คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [Short Fic]พรุ่งนี้อาจไม่มีฉัน... [KangTeuk ]
กดเพลย์เพลงก่อนนะคะ จะได้เข้าถึงอารมณ์ของฟิค 55+
เราเลิกกันเถอะ
.’ เสียงหวานที่คุ้นเคยดังก้องอยู่ในห้วงแห่งความคิดของคนร่างสูง น้ำตาของลูกผู้ชายที่ไม่เคยรินไหลแม้จะยากลำบากซักแค่ไหน แต่วันนี้ แค่เพียงได้ยินคำพูดที่หลุดออกมาจากกลีบปากบางของคนรักที่คบกับมานานกว่า 3 ปี น้ำตาที่ไม่เคยได้สัมผัสนั้นรื้นขึ้นที่ตาของคนร่างสูงอย่างห้ามไม่อยู่
“ทำไม....อีทึก” ร่างสูงเอ่ยถามคนรักอย่างยากลำบาก ความเสียใจที่ขึ้นมาจุกที่คอทำให้คนร่างสูงเปล่งเสียงออกมาได้ยากนัก คนตัวบางมองชายหนุ่มตรงหน้าทั้งน้ำตา ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ทำร้ายจิตใจคนร่างสูงออกมาอีกครั้ง..
“ชั้นไม่ได้รักนายแล้วคังอิน ได้โปรดปล่อยชั้นไป....แล้วอย่าติดต่อชั้นอีก ชั้นไปนะ” ร่างบางเอ่ยบอกอดีตคนรัก ก่อนจะรีบหันหลังให้ชายหนุ่ม แล้วเดินจากไปในทันที ร่างสูงได้แต่มองตามแผ่นหลังบางที่คุ้นเคยของคนรักเดินจากไป ร่างกายที่กำยำบัดนี้ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยืนอีกต่อไป คนร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ของสวนสาธารณะ....สถานที่แห่งความทรงจำของคนทั้งคู่
“ทำไมกัน...ผมไม่เข้าใจ ทำไมคุณถึงทิ้งผมไปแบบนี้ นี่หรอคือเหตุผลที่คุณไม่ยอมออกมาเจอผมตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา” คังอินนั่งกุมขมับพลางปล่อยน้ำตาให้รินไหลชำระล้างจิตใจที่กำลังบอบช้ำ ดวงตาสีนิลเหม่อมองสถานที่รอบๆกาย ภาพความทรงจำของเค้าและคนร่างบางที่เจอกันครั้งแรก ณ ที่แห่งนี้ฉายเข้ามาในห้วงแห่งความคิด
3 ปีก่อน....
“ฮึก...ฮือๆๆ” เสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง คนร่างสูงที่มานั่งพักผ่อนในยามว่างจากวันหยุดงานของเค้านั้นสงสัยที่มาของต้นเสียง จึงเดินตามหาว่าใครกันนะมาร้องไห้ในเวลานี้
“คุณครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ร่างสูงสะกิดแผ่นหลังบางของคนตรงหน้าเบาๆ ก่อนจะย่อตัวลงนั่งข้างกาย อีทึกที่นั่งสะอื้นไห้อยู่หลังต้นไม้ใหญ่นั้นค่อยๆหันหน้ากลับมามองคนร่างสูงทั้งน้ำตาช้าๆ
“ฮึก..ๆ ฮือออ” เมื่อร่างบางหันมาเจอคนร่างสูงก็โถมตัวเข้ากอดคนตรงหน้าทันที มือบางกอดเอวคนร่างหนาไว้แน่น พลางซุกหน้าร้องไห้กับอกแกร่งอย่างหาที่พักพิง คังอินถึงกับตกใจหน้าเหวอเมื่อร่างบางมากอดเค้าแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ แต่มือหนาก็ยกขึ้นลูบผมคนตรงหน้าเบาๆอย่างปลอบโยน
“ไม่เป็นไรนะครับ ท่าคุณอยากร้องก็ร้องออกมาซะให้พอเลยนะ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยบอกคนร่างบางอย่างอ่อนโยน อีทึกปลดปล่อยน้ำตาออกมาอย่างไม่ขาดสาย จนเวลาล่วงเลยผ่านไปเป็นชั่วโมงคนร่างบางก็เริ่มสงบลง
“คุณดีขึ้นแล้วใช่มั้ยครับ ” ร่างสูงเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคนร่างบางปล่อยมือออกจากเอวของตน ร่างบางพยักหน้ารับช้าๆ ดวงตาแดงก่ำนั้นจดจ้องมองคนร่างสูงตรงหน้าอย่างอายๆ
“ขอบคุณนะ” อีทึกเอ่ยขอบคุณคนตรงหน้าเบาๆ พลางปาดน้ำตาออกจากใบหน้า
“อย่าขยี้แรงสิครับ เดี๋ยวก็เจ็บตาหรอก” คังอินว่าพลางปัดมือของคนร่างบางออก ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนขึ้นมาซับน้ำตาให้กับคนร่างบางอย่างเบามือ อีทึกส่งยิ้มให้น้อยๆเป็นการขอบคุณ คังอินถึงกับละสายตาจากคนตรงหน้าไม่ได้ รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าสวยนั้นมันตราตรึงเข้าไปในจิตใจของเค้านัก
