปีไม่เห็นอยากเลี้ยงน้อง นี่จะมาติดสินบนอะไรน้องปะเนี่ย” ถามอย่างระแวงอีกคน
“เอาน่า พี่ก็แค่อยากเลี้ยงน้องบ้างไม่ได้หรือไง ชวนดงเฮกับอึนฮยอกไปด้วยกันนะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง ตกลงมั้ย”
“ฮะ ไปก็ได้ฮะนานๆพี่เยซองจะเอ่ยปากเลี้ยงน้องที โอกาสดีๆมีของให้กินฟรีแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆนะเนี่ย เอาเป็นว่าเจอกันวันเสาร์นี้แล้วกันนะฮะ เดี๋ยวเค้าไปถามดงเฮกับอึนฮยอกก่อนว่าว่างมั้ยแล้วจะมาบอกพี่อีกทีนะ” เอ่ยบอกอีกคนเป็นการสรุป ก่อนจะหันไปสนใจลูกค้าที่เริ่มทยอยเข้ามานั่งในร้านกันบ้างแล้ว บทสนทนาของคนทั้งคู่จึงสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
‘สำเร็จแล้วนะครับ บอกเพื่อนๆเจอกันวันเสาร์นะ รักรยออุคที่สุดครับ คิดถึงนะ จุ๊บๆ’ มือหนากดข้อความส่งไปให้คนรักที่รอคอยคำตอบอยู่เช่นกัน
“สำเร็จแล้วคยู~~ เคลียร์คิวให้ว่างแล้วกันนะ แล้วเราจะไปนัดบอดกัน เสาร์นี้ อย่าลืมชวนคิบอมไปด้วยกันนะ” รยออุควิ่งตรงไปแท๊กมือกับอีกคนที่นั่งลุ้นคำตอบอยู่ไม่แพ้กัน เมื่อได้ยินคำตอบที่ถูกใจ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ฉายขึ้นบนใบหน้าทันที แผนการในหัวฉายขึ้นในหัวเป็นฉากๆ
“ไอบอม วันเสาร์อย่าไปไหนนะเว้ย จะพาไปสนุกด้วยกัน” มือหนากระชากหูฟังที่อีกคนใส่อยู่ออก พลางตะโกนกรอกหูพ่อหนุ่มแก้มป่องที่วันนี้ยิ้มจนแก้มจะทะลักออกมาอยู่แล้ว
“เป็นห่าไรวะ เป็นบ้าหรอ นั่งยิ้มคนเดียวอยู่ได้ เห็นเป็นงี้ตั้งแต่เข้าแล้วนะ เมื่อเช้าจะมาเรียนก็ไม่ปลุกกู ออกจากบ้านมาก่อนเฉยเลย” คยูฮยอนนั่งบ่นอีกคน เมื่อคิดย้อนไปถึงเมื่อเช้าที่เค้าลุกออกมาจากเตียงก็ไม่เจอไอเพื่อนตัวดีนอนอยู่ด้วยเหมือนเช่นทุกวัน เดินหาไปหามากว่าจะรู้ตัวว่ามันชิ่งออกไปจากบ้านตั้งแต่เช้าแล้วก็ทำเอาเกือบมาโรงเรียนสาย
“มัวรอคุณมึงตื่น เมื่อเช้าผมก็คงไม่เจอของดีแบบนั้นหรอกครับไอคุณคยู ไม่เอาแล้วครับไม่อยากจะเสวนาด้วย ขอตัวนะครับ 555+” ว่าอย่างอารมณ์ดี พลางลุกหนีอีกคนไป ทิ้งให้คนที่นั่งอยู่ในแต่เกาหัวตัวเองอย่างงงงวย ว่าผีสางตนใดเข้าสิงเพื่อนเค้ากัน เดี๋ยวเราปล่อยให้เด็กๆของเราได้ทำหน้าที่ของอนาคตของชาติกันไปก่อนดีกว่า (เข้าเรียนนั่นละ) ตอนนี้ย้อนกลับไปดูคุณพ่อลูกหนึ่งที่ไปส่งลูกที่โรงเรียนเมื่อเช้านี้กันก่อนดีกว่า
