คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Episode 1 (Someone I don't wanna see)
มีคนกล่าวไว้ว่านั่นเป็นภัยพิบัติอย่างหนึ่ง ที่มันยิ่งกว่าพายุทอร์นาโดที่ดูดสิ่งต่างๆขึ้นไป แต่นี่มันเหมือนกับรถบดถนน ที่สามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้ากลายเป็นเพียงแค่พื้นเรียบๆเตียนๆ และก็กลายเป็นผงละเอียด แต่ทันใดนั้นก็มีใครคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา แต่แต่ดูท่าทางคนนี้ไม่น่าจะใช่คนทั่วๆไป เพราะว่าเธอกำลังลอยอยู่บนอากาศ
ทุกอย่างที่เขาเห็นกลายเป็นสีขาวสว่างจ้า เขาไม่เห็นอะไรอีกเลยนอกจากใครคนนั้น เขาได้แต่เงยหน้ามอง เพราะถ้าหันไปทางอื่นจะแสบตาจนแทบทนไม่ได้ ให้ตายสิ
"ฉันยังไม่ได้ให้นายสามารถพูดได้ และนายก็ยังไม่รู้จักสิ่งต่างๆบนโลก เอาล่ะ งั้นฉันจะช่วยนายสักเรื่องหนึ่งก็แล้วกัน"
เธอคนนี้พูดภาษาที่เขาฟังไม่รู้เรื่องอีกแล้ว แต่เขาขยับตัวไม่ได้เลย แสงสว่างจ้าได้วาบเข้ามาที่ใบหน้าอีกครั้ง คราวนี้เขาต้องหลับตาลง ถึงหลับตาแล้วมันก็ยังคงสว่างอยู่ในตาคู่นั้น เขาก็เลยต้องปิดตาลง แต่ด้วยฤทธิ์ของบางอย่างก็ทำให้เขาคลายมือออกจากตาคู่นั้นแล้วไม่รู้สึกตัวอีก เขาล่องลอยอยู่ในมิติวกวนไม่สิ้นสุด โดยที่ระหว่างนั้นมีอะไรหลายๆอย่างเข้ามาในตัวเขา เหมือนจะเป็นพลังงานที่กำลังชาร์จตัวเขาอยู่ ผ่านไปนานพอสมควรแล้วมิตินั้นก็หยุดลง แสงสว่างเริ่มหายไป เหลือเพียงแค่ความมืดอันอ้างว้าง
"ตื่นได้แล้ว ที่รักของฉัน"
เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนม้านั่งตัวเดิมนี้ เห็นท้องฟ้าปนก้อนเมฆประปราย กับดวงดาวที่เริ่มน้อยลงทุกที ตอนนี้เป็นเวลาใกล้รุ่ง เขาจึงลุกขึ้นแล้วมองไปรอบๆ น่าแปลกที่ม้านั่งตัวนี้ไม่ได้พังทลายหายไปตามสิ่งแวดล้อมรอบตัวเลย
จากบ้านเมืองที่มีผู้คนอัดแน่นอยู่แทบทุกวัน อากาศร่มรื่น ตึกรามบ้านช่องเต็มพื้นที่ สูงเสียดฟ้า ย่านการค้าที่มีแต่อาหารดีๆให้กิน ศาลเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ให้ผู้คนไปกราบไหว้ หรือแม้กระทั่งตรงนี้ที่เขายืนอยู่ แต่ว่าตอนนี้ พื้นที่เหล่านั้นกลับเป็นแค่พื้นเรียบๆ ราวกับหน้ากลองหรือถาดพิซซ่า ที่โรยด้วยเศษเหล็กเศษปูน มีซอสมะเขือเทศเป็นเลือดมนุษย์ พื้นดินที่รองรับอยู่ก็เหมือนกับแป้งพิซซ่า ถูกแบ่งด้วยรอยแตกระแหงของพื้นปฐพี เสริฟพร้อมกับความหดหู่และความดับสูญ แม่น้ำก็กลายเป็นซุปที่เต็มไปด้วยเครื่องเทศเศษเหล็กเศษปูนทั้งที่จมแล้วและลอยอยู่บนผิวน้ำ ส่วนอาหารของเขาตอนนี้ก็เป็นเหมือนแค่เกล็ดน้ำตาลทรายจมหายไปกับดินเรียบร้อยแล้ว
ภัยพิบัติแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นที่ใดบนโลกมาก่อน และยังหาสาเหตุการเกิดไม่ได้ในตอนนี้ แต่หลังๆมานี้ทุกคนต่างก็เรียกกันว่า "อากาศสั่นไหว" เพราะหลายคนเชื่อว่า มันอาจจะเกิดจากสิ่งที่เราเคยมองข้ามไปแต่สำคัญและอยู่ใกล้ตัว เหมือนกับอากาศที่ถึงจะมองไม่เห็น แต่มนุษย์ก็ต้องใช้มันในการดำรงชีวิต ซึ่งหลังจากนี้ ทางรัฐบาลคงจะต้องมีมาตรการรับมืออย่างเข้มงวด เพราะว่ามันคงไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์โลก
"หดหู่"
เขาเผลอพูดออกมาในระหว่างที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น แต่พอรู้ตัวเองแล้วก็ตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว
"เอ๊ะ? นี่ฉันพูดได้แล้วเหรอ?"
