ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Remove the curse with love คำสาปถอนด้วยรัก

    ลำดับตอนที่ #3 : บังเอิญหรือวาสนา

    • อัปเดตล่าสุด 21 ธ.ค. 65


    - วังนิรมาศ -

    “ท่านชายเพคะ แขกของท่านชายจักมาประมาณกี่โมงหรือเพคะ? หม่อมฉันจักได้จัดแจงเครื่องต้อนรับให้ถูกเพคะ”

    หม่อมมณีวรรณถามหม่อมเจ้าพิษณุด้วยความสงสัย ว่าเมื่อใดแขกที่ท่านชายพิษณุตรัสถึงเมื่อคืนจักมาเมื่อใด แลใคร่จักได้เตรียมตัวถูกให้พร้อมมิต้องทำขายขี้หน้าใครเขาให้เสื่อมเสียเกียรติของหม่อมเจ้าพิษณุได้

    “อาจจักมาสักสายหน่อย แลอยู่รับประทานอาหารกลางวันพร้อมกับพวกเราเลย”

    “ได้เพคะ อย่างนั้นหม่อมฉันจักเตรียมขนมต้อนรับ แลอาหารกลางวันไว้รอแขกนะเพคะ”

    “ตามใจแม่มณีเถอะ”

    หม่อมเจ้าพิษณุรับสั่งปัดไปอย่างนั้น แลทรงก้มพักตร์ทรงงานต่อ

    “เพคะท่านชาย”

    เมื่อหม่อมมณีวรรณรู้เวลาที่แน่นอนของแขกที่จักมาแล้ว ก็ออกมาจากห้องของหม่อมเจ้าพิษณุไปจัดแจงเตรียมตัวอย่างดีเพื่อนตอนรับแขกคนที่คิดว่าสำคัญของหม่อมเจ้าพิษณุ

     

    - เวลา 4 โมงเช้า -

    “หม่อมเจ้าขา มีคนมาเจ้าคะบอกว่ามาหาฝ่าบาทเจ้าค่ะหม่อม”

    นางจวงคนรับใช้ของหม่อม เมื่อทราบว่ามีคนแปลกหน้าไม่คุ้นเคยมาที่วังแลสอบถามมาแล้วเรียบร้อยว่าจักมาพบผู้ใดในวังนิรมาศนี้ก็รีบวิ่งมาหาหม่อมมณีวรรณเป็นคนแรก

    “อาจจักเป็นแขกของท่านชายที่เอ่ยถึง ไปรีบไปต้อนรับท่านเร็วอย่ามัวชักช้าล่ะ แล้วเรียกให้ใครมายกน้ำยกขนมมาต้อนรับท่านด้วย ประเดี๋ยวฉันจักไปตามท่านชายเอง”

    “เจ้าค่ะหม่อม”

    ทั้งนายแลบ่าวเมื่อจัดแจงหน้าที่กันเสร็จก็รีบไปทำหน้าที่ของตนให้เร็วที่สุด

     

    ก๊อก..ก๊อก..ก๊อก..

    “เข้ามา”

    เมื่อได้รับการอนุญาตจากหม่อมเจ้าพิษณุแล้ว หม่อมมณีวรรณก็เปิดประตูเข้ามาทันที

    “แขกที่ท่านชายทรงนัดไว้มาแล้วเพคะ”

    หม่อมเจ้าพิษณุหันไปทอดเนตรนาฬิกาที่แขวนตรงผนังห้องแล้วตรัสขึ้น

    “4 โมงแล้วรึ? นี่ฉันทำงานจนเกือบลืมเลยหรือ?”