“วันหลังอย่าร้องไห้แบบนี้อีกนะครับ...เวลาคุณยิ้มคุณสวยกว่าเยอะเลยนะ” คังอินเอ่ยบอกคนร่างบาง อีทึกมองหน้าคนร่างสุงเล็กน้อยก่อนจะหลบสายตาอย่างเขินอาย ก็สายตาที่ส่งมานั้นมันเปิดเผยความรู้สึกของคนร่างสูงซะเหลือเกิน ยิ่งมองลึกเข้าไปในดวงตาสีนิลที่สะท้อนภาพของเค้าบนดวงตานั้น ใบหน้าสวยก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“คุณอยากดื่มอะไรหน่อยมั้ยครับ...จะได้สดชื่นขึ้นไง” คังอินเอ่ยถามคนร่างบาง พลางลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวผมไปซื้อน้ำมาให้แล้วกันนะครับ คุณรอตรงนี้ก่อนนะ” ว่าแล้วร่างสูงก็เดินออกไปซื้อน้ำให้คนร่างบาง อีทึกก็นั่งรอตามคำบอกของคนร่างสูง แม้จะไม่รู้ว่าทำไมต้องรอก็ตาม ...ตอนนี้เค้ารู้เพียงอย่างเดียวว่า เค้าต้องการใครสักคนที่จะเป็นที่พักพิงในยามที่เค้าเจ็บปวดแบบนี้
“น้ำครับ” เวลาผ่านไปไม่นานร่างสูงก็กลับมา มือหนายื่นน้ำดื่มเย็นๆให้คนร่างบาง อีทึกรับไปดื่มเพื่อให้ร่างกายสดชื่นขึ้นหลังจากเสียน้ำตาไปเยอะ
“อันนี้แซนวิชผมซื้อมาให้คุณทาน” ว่าแล้วก็ส่งแซนวิชให้คนร่างบางอีกชิ้น คนทั้งคู่นั่งกินแซนวิชของตัวเองกันอย่างเงียบๆ แม้จะไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาแต่ก็รู้สึกอุ่นใจที่มีคนข้างๆนั่งทานอยู่ด้วยกัน
“ผมชื่อคังอินนะครับ แล้วคุณ....” ร่างสูงเอ่ยแนะนำตัวพลางถามคนร่างบาง
“ชั้นอีทึก ขอโทษนะที่ทำให้นายต้องมาลำบากด้วยแบบนี้” ร่างบางเอ่ยแนะนำตัวเอง พลางเอ่ยขอโทษท่ำให้ร่างสูงตกใจ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คนเราก็ต้องมีร้องไห้ มีเสียใจกันบ้าง คุณ...ดีขึ้นแล้วใช่มั้ยครับ” คังอินเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง เพรากลัวคำถามของเค้าจะไปกระตุ้นจิตใจของคนร่างบางให้เศร้าโศกหนักไปกว่าเดิม
“อืม..ดีขึ้นแล้วล่ะ ขอบคุณคุณคังอินจริงๆนะ” ร่างบางเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจอีกครั้ง
“เรียกผมว่าคังอินเฉยๆเถอะ”
“อืม...คังอิน” ร่างบางเรียกคนร่างสูงตามแบบที่ต้องการ
“คุณมาทำอะไรที่นี่หรอคังอิน” ร่างบางเอ่ยถามบ้างเพื่อไม่ให้บรรยากาศรอบตัวมันเงียบจนเกินไป
“ผมหรอ...ผมก็มานั่งพักผ่อนน่ะ เห็นว่าที่นี่อากาศดีก็เลยมานั่งเล่น แล้วอีทึกละครับ มาทำอะไรที่นี่ คุณมาที่นี่บ่อยหรอ”
“อืม...ชั้นมาที่นี่บ่อยมาก เวลาที่ชั้นไม่สบายใจชั้นก็จะมาที่นี่ แล้วก็ร้องไห้แบบนี้เป็นประจำ”
“งั้นก็แสดงว่า ท่าผมมาที่นี่นอีก ผมจะได้เจอคุณอีกใช่มั้ยครับ” คังอินเอ่ยถามอย่างตรงประเด็น คนตัวบางทำท่าคิดสักพักก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป
“ก็ท่าชั้นไม่สบายใจอีกอ่านะ คุณก็คงได้เจอชั้นอีกที่นี่ละ...” ร่างบางเอ่ยบอกด้วยสีหน้าสลดลง
“ผมขอโทษนะครับที่ถามอะไรแบบนั้น คุณเลยไม่สบายใจเลย ผมนี่แย่จัง” คังอินต่อว่าตัวเองเบาๆเมื่อเห็นคนร่างบางหน้าเศร้าลง
“ไม่เป็นไรหรอก ชั้นก็เป็นแบบนี้ล่ะ ขี้แยเป็นที่หนึ่ง คุณไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อยจะขอโทษทำไมกันละ”
“ครับๆ...นี่มันก็เริ่มเย็นแล้วนะครับ คุณจะกลับหรือยัง เดี๋ยวผมไปส่ง กลับคนเดียวมันอันตรายนะครับ” คังอินเอ่ยบอกอย่างใจดี อีทึกเห็นความหวังดีของชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนที่อีทึกจะเดินนำคนร่างสูงไป
ในที่สุดคนทั้งคู่ก็เดินมาถึงบ้านสีขาวหลังน้อยที่อยู่ไม่ห่างจากสวนสาธารณะเท่าไรนัก อีทึกไขประตูบ้าน ก่อนจะเอ่ยชวนคนร่างสูง
“เข้ามาดื่มอะไรก่อนมั้ยคังอิน” ร่างสูงมองนาฬิกาข้อมือเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธไป
“นี่ก็ดึกแล้วล่ะครับ ผมไม่รบกวนดีกว่าครับ ท่ายังไงเดี๋ยวผมขอตัวก่อนเลยแล้วกันนะครับ”
“อืม...ขอบคุณนะที่มาส่ง กลับบ้านดีๆนะ” ร่างบางเอ่ยบอกพลางส่งยิ้มบางๆให้
“ครับ ผมหวังว่าเรา 2 คนจะได้เจอกันอีกนะครับ” ร่างสูงยิ้มจนตาปิด ก่อนจะโบกมือบ๊าย บายคนร่างบาง อีทึกเดินเข้าบ้านไปด้วยใจที่ตุ้มๆต่อมๆอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้มของคนร่างสูงนั้นทำให้ใจเค้าสั่นไปหมด นี่เค้าเป็นอะไรกันนะ....