เขาพูดออกมาอีกครั้งเพื่อยืนยันความสามารถที่เขาได้รับเพิ่มเติม แอบดีใจอยู่น้อยๆเหมือนกัน ภาษาที่เขาพูดก็ตรงกับภาษาปกติที่คนอื่นพูดกับเขาด้วย นั่นอาจจะทำให้เขาฟังสิ่งที่คนอื่นพยายามสื่อสารมาได้ แต่ว่า นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านั้นรึเปล่า? แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน? แต่พอคิดอีกที เรามีอะไรแปลกๆอยู่ในตัวงั้นเหรอ? แต่ก่อนอื่น หาที่อยู่ใหม่ดีกว่า เพราะตรงนี้คงต้องใช้เวลาบูรณะอีกนานพอสมควรเลย
เนื่องจากเขายังไม่มีบ้าน เขาก็เลยต้องมองหาที่อยู่ใหม่ที่คิดว่าอุดมสมบูรณ์ที่สุด เขาเดินไปเรื่อยๆตามทางที่มีอยู่ นอกจากที่ๆเขาเรียกว่าบ้านก็ไม่น่าจะมีที่ไหนนอนได้ แต่ก็เพิ่งรู้ว่าการเข้าบ้านคนอื่นถือเป็นการบุกรุก บางทีมันอาจจะเป็นกฎที่ทำให้ผู้คนไม่วุ่นวายล่ะมั้ง เขาเดินตามทางไปจนกระทั่งผ่านสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่รวมของผู้หลักผู้ใหญ่ในเมืองมาสังสรรค์กัน ลองอ่านป้ายด้านบนดู ก็เห็นข้อความว่า "ร้านเหล้าเมืองเทนกุจิ" เห็นว่าน่าสนใจดีจึงเปิดประตูเข้าไป คงไม่มีใครว่าเขาบุกรุกล่ะมั้ง
@ร้านเหล้า 18:21
"ยินดีต้อนรับครับ"
เข้ามาก็เห็นใครคนหนึ่งกำลังทำความสะอาดพื้นอยู่ ท่าทางเป็นผู้ใหญ่ที่มีอายุ เขานั่งลงที่โต๊ะหน้าเคาน์เตอร์แล้วมองชายคนนั้นอยู่ แต่ว่า ฉันฟังภาษาที่เขาพูดรู้เรื่องแล้ว ความหมายว่ายินดีต้อนรับใช่มั้ย? มีภาษานี่สบายใจจริงๆ
"มาทำอะไรตอนนี้ครับเนี่ย? ปกติไม่ค่อยมีคนมาตอนเช้านะครับ"
"เอ่อ... ฉัน แค่มาหาที่นอนน่ะ" (เวลาได้โต้ตอบกับใครแล้วก็รู้สึกไปอีกแบบหนึ่งเลย เหมือนกับว่าจะต้องคิดก่อนแล้วค่อยพูดออกไป)
"ไม่มีบ้านงั้นเหรอครับ? ฮะๆ ปกติคนเร่ร่อนเขาจะไปนอนแถวๆห้องสมุดนี่ครับ แอร์ก็เย็น"
"พอดีว่าที่นั่นไกลจากแถวๆร้านราเม็งอยู่น่ะครับ อีกอย่าง ฉันคงไม่ใช่คนเดียวที่คิดแบบนั้นหรอกครับ"(เอ๊ะ? ร้านราเม็งคืออะไร? ฉันพูดออกไปได้ยังไงเนี่ย?)
"เกิดเหตุภัยพิบัติไม่ทราบประเภทบริเวณแถบประเทศจีนและมองโกเลีย ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศแบบฉับพลัน บ้านเรือนของประชาชนในบริเวณเสียหายทั้งหมด ยอดผู้เสียชีวิตตอนนี้พุ่งสูงขึ้นมากกว่า 150 ล้านคน ถือเป็นภัยพิบัติที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียวค่ะ"
ข่าวด่วนจากทีวีภายในร้าน ยิ่งได้ฟังข่าวนี้ก็ยิ่งหดหู่ ภัยพิบัติอะไรนั่นคล้ายๆกับที่เราเจอมา แต่ว่ามันพรากชีวิตผู้คนไปได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ? ที่ตรงนั้นเคยเป็นภูเขาก็กลับโล่งเตียน ที่ตรงที่เคยเป็นบ้านก็ราบเรียบไปเสียทั้งหมด ศพผู้คนนอนอยู่กันเกลื่อน ของเหลวสีแดงชาดนองไปทั่วพื้น นี่เราอยู่ในยุคที่ต้องมาเฝ้าระวังเรื่องที่มันป้องกันไม่ได้แล้วงั้นเหรอ?