    “รีบเด็จเถอะเพคะ”

    หม่อมเจ้าพิษณุทรงยืนขึ้นแลเสด็จลงไปยังห้องรับแขก แลหม่อมมณีวรรณเดินตามหลังไป

     

    - ห้องรับแขก -

    “ฝ่าบาททรงรอนานหรือไม่กระหม่อม”

    หม่อมเจ้าพิษณุทรงถามแขกที่อยู่ตรงหน้าพระองค์

    “มินานดอกฝ่าบาท ได้โปรดเถอะ กระหม่อมอายุน้อยกว่าฝ่าบาทกรุณาเรียกกระหม่อมว่าท่านชายก็พอกระหม่อม”

    แขกที่อยู่ตรงหน้าหม่อมเจ้าพิษณุนั้น ขอร้องอย่างสุภาพ ไม่ให้เรียกตนว่าฝ่าบาท เพราะถึงแม้จักมีฐานะที่เท่าเทียมกันแต่ของตนก็อายุน้อยกว่าหม่อมเจ้าพิษณุอยู่พอสมควร

    “หากท่านชายพัทธ์ทรงต้องการอย่างนั้น ย่อมได้กระหม่อม”

    แขกที่อยู่ตรงหน้าหม่อมเจ้าพิษณุคือหม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ อิเกศวร นั่นเอง 

    “ขอบพระทัย ฝ่าบาท”

    “ที่กระหม่อมเรียกท่านชายมาในวันนี้เพราะอยากจักเอ่ยกับท่านชายเรื่องการลงทุนบางอย่างเสียหน่อยกระหม่อม”

    หม่อมเจ้าพิษณุไม่รอช้าตรัสเริ่มเข้าเรื่องที่พระองค์อยากจักคุยกับหม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ทันที

    “ไม่มีปัญหากระหม่อม มีเรื่องอันใดที่ฝ่าบาทต้องการให้กระหม่อมช่วยรับสั่งมาได้เลยกระหม่อม”

    “ถ้าเช่นนั้นเชิญที่ห้องทำงานของกระหม่อมได้เลย”

    ทั้งสองพระองค์เสด็จขึ้นห้องทรงงานของหม่อมเจ้าพิษณุ แลหม่อมมณีวรรณจัดการของว่างให้บ่าวรับใช้ยกขึ้นตามไป

     

    - เวลา 5 โมงเช้า เกือบจะเที่ยงวัน -

    นารานิทแลนีฤนาถก็เดินทางมาถึงหน้าวังนิรมาศด้วยรถสามล้อถีบ

    “สวัสดีเจ้าค่ะ มาพบใครหรือเจ้าคะ?”

    “สวัสดีค่ะป้าจวง นิทกับนีเองนะคะ”

    นารานิทไหว้สวัสดีนางจวงบ่าวรับใช้ของหม่อมมณีวรรณ แลพูดทักทายขึ้น ส่วนนีฤนาถแค่ไหว้สวัสดีเฉยๆ

    “อ้าว คุณหนูนิทกับคุณหนูนีเองหรือเจ้าคะ ป้าก็นึกว่าใคร เชิญเข้ามาก่อนค่ะ ประเดี๋ยวป้าจักรีบไปตามหม่อมมาให้เจ้าค่ะ พอดีหม่อมอยู่ในครัวกำลังเตรียมเครื่องกลางวันให้กับท่านชายณุแลแขกที่มาในวันนี้ด้วยเจ้าค่ะ”

    “วันนี้ท่านลุงมีแขกหรือคะป้าจวง”

    นารานิทเอ่ยถามซ้ำเพื่อให้แน่ใจ เพราะดูเหมือนว่าเธอกับน้องจักมาในเวลาที่ไม่ควรเสียแล้ว

    “ใช่เจ้าค่ะ แต่ประเดี๋ยวป้าจักไปเรียนหม่อมมณีให้ทราบก่อนนะเจ้าค่ะ”

    “ได้ค่ะ นิทกับนีจักไปรอที่ห้องรับแขกนะคะ”

    “เจ้าค่ะ” 

    นารานิทแลนีฤนาถเดินไปรอหม่อมมณีวรรณที่ห้องรับแขก

     

    - ในครัว วังนิรมาศ -

    “หม่อมเจ้าขาา”

    “อะไรอีกล่ะนางจวง เอะอะอะไร เมื่อครู่ก็เอะอะไปทีหนึ่งละ”

    หม่อมมณีวรรณเอือมระอากับบ่าวคนนี้เหลือเกิน ที่ชอบเอะอะไปเสียทุกเรื่อง แต่ก็มีข้อดีที่หล่อนจักชอบมาเล่ามาบอกให้ฟังทุกเรื่องให้ได้รับรู้เสียนี่กระไร

    “อิฉันมาตามหม่อมเจ้าค่ะ คุณหนูนิทแลคุณหนูนีมาหาเจ้าค่ะ กำลังรอหม่อมที่ห้องรับแขกเจ้าค่ะ”

    “หนูนิทหนูนีมาหรือจ๊ะ?”