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา คนทั้งคู่ก็มักจะมานั่งคุยเล่นกันที่สวนสาธารณะแห่งนี้อยู่บ่อยครั้ง ความคุ้นเคยและความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นนั้นช่วยลดช่องว่างระหว่างคนทั้งคู่ให้สนิทกันมากขึ้น
“คังอิน....นายรู้มั้ย ทำไมวันแรกที่เราเจอกัน ชั้นถึงร้องไห้” อีทึกเอ่ยถามคนร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างกายเหมือนเช่นทุกวันที่พวกเค้าได้เจอกัน
“หืม...ทำไมหรอ” ร่างสูงเอ่ยถามกลับมาอย่างสงสัย แม้ว่าตอนนี้เค้าและอีทึกจะรู้จักกันมาได้หลายเดือนแล้ว แม้ว่าเค้าทั้ง 2 จะสนิทกันมากขึ้นแล้วก็ตาม ...แต่เค้าก็ไม่เคยคิดจะถามคนร่างบาง เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของอีทึก แต่หากอีทึกอยากจะเล่าหรืออยากระบายให้เค้าฟัง เค้าก็ยินดีที่จะรับฟังมัน
“วันที่เราเจอกันวันแรกนั้น...เป็นวันฝังศพของคุณแม่ชั้น ท่านเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำกะทันหัน ชั้นช็อกมากเลยรู้มั้ยตอนมีคนโทรมาบอกว่าแม่ของชั้นเสียแล้วน่ะ ชีวิตของชั้นมีแค่ชั้นกับแม่เท่านั้น เรา 2 คนอยู่ด้วยกันมาตลอด แต่พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น พอชั้นนึกว่าต่อไปนี้ ชั้นจะต้องอยู่คนเดียว ชั้นจะไม่มีแม่ที่คอยอยู่ข้างๆชั้นแล้ว มันก็ทำให้ชั้นเสียใจมากเลยล่ะนายรู้มั้ย” อีทึกพูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“อย่าเสียใจไปเลยนะ ท่าหากว่าคุณนึกถึงมันแล้วมันทำให้คุณเจ็บปวด ผมก็อยากให้คุณเก็บมันไว้ในความทรงจำก็พอ ผมอยากให้คุณรู้ว่า วันนี้ ตอนนี้ หากคุณมีเรื่องไม่สบายใจ ผมยินดีรับฟัง ผมยินดีจะปลอบคุณ และผมก็ยินดีที่จะอยู่เคียงข้างคุณแบบนี้ หากคุณต้องการ ” ร่างสูงเอ่ยบอกคนร่างบางด้วยสีหน้าจริงจัง ดวงตาสีนิลมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยของคนร่างบาง พลางถ่ายทอดความรู้สึกที่มีกับคนตรงหน้าผ่านทางสายตา
เค้ายอมรับว่าเค้าถูกใจใบหน้าสวยๆของคนตรงหน้านี้ตั้งแต่วันแรกที่พบเจอ ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มนั้นมันก็ยิ่งทำให้เค้าหลงใหลในตัวของอีทึกมากยิ่งขึ้น ยิ่งได้รู้จักกับคนๆนี้ก็ยิ่งทำให้เค้าได้รู้ว่าเค้าเริ่มจะหลงรักคนๆนี้เค้าซะแล้ว ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเค้าพยายามพิสูจน์ตัวเองว่าเค้าเป็นคนที่ร่างบางพึ่งพาได้ เค้าเป็นที่พักพิงให้คนร่างบางได้ในยามเหงา และเค้าเป็นคนปลอบโยนคนร่างบางได้ในวันที่อ่อนล้า เค้าจะเป็นคนๆนั้นที่จะดูแลคนตรงหน้านี้เอง.....
“ขอบคุณนะคังอิน....” ร่างบางเอ่ยบอกคนตรงหน้าอย่างซึ้งใจ
“อีทึกครับ...ผมรู้ว่ามันเร็วไปที่จะบอกคุณ แต่ผมมั่นใจในความรู้สึกของตัวผมดีว่าผมรักคุณ คุณจะเป็นคนรักของผมได้มั้ยครับ....” ในที่สุดคำที่เก็บไว้มานานก็ถูกเอ่ยออกมาเสียที อีทึกจ้องมองคนตรงหน้าด้วยแววตาสั่นระริก น้าหยาดใสไหลรื้นขึ้นที่ดวงตาคู่สวย มือบางยกขึ้นปิดหน้าตัวเองอย่างพยายามกลั้นน้ำตาไว้
“ผมขอโทษ ท่าผมทำให้คุณตกใจ คุณจะปฏิเสธผมก็ได้นะครับ” คังอินก้มหน้าอย่างสลดลงเมื่อเห็นว่าคนร่างบางตรงหน้านั้นมีน้ำตาเพราะคำพูดของเค้า
“คังอิน....” ร่างบางเอ่ยเรียกคนร่างสูงเสียงแผ่ว พลางโถมตัวเข้ากอดคนตรงหน้าแน่นเหมือนวันแรกที่ทั้งคู่ได้เจอกัน น้ำตาที่ไหลออกมาเริ่มทำให้เสื้อของชายหนุ่มเปียกชุ่มอีกครั้ง คังอินถึงกับตกใจทำอะไรม่ถูก เค้าไม่คิดว่าคำพูดของเค้าจะทำร้ายจิตใจคนร่างบางได้ขนาดนี้ นี่เค้าคงทำลายความสัมพันธ์ของเค้าและคนร่างบางนี้เองสินะ ท่ารู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ เค้าควรจะเก็บมันไว้ในใจจะดีกว่า....
“ผมขอโทษ อย่าร้องไห้นะครับ ....คิดซะว่าผมไม่เคยพุดมันนะ ผมขอโทษ” ร่างสูงเชยคางมนขึ้นมา พลางเอ่ยขอโทษคนร่างบาง มือหนาปาดน้ำตาของคนร่างบางออกเบาๆ
“ขอโทษทำไมกัน...ขอโทษที่นายบอกชั้นช้าไปน่ะหรอ” ร่างบางบอกพลางส่งยิ้มกว้างให้คนร่างสูง
“คะ...คุณว่าอะไรนะ” ร่างสูงถามอย่างทวนคำ เมื่อได้ยินคำพูดของคนร่างบางไม่ชัด
“ชั้นบอกว่านายบอกชั้นช้าไปไงล่ะ...ชั้นรักนาย” อีทึกเอ่ยบอกคนร่างสูงเสียงหวาน พลางซุกตัวลงกับอกแกร่งอย่างดีใจ
“จริงหรอเนี่ย....จริงๆนะอีทึก คุณไม่หลอกผมนะ...ผมดีใจที่สุดเลยรู้มั้ย เราเป็นแฟนกันนะครับ” ร่างสูงเอ่ยรัวออกมาอย่างดีใจ ปากได้รูปนั้นยกยิ้มกว้าง มือหนากอดคนร่างบางในอ้อมอกแน่น
“คังอิน....อั่ก หายใจไม่ออกนะ นายกอดชั้นแน่นไปแล้วนะ” อีทึกพยายามส่งเสียงร้องบอกคนร่างสูงที่เผลอกอดเค้าจนกระดุกจะแหลกคามือ
“ขอโทษครับ...ผมดีใจไปหน่อย แหะๆ” คังอินได้แต่หัวเราะแห้งๆ พลางคลายอ้อมกอดของตนออกหลวมๆ คนทั้ง 2 ส่งยิ้มให้กันและกันอย่างมีความสุขกับความสัมพันธ์ที่เริ่มขึ้นของคนทั้งคู่
จุดเริ่มต้นของความรักของคนทั้งคู่เริ่มต้นที่สถานที่แห่งนี้ ความรักดำเนินไปโดยมีความทรงจำมากมายที่เกิดขึ้นที่สถานที่แห่งนี้ และสุดท้ายความรักของพวกเค้าก็จบลงที่สถานที่แห่งนี้เช่นกัน......
