ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Remove the curse with love คำสาปถอนด้วยรัก

    ลำดับตอนที่ #2 : ความสิ้นหวัง...ที่ไม่ริบหรี่

    • อัปเดตล่าสุด 21 ธ.ค. 65


    ทั้งสามคนเดินออกมาจากหอสมุด โดยที่นารานิทมีคุณชายนนทกูลคอยประคองอยู่ทำให้เป็นที่จับตามองของคนทั่วไปอย่างแปลกประหลาด

    “พี่นนท์ปล่อยนิทเถอะค่ะ นิทมิได้เป็นอะไรเสียหน่อย อายคนเขาค่ะ”

    นารานิทพูดเพราะเริ่มสังเกตเห็นคนมองมามากมาย

    “ค่ะ พี่ปล่อยแขนนิทก็ได้”

    คุณชายนนทกูลยอมปล่อยแขนน้องสาวแต่โดยดี เพราะตามใจ

    “ให้พี่ไปส่งนะคะ”

    คุณชายนนทกูลเอ่ยขึ้นเพราะจักได้มีเวลาพูดคุยกับสองสาวมากขึ้น แลไม่อยากให้พวกเธอต้องเดินกลับเอง

    “ดีเลยค่ะ นีก็มิอยากจะเดินแล้วเหมือนกัน เพราะพี่นิทพานีเดินมาทั้งวันแล้วค่ะ”

    นีฤนาถเอ่ยขึ้นก่อนที่นารานิทจะเอ่ย

    “หายงอนพี่แล้วรึ?”

    คถณชายนนทกูลแกล้งนีฤนาถไม่หยุด ก็น้องสาวตัวแสบน่าแกล้งเสียขนาดนี้ ส่วนนีฤนาถก็งอนแก้มป่องขึ้นไปนั่งหลังรถมิรอช้า ปล่อยให้นารานิทบ่นไปจักห้ามก็ห้ามไม่อยู่

    “ยัยนีอะไรกันเรื่องแค่นี้ทำเป็นบ่นไป มิเป็นไรดอกค่ะ ร้านเราก็ใกล้แค่นี้เอง”

    “ใกล้เสียที่ไหนคะ ขึ้นสามล้อยังต้องเสียคนละ 6 บาท”

    “ให้พี่ไปส่งเราเถอะนะคะ ครั้งนี้ตามใจพี่บ้างเถอะนะคะ น้องนิท”

    คุณชายนนทกูลทำท่าทางอ้อนน้องสาวตัวเอง ให้เขาได้ดูแลพวกเธอบ้าง แต่ก็แน่นอนว่านารานิทเป็นคนขี้ใจอ่อนแต่ไหนแต่ไร แค่อ้อนนิดอ้อนหน่อยเธอต้องยอมเป็นใจอ่อนเสียทุกที ครั้งนี้ก็หนีมิพ้นเช่นกัน

    “ได้ค่ะ นิทยอมแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะคะ”

    “เย่~ ไปกันเถอะค่ะ”

    นีฤนาถไม่รอช้าเมื่อนารานิทอนุญาตเธอตะโกนลั่น ที่ไม่ต้องนั่งเบียดในสามล้ออีกแล้ว ใครเห็นก็เป็นต้องห้ามปรามแต่ห้ามมิได้ ก็ต้องปล่อยไปแต่กลับมีความยิ้มเอ็นดูให้นีฤนาถแทน อย่างนารานิทกับคุณชายนนทกูลเป็นต้น ที่รู้จักน้องสาวตัวเองดีว่าเป็นเช่นไร แค่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็เป็นพอ

     

    ไม่นานนักคุณชายนนทกูลก็ขับรถมาถึงร้านตัดเสื้อนฤบดินทร์ ร้านตัดเสื้อของนารานิทแลนีฤนาถ

    “ถึงแล้วค่ะ”

    คุณชายนนทกูลบอกกับน้องๆ นารานิทแลนีฤนาถก็ลงจากรถ

    “ขอบพระคุณค่ะ”

    “ขอบพระคุณค่ะ”

    สองสาวกล่าวขอบคุณพร้อมกัน

    “จะเข้าไปหาคุณแม่หรือไม่คะ?”