    “ใช่เจ้าค่ะ”

    นางจวงย้ำคำพูดของตัวเองอีกที หม่อมมณีวรรณวางทัพพีคนแกงแลรีบไปยังห้องรับแขก เพราะคิดถึงหลานสาวเต็มแก่จนรอมิไหวอีกแล้ว

     

    “หนูนิทหนูนี~ รอป้านานหรือไม่จ๊ะ?”

    “หม่อมป้าสวัสดีค่ะ”

    สองสาวกล่าวสวัสดีหม่อมมณีวรรณพร้อมกัน ส่วนหม่อมมณีวรรณก็รับไหว้หลานด้วยความดีใจ

    “สวัสดีจ๊ะ เป็นอย่างไรกันบ้างมาให้ป้ากอดทีให้หายคิดถึง”

    หม่อมมณีวรรณพูดจบไม่ทันให้ใครได้ตอบก็โผล่กอดหลานสาวสุดที่รักทั้งสองด้วยความคิดถึง

    “พี่นิทกับนีสบายดีค่ะหม่อมป้า”

    นีฤนาถได้โอกาสตอบก็เอ่ยขึ้นมา

    “นั่งลงกันก่อนจ๊ะ เมื่อวานตานนท์เพิ่งจักบอกป้าเองว่าหนูนิทกับหนูนียุ่งมากมิค่อยมีเวลามาเยี่ยม คิดไม่ถึงว่าตื่นเช้ามาหนูนิทหนูนีจักมาเยี่ยมป้าเลย โชคดีจริงๆ”

    “เพราะคุณแม่ค่ะ พอรู้ว่าพี่นนท์กลับมาก็บังคับให้พวกเราหยุดงานแล้วมาเยี่ยมหม่อมป้ากับพี่นนท์ให้ได้ค่ะ แถมยังเป็นห่วงพี่นนท์ว่าไปอยู่เมืองนอกเมืองนาเสียนานคงคิดถึงอาหารไทยฝีมือของหม่อมป้าแลคุณแม่เป็นแน่ เลยลุกขึ้นมาทำแต่เช้า บังคับให้พวกเราสองคนนำมาส่งที่วังนิรมาศอีก แลให้รวดรับประทานอาหารกลางวันที่นี่เลยค่ะ”

    นีฤนาถสาธยายถึงเหตุผลที่มาที่วังนิรมาศว่าเป็นเพราะอะไร

    “ท่านลุงมีแขกหรือคะ เห็นป้าจวงว่าอย่างนั้นค่ะ”

    นารานิทเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นบ้าง

    “ใช่จ้ะ เห็นว่าจักร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับเราด้วย อย่างนั้นพอดีเลยจ๊ะ ป้ากำลังเตรียมอาหารอยู่พอดี ตานนท์จักได้ชิมทั้งฝีมือป้าแลฝีมือแม่นงนุชเขา หนูนิทหนูนีก็ร่วมรับประทานด้วยกันเลยสิจ๊ะ”

    “ได้ค่ะ หม่อมป้า”

    สองสาวตอบรับคำพร้อมกัน ถึงนารานิทจักไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่เพราะเกรงใจแขกของท่านลุงแต่เธอจักทำอย่างไรได้ เพราะไม่กล้าขัดใจหม่อมป้า

    “ผมจักได้ชิมอาหารฝีมือของใครบ้างนะครับ”

    หม่อมมณีวรรณพูดถึงคุณชายนนทกูลไม่ทันขาดคำ เจ้าตัวก็เดินมาพอดี

    “อ้าว ตื่นแล้วหรอลูก ก็แม่นงนุชเขาทำอาหารกลางวันมาให้ลูกโดยเฉพาะหน่ะสิ”

    “พอดีปรับตัวมิค่อยได้น่ะครับเลยตื่นสายเสียหน่อย อาหารฝีมือแม่นุชหรือครับ?”