บรรยากาศรอบๆตัวคนร่างสูงค่อยๆมืดลงเมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้าไป ลมเย็นๆพัดผ่านร่างของคนร่างสูง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ร่างสูงรู้สึกแต่อย่างใด ความรู้สึกที่มีตอนนี้ด้านชาไปหมด แม้ว่าอวัยวะในร่างกายของเค้าจะทำงานอยุ่ก็ตาม...แต่ความรู้สึกในจิตใจของเค้านั้นมันหมดสิ้นไปแล้วในตอนนี้
คังอินลุกขึ้นจากที่นั่ง พลางเดินโซซัดโซเซออกจากสวนสาธารณะแห่งนี้ไป ขากำยำนั้นก้าวเดินไปทิศทางตรงข้ามกับที่พักของเค้า แสงสีจากตึกรามบ้านช่องในใจกลางกรุงโซลนั้นส่องสะท้อนจนแสบตาไปหมด ร่างสูงเดินเข้าไปในผับหรูแห่งหนึ่ง
“น้องเอาเหล้ามาให้พี่ที” ร่างสูงเอ่ยสั่งเสียงเข้ม พลางกระดกเหล้าเข้าปากแบบไม่ยั้ง ริมฝีปากได้รูปได้แต่คร่ำครวญถึงคนรัก คำถามมากมายที่ผุดขึ้นในใจของเค้า ตกลงนี่เค้าทำอะไรผิดไปอย่างนั้นหรอ ...ทำไมตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาอีทึกพยายามที่จะหลบหน้าเค้า ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์เค้า ทำไมถึงไม่ยอมออกมาตามนัดของเค้า แล้วพอมาวันนี้ วันที่ร่างบางชวนเค้าออกมาในที่แห่งความทรงจำนี้ และบอกคำที่เค้าไม่เคยคิดว่ามันจะหลุดออกมาจากเรียวปากบางที่เค้าเคยสัมผัส กลีบปากนุ่มที่เคยเอื้อนเอ่ยคำว่ารักในทุกๆวัน แต่ในวันนี้เพียงแค่คำพูดเดียวที่ถูกเอ่ยออกมามันก็ยากเกินที่เค้าจะรับมันไหวจริงๆ...
สายตาคมเลื่อนไปมองดอกไม้ข้างกาย ดอกกุหลาบสีขาวที่เข้าช่ออย่างสวยงาม ดอกไม้ที่เค้านำมันมาเพื่อขอโทษคนรักของเค้าในวันนี้ แม้เค้าจะไม่รุ้ว่าตัวเค้าทำผิดอะไรก็ตาม ดอกไม้ที่สวยงามนี้มันจะมีค่าอะไรเมื่อคนที่เค้าต้องการจะให้ไม่ต้องการมัน แม้ความรักของเค้าที่ให้มาตลอด 3 ปีมันยังไม่มีค่าพอจะรั้งคนตัวบางไว้ได้เลย
เช้าวันรุ่งขึ้น....
แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาในห้องปลุกให้คนร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียงนอนหนานุ่มตื่นขึ้นจากห้วงแห่งนิทรา
“อื้มมม” ร่างสูงครางออกมาพลางกุมขมับแน่น อาการแฮ้งค์จากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ร่างสุงขยับตัวไม่สะดวกนัก เค้ารู้สึกเหมือนหัวจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆยังไงไม่รู้ ร่างสูงที่พยายามจะลุกแต่ก็ลุกไม่ขึ้นนั้นทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้างอีกครั้ง ก่อนจะสอดส่ายสายตามองไปรอบๆห้อง
“นี่เรากลับมาอยู่ที่ห้องได้ไงเนี่ย” ร่างสูงพึมพำๆกับตัวเองพลางพยายามนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ....เมื่อคืนนั่งกินเหล้าแล้วก็เมาจนเผลอหลับไปแล้ว
.
“โอ๊ย ปวดหัวเว้ย ” ร่างสูงยีผมตัวเองไปมาอย่างหงุดหงิด ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว
‘เคร้ง!!’ มือหนาเผลอไปปัดแก้วชาที่ถูกวางไว้บนหัวเตียงจนน้ำชาด้านในกระฉอกออกมาเล็กน้อย ชางั้นหรอ...ยั่งอุ่นๆอยู่เลยด้วยแสดงว่าเพิ่งถูกชงไม่นาน มือหนาเปิดผ้าห่มที่คลุมตัวเองไว้ออกก็เห็นว่าเสื้อผ้าที่เค้าใส่อยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ตัวเดียวกับของเมื่อคืน แสดงว่าต้องมีใครเป็นคนพาเค้ากลับมาที่นี่แล้วก็อยู่ดูแลเค้าจนถึงเช้าแน่ๆ แล้วคนๆนั้นก็คงไม่ใช่ใครอื่นหรอก ท่าไม่ใช่...อีทึก
“ท่าคุณจะเลิกกับผม คุณจะกลับมาดูแลผมทำไมกัน” คังอินสบถออกมาอย่างไม่เข้าใจ วันนี้เค้าจะลองไปง้ออีทึกดูอีกครั้ง เค้าจะไม่มีวันปล่อยคนร่างบางไปแบบนี้แน่นอน....
หลังจากที่คนร่างสูงชำระร่างกายของตนเองให้สร่างเมาแล้ว คังอินก็รีบแต่งตัวออกจากบ้านเพื่อจะไปง้อคนรักตามที่หมายมาดไว้ คนร่างสูงเดินไปดักรอคนร่างบางที่หน้าบ้าน
‘ติ้ง ต่อง~~’ เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น เรียกความสนใจจากคังอินได้เป็นอย่างดี ร่างสูงที่แอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่แถวรั้วหน้าบ้านหันไปมองตามเสียงกริ่ง สายตาเลื่อนไปมองชายหนุ่มผิวขาวรูปร่างสูงโปร่ง แต่งตัวดูดีมีระดับ เรียกได้ว่าหล่อเลยล่ะ
“อ่าวยุนโฮมาแล้วหรอ” อีทึกเปิดประตูบ้านออกมา พร้อมกับยิ้มอย่างต้อนรับ มือบางผายเชิญให้คนร่างสูงคนนั้นเข้าไปในบ้าน ก่อนที่ประตูสีขาวบานนั้นจะปิดลง คังอินมองตมเข้าไปอย่างสงสัยว่าชายคนนี้เป็นใครกัน ทำไมตลอดเวลาที่เค้าคบกับอีทึกนั้นเค้าไม่เคยเห็นคนๆนี้เลยนะ
‘แอ๊ด....’ ใขณะที่ร่างสูงกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น อยู่ๆบานประตูก็เปิดขึ้นอีกครั้ง ท่าทางคนทั้ง 2 คงกำลังจะออกไปที่ไหนด้วยกันสักแห่ง คิดได้ดังนั้นคังอินก็รีบกลับไปที่รถของตัวเอง ก่อนจะขับตามรถของคนทั้งคู่ไป
ร้านอาหารระดับ 5 ดาว
รถคันหรูจอดลงที่หน้าร้านอาหาร ชายหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นคนขับเดินอ้อมคันรถมาเปิดประตูให้คนร่างบาง อีทึกส่งยิ้มให้เป็นการขอบคุณ คังอินถึงกับต้องเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นภาพบาดใจเช่นนี้ รอยยิ้มที่เคยเป็นของเค้า ตอนนี้ร่างบางกลับมอบมันให้คนอื่น นี่อีทึกไม่ได้รู้สึกเสียใจกับการเลิกราครั้งนี้จริงๆใช่มั้ยเนี่ย.....