"ล่าสุดได้เกิดเหตุแบบเดียวกันนี้ทั่วโลก และเมื่อกลางดึกที่ผ่านมาได้เกิดเหตุแบบเดียวกันนี้ที่เมืองเทนกุจิของญี่ปุ่นเราค่ะ โชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิต แต่อาคารบ้านเรือนบางส่วนได้รับความเสียหาย" (ในทีวีก็ฉายภาพจากกล้อง CCTV ตัวหนึ่ง ซึ่งปรากฏเห็นภาพที่มีใครคนหนึ่งนอนอยู่ที่ม้านั่งริมแม่น้ำ เอ๊ะ? เดี๋ยวนะ)
" นั่นดูคล้ายคุณมากเลยนะครับ"(เจ้าของร้านทักขึ้นมา)
" คงไม่ใช่หรอกครับ คนอะไรไปนอนบนม้านั่งตอนสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนั้น"(อายตัวเองชะมัด)
แต่อย่างไรก็ตาม คงไม่มีใครทนดูข่าวแบบนี้ไปได้ทุกวันหรอกใช่มั้ย? เขาก็เช่นกัน แต่ว่า ทำไมถึงรู้สึกแปลกๆเหมือนมีคนมาหาเขาอีกแล้ว
"ที่นี่ต้องมีเงินนะ นายถึงจะอยู่ได้"
ผู้หญิงคนนี้โผล่มาอีกแล้ว แสงมันก็จ้าสว่างเหมือนเดิม แต่คราวนี้เขาฟังที่เธอพูดรู้เรื่องแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้โต้ตอบอะไร
"ฉันดีใจนะที่นายคุยกับคนบนโลกได้รู้เรื่องน่ะ ถ้างั้นฉันจะให้ของขวัญชิ้นเล็กๆก็แล้วกัน นายอยากได้อะไร แค่คิดก็ได้ดังใจปรารถนา"
แสงวาบเข้ามาสว่างจ้าไปหมด แต่ก็เคยผ่านมาแล้วนี่
เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งที่โต๊ะยาวหน้าเคาน์เตอร์ในร้านเหล้า และขณะนี้ก็เป็นอีกเช้าหนึ่งแล้ว ลุกขึ้นมาก็เห็นเจ้าของร้านกำลังกวาดพื้นอยู่
" อ้าว ตื่นแล้วเหรอ? หลับไปทั้งวันทั้งคืน อยู่ได้ยังไงเนี่ย? "
" ฉัน... หลับไปทั้งวันเลยเหรอ?"
"24 ชั่วโมง ไม่ขาดไม่เกินด้วย" (ไปไม่ถูกเลยทีนี้)
"จริงเหรอ? "(ฉันนี่มันพิลึกคนจริงๆเลย)
"เอาอาหารเช้ามั้ย? เดี๋ยวฉันไปทำมาให้"
"ไม่เป็นไร ร้านราเม็งอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่, เดี๋ยวฉันเดินไปเองดีกว่า"
"งั้นก็ โชคดีละกัน"
>>>เข้ามาในร้านราเม็ง
ร้านนี้มีแต่โต๊ะเตี้ยๆ และเราต้องนั่งพื้นรับประทานกัน เขานั่งพื้นด้วยท่าขัดสมาธิมองโต๊ะอยู่ แต่ก็ยังครุ่นคิดว่าจะกินอะไรดี เห็นลูกค้าในร้านกินราเม็งกัน จริงสิ นี่มันร้านราเม็งนี่หว่า เราก็ต้องมากินราเม็งใช่มั้ย? แต่ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าฉันอยากได้อะไรฉันก็จะได้ เงินเหรอ?
แต่ทันใดนั้นก็มีอะไรบางอย่างตกลงมาตรงหน้า เป็นแผ่นกระดาษขนาดพอมือซ้อนๆกันหลายแผ่น สลักเป็นใบหน้าของใครบางคน พอลองจับดูก็รู้สึกลื่นๆมือ นี่เขาเรียกว่าเงินเหรอ? ยังดีที่ไม่มีใครเห็น แต่ผู้หญิงคนนี้บอกว่าเงินพวกนี้ใช้แลกเปลี่ยนสิ่งของ อาหาร หรือว่าอย่างอื่นได้ คิดว่าคงเอาไปแลกราเม็งได้ล่ะมั้ง แล้วต้องทำยังไงล่ะเนี่ย?
>>>ร้านเหล้า
ในทุกๆคืนเขาจะใช้สาเก 8 แก้วเป็นยานอนหลับ แต่เขาเป็นคนคอแข็งนะ สาเกเป็นสิบๆแก้วเขายังคุยกับคนอื่นรู้เรื่องเลย แถมเดินเป็นเส้นตรงได้ด้วย ซึ่งปกติในทุกคืนพนักงานในร้านก็มักจะลากเขาออกไปจากร้านเพราะเกินเวลาแล้ว วิธีการแก้ปัญหาง่ายๆก็คือ ซื้อที่นั่นซะ เขาเสกเงินมาจำนวนมากเพื่อซื้อร้านเหล้าแห่งนี้ ทำให้เจ้าของร้านคนเดิมมีสถานะเป็นแค่พนักงานเท่านั้น เขาก็ไม่ต้องโดนลากออกมาจากร้านแล้ว ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนในละแวกนั้นถึงต่างคบค้าสมาคมกับเขาด้วย ก็เพราะทุกวันเสาร์ เขาจะเลี้ยงเหล้าทุกชนิดทุกดีกรีให้กับคนที่เข้ามาในช่วง 2 ทุ่มเป็นต้นไป หลายคนคิดว่าเขาเพิ่งอกหัก แต่ว่าเขาก็แค่เบื่อๆ ก็เลยต้องยัดอะไรเข้าไปในท้องเยอะๆ ให้ไม่ว่างอยู่ตลอดเวลา ไม่งั้นไม่มีแรงเดินแน่ๆ
แต่คืนนี้แปลก ลูกค้าก็ไม่ได้น้อย ทำไมถึงไม่ค่อยมีเสียงคุยกันเลย? มีอะไรเกิดขึ้นอีกงั้นเหรอ?
