ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Remove the curse with love คำสาปถอนด้วยรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : ความประทับใจแรกพบ

    • อัปเดตล่าสุด 21 ธ.ค. 65


    ณ หอสมุดกลางกรุงพระนคร 

    "แม่ครู วันนี้มีงานหรือคะ หอสมุดดูครึกครื้นกันเทียว"

    "ก็งานนิทรรศการนั่นแหละจ้ะ พวกเจ้านายเขาจัดกัน ว่าเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้างแหละ แม่นี"

    "แล้วอย่างนี้ฉันกับพี่นิทจักเข้าไปได้หรือไม่คะ"

    "เข้าไปได้สิ ไม่เป็นไรดอก คนทั่วไปก็เข้าได้ปกตินั่นแหละ"

    "ใครจัดงานนี้หรือคะแม่ครู"

    นารานิทเป็นฝ่ายถามเสียบ้าง

    "ก็เห็นว่าเป็นหม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ อิเกศวร อะไรนี่แหละจ้ะ แม่นิท"

    “ท่านเป็นใครหรือคะ ฉันไม่เคยเห็นได้ยินชื่อของท่านกับเขาบ้างเลย จริงไหมจ๊ะพี่นิท”

    นีฤนาถถามถึงตัวตนของเจ้าของงานที่เธอไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อนเลย

    “จักไม่ให้รู้จักได้อย่างไร ก็ท่านเพิ่งจะเปิดตัวเองออกงานให้คนอย่างเรา ๆ เห็นครั้งแรกก็วันนี้เอง เพราะที่ผ่านมาท่านปิดตัวออกงานสังคมส่วนตัว มีแต่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่ฐานะเท่ากันหรือสูงกว่าเท่านั้นที่จักเห็นท่านได้ วันหน้าก็อาจจักได้ยินชื่อท่านบ่อย ๆ เอง”

    " เป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่าเล่าถึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย แม่ครูค่ะงั้นฉันพาพี่นิทเข้าไปหาหนังสือแล้วนะคะ มิรบกวนแม่ครูแล้วค่ะ"

    นีฤนาถเอ่ยตัดบทเสียดื้อ ๆ ซะอย่างนั้น เพราะดูท่าทางจะรีบน่าดู

    "จ้า ๆ เชิญกันตามสบายจ้ะ"

     

    สองสาววัยแรกรุ่นพากันเดินขึ้นกระไดหอสมุดไปยังชั้นสอง ระหว่างทางมีแต่คนจับมองเป็นตาเดียวเพราะความงามของนารานิทคนที่เป็นพี่ ไม่ว่าเธอจะย่างกรายไปที่ใดก็เป็นที่สะดุดตา รักใคร่เอ็นดูของใครหลายคนที่รู้จักเธอทั้งนั้น แลไม่เว้นแม้แต่หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ อิเกศวร ที่ขึ้นชื่อว่าไม่เคยมองหญิงใดเลย แลยังมีหัวใจที่เย็นชาเสียด้วย ยังอดไม่ได้จักต้องมองเธออย่างมิวางเนตร

    "พี่นิท ฉันจักไปหาหนังสือห้องนี้แล้วพี่ล่ะ"

    "พี่ก็อยู่ห้องเดิมของพี่นั่นแหละ นีไปเถอะมีอะไรก็ตามพี่แล้วกันจ้ะ"

    "ได้จ้ะพี่นิท"

    เมื่อสองสาวแยกกันไปห้องหนังสือที่ตัวเองต้องการ ก็มีเสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยถึงเธอทั้งสองแทบจักทันที โดยเฉพาะนารานิทที่โดนเอ่ยถึงมากกว่านีฤนาถเสียอีก

    ‘นี่ เห็นนั่นไหม ผู้หญิงคนนั้นน่ะ เป็นใครกันคะ ถึงได้สวย งามสง่าเหมือนลูกผู้ดีมีตระกูลเสียอย่างนั้น’

    ผู้หญิงที่มาร่วมงานคนหนึ่งพูดขึ้น

    ‘นั่นน่ะสิ กระผมเองก็มิรู้จักเธอเหมือนกัน สวยราวกับนางฟ้ามาเกิดเสียอย่างนั้น ใครได้ไปครองคงโชคดี’