“คุณยุนโฮ...วันหลังทานอาหารที่บ้านก็ได้นะ ไม่เห็นจะต้องออกมาทานข้าวข้างนอกแบบหรูๆแบบนี้เลย ชั้นเกรงใจนะ” อีทึกเอ่ยบอกร่างสูงที่นั่งอยู่ทางฝั่งตรงข้าม
“ไม่เป็นไรครับ คุณอีทึกต้องทานเยอะๆนะ ร่างกายของคุณจะได้แข็งแรง ทานนี่ด้วยนะครับ” ตอบกลับคนร่างบางพลางตักสลัดใส่จานของอีทึก
“ขอบคุณนะ” ว่าพลางตักสลัดเข้าปาก น้ำสลัดสีขาวเปรอะเลอะที่มุมปากของคนร่างบางโดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด
“ขอโทษนะครับ” ยุนโฮเอ่ยพลางเอื้อมมือไปเช็ดคราบที่เลอะที่มุมปากของคนร่างบางออกเบาๆ อีทึกยิ้มอย่างเขินอายกับความซุ่มซ่ามของตนเอง
มือหนากำเข้าหากันแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน อารมณ์โกรธพุ่งสูงด้วยความเดือดดาล เค้าอยากจะตรงเข้าไปกระชากคอไอหนุ่มนั่นมาต่อยให้หนำใจแล้วลากคนรักของเคากลับบ้านเสียจริง แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อตอนนี้เค้าไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรแบบนั้นได้เลย สิ่งเดียวที่เค้าทำได้ในตอนนี้ คือ ทำใจ ...ทำใจยอมรับความจริงว่าคนรักของเค้าไม่ได้รักเค้าอีกต่อไป ทำใจยอมรับว่าคนรักของเค้ามีใครใหม่แล้ว และทำใจของเค้าให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้งให้ได้ ร่างสูงหันหลังให้ภาพบาดตาตรงหน้า ก่อนจะขับรถกลับไปที่คอนโดของตัวเองด้วยความเศร้า...
ทางด้านอีทึกที่นั่งทานข้าวอยู่กับชายหนุ่มรูปหล่อ ดวงตาคู่สวยหันไปมองยังจุดๆเดิมที่คนร่างสูงยืนอยู่เมื่อกี้นี้ด้วยสายตาเศร้าสร้อย แต่ตอนนี้คงไปแล้วสินะ....เฮ้อ ทำไมนายไม่ฟังชั้นบ้างนะคังอิน ทำไมนายยังตามชั้นมาแบบนี้ ชั้นไม่อยากเห็นนายเจ็บปวดหรอกนะ ขอให้ความเจ็บปวดพวกนั้นมันอยุ่ที่ชั้นคนเดียวก็เกินพอแล้ว....
“คุณอีทึกครับ...คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ยุนโฮเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคนร่างบางเอาแต่เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง
“อ่อ..เปล่าหรอก ทานต่อเถอะอาหารที่นี่อร่อยนะ” ว่าพลางลงมือทานอาหารในจานของตนต่อ ยุนโฮเห็นคนร่างบางปฏิเสธจึงไม่อยากเซ้าซี้อะไรมาก ร่างสูงจึงก้มหน้าก้มตาทานอาหารในจานของตนเองเช่นกัน
หลังจากที่กลับเข้ามาในคอนโดของตนเองแล้ว ร่างสูงก้มานั่งรับลมที่หน้าระเบียงห้องของตนเองหมือนที่เค้าทำเป็นประจำเวลาไม่สบายใจ สายตาคมจ้องมองดวงดาวบนท้องฟ้า ดวงดาวที่เค้าและอีทึกเคยมานั่งจับจองกันในครั้งก่อน ดวงดาวคังทึก ชื่อที่คนทั้ง 2 เรียกมัน ดวงดาวที่มักจะสว่างที่สุดในยามค่ำคืนที่มืดมิด ไออุ่นจากตัวคนร่างบางที่พิงอิงแอบบนไหล่ของเค้ายังปรากฏจางๆให้เห็นในความทรงจำ
“ที่คุณทิ้งผม..เพราะคุณเจอคนที่ดีกว่าใช่มั้ย เพราะเค้าหล่อกว่า เค้ารวยกว่าใช่มั้ย คุณถึงได้ทิ้งผมไปแบบนี้น่ะอีทึก” คนร่างสูงจ้องมองไปยังภาพวาดบนฝาผนังที่เค้าวาดมันเองกับมือ ภาพที่เค้าวาดไว้เป็นตัวแทนของอีทึก ทั้งรอยยิ้มแก้มบุ๋ม ดวงตาคู่สวย จมูกที่โด่งรับกับใบหน้า ทุกรายละเอียดถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพวาดที่เหมือนราวกับมีชีวิตจริง จ้องมองไปก็ได้แต่ตัดพ้อด้วยความน้อยใจไป ร่างสูงเอนตัวลงนอนเล็กน้อย เปลือกตาหนาค่อยๆปิดลงช้าๆราวกับไม่อยากรับรู้สิ่งใดๆอีกต่อไป เค้าอยากให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงแค่ฝันร้าย เมื่อเค้าตื่นขึ้นเรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะหายไป ดวงตาปิดลงพร้อมๆกับหยาดนำที่ไหลลงมา.....
บ้านของอีทึก....