“กาอินครับ วันนี้เปิดเรียนวันแรก หนูต้องตั้งใจเรียนรู้มั้ยครับลูก อย่าดื้ออย่าซนกับคุณครู อย่าลืมคำสอนที่ปะป๊าสอนทุกวันนะครับ ไหนทวนให้ปะป๊าฟังซิ ปะป๊าสอนน้องกาอินว่าไงน้า” คังอินย่อตัวลงในระดับสายตาเท่ากับเด็กน้อย “ปะป๊าของกาอินสอนไว้ว่า ต้องทำความเคารพทักทายผู้ใหญ่เสมอ เวลาใครให้ของให้ขอบคุณเค้าทุกครั้ง ห้ามดื้อห้ามซน ต้องเป็นเด็กดีทำตัวน่ารักๆ จะได้มีคนรักกาอินเยอะๆ และก็ต้องพูดจาคะ ขา กับทุกๆคนค่ะปะป๊า” เสียงเจื้อยแจ้วตอบคำถามของคุณพ่ออย่างฉะฉาน คำสอนที่คุณพ่อพร่ำสอนในทุกๆวันถูกฝังลงในจิตใจดวงน้อยของเด็กสาว คนร่างสูงหอมแก้มลูกรักเสียฟอดใหญ่ ก่อนจะเดินจูงมือลูกสาวไปส่งให้คุณครูที่ยืนรอรับนักเรียนอยู่หน้าโรงเรียนอนุบาล
“สวัสดีครับคุณครู เอ่อ....” ร่างสูงเอ่ยทักคุณครูที่กำลังยืนคุยกับผู้ปกครองอีกคนอยู่ และเมื่อคุณครูคนสวยหันหน้ามามองตน ร่างสูงก็ยืนนิ่งแข็งทื่ออยู่กับที่ในทันทีราวกับโดนสตาฟไว้
“สวัสดีครับคุณพ่อ ทางโรงเรียนอนุบาลของเรายินดีต้อนรับนะครับ ไม่ทราบว่าน้องที่คุณพ่อพามาด้วยอยู่ไหนครับ ”ชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง หน้าตาสละสลวยเอ่ยถามคนร่างสูงที่ยืนจ้องจนตาค้าง มือบางสะกิดที่แขนหนาเพื่อเรียกสติ
“คุณพ่อไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับเนี่ย” มือบางถือวิสาสะอังที่หน้าผากของอีกคน ไออุ่นจากฝ่ามือทำให้ร่างหนาได้สติกลับคืน คังอินยิ้มกว้าง พลางจับมือคนตรงหน้าที่อังอยู่บนหน้าผากตน
“เอ่อ...ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ พอดีเห็นคุณพ่อนิ่งไปก็นึกว่า ไม่สบายน่ะครับ แล้วนี่น้องอยู่ไหนกันครับเนี่ย คุณพ่อพาน้องมาส่งที่โรงเรียนหรือเปล่าครับ” เอ่ยถามอีกคนพลางชะเง้อคอมองหาเด็กน้อยที่มากับคุณพ่อร่างใหญ่ “กาอิน ๆ มาสวัสดีคุณครูสิครับลูก” คังอินละสายตาจากคนร่างบาง พลางตะโกนเรียกลูกสาวให้มาทักทายคุณครูคนสวยที่ไม่แน่ใจว่าเป็นผู้หญิงที่พูดจาครับๆเหมือนทอมบอย หรือเป็นผู้ชายที่รูปร่างหน้าตาคล้ายผู้หญิงกันแน่
“สวัสดีค่ะ คุณครูคนสวย หนูชื่อคิมกาอิน อายุ 5 ขวบเป็นลูกของปะป๊า คังอินนะคะ ฝากเนื้อฝากตัว และหัวใจของน้องกาอินด้วยนะคะ” ว่าพลางยิ้มหวานพร้อมส่งตาวิ๊งที่จำมาจากคุณพ่อเวลาจีบสาวๆ เด็กน้อยเอ่ยทักทายเสียงใสกับคุณครู