    ผู้ชายที่มาร่วมงานก็เอ่ยสนับสนุน ก็เขาดันเห็นด้วยที่นารานิทงามจับตา จนตัวเขาเองก็อยากครอบครองอย่างที่เอ่ยนั่นแหละ

    ‘คงหนีมิพ้น ท่านชายพัทธ์ แล้วกระมัง กระผมว่า’

    ผู้ชายที่มาร่วมงานอีกคนก็พูดขัด ราวกับให้ทุกผู้ทุกคนฝันสลายพร้อมกัน

    ‘หมายความว่าอย่างไรกันคะ?’

    ‘ดูนั่นสิ ตั้งแต่เห็นเธอเดินเข้าห้องไป ท่านชายก็ตามเธอไปติด ๆ เลย’

    พูดอีกก็ถูกอีกทุกคนคิด หญิงงามก็ต้องเหมาะกับเจ้าชายรูปงามอย่างในนิยาย ที่จักหาใครเทียมมิได้

    ‘ว้าย ตายจริง งั้นอย่างนี้ดิฉันก็อดสิคะเนี่ย’

    ผู้หญิงอีกคนที่ฟังอยู่เงียบ ๆ เอ่ยขึ้นบ้าง

     

    ถึงแม้คำนินทาบอกเล่าข้างนอกจักหนาหูอย่างไร หม่อมเจ้าอย่างท่านชายก็ไม่หวั่นสักนิด ใครจักสนใจคำนินทาพวกนั้นมากกว่าเธอที่อยู่ตรงหน้ากันเล่า ท่านชายค่อย ๆ ตามไปทีละก้าวของอีกฝั่ง มองดูเธออย่างทะนุถนอมอย่างที่มิเคยทะนุถนอมผู้ใดมาก่อน ถึงแม้ว่าเธอจักไม่สังเกตพระองค์ก็ตาม

    นารานิทเดินผ่านชั้นวางหนังสือไปอย่างช้า ๆ โดยที่เธอไม่ทันสังเกตสักนิดว่าใครกำลัังมองตามเธออยู่จากอีกฝั่งของชั้นวางหนังสือ จนมาถึงหนังสือที่เธอต้องการ ตอนเธอเอื้อมหยิบหนังสือจากชั้นบน พระองค์ไม่รอช้าที่จักวิ่งไปเอื้อมหยิบหนังสือให้เธอทันที ไม่รู้ว่าโชคชะตากำหนดอะไรท่านชายทรงคิด ถึงได้ทำให้มือของเราสัมผัสกันโดยบังเอิญ เหมือนเวลานั้นหยุดนิ่งชั่วขณะ จนเธอหันมามองหน้าเขา แต่เพราะเราอยู่ใกล้กันเกินไปกระมัง ทำให้ริมฝีโอษฐ์ของท่านชายได้สัมผัสหน้าผากของเธอเบา ๆ

    หญิงสาวตรงหน้าได้แต่ตกใจแล้วถอยหลังออกมา หน้าของเธอแดงก่ำอย่างไม่รู้ตัวเพราะความเขินอาย ไม่เคยมีชายใดสัมผัสหรือแตะต้องตัวเธอได้มากเท่านี้มาก่อน เธอทำตัวไม่ถูก นอกจากต้องขอบคุณออกไป แล้วจึงเดินหนีออกมา เธอคิดดังนั้นก็เอื้อนเอ่ยคำออกไป

    “ขะ..ขอบพระคุณค่ะ”

    “ปะ..ประเดี๋ยว!!”