    นารานิทเอ่ยถามคุณชายนนทกูล

    “ไม่ค่ะ ไว้พี่จะหาเวลามาเยี่ยมท่านอีกที ประเดี๋ยวพี่กลับวังช้าหม่อมแม่จักบ่นพี่เอา”

    คุณชายนนทกูลตอบนารานิท

    “ค่ะ จริงสินิทเกือบลืมไป! พี่นนท์รอนิทประเดี๋ยวนะคะ”

    “ได้เลยค่ะ”

    นารานิทกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าร้านไป เธอหยิบของที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้บนโต๊ะออกมา

    “นี่ค่ะ พี่นนท์ ตอนแรกนิทจักส่งไปรษณีย์ไปให้หม่อมป้ากับท่านลุง แต่พี่นนท์กลับมาพอดีนิทฝากส่งทางพี่นนท์ดีกว่าค่ะ เป็นของขวัญไถ่โทษที่นิทกับนางไม่มีเวลาไปเยี่ยมพวกท่านเลยค่ะ”

    “พี่ขอบใจแทนหม่อมแม่กับท่านพ่อนะคะ ประเดี๋ยวพี่จักบอกพวกท่านให้นิทไม่ต้องห่วงนะ”

    คุณชายนนทกูลพูดจบพร้อมเอื้อมมือไปลูบหัวน้องสาวด้วยความเอ็นดู

    “ขอบพระคุณค่ะ ฝากความคิดถึงให้พวกท่านด้วยนะคะจากพวกเราสามแม่ลูกค่ะ”

    “ได้เลยค่ะ พี่กลับก่อนนะคะ”

    นี่ก็ใกล้จักค่ำแล้ว คุณชายนนทกูลคิดว่าคงถึงเวลากลับเสียที

    “สวัสดีค่ะ พี่นนท์เดินทางปลอดภัยนะคะ”

    คุณชายนนทกูลรับไว้นารานิทแล้วโบกมือให้ก่อนถอยรถออกไป

     

    - ณ วังนิรามาศ -

    “หม่อมเจ้าขา คุณชายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

    นางจวง ข้ารับใช้ของหม่อมมณีวรรณ นิรณากุล รีบวิ่งแจ้นด้วยความรีบร้อนเพื่อมาบอกหม่อมมณีวรรณว่าลูกชายของหม่อมได้กลับบ้านมาแล้ว

    "ฉันรู้แล้วน่ะนางจวง ได้ยินเสียงรถแล้ว เพิ่งมาถึงพระนครแท้ ๆ ออกไปเถลไถลที่ไหนมานะ ถึงได้กลับมาค่ำเยี่ยงนี้"

    “อิฉันมิรู้เจ้าค่ะ”

    นางจวงรีบตอบทันควัน โดยไม่ทันนึกคิดอะไร

    “ฉันมิได้ถามแก แกจักไปทำอะไรก็ไปทำไป”

    “เจ้าค่ะ หม่อม”

    หม่อมมณีวรรณประเดี๋ยวลุกประเดี๋ยวนั่ง อยู่ไม่ติดที่ ชะเง้อมองหาลูกชายของตนด้วยความตื่นเต้น ไม่นานนัก คุณชายนนทกูลก็เดินเข้าวังมาพอดี

    “หม่อมแม่ ทำอะไรหรือครับ?”