เขาที่อยู่ในสภาพฟุบหลับอยู่ สัมผัสได้ถึงสถานการณ์แปลกๆในคืนนี้ก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา เห็นพวกกลุ่มคนไม่ค่อยปกติแบบทั่วไปประมาณสิบกว่าคนพังประตูเข้ามาที่นี่ แล้วก็ไปนั่งที่โต๊ะวีไอพีที่คนจะนั่งได้ต้องมีสิทธิพิเศษจากเจ้าของร้านเท่านั้น แต่รู้สึกว่าตั้งแต่ที่มาก็ไม่เคยเห็นพวกนั้นมาที่ร้านเหล้าแห่งนี้เลย ไอ้พวกนั้นไล่ลูกค้าคนอื่นจนต้องเดินออกไปจากร้านกันหมด อดีตเจ้าของร้านโกรธมาก กำลังจะหยิบไม้เบสบอลเตรียมไปบวกกับพวกนั้น เขาเห็นท่าทางไม่ดีก็ยังคงนิ่งอยู่ แต่พออดีตเจ้าของร้านเดินไปหาพวกนั้นเขาก็เอื้อมมือไปจับไหล่ไว้ได้ทัน
"ใจเย็นๆก่อน ถึงฉันจะไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ แต่ฉันคิดว่าคนเดียวเจอกับหลายคนยังไงหลายคนก็ชนะใช่มั้ย?"
"แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ? พวกนั้นเป็นอันธพาลประจำถิ่นอยู่ด้วย"
"นิ่งๆไว้ อย่าเพิ่งวู่วาม ผู้ชนะต้องไม่รีบร้อน"
อดีตเจ้าของร้านพยักหน้า ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดก็ตาม จากนั้นก็รีบไปหลบที่หลังร้านแล้วแอบมองอยู่ห่างๆ ส่วนเขาเองก็ฟุบหลับอยู่ตรงที่เดิม (เพื่อล่อพวกนั้นให้มาหาเขา ซึ่งน่าจะได้ผล)
ไม่นานพวกอันธพาลก็หันมามองเขาแล้วก็เกิดความรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา จึงเดินแบบกร่างๆเข้ามาหาเขา จากนั้นก็มีเด็กในแก๊งนั้นคนหนึ่งมาทุบโต๊ะที่เขาฟุบหลับอยู่ ช่างร้ายกาจและน่าเกรงขามอะไรเช่นนี้
"เฮ้ย! เอาวิสกี้ใหญ่ 3 ขวด พร้อมสมูทตี้ค็อกเทลด้วย!"
เขาไม่ตอบรับ
"เฮ้ย! ฉันสั่งให้ไปเอาเหล้ามา!"
พูดอย่างนั้นแต่เขาก็ยังนิ่งเหมือนเดิม เด็กแก๊งคนนั้นจึงไปกระซิบปรึกษากับหัวหน้าแก๊งซึ่งร่างกายดูกำยำดีเลยทีเดียว
"ไอ้นี่! ทำนิ่งไม่ขานรับเดี๋ยวกูจะซัดให้ไม่ตื่นซะเลย!"(ง้างหมัดขวา)
" เฮ้ย ใจเย็นดิ ไอ้นี่ไม่น่าใช่เด็กเสิร์ฟ งั้น นี่! เอ็งไปตามเจ้าของร้านมาดิ๊"
ถึงหัวหน้าแก๊งจะอยู่ด้านหลังเขาแล้ว แต่เขาก็ยังทำนิ่งเช่นเดิม
" เห็นมั้ยลูกพี่! ว่ามันกำลังท้าทายเราอยู่นะครับลูกพี่!"
"สงสัยจะหลับ ต้องสองสามหมัดถึงจะตื่นสินะ"(หักนิ้วทั้ง 5 ดังกร็อบ)
"เอาเลยลูกพี่ ต้องอย่างงั้น"
ฮึ จะทำได้อย่างที่พูดรึเปล่าเถอะ? หัวหน้าแก๊งกำลังจะง้างหมัดเพื่อซัดไปที่เขา ซึ่งเขาเองก็รู้ตัวอยู่แล้ว จึงเตรียมจะหักหลบไปทางใดทางหนึ่ง เตรียมพร้อมตอบโต้
แต่ว่าก่อนนั้นเพียงเสี้ยววินาที
ปัง!!
เสียงปืน
จะว่าโชคช่วยดีมั้ย? เสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ผู้คนที่อยู่ด้านนอกต่างก็ก้มลงหลบวิถีกระสุน จนกระทั่งไอ้พวกนี้มันนอนไม่ได้สติอยู่กลางร้านตามๆกันนี่เอง เจ้าของร้านพอได้ยินเสียงปืนก็รีบหลบเข้าไปด้านหลังร้านจริงจัง แต่พอทุกอย่างเงียบลงก็เดินออกมาดูเหตุการณ์ จากนั้นจึงสั่งให้ลูกน้องเอาศพไอ้พวกนี้ไปไว้ข้างนอก หลังจากนั้นไม่นานโรงเหล้าแห่งนี้ก็อยู่ในสภาวะแปลกๆ ได้ยินเสียงหวอจากด้านนอกดังอข้ามายังในร้าน มีรถที่หลังคาติดไฟวับๆแวมๆจอดอยู่สักสองสามคัน ผู้คนประเภทเดียวกับที่เขาเคยเจอก็ลงมาจากรถแล้วมามุงดูศพของพวกนั้นอยู่สักพัก จากนั้นก็มีรถคันใหญ่ๆสีขาวแถมมีไฟติดที่หลังคาแบบคันก่อนหน้าวิ่งมาจอดตรงนี้ จากนั้นผู้คนบางกลุ่มก็นำศพของพวกนั้นเข้าไปในรถก่อนที่รถจะวิ่งออกไป เหลือแค่คนกลุ่มหนึ่งที่ยังคงอยู่
พวกเขาเข้ามายังในร้านแล้วตรวจสอบดูสักพัก น่าแปลกที่ไม่มีข้าวของเสียหาย แสดงว่าคนร้ายน่าจะต้องการสังหารเพียงอย่างเดียว แถมมีความชำนาญสูงอีกต่างหาก พอเห็นเขาที่กำลังนั่งอยู่ก็เดินเข้ามาหา แถมติดป้ายไว้ยังหน้าร้านเป็นข้อความว่า "พื้นที่เกิดเหตุ ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต"
"คุณได้เห็นเหตุการณ์อะไรบ้างมั้ย?"
