คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ความสิ้นหวัง...ที่ไม่ริบหรี่
ทั้งสามคนเดินออกมาจากหอสมุด โดยที่นารานิทมีคุณชายนนทกูลคอยประคองอยู่ทำให้เป็นที่จับตามองของคนทั่วไปอย่างแปลกประหลาด
“พี่นนท์ปล่อยนิทเถอะค่ะ นิทมิได้เป็นอะไรเสียหน่อย อายคนเขาค่ะ”
นารานิทพูดเพราะเริ่มสังเกตเห็นคนมองมามากมาย
“ค่ะ พี่ปล่อยแขนนิทก็ได้”
คุณชายนนทกูลยอมปล่อยแขนน้องสาวแต่โดยดี เพราะตามใจ
“ให้พี่ไปส่งนะคะ”
คุณชายนนทกูลเอ่ยขึ้นเพราะจักได้มีเวลาพูดคุยกับสองสาวมากขึ้น แลไม่อยากให้พวกเธอต้องเดินกลับเอง
“ดีเลยค่ะ นีก็มิอยากจะเดินแล้วเหมือนกัน เพราะพี่นิทพานีเดินมาทั้งวันแล้วค่ะ”
นีฤนาถเอ่ยขึ้นก่อนที่นารานิทจะเอ่ย
“หายงอนพี่แล้วรึ?”
คถณชายนนทกูลแกล้งนีฤนาถไม่หยุด ก็น้องสาวตัวแสบน่าแกล้งเสียขนาดนี้ ส่วนนีฤนาถก็งอนแก้มป่องขึ้นไปนั่งหลังรถมิรอช้า ปล่อยให้นารานิทบ่นไปจักห้ามก็ห้ามไม่อยู่
“ยัยนีอะไรกันเรื่องแค่นี้ทำเป็นบ่นไป มิเป็นไรดอกค่ะ ร้านเราก็ใกล้แค่นี้เอง”
“ใกล้เสียที่ไหนคะ ขึ้นสามล้อยังต้องเสียคนละ 6 บาท”
“ให้พี่ไปส่งเราเถอะนะคะ ครั้งนี้ตามใจพี่บ้างเถอะนะคะ น้องนิท”
คุณชายนนทกูลทำท่าทางอ้อนน้องสาวตัวเอง ให้เขาได้ดูแลพวกเธอบ้าง แต่ก็แน่นอนว่านารานิทเป็นคนขี้ใจอ่อนแต่ไหนแต่ไร แค่อ้อนนิดอ้อนหน่อยเธอต้องยอมเป็นใจอ่อนเสียทุกที ครั้งนี้ก็หนีมิพ้นเช่นกัน
“ได้ค่ะ นิทยอมแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะคะ”
“เย่~ ไปกันเถอะค่ะ”
นีฤนาถไม่รอช้าเมื่อนารานิทอนุญาตเธอตะโกนลั่น ที่ไม่ต้องนั่งเบียดในสามล้ออีกแล้ว ใครเห็นก็เป็นต้องห้ามปรามแต่ห้ามมิได้ ก็ต้องปล่อยไปแต่กลับมีความยิ้มเอ็นดูให้นีฤนาถแทน อย่างนารานิทกับคุณชายนนทกูลเป็นต้น ที่รู้จักน้องสาวตัวเองดีว่าเป็นเช่นไร แค่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็เป็นพอ
ไม่นานนักคุณชายนนทกูลก็ขับรถมาถึงร้านตัดเสื้อนฤบดินทร์ ร้านตัดเสื้อของนารานิทแลนีฤนาถ
“ถึงแล้วค่ะ”
คุณชายนนทกูลบอกกับน้องๆ นารานิทแลนีฤนาถก็ลงจากรถ
“ขอบพระคุณค่ะ”
“ขอบพระคุณค่ะ”
สองสาวกล่าวขอบคุณพร้อมกัน
“จะเข้าไปหาคุณแม่หรือไม่คะ?”