“สวัสดีจ้าน้องกาอิน วันนี้มาโรงเรียนวันแรกพร้อมรอยยิ้มหวาน ไม่ร้องไห้ เก่งจังเลยน้า เดี๋ยวเข้าไปที่ห้องเรียนกับคุณครูนะคะ แล้วเดี๋ยวคุณครูจะพาหนูไปเจอเพื่อนๆเยอะแยะเลยเนอะ แต่ตอนนี้หนูต้องบอกลาคุณพ่อรูปหล่อของหนูก่อนนะคะ” อีทึกเอ่ยบอกเด็กน้อยอย่างใจดี
“ปะป๊าขา กาอินไปโรงเรียนก่อนนะคะ ปะป๊าไม่ต้องคิดถึงกาอินจนแอบร้องไห้นะคะ กาอินสัญญาว่าจะคิดถึงปะป๊าทั้งวันเลยค่ะ จุ๊บๆ” ว่าพลางหอมแก้มคุณพ่ออย่างรักใคร่ พลางโบกมือลาปะป๊าสุดที่รัก
“อย่าดื้ออย่าซนกับคุณครูคนสวยนะลูก เดี๋ยวตอนเย็นปะป๊ามารับนะครับ ...ฝากดูแลน้องกาอินด้วยนะครับ คุณครู...” เว้นวรรคเป็นเชิงถามชื่ออีกคน
“อีทึกครับ ผมชื่อคุณครูอีทึก เดี๋ยววันนี้ผมจะช่วยดูแลน้องกาอินให้ ดังนั้นคุณพ่อไม่ต้องห่วงนะครับ กลับบ้านดีๆนะครับ” อีทึกว่าพลางโค้งให้อีกคนเป็นการบอกลา ก่อนจะพากาอินเข้าไปในชั้นเรียน ทิ้งให้คนร่างสูงมองตามลูกรักและคุณครูคนสวยเดินหายไปจนลับตา
“น่ารักอย่างนี้ ชักอยากจะไปรับไปส่งทุกวันแล้วสิเนี่ย...หมายถึงน้องกาอินนะครับทุกคน ลูกผมน่ารักน่าไปรับส่งทุกวันต่างหาก คิดอะไรกันเล่า” ว่าอย่างร้อนตัวทั้งๆที่รีดเดอร์กับไรเตอร์ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ เอาเป็นว่าไรเตอร์จะพยายามแต่งให้เจอกันบ่อยๆแล้วกันเนอะ 555+
ต่างคนต่างทำภารกิจประจำวันตามหน้าที่ที่ตนมีกันไป จนกระทั่งดวงตะวันเริ่มคล้อยลงลับขอบฟ้า ร่างบางกับเด็กน้อยที่นั่งคอยปะป๊ารูปหล่อมารับอยู่นาน สองนานแต่ก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะมาสักที
“กาอินจ้ะ หนูรู้เบอร์ของปะป๊ามั้ยจ้ะลูก หืม?” เอ่ยถามอีกคนพลางลูบผมอย่างเอ็นดู
“เบอร์ปะป๊าหรอคะ ปะป๊าบอกไว้ว่าถ้ากาอินหลงทางหรือหาปะป๊าไม่เจอ ให้หาเบอร์โทรศัพท์ของปะป๊าที่ติดอยู่ที่กระเป๋า” ว่าพลางถอดกระเป๋าเป้สีชมพูหวานส่งให้คุณครูรื้อค้น อีทึกควานหาสักพักก็เจอเข้ากับนามบัตรใบเล็ก ร่างบางหยิบมันขึ้นมาก่อนจะกดเบอร์โทรหาคนปลายสายในทันที
“ฮัลโหล สวัสดีครับ ผมคิมคังอินพูดสายครับ” เสียงทุ้มเอ่ยตอบกลับมาตามสายทันทีที่กดรับ
“เอ่อ..คุณคังอินหรอครับ ผมอีทึกนะครับ คือตอนนี้เด็กๆทุกคนในโรงเรียนกลับบ้านกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่น้องกาอินคนเดียวเท่านั้นน่ะครับ ไม่ทราบว่าคุณสะดวกมารับน้องตอนนี้หรือเปล่าครับ ...หรือจะให้ผมไปส่งให้ที่บ้านกันครับ”เสียงใสๆกรอกมาตามสาย ทันทีที่รู้ว่าเป็นใครที่โทรมาปากหนาก็ยกยิ้มกว้างทันที มือหนาวางปากกาที่กำลังทำบัญชีเพลินจนลืมเวลารับลูกลง