‘กริ๊งงงงงง’ เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นเรียกความสนใจจากคนร่างบางที่กำลังนั่งดูทีวีได้เป้นอย่างดี อีทึกลุกขึ้นจากโซฟาพลางเดินไปรับโทรศัพท์
“โอ๊ยยยย....” มือบางกุมหน้าท้องตนแน่นพลางทรุดตัวนั่งลงกับพื้น สีหน้าแสดงความเจ็บปวดออกมาอย่างชัดเจน อีทึกพยายามคลานไปหยิบยาในกระเป๋าของเค้า แต่ความทรมานที่เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆนั้นทำให้อีทึกไม่มีเรี่ยวแรงมากพอ จนในที่สุดสติที่มีอยู่น้อยนิดนั้นก็ดับวูบลง
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์นะ...” ยุนโฮเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ มือหนายังคงกดโทรออกหาคนร่างบางไม่หยุดด้วยความเป็นห่วง ยิ่งร่างบางไม่รับสายเค้าก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
“ขออย่าให้เป็นอะไรไปเลยนะ” ว่าแล้วคนร่างสูงก็รีบคว้ากุญแจรถก่อนจะบึ่งไปที่บ้านของอีทึกทันที
‘ติ้ง...ต่อง~~’ คนร่างสูงกดออดหน้าบ้านอยู่สักพักแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าคนร่างบางจะออกมาเปิดประตูรับเค้าแม้แต่น้อย ยุนโฮจึงส่องดูที่หน้าต่างว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนร่างบางกันแน่
“อีทึก!!!” คนร่างสูงร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นร่างของคนร่างบางที่นอนหมดสติแน่นิ่งอยู่ที่พื้น ยุนโฮรีบพังประตูบ้านเข้าไปด้านใน ก่อนจะอุ้มอีทึกขึ้นรถแล้วรีบขับออกไปที่โรงพยาบาลในทันที
เช้าวันต่อมา....
‘กริ๊งงงงง’ เสียงโทรศัพท์ดังแผดลั่นไปทั่วห้องนอนของคนร่างสูง มือหนาควานสะเปะสะปะไปมาเพื่อหาต้นตอของเสียง
“ฮัลโหล คังอินพูดครับ”ร่างสูงกรอกเสียงงัวเงียๆลงไปในโทรศัพท์ทันทีที่รับสาย
‘คุณคังอินใช่มั้ยครับ...ผมหมอยุนโฮจากโรงพยาบาล..... ตอนนี้คุณอีทึกอยู่ที่โรงพยาบาลของเรา และต้องทำการผ่าตัดโดยด่วน ไม่ทราบว่าคุณพอจะว่างมาพบผมที่โรงพยาบาลมั้ยครับ’ ยุนโฮ กรอกเสียงเครียดกลับมาพลางเอ่ยถามคนร่างสูง
“อีทึกอยุ่โรงพยาบาลหรอครับ...ผมจะรีบไปเดี่ยวนี้ครับ” เมื่อได้ยินคำบอกของคนปลายสายร่างสูงก็เด้งตัวขึ้นจากเตียงด้วยความตกใจในทันที ร่างสุงรีบตอบรับคำของยุนโฮ ก่อนจะรีบจัดการธุระส่วนตัว และบึ่งรถไปหาคนร่างบางที่โรงพยาบาลในทันที
“ไม่ทราบว่าหมอยุนโฮอยู่ไหนครับ” เมื่อร่างสูงมาถึงโรงพยาบาลก็รีบวิ่งไปภามนางพยาบาลที่อยู่แผนกประชาสัมพันธ์ด้วยความร้อนรนทันที
“ตอนนี้คุณหมอกำลังเตรียมผ่าตัดค่ะ ไม่ทราบว่าคุณคือ....”
“ผมคังอินครับ คุณหมอนัดผมไว้ คุณช่วยพาผมไปหาคุณหมอทีได้มั้ยครับ”
“อ่อ....คุณคังอิน เชิญทางนี้ค่ะ คุณหมอกำลังรอพบคุณอยู่ค่ะ” ว่าแล้วนางพยาบาลสาวก็เดินนำพาคนร่างสูงไปหาคุณหมอยุนโฮในทันที
‘ก๊อกๆ คุณหมอค่ะ คุณคังอินมาพบค่ะ’นางพยาบาลเคาะประตูห้องอย่างขออนุญาต พลางเปิดประตูให้คนร่างสูงเข้าไปด้านใน
“คุณนั่นเอง” ทันทีที่คังอินเห็นหน้าก็จำคนร่างสูงตรงหน้านี้ได้ในทันที คนๆนี้คือคนเดียวกับที่พาอีทึกไปทานข้าวนี่นา ที่แท่ก็เป็นหมอหรอกหรอ
“สวัสดีครับคุณคังอิน วันนี้หมอเรียกคุณมาพบเรื่องอาการของคุณอีทึกนะครับ คุณอีทึกเป็นโรคมะเร็งในช่องท้องระยะสุดท้าย คนไข้รู้ตัวเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งมันก็สายเกินที่จะรักษาให้หายได้แล้ว หมอทำได้เพียงให้ยาที่จะทำให้อาการของคนไข้ทุเลาลง และยืดอายุของคนไข้ให้นานขึ้น ซึ่งก็ทำได้เพียงแค่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น และเมื่อวานนี้อาการของคนไข้ก็กำเริบขึ้นอย่างรุนแรง ยาท่คนไข้เคยได้รับนั้นไม่สามารถบรรเทาได้อีกต่อไป ซึ่งทางแก้ที่ดีที่สุดในตอนนี้คือการผ่าตัดเพียงเท่านั้น” ยุนโฮอธิบายเกี่ยวกับอาการของคนร่างบางให้คังอินได้รับรู้
“ทำไมผมถึงไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อนเลย” คังอินเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจปนสับสน
“คนไข้ขอให้ปิดไว้เป็นความลับน่ะครับ เค้าคงไม่อยากให้คุณเสียใจ”
“แล้วเค้าต้องรับการผ่าตัดเมื่อไรครับ”
“ตอนนี้หมอกำลังรอดูอาการของคนไข้อยู่ หากอาการแย่ลงหมอก็จำเป็นต้องทำการผ่าตัดในคืนนี้ ทางโรงพยาบาลทราบมาว่าคุณอีทึกไม่มีญาติทีไหน ทางเราจึงติดต่อคุณซึ่งเป็นคนรักของเค้ามาเพื่อถามความยินยอมเกี่ยวกับการผ่าตัดในครั้งนี้ ไม่ทราบว่าคุณยินยอมให้ทำการผ่าตัดหรือไม่ครับ ” หมอยุนโฮเอ่ยบอกคนร่างสูงพลางยื่นใบยินยอมให้คนร่างสุงเซ็นต์รับทราบ
“หมอครับ...ท่าหากอีทึกทำการผ่าตัด เค้าจะรอดใช่มั้ยครับ”