"ตอนนั้นฉันหลับอยู่ แต่พอได้ยินเสียงปืนก็ตื่นขึ้นมา ก็เห็นไอ้พวกนี้นอนอยู่แล้ว แต่เสียงปืนนั้น รู้สึกว่าจะเป็นปืนคาบศิลา"
"ถ้างั้นเราขอเชิญตัวคุณไปสอบปากคำพรุ่งนี้ จะไม่เป็นการรบกวนใช่มั้ย? "
" ไม่"
พวกเขาเดินออกไปจากร้านแล้ว ฝ่ายพนักงานก็ทำความสะอาด จนร้านเหล้าตอนนี้ก็อยู่ในสภาวะปกติ ผู้คนเริ่มกลับเข้ามาในร้านแล้ว แม้ว่าจะยังรู้สึกผวาอยู่หน่อยๆก็เถอะ ส่วนเขาเมื่อเห็นว่าพวกนั้นออกไปกันหมดแล้วก็ฟุบหลับลงไปอีกครั้ง
กำลังจะออกโรงได้แล้ว ดันมีคนมาปิดม่านเสียก่อน ป่าเถื่อนขนาดนี้คงไม่น่าจะเป็นคนธรรมดา แต่ก็ดีไปอย่าง เอาจริงๆฉันก็ไม่อยากยุ่งอะไรที่มันไม่เข้าเรื่องหรอก ฉันจะได้นอนอย่างสบายใจสักทีคืนนี้
ผ่านไปสักพัก คนในร้านก็เริ่มที่จะเบาบางลงไป แต่ดูเหมือนว่าคนที่ยิงพวกอันธพาลจนตายหมดนั้น กลับเดินเข้ามาหาเขา ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ตัว และคนในร้านก็ไม่รู้ว่าเป็นคนร้าย เธอคนนั้นหยิบมีดสั้นมากรีดกลางแขนจนมีเลือดไหลนองออกมา แล้วเลือดของเธอก็หยดลงไปในแก้วที่มีสาเกอยู่ในแก้วนั้น มากเข้าสาเกมันก็เลยเปลี่ยนสีเล็กน้อย แต่กลิ่นและรสชาติน่าจะยังเหมือนเดิม จากนั้นเธอคนนั้นก็หลีกออกห่างจากเขา
เขายกแก้วที่มีสาเกผสมเลือดนั้นขึ้นดื่ม โดยไม่ได้สังเกตความผิดปกติในแก้วนั้น ทันทีที่สาเกเข้าปากแล้วสัมผัสกับลิ้น จนเขาต้องรีบบ้วนออกมาทันทีจนหมด เพราะสาเกในแก้ว รสชาติมันไม่ได้เหมือนเดิมเหมือนที่เขาเคยดื่ม
"รสชาตินี้มัน...เลือดเหรอ?"
เขารีบเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปรอบๆ ก็ไม่มีใครอยู่หรอกเพราะตอนนี้มัน 5 ทุ่ม 11 นาทีเข้าไปแล้ว แล้วใครเอาเลือดมาให้ฉันดื่มล่ะเนี่ย? ไม่ก็ส่วนผสมต้องผิดแน่ๆ หมักไว้กี่วันวะเนี่ย? แต่ไม่นานเขาก็ฟุบหลับไปอีกครั้งเพราะว่าดึกมากแล้ว ช่างเหอะ วันนี้คงไม่มีอะไรแล้วมั้ง
แต่ถึงเขาจะหลับสนิทไปแล้ว แต่หารู้ไม่ว่า เธอคนนั้นยังคงมองเขาอยู่ตรงอีกมุมหนึ่ง ด้วยแผนการอะไรบางอย่าง
>>>รุ่งขึ้น
"คุณไม่เห็นหน้าคนร้ายใช่มั้ย? แล้วคุณพอจะเดาได้รึเปล่าว่าเป็นผู้ชายหรือว่าผู้หญิง? "
"ไม่รู้ แต่เสียงปืนดังเป็นจำนวนเท่ากับจำนวนพวกนั้น แสดงว่าต้องมีความแม่นในระดับหนึ่ง และความนิ่งแบบนั้น น่าจะเป็นผู้หญิง"
"ถ้าเป็นผู้หญิง คุณได้ยินเสียงของเธอบ้างมั้ย? "
" ไม่แน่ชัด เสียงปืนมันดังกลบเกลื่อนไปหมด"
" เอาล่ะ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ หมดธุระของคุณแล้ว กลับบ้านได้ครับ"
>>>ย่านการค้า
เขาไปที่ย่านการค้า แล้วก็ไปอุดหนุนร้านขนมปังที่เขาเคยมา แต่วันนี้ กลับมีภรรยาของเจ้าของร้านมาช่วยขายด้วย
"อ้าว! พ่อหนุ่ม รับอะไรดีล่ะวันนี้?, นี่ไงจ๊ะที่รัก คนที่เก็บแหวนวงนี้ได้น่ะ"
ภรรยาของเจ้าของร้านก็ยกมือที่มีแหวนวงนั้นที่อยู่ในนิ้วนางข้างซ้ายของเธอใส่อยู่ขึ้นมา
"จริงเหรอ? พ่อหนุ่มคนนี้เก็บแหวนไว้ให้เราจริงเหรอ?"