นารานิทเอ่ยถามคุณชายนนทกูล
“ไม่ค่ะ ไว้พี่จะหาเวลามาเยี่ยมท่านอีกที ประเดี๋ยวพี่กลับวังช้าหม่อมแม่จักบ่นพี่เอา”
คุณชายนนทกูลตอบนารานิท
“ค่ะ จริงสินิทเกือบลืมไป! พี่นนท์รอนิทประเดี๋ยวนะคะ”
“ได้เลยค่ะ”
นารานิทกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าร้านไป เธอหยิบของที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้บนโต๊ะออกมา
“นี่ค่ะ พี่นนท์ ตอนแรกนิทจักส่งไปรษณีย์ไปให้หม่อมป้ากับท่านลุง แต่พี่นนท์กลับมาพอดีนิทฝากส่งทางพี่นนท์ดีกว่าค่ะ เป็นของขวัญไถ่โทษที่นิทกับนางไม่มีเวลาไปเยี่ยมพวกท่านเลยค่ะ”
“พี่ขอบใจแทนหม่อมแม่กับท่านพ่อนะคะ ประเดี๋ยวพี่จักบอกพวกท่านให้นิทไม่ต้องห่วงนะ”
คุณชายนนทกูลพูดจบพร้อมเอื้อมมือไปลูบหัวน้องสาวด้วยความเอ็นดู
“ขอบพระคุณค่ะ ฝากความคิดถึงให้พวกท่านด้วยนะคะจากพวกเราสามแม่ลูกค่ะ”
“ได้เลยค่ะ พี่กลับก่อนนะคะ”
นี่ก็ใกล้จักค่ำแล้ว คุณชายนนทกูลคิดว่าคงถึงเวลากลับเสียที
“สวัสดีค่ะ พี่นนท์เดินทางปลอดภัยนะคะ”
คุณชายนนทกูลรับไว้นารานิทแล้วโบกมือให้ก่อนถอยรถออกไป
- ณ วังนิรามาศ -
“หม่อมเจ้าขา คุณชายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
นางจวง ข้ารับใช้ของหม่อมมณีวรรณ นิรณากุล รีบวิ่งแจ้นด้วยความรีบร้อนเพื่อมาบอกหม่อมมณีวรรณว่าลูกชายของหม่อมได้กลับบ้านมาแล้ว
"ฉันรู้แล้วน่ะนางจวง ได้ยินเสียงรถแล้ว เพิ่งมาถึงพระนครแท้ ๆ ออกไปเถลไถลที่ไหนมานะ ถึงได้กลับมาค่ำเยี่ยงนี้"
“อิฉันมิรู้เจ้าค่ะ”
นางจวงรีบตอบทันควัน โดยไม่ทันนึกคิดอะไร
“ฉันมิได้ถามแก แกจักไปทำอะไรก็ไปทำไป”
“เจ้าค่ะ หม่อม”
หม่อมมณีวรรณประเดี๋ยวลุกประเดี๋ยวนั่ง อยู่ไม่ติดที่ ชะเง้อมองหาลูกชายของตนด้วยความตื่นเต้น ไม่นานนัก คุณชายนนทกูลก็เดินเข้าวังมาพอดี
“หม่อมแม่ ทำอะไรหรือครับ?”
“โธ่ ตานนท์แม่ก็มารอลูกกลับวัง ก็เพราะลูกเล่นถึงวังแล้วออกไปข้างนอกเลย มาหาแม่กับท่านพ่อก่อนก็มิได้”
คุณชายนนทกูลได้ยินดังนั้นก็สวมกอดหม่อมมณีวรรณพร้อมพูดปลอบใจ
“หม่อมแม่ ชายขออภัยครับ ก็เพราะชายอยากไปร่วมงานหนังสือที่จัดขึ้นวันนี้เลยรีบออกไปมิทันได้เข้ามากราบหม่อมแม่ก่อนครับ”
หม่อมมณีวรรณกอดลูกหนำใจแล้วจึงผละออกเพื่อพูดกับคุณชายนนทกูลต่อ
“หืม งานหนังสือ? ที่หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์จัดขึ้นน่ะหรือ?”
“ครับ ชายตั้งใจว่าจักไปร่วมงานสักหน่อย แต่ดันบังเอิญเจอหนูนิทยัยนีเข้าเลยมิได้เข้าร่วมเลยครับหม่อมแม่”
“ลูกเจอหนูนิทกับหนูนีด้วยหรือจ๊ะ?”