“เรื่องนี้หมอเองก็ตอบไม่ได้นะครับ โอกาสเสี่ยงในครั้งนี้สูงมาก หากเราทำการผ่าตัดคุณอีทึกมีโอกาสรอดเพียง 30 % เท่านั้นครับ เราจะต้องรอดูอาการของคนไข้หลังจากที่ฟื้นตัวจากการผ่าตัดแล้วน่ะครับ” ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถบอกได้ว่าคนร่างบางนั้นจะรอดหรือไม่ คงจะมีแต่เพียงฟ้าเท่านั้นละที่รู้ และกำหนดโชคชะตาของคนร่างบางไว้
“ผมจะเซ็นต์อย่างน้อยๆหากผ่าตัดก็ยังมีโอกาสรอด ผมเชื่อว่าอีทึกจะต้องรอด หมอต้องช่วยอีทึกให้ได้นะครับ” คังอินจับมือหมอแน่น พลางเอ่ยบอกอย่างทุกข์ใจ
“หมอจะพยายามให้ดีที่สุดครับ ตอนนี้คุณอีทึกพักอยู่ที่ห้อง 51 ผมว่าคุณ 2 คนยังมีอะไรที่ต้องคุยกันอีกเยอะ ท่ายังไงหมอขอตัวก่อนนะครับ” ยุนโฮว่าพลางโค้งตัวเป็นการบอกลง ก่อนจะเดินออกไปตรวจคนไข้คนอื่นๆต่อไป
‘ห้อง 51 คุณอีทึก’คังอินเดินมาจนถึงห้องพักของคนร่างบาง สายตาคมจ้องมองไปยังป้ายชื่อที่ถูกแปะไว้อยู่ที่หน้าห้อง ก่อนจะค่อยๆเปิดประตูเบาๆเข้าไปในห้อง
ร่างของคนตัวบางที่คุ้นเคยนอนนิ่งอยู่บนเตียงนอนสีชาวสะอาดของทางโรงพยาบาล ใบหน้าหวานที่มีเลือดฝาดในยามเขินอายตอนนี้กลับไร้ซึ่งสีเลือด กลีบปากนุ่มซีดเซียวและแห้งผาก สายน้ำเกลือที่ติดอยู่กับข้อมือห้อยระโยงรยางค์ไปหมด
คังอินลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงคนรัก มือหนาสัมผัสมือบางที่เย็นเฉียบนั้นอย่างแผ่วเบา นิ้งเรียวของคนร่างสูงสอดประสานกับนิ้วเรียวเล็กของคนตัวบางอย่างแนบแน่น คังอินถูมือบางไปมากับใบหน้าของเค้าเพื่อให้ความอบอุ่นกับมือบางๆนี้ นิ้วเรียวอีกข้างนั้นไล้ไปตามใบหน้าหวานที่นอนหลับใหลอยู่ ดวงตาคู่สวยที่แม้เวลาปิดก็ยังคงสวย ริมฝีปากได้รูปที่เคยสัมผัส พวงแก้มนุ่มที่เค้ามักจะหอมมันเป็นประจำ ร่างกายบอบบางที่เคยตอบรับสัมผัสที่ร้อนแรงในเกมรัก ร่างสูงจ้องมองคนร่างบางตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอย่างจดจำรายละเอียด เค้าจะจำทุกสัมผัส ทุกความทรงจำนี้ไว้ในใจเค้าตลอดไป คนร่างสูงค่อยโน้มตัวเข้าไปหาคนร่างบาง ก่อนที่เรียวปากได้รูปนั้นจะประกบลงบนกลีบปากนุ่มอย่างอ่อนโยน แม้จะไม่มีการรุกล้ำใดๆแต่มันก็เป็นสัมผัสที่อบอุ่นและนุ่มนวลจนคนร่างบางที่นอนอยู่นั้นสัมผัสได้ น้ำตาหยาดใสไหลออกมาจากดวงตาที่ปิดสนิทนั้น จิตใต้สำนึกที่รับรู้ถึงความรู้สึกนั้นปลดปล่อยออกมาเป็นน้ำตาที่ร่วงหล่นมาตามแก้มเนียนใส ร่างสูงค่อยๆจูบซับน้ำตาที่เลอะใบหน้าหวาน พลางจูบลงบนดวงตาคู่สวยที่ปิดสนิทนั้นอย่างแผ่วเบา
“อีทึกครับ อย่าร้องไห้อีกเลยนะ ผมรู้ว่าคุณเจ็บปวดมามาก ผมขอโทษที่ผมมันเป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่องเลย ทั้งๆที่ผมบอกว่าผมจะปกป้องคุณแท้ๆ แต่ผมก็ทำมันไม่ได้ ผมมันโง่เองที่ไม่เคยรู้และไม่เคยดูแลคุณในยามที่คุณเจ็บปวดแบบนี้ ผมขอโทษ ...ผมขอ..โทษ” คังอินทาบมือบางลงบนแก้มของตนพลางเอ่ยขอโทษอย่างรู้สึกผิด
‘ติ๊ด.....ติ๊ด...ตี๊ดดดดดด’ เสียงเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจดังขึ้นเป็นสัญญาณเตือนความอันตราย หมอและพยาบาลต่างสิ่งกรูกันเข้ามาในห้องทันทีที่ได้ยินเสียงนี้
“คุณคังอินครับ ตอนนี้อาการของคนไข้กำเริบอีกครั้ง เราต้องทำการผ่าตัดด่วนนะครับ ....พาเข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉินเดี๋ยวนี้” ประโยคแรกหมอยุนโฮเอ่ยบอกกับคนร่างสูงที่อยู่ในอาการตกใจ ก่อนจะหันไปสั่งนางพยาบาลให้รีบพาอีทึกไปที่ห้องผ่าตัดในทันที
เวลาผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ร่างบางก็ยังไม่ออกมาจากห้องผ่าตัดเสียที คังอินเดินวนไปเวียนมาอยู่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยความกังวลใจ ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไร ความเครียดก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น
‘แอ๊ดดดด’ ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกพร้อมกับหมอยุนโฮที่อยู่ในชุดกราวน์สีขาวสะอาด ใบหน้าหล่อคมเข้มฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“หมอยุน อีทึกเค้า....” คังอินเอ่ยถามยังไม่ทันจบประโยค ก็ได้รับการส่ายหน้ามาแทนคำตอบ
“หมอพยายามที่สุดแล้วครับ ....อาการของคุณอีทึกหลังการผ่าตัดนั้นทรุดตัวลงมาก หมอเกรงว่าคนไข้จะอยู่ได้อีกไม่นาน หมอเสียใจด้วยนะครับ ” ยุนโฮหน้าสลดลง มือหนาตบบ่าคังอินอย่างให้กำลังใจ คังอินที่ได้ยินอาการของคนตัวบางก็ถึงกับทรุดทันที
“ทำไม....ฮึก...ทำไมต้องพรากเค้าไปจากผมด้วย ฮึก..” ร่างสูงสะอื้นไห้อย่างเสียใจ พลางตะโกนลั่นอย่างน้อยใจในโชคชะตา
3 วันต่อมา.....