    “ใช่ค่ะ คุณแม่อุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามาทำให้พี่นนท์รับประทาน ทีเป็นนีขอนะมิยอมลุกขึ้นมาทำให้เลย”

    นีฤนาถเอ่ยขึ้น ทำทุกคนกลั้นหัวเราะเสียไม่อยู่ ก็เธอนั้นทั้งเป็นสาวร่าเริงใครอยู่ใกล้ก็มีแต่ความสุข ต่างจากนารานิทผู้เป็นพี่ ที่เป็นดั่งน้ำเย็นใครอยู่ใกล้เป็นต้องสบายใจ ก็เพราะเธอทั้งอ่อนหวานแลอ่อนช้อย

    “คุยอะไรสนุกกันเชียวสาวๆ”

    “ตายจริง ท่านชายรับสั่งธุระกันเสร็จแล้วหรือเพคะ หม่อมฉันลืมในครัวเสียไปเลย มัวแต่คุยเล่นกับหลาน”

    หม่อมเจ้าพิษณุตรัสขึ้น ทำให้หม่อมมณีวรรณนึกขึ้นได้ว่าตนลืมเตรียมสำรับอาหารสำหรับมื้อกลางวันให้กับทุกคน ตัวเธอไม่อยู่ในครัวไม่รู้จักเป็นอย่างไรบ้างที่ปล่อยให้บ่าวจัดการกันเอง คิดดังนั้นก็รีบลุกไปในครัวแทบจักทันที

    “กราบสวัสดีเพคะ ท่านลุง”

    สองสาวก็กราบสวัสดีหม่อมเจ้าพิษณุพร้อมกัน ท่านชายก็รับไหว้หลานด้วยความเอ็นดู แลนารานิทเห็นว่าหม่อมป้าคงรีบร้อนไม่น้อยเพราะลืมงานในครัว เลยอาสาช่วยงานหม่อมมณีวรรณ แลไม่ได้พูดคุยอะไรกับหม่อมเจ้าพิษณุมากนัก

    “ให้นิทช่วยนะคะหม่อมป้า”

    “ได้จ๊ะหนูนิทรีบตามป้ามาเลย”

    “ค่ะ”

    นารานิทเดินตามหม่อมป้าไปติดๆ จนลืมสังเกตว่าแขกของท่านลุงคือใคร  ส่วนหม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์นั้นที่ยืนอยู่ข้างหลังหม่อมเจ้าพิษณุก็ทอดเนตรเห็นนารานิทอย่างเต็ม ๆ เนตร ถึงขั้นตกพระทัยในทัยของพระองค์เองว่าหญิงสาวที่เจอแต่วานที่หอสมุดนั้นมาอยู่ตรงพักตร์พระองค์ที่วังนิรมาศแห่งนี้ได้อย่างไร คงมิได้ฝันไปใช่หรือไม่? หรือเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น ถึงอย่างไรการพบเธออีกครั้งต้องเป็นเพราะโชคชะตาเป็นแน่ ท่านชายทรงคิดในทัยของพระองค์เอง

    ใช้เวลาไม่นานนักสำรับบนโต๊ะอาหารก็จัดเสร็จเรียบร้อย 

    “หม่อมฉันทำอาหารมากมายทีเดียวเทียวเพคะ หวังว่าท่านชายพัทธ์จักเสวยได้นะเพคะ”

    “รับประทานได้ครับ กระผมรับประทานได้ทุกอย่าง”

    หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ตอบรับหม่อมมณีวรรณด้วยใบพักตร์อมยิ้ม

    “ดีจริงเพคะ หม่อมฉันกังวลแทบแย่ว่าอาหารจักถูกโอษฐ์ท่านชายหรือไม่”

    “มิต้องกังวลไปดอกครับ กระผมรับประทานได้ทุกอย่างจริง ๆ”

    ท่านชายพัทธ์ก็ยังคงย้ำคำตอบเดิมเพื่อให้หม่อมมณีวรรณสบายใจขึ้น

    “พี่นนท์ รับประทานนี่สิคะ แม่ตั้งใจทำหลนปลาที่พี่นนท์ชอบมาให้”

    “ขอบใจจ๊ะน้องนี”