"จริงสิ"
"ขอบคุณนะพ่อหนุ่ม(น้ำตาคลอ) แหวนวงนี้ก็แพงมากด้วย ถ้าทำหายอีกก็คงจะเสียดายมากเลยล่ะ แต่ว่า ทำไมพ่อหนุ่มถึงไม่เก็บแหวนนี้ไปล่ะ? ทั้งที่มันก็ราคาดีแท้ๆ"
"แหวนพวกนี้มันก็แค่ของภายนอก และถึงผมจะเก็บไว้ ยังไงผมก็คงไม่มีโอกาสได้ใส่มันให้กับใครหรอก"(ทำไมพอพูดแล้วรู้สึกแปลกๆวะ?) และมันก็ไม่ใช่ของผมด้วย ผมจะเอาทำไมในเมื่อผมก็ไม่เคยต้องการมันเลย แค่ของประดับตัว พอผมตายไปก็ใส่ได้กับแค่ร่างไร้วิญญานเท่านั้นแหละ, ถ้างั้นวันนี้ผมเอาอันนี้ 10 ชิ้นครับ"
>>>ที่ริมแม่น้ำ
เขามาที่นี่พร้อมกับถุงขนมปังพะรุงพะรังที่คุ้นเคย เขานั่งลงในที่สมควรแห่งหนึ่ง จากนั้นก็เอาขนมปังที่มีอยู่มากินเพื่อให้หายหิว
"จริงสิ เมื่อก่อนลืมเรื่องเสื้อผ้าไปเลย ก็เลยต้องโดนขังกรงตั้งวันนึงแน่ะ ฮึ นึกแล้วก็ตลกตัวเอง"
ตอนนี้เป็นเวลาเช้า น้ำในแม่น้ำไหลอย่างนิ่งสงบ แสงแดดส่องผิวน้ำจนเป็นประกาย ลมโชยเบาๆ ปลายหญ้าเอนไปเล็กน้อยตามแรงลม
เขานั่งกินขนมปังไป ในหัวสมองก็คิดไปเรื่อย แต่ว่า ถึงขนมปังแค่ชินเดียวจะทำให้อิ่มได้เลยก็ตาม แต่ท้องของเขาก็ยังร้องไม่หยุด เพราะปกติเขาก็กินมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว
"หยุดสิวะ ฉันไม่ได้อยากกินแล้วนะโว้ย"
"เฮ้อ กระเพาะฉันมันไม่มีความอดทนบ้างเลยรึไง เอะอะก็จะกินโน่นกินนี่"
จริงสิ แล้วอากาศสั่นไหวเมื่อวานนี้ เป็นฝีมือของใครกัน ใช่ฝีมือของพวกที่เป็นประเภทเดียวกับฉันรึเปล่า? หรือว่าก็แค่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่ว่า มันต้องมีต้นตอสิ อากาศสั่นไหวครั้งนั้น ภายในศูนย์กลางของรัศมีความเสียหาย ปรากฏเป็นเหมือนเงาคนอยู่ในนั้น ซึ่งก็น่าจะเป็นไปได้ว่า อาจจะเป็นใครบางคนที่ทำให้มันเกิดขึ้นมา
แต่ว่ายังคิดได้ไม่ทันไร ขนมปังก็หมดลงเสียแล้ว ทั้งที่ภายในท้องของเขาถูกเติมเต็มไปได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น ฉันควรซื้อมากินอีกดีมั้ย? แต่ว่า หาอะไรทำดีกว่า
จนเวลาจวนถึงเที่ยง แต่ร้านเหล้าเปิดทุ่มหนึ่ง ตัวเขาท่ามกลางกองถุงขนมปังที่รอเอาไปทิ้ง แต่ว่าระหว่างนี้จะทำอะไรดี? เขากอบโกยถุงขนมปังรอบๆตัวไปใส่ถังขยะที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งแค่ถุงขนมปังพวกนี้ก็ทำให้ถังขยะเต็มได้เลยทีเดียว หลังจากนั้นเขาก็เดินไปที่สวนสาธารณะ
ที่นี่อากาศดีชะมัด เขาสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วหายใจออกมา มองไปรอบๆก็เห็นผู้คนนั่งอยู่บนพื้นที่มีผ้ารองอยู่ ข้างๆก็มีกล่องอาหารตั้งเอาไว้ พื้นตรงนี้เป็นหญ้าสั้นๆ ถอดรองเท้าแล้วลองเดินดูนุ่มเท้าดีชะมัด บางคนที่นี่ก็วิ่งออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน ที่นี่กว้างดีแฮะ แต่มีลูกบอลจากที่ไหนมารู้กลิ้งมาหาเขาอย่างรวดเร็ว เขายกเท้าครึ่งหนึ่งรับไว้ได้ทัน มองไปข้างหน้าก็เห็นกลุ่มเด็กเล็กประมาณสิบคน มีคนหนึ่งยืนโบกมือแล้วตะโกนออกมา
"ทางนี้ครับ!!"