    เธอเอ่ยจบก็แทบจะวิ่งออกมาจากตรงนั้นทันที โดยไม่สนใจคำเรียกของเขาอีกแล้ว ทำได้แค่ปล่อยเขาทิ้งไว้ตรงนั้น

    ส่วนหม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์เมื่อเรียกเธอไม่หันกลับมา ก็ทำได้เพียงแค่เผลอแย้มพระโอษฐ์ออกมาให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด โชคชะตาช่างเล่นตลกจริง ๆ ท่านชายทรงคิด

    หลังจากนารานิทสงบสติอารมณ์ให้คงที่ได้แล้วเธอเดินออกจากห้องไปพร้อมหนังสือเล่มโปรด

    “พี่นิท! เร็วเข้ารีบไปกันเถอะ”

    นีฤนาถไม่รอช้าพูดจบก็จับมือพี่สาวอย่างนารานิทเดินลงกระไดแทบจะทันที

    “อะไรกันยัยนีใจเย็นก่อน เกิดอะไรขึ้นถึงได้รีบร้อนขนาดนี้ ประเดี๋ยวก็พากันหกล้มตกกระไดดอก”

    ถึงแม้จะพูดห้ามปรามน้องสาวอย่างไรนารานิทก็โดนดึงให้ไปด้วยกันอยู่ดี

    “นีกำลังหนีอยู่ค่ะ รีบไปกันเถอะค่ะ”

    เธอไม่อยากอธิบายตอนนี้ว่าเพราะอะไร ได้เพียงเอ่ยสั้น ๆ เท่านั้น

    “หนีผู้ใดอยู่รึ? ทำไมต้องรีบปานนั้นด้วยเล่า”

    นารานิทยังคงสงสัยเช่นเดิม จนนีฤนาถจนปัญญาจักอธิบายให้เข้าใจได้ในทันที

    “เอาเป็นว่ารีบออกจากที่นี่กันก่อนเถอะค่ะ ประเดี๋ยวนีเล่าให้ฟัง”

    “ใจเย็นก่อนสิพี่วิ่งตามเรามิทัน ถ้าหากล้มจักทำอย่างไร”

    “พี่นิทมิล้มดอกน่า รีบหน่อยเถอะค่ะ”

    “คุณพระ..ยัยนี!!!!”

    พูดไม่ทันขาดคำนารานิทก็สะดุดกระไดเล็กน้อยจนเกือบล้มลงไป แต่มีคนมารับไว้ทัน

    ฟึ่บบ~

    “เป็นอะไรหรือไม่ครับ”

    เขาเอ่ยถามด้วยความหวังดีให้ผู้หญิงตรงหน้าที่เขารับไว้ทัน ขณะที่กำลังจะเดินขึ้นกระไดพอดี

    “ไม่เป็นไรค่ะ”

    เธอตอบรับน้ำใจเขาไว้อย่างนั้น แล้วจึงผละเขาออกเบา ๆ อย่างสุภาพ เพราะเธอเองทำตัวไม่ถูกที่ต้องเหมือนสวมกอดชายแปลกหน้าตรงหน้าเธอ

    “อ้าว น้องนิทใช่หรือไม่ แล้วนั่นยัยนีหรือ บังเอิญจริง”

    พอมองหน้าหญิงสาวทั้งสองตรงหน้าอย่างเต็มตา เขาก็จำขึ้นได้ว่าเธอทั้งสองหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับน้องสาวแสนสวยของตัวเองทั้งสองคน จึงเอ่ยทักอย่างมั่นใจเสียอย่างนั้น

    “พี่นนท์หรือคะ มิเจอเสียนาน นิทเกือบจำมิได้เลยค่ะ แล้วนี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไรคะ”

    เธอจำไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ แต่เพราะคำพูดจาที่ดูสนิทสนมเป็นพิเศษทำให้เธอจำได้ ว่ามีแค่คุณชายนนทกูล พี่ชายคนเดียวของเธอเท่านั้นที่สามารถพูดจากับเธออย่างนี้ได้ เพราะเธอไม่เคยเสวนากับชายใดมากเป็นพิเศษแลสนิทสนมเช่นนี้ดอก นอกเสียจากลูกค้าที่ร้านตัดเสื้อของเธอนั่น

    “ใช่พี่เอง พี่เพิ่งกลับมาวันนี้เอง โชคดีนะที่มิใช่ผู้ชายคนอื่นมารับเรา แล้วนี่เจ็บตรงไหนบ้างพี่ดูหน่อยค่ะ”

    ก็เพราะคุณชายนนทกูลก็หวงน้องสาวคนโตของเขาเหมือนกัน ก็ไม่อยากให้ชายที่ไหนมาแตะต้องเธอดอก หากไม่ใช่ตนหรือคนที่เธอสนิทด้วยจริง ๆ และรู้ว่านารานิทคงไม่ชอบให้ชายใดแตะตัวเธอเช่นกัน