    “โธ่ ตานนท์แม่ก็มารอลูกกลับวัง ก็เพราะลูกเล่นถึงวังแล้วออกไปข้างนอกเลย มาหาแม่กับท่านพ่อก่อนก็มิได้”

    คุณชายนนทกูลได้ยินดังนั้นก็สวมกอดหม่อมมณีวรรณพร้อมพูดปลอบใจ

    “หม่อมแม่ ชายขออภัยครับ ก็เพราะชายอยากไปร่วมงานหนังสือที่จัดขึ้นวันนี้เลยรีบออกไปมิทันได้เข้ามากราบหม่อมแม่ก่อนครับ”

    หม่อมมณีวรรณกอดลูกหนำใจแล้วจึงผละออกเพื่อพูดกับคุณชายนนทกูลต่อ

    “หืม งานหนังสือ? ที่หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์จัดขึ้นน่ะหรือ?”

    “ครับ ชายตั้งใจว่าจักไปร่วมงานสักหน่อย แต่ดันบังเอิญเจอหนูนิทยัยนีเข้าเลยมิได้เข้าร่วมเลยครับหม่อมแม่”

    “ลูกเจอหนูนิทกับหนูนีด้วยหรือจ๊ะ?”

    หม่อมมณีวรรณถามลูกอีกครั้งด้วยความสงสัย

    “ใช่ครับ  หนูนิทฝากของขวัญมาให้หม่อมแม่แลท่านพ่อด้วยนะครับ เธอบอกว่าแทนคำขอโทษที่มิได้มีเวลามาเยี่ยมหม่อมแม่กับท่านพ่อเลย แลฝากความคิดถึงมาให้ด้วยครับ”

    คุณชายพูดพร้อมหยิบของขวัญที่อยู่ติดมือให้กับหม่อมแม่ของตน

    “ไหนดูสิ ว่าหนูนิทเอาอะไรมาให้แม่”

    “เอะอะไรกันคุณ เสียงดังถึงข้างบน อ้าวแล้วนี่ตานนท์กลับมาตั้งแต่เมื่อใดล่ะนั่น”

    หม่อมเจ้าพิษณุ นิรณากุล ตรัสขึ้นเพราะได้ยินเสียงของหม่อมมณีวรรณคุยเจื้อยแจ้วเสียงดัง จนพระองค์ทรงงานมิได้จึงต้องลงมาดู ก็พบว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกลับบ้านกลับเมืองมาแล้วไม่บอกกล่าวกันเสียเลย

    “แหม ท่านชายเพคะ ก็เพราะหม่อมฉันตื่นเต้นกับของขวัญที่หนูนิทฝากลูกมาให้หม่อมฉันนะสิเพคะ”

    “ส่วนชาย กลับมาแต่เมื่อบ่ายแล้วกระหม่อม แต่รีบออกไปข้างนอกเสียก่อนเลยมิได้เข้ามากราบท่านพ่อแลหม่อมแม่ ชายกราบขออภัยด้วยนะกระหม่อม”

    สองแม่ลูกตอบคำถามหม่อมเจ้าพิษณุเสร็จ คุณชายนนทกูลก็ก้มลงกราบท่านพ่อแลหม่อมแม่ของตนทันที ทั้งกราบขอโทษแลกราบที่กลับมาบ้านแล้ว 

    หม่อมเจ้าพิษณุ หม่อมมณีวรรณรับไหว้ลูกแล้วให้คุณชายนนทกูลลุกขึ้นมานั่งที่เดิม

    “กลับมาปลอดภัยก็ดีแล้ว อยู่เป็นเพื่อนแม่เขาเถอะ พ่อจักขึ้นไปทำงานต่อแล้ว”

    “ขอรับกระหม่อม”

    หม่อมเจ้าพิษณุรับสั่งเสร็จกำลังจุักเสด็จไปก็โดนหม่อมมณีวรรณห้ามเสียก่อน

    “แล้วท่านชายมิอยู่เปิดของฝากด้วยกันก่อนหรือเพคะ?”

    “ไม่ล่ะ คุณเปิดเองไปเถอะ ผมมีงานต้องรีบจัดการ ประเดี๋ยววันพรุ่งจะมีแขกมาบ้านเรา คุณรีบเตรียมต้อนรับเขาให้ดีด้วยล่ะ”

    “เพคะ แขกที่ไหนกันเพคะ?”