“อ่า ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ ผมทำงานจนลืมเวลาไปเลย คุณครูช่วยอยู่กับน้องอีกแปปนึงนะครับ เดี๋ยวผมจะรีบออกไปรับน้องให้ไวที่สุดเลยครับ” เมื่อคนปลายสายรับคำ คังอินก็รีบหยิบเสื้อโค้ทของตัวเองขึ้นสวมก่อนจะบึ่งรถไปหาคุณครูคนสวยและลูกน้อยในทันที
“ฮึก...คุณครูขา ทำไมปะป๊ายังไม่ ฮึก...มาอีกละคะ ปะป๊าลืมกาอินแล้วใช่มั้ยคะ ฮือออ” เด็กน้อยเริ่มงอแงเมื่อท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงทุกนาที อีทึกดึงเด็กน้อยเข้ามากอดไว้ พลางเอ่ยปลอบเบาๆ
“ปะป๊ากำลังมารับหนูนะลูก อย่าร้องไห้นะคะคนเก่ง รออีกแปปนึงนะ กาอินของคุณครูน่ารักจะตาย ปะป๊าจะลืมได้ไงคะ ไปๆเดี๋ยวเราไปนั่งเล่นตรงชิงช้าดีกว่าเนอะ เดี๋ยวคุณครูแกว่งให้นะคะ” ว่าพลางอุ้มคนตัวเล็กนั่งบนชิงช้าไม้ พลางแกว่งไกวเบาๆ
‘ปริ๊นๆๆ’ เสียงแตรรถเรียกความสนใจจากคนทั้งสองที่เล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ที่สนามเด็กเล่น
“ปะป๊ามาแล้วววว ปะป๊ามารับกาอินแล้วค่ะคุณครู” เด็กน้อยหันมาบอกด้วยรอยยิ้มหวาน พลางวิ่งเข้าไปกอดขาปะป๊า
“ทำไมปะป๊ามารับกาอินช้าละค่ะ กาอินนึกว่าปะป๊าจะทิ้งกาอินแล้ว กาอินเสียใจมากๆที่ปะป๊าลืมกาอิน” เด็กน้อยเอ่ยตัดพ้อคนเป็นพ่อ คังอินย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับลูกสาว มือหนาลูบหัวเล็กๆ พลางยิ้มบางๆให้
“ขอบคุณนะครับที่อยู่เป็นเพื่อนกาอิน ผมนี่แย่จริงๆเลย ดันทำงานจนลืมเวลาซะได้” ร่างสูงเอ่ยบอกอีกคนอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรครับ ถ้ายังไงผมขอตัวก่อนเลยแล้วกันนะครับ เพราะนี่ก็เริ่มมืดแล้วด้วย คุณพ่อพาน้องกาอินกลับบ้านดีๆนะครับ น้องกาอินจ้ะ คุณครูไปก่อนนะคะ” ร่างบางเอ่ยตอบคนร่างสูงพลางบอกลา มือบางสวมกอดเด็กน้อยเบาๆ พลางเอ่ยลาด้วยเสียงหวานๆ
“บ๊าย บายค่ะคุณครูคนสวย จุ๊บๆ^^ ”เด็กน้อยจูบลงบนแก้มคนร่างบางพลางโบกมือบ๊ายบาย คังอินแทบอยากจะสิงร่างลูกสาวของตัวเองจริงๆเลยตอนนี้
“เอ่อ...นี่ก็ดึกแล้ว ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมจะพาคุณไปส่งเองครับ ไปด้วยกันนะครับ” ร่างสูงที่ยืนอึกอักอยู่นานเอ่ยถามอีกคน พลางรอฟังคำตอบอย่างลุ้นๆ