หม่อมมณีวรรณถามลูกอีกครั้งด้วยความสงสัย
“ใช่ครับ หนูนิทฝากของขวัญมาให้หม่อมแม่แลท่านพ่อด้วยนะครับ เธอบอกว่าแทนคำขอโทษที่มิได้มีเวลามาเยี่ยมหม่อมแม่กับท่านพ่อเลย แลฝากความคิดถึงมาให้ด้วยครับ”
คุณชายพูดพร้อมหยิบของขวัญที่อยู่ติดมือให้กับหม่อมแม่ของตน
“ไหนดูสิ ว่าหนูนิทเอาอะไรมาให้แม่”
“เอะอะไรกันคุณ เสียงดังถึงข้างบน อ้าวแล้วนี่ตานนท์กลับมาตั้งแต่เมื่อใดล่ะนั่น”
หม่อมเจ้าพิษณุ นิรณากุล ตรัสขึ้นเพราะได้ยินเสียงของหม่อมมณีวรรณคุยเจื้อยแจ้วเสียงดัง จนพระองค์ทรงงานมิได้จึงต้องลงมาดู ก็พบว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกลับบ้านกลับเมืองมาแล้วไม่บอกกล่าวกันเสียเลย
“แหม ท่านชายเพคะ ก็เพราะหม่อมฉันตื่นเต้นกับของขวัญที่หนูนิทฝากลูกมาให้หม่อมฉันนะสิเพคะ”
“ส่วนชาย กลับมาแต่เมื่อบ่ายแล้วกระหม่อม แต่รีบออกไปข้างนอกเสียก่อนเลยมิได้เข้ามากราบท่านพ่อแลหม่อมแม่ ชายกราบขออภัยด้วยนะกระหม่อม”
สองแม่ลูกตอบคำถามหม่อมเจ้าพิษณุเสร็จ คุณชายนนทกูลก็ก้มลงกราบท่านพ่อแลหม่อมแม่ของตนทันที ทั้งกราบขอโทษแลกราบที่กลับมาบ้านแล้ว
หม่อมเจ้าพิษณุ หม่อมมณีวรรณรับไหว้ลูกแล้วให้คุณชายนนทกูลลุกขึ้นมานั่งที่เดิม
“กลับมาปลอดภัยก็ดีแล้ว อยู่เป็นเพื่อนแม่เขาเถอะ พ่อจักขึ้นไปทำงานต่อแล้ว”
“ขอรับกระหม่อม”
หม่อมเจ้าพิษณุรับสั่งเสร็จกำลังจุักเสด็จไปก็โดนหม่อมมณีวรรณห้ามเสียก่อน
“แล้วท่านชายมิอยู่เปิดของฝากด้วยกันก่อนหรือเพคะ?”
“ไม่ล่ะ คุณเปิดเองไปเถอะ ผมมีงานต้องรีบจัดการ ประเดี๋ยววันพรุ่งจะมีแขกมาบ้านเรา คุณรีบเตรียมต้อนรับเขาให้ดีด้วยล่ะ”
“เพคะ แขกที่ไหนกันเพคะ?”
“ประเดี๋ยววันพรุ่ง คุณก็รู้เอง”
หม่อมเจ้าพิษณุรับสั่งอย่างนั้นเสร็จ ก็เสด็จขึ้นห้องทรงงานทันที ปล่อยให้หม่อมมณีวรรณแลคุณชายนนทกูลสงสัยกันว่าวันพรุ่งนี้แขกของท่านชายพิษณุที่ไหนกันจักมาวังของเรา แต่หม่อมมณีวรรณก็มิได้สนใจอะไรมากนัก นั่งคุยกับลูกชายและเปิดของฝากที่ตนได้ต่อ
- วังเสี้ยวหฤทัย -
“ท่านพ่อเพคะ ทรงเหนื่อยไหมเพคะ”
คุณหญิงรัตน์ณา อิเกศวร วัย 5 ปี ได้ถามท่านพ่อของตนเองด้วยความออดอ้อนจนใคร ๆ เห็นเป็นต้องเอ็นดูเธอทั้งนั้นไว้เว้นแม้แต่หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ พ่อของหญิงรัตน์เอง
“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ วันนี้หญิงรัตน์อยากให้พ่อเล่านิทานเรื่องอะไรให้ฟังคะ”
“หญิงอยากฟังเรื่องนางซินเพคะ ได้ไหมเพคะท่านพ่อ”
ลูกหญิงของท่านชายอ้อนเสียขนาดนี้ มีหรือว่าท่านชายจักมิทรงพระทัยอ่อนให้กับลูกของพระองค์เอง
พระองค์ไม่ทรงรอช้า รีบลุกจากโต๊ะทรงงานขึ้นแลไปอุ้มหญิงรัตน์ไว้ในหัตถ์
“ไปกันค่ะพ่อจักเล่านิทานเรื่องนางซินให้หญิงฟัง”
“เย่~ ขอบพระทัยเพคะท่านพ่อ”
หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์อุ้มคุณหญิงรัตน์ณาให้มานอนที่เตียงแลเริ่มเล่านิทานให้คุณหญิงรัตน์ณาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
“นิทานจบแล้วค่ะ หญิงรัตน์ควรนอนได้แล้ว”
“เพคะท่านพ่อ”
ท่านชายทรงหอมแก้มลูกเบาๆอย่างทะนุถนอม แลห่มผ้าให้กับหญิงรัตน์
“ท่านพ่อเพคะ ท่านพ่อทรงคิดว่าหญิงจักเจอกับแม่เลี้ยงใจร้ายเหมือนกับนางซินไหมเพคะ?”
หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ทรงตกพระทัยกับคำถามของคุณหญิงรัตน์ณา ว่าทำไมเธอถึงได้มีความคิดที่เริ่มโตขึ้น
“ทำไมหญิงถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
“ก็หญิงอยากมีแม่นิเพคะ แต่หญิงมิอยากเจอกับแม่เลี้ยงใจร้าย”
ยิ่งได้ฟังคำตอบจากคุณหญิงรัตน์ณา หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ก็ยิ่งตกพระทัยมาก ที่คุณหญิงรัตน์ณาเธอไม่เหมือนเด็ก 5 ขวบ อีกต่อไปแล้ว แต่กลับเข้าใจทุกสิ่งอย่างรอบตัวอย่างง่ายดาย
“หญิงอยากมีแม่หรือคะ?”
ท่านชายถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“เพคะ ท่านพ่อหาแม่ให้หญิงนะเพคะ แต่หญิงมิอยากได้แม่เลี้ยงใจร้ายเหมือนนางซินเลย”
“ได้ค่ะ พ่อสัญญาว่าพ่อจักหาแม่ให้หญิงนะคะ แม่ที่ใจดีแลรักหญิงจริงๆ มิใจร้ายเหมือนแม่เลี้ยงในนางซินแน่นอน แต่ตอนนี้หญิงต้องนอนก่อนนะคะ ฝันดีค่ะ”
ท่านชายตรัสจบก็บอกลาลูกอีกครั้งก่อนนอน
“ฝันดีเพคะ”
หญิงรัตน์ได้ยินคำมั่นสัญญานั้นก็ทั้งดีใจแลสบายใจจึงยอมนอนหลับอย่างง่ายดาย เธอคิดแลฝันอยากจักมีแม่ที่คอยดูแลเธอเหมือนคนอื่นๆมาตลอด
หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์เดินออกจากห้องนอนของคุณหญิงรัตน์ณามาที่ห้องบรรทมของพระองค์ แลทรงฉุดคิดได้ว่า ที่วันนี้หญิงรัตน์ขอฟังนิทานเรื่องนางซินก็เพราะว่าตนอยากจักมีแม่นี่เอง ท่านชายทรงกลุ้มพระทัยที่ตัวพระองค์เองพยายามจักเป็นทั้งพ่อแลแม่ให้กับคุณหญิงรัตน์ณาให้เธอไม่รู้สึกว่าขาดอะไรไปแต่ดูเหมือนจักทดแทนกันมิได้อยู่ดี
ก๊อก..ก๊อก..ก๊อก..
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ท่านชายหลุดออกมาจากภวังค์ขององค์เอง
“เข้ามา”
“เพคะ”
ดวงสาวรับใช้ได้ยินคำอนุญาตก็รับคำแลเปิดประตูเข้ามาพอดี
“หม่อมฉันชงน้ำชามาถวายก่อนนอนเพคะ”
“ขอบใจ แล้วก็รีบไปเถอะ”
“เพคะ”
ดวงคนที่อยู่ใกล้ชิดหม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์แลคุณหญิงรัตน์ณามากที่สุด กับรู้สึกแปลกใจที่วันนี้ท่านชายของตนไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว จึงเอ่ยถามขึ้น
“วันนี้ฝ่าบาททรงทำอะไรแปลกมาหรือไม่เพคะ?”
“ทำไม ฉันจักทำอะไรมิเกี่ยวกับหล่อนเสียหน่อย”
หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ตอบอย่างเย็นชาแลดุดวงนิดหน่อย
“ไม่เกี่ยวเพคะ แต่หม่อมฉันแปลกใจ เพราะนี่เวลา 2 ยาม แล้วเพคะ แต่ว่าฝ่าบาทยังมิกลายร่างเหมือนทุกทีเลย เพราะทุกทีเมื่อตะวันตกดินพระองค์จักกลายร่างแล้วเพคะ”
“พูดมากจริง ออกไปได้แล้ว”
“เพคะ”
ดวงไม่รอช้ารีบออกไปทันที เพราะรู้ดีว่าหม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ต้องไม่พอพระทัยเป็นแน่
เมื่อดวงออกไปแล้ว ท่านชายก็ทรงดำริตามที่ดวงเอ่ย ถึงที่ดวงเอ่ยทั้งหมดจักเป็นความจริงแต่ทำให้ขุ่นพระทัยไม่ใช่น้อย เพราะท่านชายไม่ชอบให้ใครมาย้ำเรื่องที่ตัวพระองค์เองเกลียดที่สุด
“เป็นเพราะอะไรกันแน่ นี่ก็ 2 ยามแล้ว ทำไมเราถึงยังมิกลายร่างอีก”
“เพราะหญิงสาวผู้นั้นไงเพคะ”
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นใต้เงาหลังม่านที่กระทบแสงจันทร์ในขณะที่ท่านชายกำลังประทับอยู่บนเตียง
“เธอหมายความว่าอย่างไร”
“วันนี้ฝ่าบาททรงพบหญิงสาวผู้ใดมาเล่าเพคะ”
ได้ยินคำตอบดังนั้นท่านชายก็ทรงดำริทบทวนอยู่ไม่น้อยว่าพระองค์พบหญิงใดมาบ้าง จึงดำริได้
“เป็นเธอ อย่างนั้นหรือที่หอสมุด?”