    “ประเดี๋ยววันพรุ่ง คุณก็รู้เอง”

    หม่อมเจ้าพิษณุรับสั่งอย่างนั้นเสร็จ ก็เสด็จขึ้นห้องทรงงานทันที ปล่อยให้หม่อมมณีวรรณแลคุณชายนนทกูลสงสัยกันว่าวันพรุ่งนี้แขกของท่านชายพิษณุที่ไหนกันจักมาวังของเรา แต่หม่อมมณีวรรณก็มิได้สนใจอะไรมากนัก นั่งคุยกับลูกชายและเปิดของฝากที่ตนได้ต่อ 

     

    - วังเสี้ยวหฤทัย -

    “ท่านพ่อเพคะ ทรงเหนื่อยไหมเพคะ”

    คุณหญิงรัตน์ณา อิเกศวร วัย 5 ปี ได้ถามท่านพ่อของตนเองด้วยความออดอ้อนจนใคร ๆ เห็นเป็นต้องเอ็นดูเธอทั้งนั้นไว้เว้นแม้แต่หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ พ่อของหญิงรัตน์เอง

    “ไม่เหนื่อยเลยค่ะ วันนี้หญิงรัตน์อยากให้พ่อเล่านิทานเรื่องอะไรให้ฟังคะ”

    “หญิงอยากฟังเรื่องนางซินเพคะ ได้ไหมเพคะท่านพ่อ”

    ลูกหญิงของท่านชายอ้อนเสียขนาดนี้ มีหรือว่าท่านชายจักมิทรงพระทัยอ่อนให้กับลูกของพระองค์เอง

    พระองค์ไม่ทรงรอช้า รีบลุกจากโต๊ะทรงงานขึ้นแลไปอุ้มหญิงรัตน์ไว้ในหัตถ์

    “ไปกันค่ะพ่อจักเล่านิทานเรื่องนางซินให้หญิงฟัง”

    “เย่~ ขอบพระทัยเพคะท่านพ่อ”

    หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์อุ้มคุณหญิงรัตน์ณาให้มานอนที่เตียงแลเริ่มเล่านิทานให้คุณหญิงรัตน์ณาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

    “นิทานจบแล้วค่ะ หญิงรัตน์ควรนอนได้แล้ว”

    “เพคะท่านพ่อ”

    ท่านชายทรงหอมแก้มลูกเบาๆอย่างทะนุถนอม แลห่มผ้าให้กับหญิงรัตน์

    “ท่านพ่อเพคะ ท่านพ่อทรงคิดว่าหญิงจักเจอกับแม่เลี้ยงใจร้ายเหมือนกับนางซินไหมเพคะ?”

    หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ทรงตกพระทัยกับคำถามของคุณหญิงรัตน์ณา ว่าทำไมเธอถึงได้มีความคิดที่เริ่มโตขึ้น

    “ทำไมหญิงถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”

    “ก็หญิงอยากมีแม่นิเพคะ แต่หญิงมิอยากเจอกับแม่เลี้ยงใจร้าย”

    ยิ่งได้ฟังคำตอบจากคุณหญิงรัตน์ณา หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ก็ยิ่งตกพระทัยมาก ที่คุณหญิงรัตน์ณาเธอไม่เหมือนเด็ก 5 ขวบ อีกต่อไปแล้ว แต่กลับเข้าใจทุกสิ่งอย่างรอบตัวอย่างง่ายดาย

    “หญิงอยากมีแม่หรือคะ?”