“เอ่อ...คือ จะรบกวนคุณไปหรือเปล่าครับ” ร่างบางถามอย่างไม่แน่ใจนัก
“ไม่เลยครับ ไม่เป็นการรบกวนเลย ถือเป็นการไถ่โทษที่ผมมารับลูกช้าแล้วกันนะครับ ไปด้วยกันนะครับ” แววตาวิงวอนขอร้องถูกส่งมาให้คนร่างบาง จนในที่สุดร่างบางก็ใจอ่อน พยักหน้าตอบรับอีกคนจนได้
“เชิญทางนี้เลยครับ” ว่าพลางผายมือเชิญอีกคนไปที่รถ มือหนาอีกข้างรวบตัวลูกสาวคนสวยขึ้นอุ้ม ก่อนจะพาไปนั่งในรถที่เบาะหลัง มือหนารีบเอื้อมมาเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับให้คนสวยเข้าไปนั่งด้านใน
บรรยากาศในรถเงียบลงเมื่อรถคันหรูเคลื่อนตัวออกจากหน้าโรงเรียนมาได้สักพัก ร่างสูงคอยเหลือบมองอีกคนไม่ให้รู้ตัว แต่ดูเหมือนสายตาที่มองจะโจ่งแจ้งไปนิด ทำเอาคุณครูของเราต้องนั่งตัวลีบพลางเสมองไปทางอื่นทำเป็นไม่เห็นสายตาที่สื่อความหมายของคนร่างสูงที่ถูกส่งมาเป็นระยะๆ
“คุณครูหิวข้าวหรือเปล่าครับ อยากทานอะไรก่อนมั้ยครับ นี่ก็เย็นมากแล้ว เลยเวลาอาหารเย็นมาแล้วด้วยสิครับเนี่ย” คนร่างสูงเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบในรถ พลางมองหาร้านอาหารใกล้ๆ
“เอ่อ..ไม่เป็นไรก็ได้ครับคุณพ่อ เดี๋ยวกลับไปทานที่บ้านก็ได้ครับ อีกนิดก็ถึงบ้านแล้วละครับ” อีทึกเอ่ยบอกเส้นทางให้กับอีกคน ไม่นานนักรถก็เลี้ยวเข้ามาถึงตัวบ้านสีขาวหลังเล็ก
“ขอบคุณมากๆนะครับที่มาส่งถึงบ้านเลย รบกวนแย่เลยนะครับเนี่ย” อีทึกว่าอย่างเกรงใจ พลางโค้งลงให้อีกคนอย่างสุภาพ
“ไม่เป็นไรครับ ถือซะว่าเป็นสิ่งตอบแทนที่วันนี้คุณครูดูแลกาอินให้จนเย็นแล้วกันครับ” คังอินบอกลาอีกคนอย่างอ้อยอิ่ง ไม่อยากลากันเลยจริงๆ อยากจะคุยต่อ อยากจะนั่งจ้องหน้าสวยๆนี้ต่อ แบบทั้งวันทั้งคืนเลยจริงๆ
“ฮึก...ปะ...ปะป๊าขา น้องในท้องกาอินร้องไห้ใหญ่เลย ฮืออออ” เด็กน้อยเปิดประตูลงมาจากรถพลางวิ่งดุ๊กๆมาเกาะขาคุณพ่อร่างสูง พลางร้องไห้กระจองอแง อีทึกหันไปมองหน้าคังอินเป็นเชิงถามว่าสาวน้อยคนนี้กำลังพูดอะไร
“น้องร้องไห้หรอลูก โอ๋ๆๆ เดี๋ยวเรากลับไปกินข้าวกันเนอะ กาอินของปะป๊าอดทนนิดนึงนะครับ เดี๋ยวถึงบ้านเราแล้วปะป๊าจะทำของอร่อยๆให้ทาน น้องจะได้หยุดร้องไห้นะครับ ไม่ร้องนะคนเก่ง” ร่างสูงอุ้มร่างเล็กขึ้นแนบอกพลางปลอบโยนให้หยุดร้อง