“หืม ทรงพบใครที่หอสมุดเพคะ?”
“เธอคนนั้น งดงามเกินกว่าใคร ไม่ว่าใครก็มองอย่างมิอาจละสายตาจากเธอได้เลย”
หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์กำลังตรัสบรรยาย ความงามของผู้หญิงคนหนึ่งที่พระองค์ได้พบวันนี้ ก็โดนผู้หญิงที่เป็นปริศนาคนนั้นเอ่ยตัดท่านชาย
“เธองดงามขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ?”
“ใช่ งามเกินกว่าใครที่เคยพบเห็น จริงสิวันนี้เราได้สัมผัสกับเธอผู้นั้นด้วย ช่วงเวลาที่ได้สัมผัสเธอราวกับเวลาได้หยุดนิ่งไปชั่วขณะก่อนจักเดินต่ออย่างไร้ปรานี มิทันได้เอื้อนเอ่ยสักคำเธอก็เดินจากโดยไม่หันหลังกลับมา หรือนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เรามิได้กลายร่างในวันนี้”
“อย่าเพิ่งดีพระทัยไปเลยเพคะ เธออาจจักใช่หรือมิใช่ก็ได้นะเพคะ?”
“หมายความว่าอย่างไร?”
“ฝ่าบาททรงจำคำทำนายจากหม่อมฉันมิได้แล้วหรือเพคะ หากทรงจำมิได้หม่อมฉันก็คงช่วยอะไรพระองค์มิได้ดอก คิดทบทวนให้ดีนะเพคะ หม่อมฉันขอตัวก่อน”
“ประ..เดี๋ยว!!”
หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์เรียกหญิงสาวปริศนาตรงหน้าพระองค์ไม่ทัน เธอก็หายไปจากตรงหน้าเสียแล้ว ท่านชายกลับมาอยู่ในภวังค์ความคิดอีกครั้ง เธอบอกไม่ให้ลืมคำทำนาย คนอย่างพระองค์ก็จำมันได้ดี ที่บอกว่า
‘มีสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่บริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา แลใจ เท่านั้นที่จักช่วยฝ่าบาทออกจากพันธนาการนี้ได้ แลมีสตรีอีกเพียงหนึ่งที่ตรงข้ามทุกประการจักฉุดฝ่าบาทให้ติดอยู่ที่พันธนาการนี้ชั่วนิรันดร์ คำบอกรักที่มาจากใจจริงจักช่วยถอนพันธนาการนี้ จงเลือกให้ดีเพคะว่านางคือผู้ใด ทุกอย่างที่ได้มาต้องแลกหนึ่งชีวิตเท่านั้น’
หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์มิรู้เลยว่าหญิงสาวที่พบเมื่อกลางวันคือใครแลเธอจักใช่คนที่พระองค์ตามหาหรือไม่ ท่านชายรู้แค่เพียงว่าเมื่ออยู่ใกล้เธอพระองค์สัมผัสได้ถึงอิสระที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน แลเธอคือความหวังเดียวที่มีอยู่ตอนนี้จากที่สิ้นหวังมานานแล้ว
ยาม 2 = เวลา 21:00น.-24:00น. นับตามเวลาแบบไทย มี 4 ยาม ยามละ3 ชั่วโมง แล้วยาม 2 ในนิยายคือช่วงเวลาประมาณ 21:00น.-22:00น.
ทรงงาน = ทำงาน รับสั่ง = พูด หัตถ์ = มือ. ขอบพระทัย = ขอบคุณ ขอบใจ. ห้องบรรทม = ห้องนอน
กลุ้มพระทัย = กลุ้มใจ. ตรัส = พูด ดีพระทัย = ดีใจ
ความคิดเห็น