    นีฤนาถเอ่ยพร้อมกับตักหลนปลาใส่จานให้พี่ชายตนเอง

    “ตายจริง หม่อมฉันเสียมารยาทจังเลยนะเพคะ ทั้งท่านชายณุแลหม่อมฉันก็มีแขกด้วยกันทั้งคู่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันกลับมิได้แนะนำให้ได้รู้จักกันเสียนี่กระไร หวังว่าท่านชายพัทธ์จะไม่ถือสาคนอย่างหม่อมฉันนะเพคะ”

    “ไม่ถือสาดอกครับ”

    หม่อมมณีวรรณนึกขึ้นได้ว่าตนลืมแนะนำหลานสาวที่มาหากะทันหันให้แขกคนสำคัญของหม่อมเจ้าพิษณุได้รู้จัก ก็โทษตัวเองเสียเล็กน้อย  ส่วนหม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์มิได้คิดถือสาอะไรมากนัก เพราะก็รออยู่ในทัยลึก ๆ เช่นกันว่าเมื่อใดจะได้รู้จักหญิงสาวที่นั่งข้างหม่อมมณีวรรณเสียที นารานิทก็รออย่างใจเย็นเช่นกันว่าผู้ชายที่อยู่ตรงข้ามเธอคือผู้ใดกันเพราะพบกันโดยบังเอิญแต่วาน

    “เริ่มจากตานนท์ก่อนแล้วกันเพคะ นี่นนทกูลลูกชายของหม่อมฉันเพคะ อายุอานามคิดว่าอ่อนกว่าท่านชายพัทธ์นะเพคะ หากลูกชายของหม่อมฉันทำตัวไม่เหมาะสมกับท่านชายอย่างไรก็ว่ากล่าวกันได้เลยเพคะ”

    “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

    “เช่นกันกระหม่อม”

    หม่อมมณีวรรณค่อย ๆ แนะนำคนบนโต๊ะอาหารให้หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ได้รู้จักทีละคน เริ่มจากคุณชายนนทกูลเป็นคนแรก

    “แลนี่ นารานิท หรือหนูนิท หลานสาวคนโตของหม่อมฉันเองเพคะท่านชาย  หนูนิท หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ อิเกศวรจ๊ะ เป็นแขกแลเป็นพระสหายของท่านลุงจ๊ะ”

    นารานิทรับรู้ถึงแขกที่อยู่ตรงหน้าว่าคือใคร ก็ยกมือไหว้ให้เกียรติแขกท่านลุงของตน แลหม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ก็รับไหว้นารานิท อย่างทะนุถนอมอย่างที่เคยรู้สึกครั้งแรก ทำให้นารานิทสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนของท่านชายอย่างที่เคยรู้สึกเมื่อแต่วานนี้ที่พบกัน ท่านชายมิได้ดูสุขุมเย็นชาอย่างที่ใคร ๆ เห็นเลย เธอรู้สึกได้เช่นนั้นมิรู้เพราะอะไร

    “แลสุดท้าย นีฤนาถหลานสาวคนสุดท้องของหม่อมฉันเพคะ”

    เมื่อแนะนำให้รู้จักกันเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็รับประทานอาหารกันต่อ จนถึงมื้อของหวาน

    “พวกบ่าวในครัวนี่หนา พอฉันไม่อยู่สั่งก็ทำอะไรมิเป็นสักอย่าง ต้องให้คอยบอกคอยสั่งกันตลอดใช้มิได้สักอย่าง โชคดีนะที่หนูนิททำขนมช่อแก้วมา”

    หม่อมมณีวรรณบ่นบ่าวไพร่ พร้อมกับชมนารานิทไปพร้อมกัน 

    “ขนมอะไรหรือครับ กระผมมิเห็นเคยได้ยินชื่อเลยครับ”

    “ขนมช่อแก้วเพคะ”

    หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ตรัสถามขึ้น แลนารานิทก็ตอบคำถามของท่าชายพัทธ์

    “คล้ายกับขนมช่อม่วงเพียงแต่เป็นสีขาวแลมิใช่ใส้คาวเป็นใส้หวานเพคะ เลยเรียกกันว่าขนมช่อแก้ว แต่มีตั้งหลายชื่อเพคะ ทั้งผกากรองหรือช่อมะลิ เพียงแต่บ้านเราเรียกช่อแก้วเพคะ”