“กาอินคงหิวข้าวมากน่ะครับ น้องที่ว่าคือ ท้องเค้าร้องน่ะครับ” ร่างสูงหันไปตอบอีกคนที่ยืนงงอยู่หน้าบ้าน
“อ้อ...เข้าใจแล้วครับ เอาอย่างงี้แล้วกันนะครับ เดี๋ยวเข้ามาในบ้านกันก่อน แล้วเดี๋ยวผมทำกับข้าวให้ทานกัน” เอ่ยบอกพลางเปิดประตูบ้านกว้างเชิญชวนอีกคน
“จะดีหรอครับ จะรบกวนคุณครูมากไปมั้ยครับ” ปากก็เอ่ยถามแต่ภายใต้ใบหน้ากังวลนั้นดูจะลิงโลดเหลือเกินเมื่อจะได้เข้าบ้านคนร่างบาง
“ไม่หรอกครับ เข้ามาเถอะ ให้เด็กหิวนานๆไม่ดีนะครับ เดี๋ยวจะไม่สบายเดี๋ยวคุณพ่อพาน้องไปนั่งที่โซฟาก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมทำกับข้าวมาให้ทานนะครับ” ว่าพลางเดินเข้าไปในครัว พร้อมสวมผ้ากันเปื้อนสีขาวสะอาดลายหมี มือบางจับเครื่องครัวอย่างคล่องแคล่วว่องไว ไม่นานนักอาหาร 2-3อย่างก็ถูกจัดวางลงบนโต๊ะด้วยความไวแสง คนร่างสูงนั่งมองอีกคนทำอาหารด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ได้แต่จินตนาการว่าหากวันนึงชีวิตเค้ามีคนๆนี้เข้ามาอยู่ในบ้าน เข้ามาร่วมชีวิต เข้ามาช่วยกันดูแลกาอิน ชีวิตของเค้าจะมีความสุขแค่ไหนกันนะ
“คุณคังอินครับ ๆๆๆ ....ทานข้าวได้แล้วครับ” มัวแต่นั่งคิดอะไรเพลินๆด้วยดวงตาหวานเยิ้มที่แสดงออกถึงจินตนาการทุกสิ่งที่อยู่ในหัวของคนร่างสูง ร่างบางที่ทำกับข้าวเสร็จก็เดินมาเรียกอีกคนให้ไปทานด้วยกันที่โต๊ะอาหาร มือบางโอบอุ้มสาวน้อยตัวเล็กมาวางไว้ที่เก้าอี้โต๊ะทานข้าว
“น้องกาอินของคุณครู ต้องทานผักด้วยนะคะ ทานเยอะๆนะคะ น้องจะได้เลิกร้องไห้เนอะ ^^” อีทึกว่าพลางตักผักใส่จานเด็กน้อย กาอินเองก็จิ้มแครอทเข้าปากอย่างว่าง่าย บ่งบอกถึงการอบรมของคนเป็นพ่อที่สั่งสอนลูกมาดี
“น้องกาอินเก่งจังเลยนะครับ บอกให้ทานผักก็ทาน ว่าง่ายจริงๆเลย” เอ่ยชมคนเป็นพ่อแบบเป็นนัยๆ พลางลูบผมคนตัวเล็ก
“คุณครูคะ น้องกาอินมีเรื่องสงสัยค่ะ” ในขณะที่ผู้ใหญ่ทั้งสองกำลังแอบสบตากันอย่างหวานซึ้ง หญิงสาวคนเดียวในโต๊ะก็เอ่ยถามขึ้นมาเสียงใส เรียกความสนใจจากผู้ใหญ่ทั้งสองได้อย่างฉับพลัน
“ว่าไงคะน้องกาอิน มีอะไรจะถามคุณครูกันคะ” เอ่ยถามอีกคนอย่างสงสัย
“ทำไมเวลาคุณครูพูดกับปะป๊าถึงพูดว่าครับละคะ คุณครูคนสวยของน้องกาอินต้องพูดคะ ขา สิคะ เพราะคุณครูเป็นผู้หญิง คุณพ่อบอกว่าเป็นผู้หญิงต้องพูดจาคะ ขา เพราะๆนะคะคุณครู” เด็กน้อยเอ่ยบอกเสียงเจื้อยแจ้วไปตามประสา แต่ก็ทำให้อีกสองคนอึ้งไป