    ท่านชายถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

    “เพคะ ท่านพ่อหาแม่ให้หญิงนะเพคะ แต่หญิงมิอยากได้แม่เลี้ยงใจร้ายเหมือนนางซินเลย”

    “ได้ค่ะ พ่อสัญญาว่าพ่อจักหาแม่ให้หญิงนะคะ แม่ที่ใจดีแลรักหญิงจริงๆ มิใจร้ายเหมือนแม่เลี้ยงในนางซินแน่นอน แต่ตอนนี้หญิงต้องนอนก่อนนะคะ ฝันดีค่ะ”

    ท่านชายตรัสจบก็บอกลาลูกอีกครั้งก่อนนอน 

    “ฝันดีเพคะ”

    หญิงรัตน์ได้ยินคำมั่นสัญญานั้นก็ทั้งดีใจแลสบายใจจึงยอมนอนหลับอย่างง่ายดาย เธอคิดแลฝันอยากจักมีแม่ที่คอยดูแลเธอเหมือนคนอื่นๆมาตลอด

    หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์เดินออกจากห้องนอนของคุณหญิงรัตน์ณามาที่ห้องบรรทมของพระองค์ แลทรงฉุดคิดได้ว่า ที่วันนี้หญิงรัตน์ขอฟังนิทานเรื่องนางซินก็เพราะว่าตนอยากจักมีแม่นี่เอง ท่านชายทรงกลุ้มพระทัยที่ตัวพระองค์เองพยายามจักเป็นทั้งพ่อแลแม่ให้กับคุณหญิงรัตน์ณาให้เธอไม่รู้สึกว่าขาดอะไรไปแต่ดูเหมือนจักทดแทนกันมิได้อยู่ดี

    ก๊อก..ก๊อก..ก๊อก..

    เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ท่านชายหลุดออกมาจากภวังค์ขององค์เอง 

    “เข้ามา”

    “เพคะ”

    ดวงสาวรับใช้ได้ยินคำอนุญาตก็รับคำแลเปิดประตูเข้ามาพอดี

    “หม่อมฉันชงน้ำชามาถวายก่อนนอนเพคะ”

    “ขอบใจ แล้วก็รีบไปเถอะ”

    “เพคะ”

    ดวงคนที่อยู่ใกล้ชิดหม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์แลคุณหญิงรัตน์ณามากที่สุด กับรู้สึกแปลกใจที่วันนี้ท่านชายของตนไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว จึงเอ่ยถามขึ้น

    “วันนี้ฝ่าบาททรงทำอะไรแปลกมาหรือไม่เพคะ?”

    “ทำไม ฉันจักทำอะไรมิเกี่ยวกับหล่อนเสียหน่อย”

    หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ตอบอย่างเย็นชาแลดุดวงนิดหน่อย

    “ไม่เกี่ยวเพคะ แต่หม่อมฉันแปลกใจ เพราะนี่เวลา 2 ยาม แล้วเพคะ แต่ว่าฝ่าบาทยังมิกลายร่างเหมือนทุกทีเลย เพราะทุกทีเมื่อตะวันตกดินพระองค์จักกลายร่างแล้วเพคะ”

    “พูดมากจริง ออกไปได้แล้ว”

    “เพคะ”

    ดวงไม่รอช้ารีบออกไปทันที เพราะรู้ดีว่าหม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ต้องไม่พอพระทัยเป็นแน่ 

    เมื่อดวงออกไปแล้ว ท่านชายก็ทรงดำริตามที่ดวงเอ่ย ถึงที่ดวงเอ่ยทั้งหมดจักเป็นความจริงแต่ทำให้ขุ่นพระทัยไม่ใช่น้อย เพราะท่านชายไม่ชอบให้ใครมาย้ำเรื่องที่ตัวพระองค์เองเกลียดที่สุด

    “เป็นเพราะอะไรกันแน่ นี่ก็ 2 ยามแล้ว ทำไมเราถึงยังมิกลายร่างอีก”

    “เพราะหญิงสาวผู้นั้นไงเพคะ”

    เสียงผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นใต้เงาหลังม่านที่กระทบแสงจันทร์ในขณะที่ท่านชายกำลังประทับอยู่บนเตียง

    “เธอหมายความว่าอย่างไร”

    “วันนี้ฝ่าบาททรงพบหญิงสาวผู้ใดมาเล่าเพคะ”

    ได้ยินคำตอบดังนั้นท่านชายก็ทรงดำริทบทวนอยู่ไม่น้อยว่าพระองค์พบหญิงใดมาบ้าง จึงดำริได้

    “เป็นเธอ  อย่างนั้นหรือที่หอสมุด?”