เมื่ออีทึกฟื้นขึ้นมา คังอินจึงทำเรื่องขออนุญาตพาอีทึกออกจากโรงพยาบาล เพื่อพาคนร่างบางมาพักผ่อน แต่ด้วยอาการที่ยังไม่ดีขึ้นของอีทึกนั้นทำให้คนทั้งคุ่ไม่สามารถไปไหนไกลได้ คังอินจึงพาอีทึกมาที่สวนสาธารณะ....สถานที่ที่เกิดความทรงจำมากมายของคนทั้งคู่
“คังอิน...นายไม่โกรธชั้นใช่มั้ยที่ชั้นบอกเลิกนาย” อีทึกเอ่ยถามคนร่างสูงด้วยเสียงแหบพร่าที่แทบจะไม่ได้ยิน
“หืม...ผมไม่โกรธคุณหรอกครับ ผมรู้ว่าคุณทำไปเพราความจำเป็น ผมขอโทษนะครับอีทึกที่ดูแลคุณได้ไม่ดีเลย” คนร่างสุงเอ่ยขอโทษคนร่างบางที่นอนอยู่บนตักเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้
“อย่าพุดอย่างนั้นสิ นายดูแลชั้นดีที่สุดเสมอ...ขอบคุณนะคังอิน” มือบางลูบแก้มสากของคนรักเบาๆ พลางมองใบหน้าของคนรักเป็นครั้งสุดท้าย...
“คังอิน...นายอย่าลืมใช้ชีวิตที่มีอยู่เผื่อชั้นด้วยนะ ใช้ชีวิตที่เหลือนี้ทำในสิ่งที่นายอยากทำ ทำในสิ่งที่นายจะมีความสุข แล้วนายจะไม่เสียดายชีวิตที่มีเหมือนชั้นนะ” อีทึกเอ่ยบอกคนร่างสูงอย่างยากลำบาก เรี่ยวแรงที่มีเริ่มหดหาย ลมหายใจผ่อนเข้าออกช้าๆด้วยความเหนื่อยอ่อน
“ท่าหากวันพรุ่งนี้...ไม่มีชั้นแล้ว ชั้นขอได้มั้ย ขอให้นายไม่ลืมชั้น ขอให้นายยังรักชั้นแบบนี้ ขอให้ชั้นอยู่ในใจนายแบบนี้ตลอดไปได้มั้ย” ร่างบางถามพลางวางมือลงบนตำแหน่งหัวใจของคนร่างสูง
“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ คุณยังอยู่ได้อีกนาน คุณยังต้องอยู่กับผมไปอีกนานนะอีทึก” คังอินเอ่ยบอกคนรักอย่างใจเสีย
“นั่นสิเนอะ
.ยังไงชั้นก็ยังได้อยู่กับนายอีกนานนี่เนอะ แต่ตอนนี้ชั้นเหนื่อยจังเลยคังอิน” ร่างบางเอ่ยบอกคนร่างสูงเสียงแผ่วลงเรื่อยๆ ดวงตาคู่สวยค่อยๆปิดลงช้าๆ
“อีทึกครับ....ผมรักคุณนะ” คนร่างหนาโอบกอดคนรักที่นอนอยู่บนตักอย่างทะนุถนอม คำบอกรักที่เคยได้ยินอยู่บ่อยครั้งยังคงพูดให้ฟังกันอยู่เสมอ
“อืม...ชั้นก็รักนาย คังอิน” ร่างบางบอกรักคนร่างสูงพลางส่งยิ้มบางๆให้ทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่เช่นนั้น มือบางสอดนิ้วประสานกับมือหนาแน่น เพื่อรับสัมผัสอบอุ่นสุดท้ายของชีวิต
“ชั้นขอนอนพักสักแปปนึงนะคังอิน ชั้นเหนื่อยมากเลย” ร่างบางเอ่ยบอกคนรักด้วยเรี่ยวแรงที่ยังเหลืออยู่ อีทึกซุกตัวลงที่อดแกร่ง คังอินเองก็กอดคนรักของตนไว้แน่น ลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกช้าๆนั้นค่อยๆแผ่วลงเรื่อยๆ......จนในที่สุดคนร่างบางก็สิ้นลมหายใจ.....
เวลาผ่านไปสักพัก คังอินที่โอบกอดคนร่างบางไว้แนยกายน้นก็เขย่าตัวเรียกคนรักเบาๆ
“อีทึกครับ...ตื่นได้แล้วนะ นี่คุณนอนนานไปแล้วนะครับ” คังอินเอ่ยเรียกคนรักทั้งน้ำตา ทั้งๆที่รู้ว่าคนรักของตนได้จากไปแล้ว แต่ใจยังคงคิดว่าคนรักของเค้านั้นเพียงแค่หลับไปเพียงเท่านั้น
“อีทึก!!!” คังอินกอดร่างที่ไร้วิญญาณของคนรักแน่นพลางปล่อยน้ำตาให้รินไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย
‘ชั้นรักนายนะคังอิน
’ เสียงหวานดังแผ่วมาพร้อมกับสายลมเย็นๆที่พัดผ่านตัวของคนร่างสูง ก่อนจะจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมาเหมือนชีวิตของอีทึก.....
‘ท่าหากพรุ่งนี้ไม่มีฉัน.....ขอได้มั้ย...ขอให้ชั้นได้อยู่ในความทรงจำของนายตลอดไป’
ปล. อย่างที่อีทึกบอก อะไรที่มีความสุขก็รีบทำไปในวันที่เรายังมีชีวิตอยู่ แล้วเราจะได้ไม่เสียดายชีวิตในภายหลังนะจ้ะ ^^
ความคิดเห็น