“แต่คุณครูไม่ใช่ผู้หญิงนี่คะน้องกาอิน คุณครูเป็นผู้ชายเหมือนปะป๊าของหนูไงคะ ดังนั้นคุณครูเลยพูดครับ เหมือนที่คุณพ่อหนูพูดไงคะ” ร่างบางพยายามอธิบายเหตุผลให้เด็กน้อยฟัง
“แล้วทำไมเวลาคุยกับกาอินคุณครูพูดคะละคะ” เด็กน้อยยังคงถามในสิ่งที่สงสัยต่อไป
“นั่นเพราะคุณครูเค้าอยากให้หนูพูดจาน่ารักๆไงครับลูก คุณครูเค้าพูดให้หนูจำว่าหนูต้องพูดจาหวานๆจะได้มีคนรักเยอะๆไงครับ” คังอินเองก็ช่วยอีกคนอธิบายอย่างใจเย็นเช่นกัน
“งั้นคุณครูพูดหวานๆแบบนี้ก็ต้องมีคนรักคุณครูเยอะสิคะ” เด็กน้อยถามอย่างไม่คิดอะไร แต่คนฟังดันลุ้นในคำตอบจากริมฝีปากสีเชอร์รี่นั้นจนตัวโก่ง
“แล้วน้องกาอินรักคุณครูมั้ยละคะ” ย้อนถามเด็กน้อยช่างพูดด้วยรอยยิ้ม
“รักสิคะ รักคุณครูที่สุดในโลกกกกก อ้อ น้องกาอินรักปะป๊าด้วยนะคะ ปะป๊าอย่าน้อยใจนะ โอ๋ๆ....แล้วปะป๊าละคะ รักน้องกาอินกับคุณครูมั้ยคะ” เด็กน้อยหันไปถามคนเป็นพ่อของตนเองบ้าง คังอินนิ่งไปสักพัก
“รักสิครับ รักตั้งแต่เห็นหน้าครั้งแรกเลยละครับลูก” เอ่ยตอบลูกสาวคนสวยแต่นัยน์ตาดำขลับนั้นกลับมองจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สวยของคนร่างบาง สายตาสื่อความนัยและความจริงใจถูกถ่ายทอดถึงคนที่ตนบอกรักให้รับรู้
“กาอินรักคุณครูกับปะป๊า ปะป๊าก็รักกาอินกับคุณครู แล้วคุณครูละคะ รักกาอินกับปะป๊าหรือเปล่าคะ” ดวงตากลมโตจ้องมองร่างบางตาแป๋ว อีทึกอึกอักกับคำถามที่ได้รับ จะให้ตอบว่ายังไงดีละเนี่ย....
“ปะป๊าว่าน้องกาอินทานข้าวเถอะครับ ถามคุณครูเยอะขนาดนี้ เดี๋ยวทานไม่หมดแล้วน้องร้องไห้อีกนะครับ” ร่างสูงเบนความสนใจเด็กน้อยกลับมาที่ตนอีกครั้ง ร่างบางได้แต่ถอนหายใจ พลางขอบคุณอีกคนเบาๆ
“ก็ได้ค่ะ น้องกาอินจะทานข้าวให้หมด แต่ว่าคุณครูจะต้องสัญญาว่าถ้าน้องกาอินทานข้าวหมดแล้วคุณครูคนสวยจะให้รางวัลกาอิน ตกลงมั้ยคะ” สิ้นเสียงใส ร่างบางก็รีบพยักหน้าตอบรับในทันที มื้ออาหารค่ำนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งข้าวช้อนสุดท้ายถูกส่งเข้าปากน้องกาอินด้วยฝีมือปะป๊าคังอิน
“เก่งจังเลย กินหมดเกลี้ยงเลยนะคะน้องกาอิน” เอ่ยชมเด็กน้อย พลางหยิบจานชามไปแช่ในครัว
“ไหนคนเก่งบอกคุณครูสิคะว่าอยากได้รางวัลอะไร” เอ่ยถามถึงสัญญาที่ให้กันไว้ก่อนหน้านี้