    “นิทไม่เจ็บดอกค่ะ โชคดีเหลือเกินค่ะที่พี่นนท์มารับนิทไว้ มิอย่างนั้นคงล้มน่าอายเป็นแน่เพราะยัยนีคนเดียว”

    “นีขอโทษนะคะ ก็นีรีบนี่ค่ะ”

    นีฤนาถเมื่อได้โอกาสเอ่ย ก็รีบยกมือไหว้ขอโทษนารานิททันที

    “แล้วจักรีบไปไหนล่ะ หืม? หรือว่าจักหลบหน้าพี่?”

    คุณชายนนทกูลเอ่ยหยอกล้อนีฤนาถ ก็เขาเพิ่งจักมาถึงแต่นีฤนาถกับดูรีบรนอยากไปจากที่นี่เสียใจจักขาดขนาดนั้น

    “ปะ..เปล่าเสียหน่อย นีแค่หนีใครบางคนที่มิใช่พี่นนท์ดอกค่ะ”

    เธอเสียอาการเล็กน้อย ที่โดนจับได้ขนาดนี้ เธอได้ยินคนข้างนอกเอ่ยมาว่าพี่นนท์ของเธอจักมาก็ไม่อยากจักเจอหน้าเสียเลย แต่ก็มิใช่อยากจะเจอหน้าทีเดียว แต่คงเพราะต่อให้เจอกันก็คงจะจำกันไม่ได้กระมัง สู้ไปรอเจอที่วังเสียดีกว่า ก็พี่ชายตัวดีเล่นไปเมืองนอกไม่บอกลากันแถมกลับมาเมื่อใดก็ไม่บอกกล่าวกันอีก ไม่ติดต่อกันเยี่ยงนี้เธอก็ไม่อยากเจอหน้าคนใจร้ายอย่างคุณชายนนทกูลดอก

    “ต้องใช่แน่ ๆ เลยค่ะพี่นนท์ ยัยนีต้องตั้งใจหลบหน้าพี่นนท์เป็นแน่”

    นารานิทอมยิ้มเล็กน้อย เธอก็ลองหยอกล้อเสริมทัพนีฤนาถบ้าง นีฤนาถคิดอะไรในใจเธอก็พอเดาออกได้บ้าง

    “พี่นิท นีบอกมิใช่ก็มิใช่สิคะ ถึงต่อให้มิหลบหน้ากันพี่นนท์ก็คงจะจำพวกเราไม่ได้ดอกค่ะ”

    นีฤนาถทำหน้าบึ้งตึงแล้วเดินย่ำเท้าออกไป

    “อ้าว งอนเราจนเดินไปนู้นแล้วค่ะ พี่ยังไม่ทันจักเถียงกลับเลย”

    คุณชายนนทกูลหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ

    “ปล่อยไปเถอะค่ะ ประเดี๋ยวก็หายเองแบบทุกที”

    ครั้งนี้เธอหัวเราะตามพี่ชายบ้างแต่ก็ไม่ลืมเอามือมาปิดปากตัวเองไว้ไม่ให้เสียมารยาท

    “แล้วนี้เราไม่เจ็บตรงไหนจริง ๆ ใช่ไหมคะ”

    “ไม่ค่ะ นิทมิเป็นไรจริง ๆ นะคะ”

    “ตกลง ประเดี๋ยวให้พี่ช่วยประคองนะคะ”

    คุณชายนนทกูลเขามิรอให้นารานิทเอ่ยพูดออกมาสักคำ ก็เข้าประคองน้องสาวทันทีตามที่เจ้าตัวพูด เพราะเป็นห่วงจนไม่ยอมเชื่อที่น้องสาวบอกน่ะสิ มีแค่นารานิทคนเดียวที่เขาจะทะนุถนอม อ่อนโยนกับเธอ ก็เพราะเธอไร้เดียงสาเกินไปกระมัง หากเป็นนีฤนาถเขาก็ห่วง แต่ก็รับรู้เสมอว่าจะสามารถเอาตัวรอดเองได้