    นารานิทอธิบายเพิ่มเติมให้กับหม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ได้รับฟัง 

    หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์หยิบขนมที่นารานิทเป็นคนทำขึ้นมาชิม แลเอ่ยชม

    "อร่อยมากเลยครับหนูนิท หนูนิทเป็นคนทำเองหรือครับ ผมขอโทษครับที่เรียนคุณอย่างนั้น"

    หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ขอโทษนารานิทที่เผลอเรียกจาสนิทสนมทั้งที่เพิ่งรู้จักกันครั้งแรก

    "มิเป็นไรดอกเพคะ ใคร ๆ ก็เรียกหม่อมฉันเช่นนี้ แลขอบพระทัยเพคะที่เอ่ยชม"

    นารานิทตอบกลับหม่อมเจ้าอสุาราพิพัทธ์ด้วยท่าทีอ่อนหวานตามประสาหญิงสาววัยแรกรุ่น

    "ถ้าเช่นนั้นผมขออนุญาตเรียกคุณนิทว่า ‘หนูนิท’ นะครับ จริงสิผมลืมเสียสนิทไปเลย เรื่องเมื่อแต่วานผมต้องขอโทษหนูนิทด้วยนะครับ ว่าจักเอ่ยขอโทษตั้งแต่ครั้งนั้นแล้วแต่ไม่มีโอกาสเลยครับ"

    หม่อมเจ้าอสุรารับสั่งจบก็พาทุกคนต่างพากันงงงวยว่าทั้งสองเอ่ยถึงเรื่องอะไรกัน มีเพียงนารานิทผู้เดียวที่รู้แต่สาวเจ้าก็ทำได้เพียบเงียบแลอมยิ้มเล็กน้อยกลับไปเท่านั้น ทำให้หม่อมมณีอดใจมิไหวเอ่ยถามขึ้นเสียตรง ๆ เลย 

    "เรื่องอะไรกันเพคะ?"

    "เรื่องที่หอสมุดเมื่อแต่วานนะครับ พอดีกระผมทำเรื่องเสียมารยาทกับหนูนิทไปเยอะเลยครับ"

    ท่านชายอธิบายให้หม่อมณีวรรณฟังว่าเรื่องอะไร

    "ไม่เป็นไรดอกเพคะ หม่อมฉันเองก็เสียมารยาทยิ่งกว่าที่มิรู้ว่าฝ่าบาทคือใคร จนเผลอทำตัวไม่เคารพฝ่าบาทเพคะ"

    "เรื่องนั้นผมไม่ถือสาดอกครับ เพราะเราเพิ่งเจอกันครั้งแรก ที่หนูนิทมิรู้ว่าผมคือใครก็ถูกแล้วครับ"

    หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์รับสั่งไม่ถือสานารานิทเพราะเป็นเพียงแค่ความเผอิญที่เราได้พบกันเท่านั้น

    "ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียนี่กระไรนะเพคะ"

    หม่อมมณีวรรณเอ่ยขึ้นบ้างพร้อมเอ่ยว่าเป็นเรื่องเผอิญที่ทั้งสองได้พบกัน แต่หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์กับทรงคิดในทัยว่าเป็นวาสนาเสียมากกว่า เพราะเธอต้องเป็นผู้หญิงในคำทำนายเป็นแน่ ทำให้ท่านชายยทรงคิดมิตกเลยที่เดียวเทียว

     


    เวลา 4 โมงเช้า = 10:00น.  เวลา 5 โมงเช้า = 11:00น. ในเวลานิยาย เวลา 5 โมงเช้าเกือบจะเที่ยงวัน  = 11:30น.  

     ทอดเนตร = มองดู  ก้มพักตร์ = ก้มหน้า     เสด็จ = ไป เดิน  เนตร = ตา  เครื่องกลางวัน = อาหารกลางวัน. ตกพระทัยในทัย = ตกใจในใจ  แต่วาน = เมื่อวาน  เมื่อแต่วาน = แต่เมื่อวาน  พักตร์ = หน้า  ใบพักตร์ = ใบหน้า  เสวย = รับประทาน  โอษฐ์ = ปาก

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×