หน้าที่ของเขาคือต้องเตะไปทางนั้นใช่มั้ย? ระยะห่างก็ไกลพอตัวเลยทีเดียว คงต้องใช้แรงเยอะหน่อย เขาง้างขาขวาไปด้านหลังเตรียมจะเหวี่ยงออกไป กระทบกับลูกบอลพุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ลูกบอลนั้นกลับไปโดนเด็กอีกคนหนึ่งที่เดินมาขวางเข้าอย่างจังจนเด็กคนนั้นล้มลง แล้วลูกบอลก็กระเด็นไปข้างหน้าจนกระทั่งถึงเด็กกลุ่มนั้น แต่เด็กคนนี้ก็ลุกขึ้นนั่งอยู่ ท่าทางเหมือนคนประสาทสัมผัสช้า ยังไม่รู้สึกตัวอีกเหรอนั่น? แต่เขาก็รีบวิ่งไปหา
"ขอโทษครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ? "
ผู้หญิงคนนี้ผมยาวสีเขียวอ่อน ไม่ได้มัดผมหรือทำทรงอะไรเลย แต่ก็ไม่ได้ฟูฟ่องจนดูน่าเกลียดเหมือนกับผู้ใหญ่ทั่วๆไปที่เพิ่งโงหัวขึ้นมาในตอนเช้า ใส่เสื้อแขนยาวหนาๆสีดำที่ขัดกับฤดูกาลเสียเหลือเกิน และดูใหญ่ขนาดแขนเสื้อคลุมมือได้เลย กระโปรงก็เป็นทรงจีบสั้น ที่ขาก็มีถุงน่อง ชื่อแบบนี้แต่ยาวมาถึงต้นขา ตัวก็ดูเล็กๆเตี้ยๆจนเขาต้องย่อตัวลงไป
"เอ่อ... เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?" (อย่าเงียบสิวะ เริ่มใจคอไม่ดีแล้วเนี่ย)
เด็กคนนี้ไม่ตอบ แต่เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป กลับเริ่มมีน้ำใสๆคลออยู่ในดวงตาคู่สวยนั้น เหมือนอยากจะร้องดังๆออกมาแต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ ไอ้ตัวเขาที่เป็นคนทำก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี ก็ได้แต่ย่อตัวอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้น้ำพวกนั้นค่อยๆไหลออกมาจากตาอย่างช้าๆ ไอ้น้ำนี่มันคืออะไรเนี่ย? แล้วทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น? เขาเรียกกันว่าอะไรงั้นเหรอ?
"เป็นอะไรรึเปล่า? เจ็บมากมั้ย?"
เด็กคนนี้ยังคงไม่ตอบ แต่เธอก็จับตรงขมับด้านขวาเบาๆ ลูกบอลคงโดนตรงนั้นเป็นรอยฟกช้ำเขียวเชียว ท่าทางคงจะเจ็บน่าดู แต่จะให้ทำยังไงล่ะ? ก็เขาเป็นคนทำนี่ แล้วฉันจะต้องพูดยังไงน้ำในตานั่นถึงจะหยุดไหลออกมาซะที
"ฉันขอโทษ คือตอนนั้นฉันไม่เห็นเธอน่ะ หยุดร้องได้แล้ว"
บอกว่าหยุดร้องไง แต่เด็กคนนี้ยิ่งร้องออกมาดังขึ้นอีกแล้วตรงเข้ามาโผกอดเขาแน่นๆ ไอ้เขาที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็นิ่งอยู่ แต่ก็คิดว่าเด็กคนนี้คงโกรธอะไรในตัวเขามากๆเป็นแน่ ให้ตายสิ
"เธอควรทำแผลมั้ย? แล้วฉันจะต้องพาไปที่ไหนเนี่ย? "
>>>ร้านเหล้า
ได้เวลาของเราแล้ว
อาทิตย์ตกดินสนิท แสงจันทร์อ่อนๆส่องลงมาผ่านหน้าต่างบ้านต่างๆ แต่ในร้านเหล้าที่นี่ บรรยากาศดูหนาแน่นเลยทีเดียว เพราะว่าวันนี้วันเสาร์ เป็นวันที่เขาจะมาเลี้ยงเหล้าให้กับลูกค้าทุกคนตามที่เคยบอกไว้แล้ว ทันทีที่เขาเข้ามาในร้าน ลูกค้าคนอื่นต่างก็เฮกันดังลั่น เขาจึงเดินขึ้นไปบนเวที แล้วก็ดึงไมค์ที่อยู่กับขาตั้งขึ้นมา
"เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มเวลาแห่งความสุขนี้ไปด้วยกันดีกว่าครับ! เริ่มงานได้"
เสียงเฮก็ยิ่งดังลั่นเข้าไปใหญ่ จากนั้นเขาก็ลงจากเวทีเพื่อที่จะไปออกคำสั่งลูกน้อง
"เอาสาเกดีๆมาสักสองขวด และก็ลักซูรี่แชมเปญอีกขวดนึง"
"ได้ครับ"
เด็กเสริฟคนนั้นก็รีบไปเอาเหล้าตามออเดอร์มาวางไว้ที่โต๊ะให้เขาทันที ส่วนเด็กเสริฟที่เหลือต่างก็ไปทำหน้าที่ของตัวเอง
คืนนี้เขาก็ยังคงฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะยาวตรงหน้าเคาน์เตอร์เช่นเดิม หลับไปก็กระดกแก้วเหล้าไปพลาง ท่ามกลางเสียงของพวกลูกค้าที่ต่างก็เฮฮากัน ความสุขของมนุษย์คือแบบนี้เองเหรอ? แล้วฉันจะมีความสุขได้แบบนั้นมั้ย?