“อืมมมมมมม...... กาอินอยากให้คุณครูพูดคะขากับปะป๊าของกาอินค่ะ เพราะคุณครูเป็นผู้หญิงเหมือนน้องกาอิน ถ้าพูดจาหวานๆก็จะได้มีคนรักเยอะๆไงคะ นะคะคุณครูคนสวย น้า..”ว่ากึ่งอ้อนวอนกึ่งบังคับคุณครูคนสวย
“แต่....” ร่างบางตั้งใจจะปฏิเสธพลางหันไปขอความช่วยเหลือจากชายหนุ่มอีกคน แต่ก็ได้รับการพยักหน้ากลับมาว่าให้ทำตามที่เด็กน้อยขอร้อง อีทึกเบนสายตากลับไปที่กาอินอีกครั้ง เด็กน้อยเริ่มเบะปากราวกับจะร้องไห้ที่คุณครูคนสวยผิดสัญญากับเค้า ดวงตากลมโตคู่สวยเริ่มมีน้ำตาคลอหน่วย
“โอเคค่ะ คุณครูจะคุยกับปะป๊าของหนูเพราะๆเหมือนที่คุณครูคุยกับหนูเนอะ ตกลงมั้ยคะเด็กน้อย” ว่าพลางลูบผมอีกคนอย่างปลอบโยน กาอินได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างก่อนจะวิ่งไปกอดเอวอีกคน
“คุณครูของกาอินน่ารักที่สุดเลยค่ะ กาอินกับปะป๊ารักคุณครูที่สุดเลย” เด็กน้อยยิ้มร่าบอกรักอีกคนแทนคุณพ่อรูปหล่อที่ได้แต่ยืนมองลูกสาวกอดคุณครู
“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่กาอินเอาแต่ใจแบบนี้ เป็นเพราะผมสั่งสอนแก ไม่ดีเอง คุณครูลำบากใจแย่เลยนะครับ” เอ่ยบอกอย่างรู้สึกผิดแต่ในใจก็แอบดีใจลึกๆ ตัวเค้าเองก็รู้สึกขัดๆหูเหมือนกันเวลาที่คนร่างบางใช้ผมใช้ครับกับตน
“เอ่อ...เขินๆนะคะเนี่ย ฉันจะพยายามปรับตัวแล้วกันนะคะ คุณพ่อเดินทางกลับดีๆนะครับ เอ้ย นะคะ น้องกาอินคะ เจอกันที่โรงเรียนพรุ่งนี้นะคะ บ๊าย บาย จุ๊บๆ” โบกมือลาพลางส่งจูบให้เด็กน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆคุณพ่อ ร่างบางยืนรอส่งสอง พ่อลูกจนกระทั่งรถยนต์คันหรูเคลื่อนตัวออกไปจนลับตา
อีทึกเดินกลับเข้ามาในบ้านพลางเก็บถ้วยชามที่ใช้เมื่อครู่มาล้าง ในหัวมีแต่ภาพของคุณพ่อรูปหล่อของเด็กน้อยลอยอยู่เต็มหัวไปหมด “นี่เราเป็นอะไรกันนะ” มือบางยกขึ้นกอบกุมที่ตำแหน่งหัวใจ เสียงก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นที่อยู่ด้านในอกดังเป็นจังหวะที่กลองระรัว เสียงหวานเอ่ยถามตัวเองกับอาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวมาก่อน ...แล้วคนร่างบางจะรู้มั้ย ว่าอาการนี้เป็นอาการของความรัก มักพบได้ในคนที่มีความรักเท่านั้น และดูเหมือนว่าอาการของผู้ป่วยในรักรายนี้ จะเป็นเคสที่เรียกว่า…
“ รักแรกพบ“
talk : เป็นยังไงกันบ้าง สนุกบ้างมั้ยเอ่ย บอกไรเตอร์หน่อยเร็ว แล้วจะอัพต่อ คิคิ รักรีดเดอร์เสมอ
ความคิดเห็น