    “หืม ทรงพบใครที่หอสมุดเพคะ?”

    “เธอคนนั้น งดงามเกินกว่าใคร ไม่ว่าใครก็มองอย่างมิอาจละสายตาจากเธอได้เลย”

    หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์กำลังตรัสบรรยาย ความงามของผู้หญิงคนหนึ่งที่พระองค์ได้พบวันนี้ ก็โดนผู้หญิงที่เป็นปริศนาคนนั้นเอ่ยตัดท่านชาย

    “เธองดงามขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ?”

    “ใช่ งามเกินกว่าใครที่เคยพบเห็น จริงสิวันนี้เราได้สัมผัสกับเธอผู้นั้นด้วย ช่วงเวลาที่ได้สัมผัสเธอราวกับเวลาได้หยุดนิ่งไปชั่วขณะก่อนจักเดินต่ออย่างไร้ปรานี มิทันได้เอื้อนเอ่ยสักคำเธอก็เดินจากโดยไม่หันหลังกลับมา หรือนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เรามิได้กลายร่างในวันนี้”

    “อย่าเพิ่งดีพระทัยไปเลยเพคะ เธออาจจักใช่หรือมิใช่ก็ได้นะเพคะ?”

    “หมายความว่าอย่างไร?”

    “ฝ่าบาททรงจำคำทำนายจากหม่อมฉันมิได้แล้วหรือเพคะ หากทรงจำมิได้หม่อมฉันก็คงช่วยอะไรพระองค์มิได้ดอก คิดทบทวนให้ดีนะเพคะ หม่อมฉันขอตัวก่อน”

    “ประ..เดี๋ยว!!”

    หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์เรียกหญิงสาวปริศนาตรงหน้าพระองค์ไม่ทัน เธอก็หายไปจากตรงหน้าเสียแล้ว ท่านชายกลับมาอยู่ในภวังค์ความคิดอีกครั้ง เธอบอกไม่ให้ลืมคำทำนาย คนอย่างพระองค์ก็จำมันได้ดี ที่บอกว่า

    ‘มีสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่บริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา แลใจ เท่านั้นที่จักช่วยฝ่าบาทออกจากพันธนาการนี้ได้ แลมีสตรีอีกเพียงหนึ่งที่ตรงข้ามทุกประการจักฉุดฝ่าบาทให้ติดอยู่ที่พันธนาการนี้ชั่วนิรันดร์ คำบอกรักที่มาจากใจจริงจักช่วยถอนพันธนาการนี้ จงเลือกให้ดีเพคะว่านางคือผู้ใด ทุกอย่างที่ได้มาต้องแลกหนึ่งชีวิตเท่านั้น’

    หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์มิรู้เลยว่าหญิงสาวที่พบเมื่อกลางวันคือใครแลเธอจักใช่คนที่พระองค์ตามหาหรือไม่ ท่านชายรู้แค่เพียงว่าเมื่ออยู่ใกล้เธอพระองค์สัมผัสได้ถึงอิสระที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน แลเธอคือความหวังเดียวที่มีอยู่ตอนนี้จากที่สิ้นหวังมานานแล้ว

     


    ยาม 2 = เวลา 21:00น.-24:00น.  นับตามเวลาแบบไทย มี 4 ยาม ยามละ3 ชั่วโมง  แล้วยาม 2 ในนิยายคือช่วงเวลาประมาณ 21:00น.-22:00น.

     ทรงงาน = ทำงาน  รับสั่ง = พูด  หัตถ์ = มือ.  ขอบพระทัย = ขอบคุณ ขอบใจ.  ห้องบรรทม = ห้องนอน 

    กลุ้มพระทัย = กลุ้มใจ.  ตรัส = พูด   ดีพระทัย = ดีใจ

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×