    แล้วคุณชายนนทกูลแลนารานิทพากันออกไปจากหอสมุดแห่งนี้ คุณชายนนทกูลตั้งใจจะมาร่วมงานแต่เมื่อเจอน้องสาวที่ไม่ได้เจอกันเสียนานก็มิอยากจักร่วมงานอีกแล้วขอใช้เวลาไปกับน้องสาวทั้งสองของเขาดีกว่า

    ทั้งสามคนเดินออกไปจากหอสมุดโดยไม่ได้สังเกตสักนิดว่ามีคนมากมายข้างบนมองพวกเขาอยู่

    ‘นั่นใคร กันที่เหมือนจักสนิทกับผู้หญิงสองคนนั้นเป็นพิเศษ’

    ผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยเปิดประเด็นขึ้นมา

    ‘หากกระผมจำมิผิดนั่นคงเป็น คุณชายนนทกูล นิรณากุล นะขอรับ’

    ‘คุณชายนนทกูล นิรณากุล ลูกบุญธรรมของหม่อมเจ้าพิษณุ นิรณากุล ใช่หรือไม่คะ’

    ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยเสริมทัพ เพื่อย้ำอีกครั้งว่าผู้ชายที่เพิ่งเข้ามาแลเดินออกไปเป็นใครกันแน่

    ‘ดิฉันว่าไม่น่าใช่นะคะ เพราะคุณชายเธอเรียนเมืองนอกตั้งแต่เล็กนะคะ มิรู้ว่าป่านนี้จักกลับมาหรือทำงานที่นู้นเลย’

    ‘แต่กระผมได้ยินข่าวมาว่า คุณชายเธอกลับมาแล้วนะขอรับ แต่อย่างไรก็ไม่แน่ใจนัก’

    ผู้ชายอีกคนที่เหมือนจะรู้ข่าวแต่ก็ไม่แน่ใจในข่าวก็เอ่ยขึ้น หม่อมเจ้าอสุราพิพท์ได้ยินดังนั้นถึงกับกริ้วในทัยเล็กน้อย

    “ผมว่า พวกเราเดาอยู่อย่างนี้ก็มิถูกดอกครับ รอเจอเจ้าตัวครั้งหน้าแล้วถามดีกว่า ไม่ก็อาจจักอ่านจากข่าวหนังสือพิมพ์แทนนะครับ”

    หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์ สวนขึ้นเพื่อให้ทุกคนหยุดพูดในสิ่งที่พระองค์ไม่อยากได้ยิน ไม่ว่าชายผู้นั้นเป็นใคร รู้จักกับเธอมากน้อยเพียงไหน หม่อมเจ้าอย่างพระองค์ต้องรู้ด้วยตัวองค์เองให้ได้ ทรงคิดดังนั้น ก็ไม่สนพระทัยแขกในงานที่ทรงจัดขึ้นอีกเลย แลเสด็จออกไปจากงานแทบจักทันที อาจจักดูเหมือนเสียมารยาทสักหน่อย แต่พระองค์เป็นถึงหม่อมเจ้า ใครเล่าจักกล้าว่าดูถูกพระองค์ได้

    ระหว่างทางกลับวัง หม่อมเจ้าอสุราพิพัทธ์พลันคิดถึงหญิงสาวที่พระองค์ได้พบเจอวันนี้ เธองามสง่า หน้าตาสะสวย เค้าโครงรูปหน้าบ่งบอกว่าเป็นคนไทยอย่างชัดเจน ไร้เดียงสา อ่อนโยน บริสุทธิ์ แลไม่มีผู้ใดเหมือน  เมื่อแรกเจอเช่นนี้ พระองค์กลับตกหลุมรักเธอราวกับอยู่ในภวังค์ หรือจักเป็นเธอกันแน่ คือคนที่คำทำนายบอก เมื่อทรงดำริกับองค์เองเช่นนี้ พระองค์ก็ทรงตรัสกับองค์เองเบา ๆ

    “ฉันคนนี้จักต้องหาทางใกล้ชิดเธอให้จงได้”

     


     ริมฝีโอษฐ์ = ริมฝีปาก  แย้มพระโอษฐ์ = ยิ้ม  พระทัย = ใจ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×