จนเวลาล่วงเลยไปจนดึกดื่น ทุกคนก็กลับบ้านกันอย่างเมามาย บ้างก็เห็นอาเจียนออกมาเลยก็มี บ้างก็เดินเซไปเซมาออกจากร้านไป จนกระทั่งผู้คนออกไปกันเกือบหมดแล้ว แต่เขาก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม สาเกยังไม่หมดขวดเลย ทำไมถึงเริ่มเมาแล้วเนี่ย? วันนี้ฉันคออ่อนไปรึเปล่า?
วันๆหนึ่งของเขา นอกจากไปหาอะไรกินก็มีแค่อยู่ในร้านเหล้านี่แหละ คิดว่าเป็นที่ที่เหมาะสมที่สุดแล้วล่ะมั้ง เพราะได้ทั้งเพื่อน แถมหลับสบายอีก คืนนี้ก็เช่นกัน แต่คืนนี้น่าจะสมบูรณ์กว่านี้ ถ้าไม่มีคนมาขัดจังหวะ
มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในร้าน เธอดูแล้วไม่น่าจะเคยเข้ามาในร้านนี้มาก่อน หรือว่าเคยมาแล้ว เธอมองซ้ายมองขวาอย่างลังเลอยู่สักพัก แต่แล้วเธอก็เห็นเขาฟุบหลับอยู่
เขาได้ยินเสียงเท้าเดิน จึงคิดว่าคงเป็นลูกน้องที่กำลังทำความสะอาดอยู่ ก็เลยไม่ได้สนใจอะไร แต่ทำไมเสียงเท้ามันดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนว่ามันกำลังมาหาเขา จากนั้นโต๊ะหน้าเคาน์เตอร์ก็เฟมือนจะสั่นๆเล็กน้อย เขาก็รู้สึกว่า มีคนมานั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับเขา เขาก็เลยลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในสภาพฟุบหน้าอยู่ หันไปด้านข้าง มองเห็นเป็นคนลางๆ
เขาจึงหลับตาแล้วก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงเห็นได้ชัดขึ้น ปรากฏเป็นใครคนหนึ่งนั่งอยู่ถัดจากเขาไปพอสมควร
"ใครกัน? ผู้หญิงเหรอ?"
เขาหลับตาลง แล้วก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ยังเห็นผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ที่เดิม ฟุบกับโต๊ะอยู่เช่นเดียวกันกับเขา แต่ว่า ทำไมมันถึงรู้สึกว่าใกล้ขึ้น?
เขาหลับตาลง แล้วก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ยังเห็นผู้หญิงคนนั้นนั่งฟุบอยู่กับโต๊ะเช่นเดิม แต่ว่ามันยิ่งใกล้เข้ามาแล้ว
"ผมสีดำสนิท"
"มัดผมไว้ด้านหน้าทั้งสองข้าง ปลายผมบางส่วนปิดตาข้างซ้ายไว้"
"ตาข้างขวาสีแดง"
"ใส่ชุด Gothic ที่ดำสนิท"
"จากรูปหน้า อายุน่าจะสัก 17"
เขาหลับตาลงแล้วก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เห็นเธอคนนั้นยิ่งเข้ามาใกล้ทุกทีๆ
"เริ่มน่าสงสัยแล้ว"
เขาหลับตาลง แล้วก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เธอคนนั้นเข้ามาใกล้เขาจนตาของทั้งคู่จ้องมองซึ่งกันและกัน เหมือนกำลังส่งโทรจิตให้กันอยู่ แต่ว่า ฉันได้ยินเสียงนาฬิกาเดิน ดังออกมาจากตัวเธอ นาฬิกาข้อมือก็ไม่เห็นมีนี่ ใกล้ขนาดนี้คงไม่ต้องหลับตาอีกแล้วล่ะมั้ง แต่ว่า ง่วงจังเลย
"ฮิฮิ"
เธอยิ้มหวาน แต่พอเธอขำแบบนั้นแล้วมันน่าขนลุกชะมัด
"อยู่คนเดียวแบบนี้คงเหงาน่าดูเลยสินะคะ"
เขาเงียบไปสักพัก ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวกว่าที่คิดไว้ เข้ามาแบบนี้คงมีแผนการอะไรแฝงอยู่แน่ๆ
"เธอเป็นใคร?"
ฝ่ายผู้หญิงคนนั้นก็ยิ่งเข้าไปใกล้เขามากขึ้นอีก จากนั้นก็มีรอยยิ้มอันอ่อนหวานของเธอปรากฏที่ใบหน้าอีกครั้ง
"โทคิซากิ คุรุมิค่ะ"
แต่เขากลับตอบไปอย่างซื่อๆว่า
"ฉันไม่ได้ถามชื่อเธอ"
เงียบ
ความคิดเห็น