คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chapter4 TroublemakeR
แสงแดดยามเที่ยงสาดส่องเข้ามาในห้องผ่านผ้าม่านของโรงแรมนั้นสว่างจ้าจนบ่งบอกอุณหภูมิภายนอก
หญิงสาวที่อยู่บนเตียงตื่นขึ้น เธอลุกขึ้นนั่งและต้องชะงักเพราะหัวของเธอหมุนเล็กน้อย
มันอาจเป็นเพราะการสังสรรค์มากจนเกินไปเมื่อคืนนี้ที่ทำให้เธอแทบจะหมดสภาพ
โชคดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์เธอจึงไม่ต้องออกไปไหน
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
เสียงทุ้มนุ่มของใครบางคนทำให้เธอหันไปตามเสียงนั้นและมองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนโซฟาปลายเตียง
ดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่หามเธอมาถึงโรงแรมเมื่อคืนนี้
“เมื่อคืนคุณเมามากเลยนะครับ คราวหน้าก็ระวังหน่อย”
ชายหนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้ม
ดูเหมือนเขาจะไม่รู้กิตติศัพท์ของฟอนด้า
หญิงสาวที่ฉาวที่สุดเท่าที่ใครบนเกาะจะนึกออก
“เหอะ เรื่องของฉันน่า ฉันจะเมาก็ไม่เกี่ยวกับนาย”
เธอพูดพร้อมกับเอื้อมไปหยิบกระเป๋าที่วางอยู่ข้างๆเตียงและเอาบุหรี่ในนั้นออกมาจุดโดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นห้องปิดในโรงแรม
“ไม่ได้ให้ระวังเรื่องดื่มครับ
ให้ระวังเรื่องร้องไห้ซบอกผู้ชายจนเสื้อเขาเปื้อน”
ชายหนุ่มแปลกหน้าพูดพร้อมกับเปิดเสื้อนอกของเขาให้เธอเห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ตรงอกมีรอยเหมือนคราบน้ำสีจางๆที่คงจะเป็นน้ำตาของเธอผสมกับเครื่องสำอาง
“ผมไปล่ะครับ ไว้เจอกันนะ”
ชายหนุ่มพูดและเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เขาปิดประตูลงฟอนด้าก็ขว้างรองเท้าของเธอไปที่ประตูพร้อมกับสบถออกมา
“เจอกันพ่อมึงดิ”
ฟอนด้าลุกออกจากเตียง
เธออาบน้ำแล้วโทรเรียกให้รถส่วนตัวของเธอมารับและรีบตรงกลับบ้านในทันที
คฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ปลีกวิเวกพอสมควร แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังน่ารำคาญเพราะมักจะมีนักข่าวมาอออยู่ที่หน้าประตูบ้านของเธออยู่เสมอ
และไม่รู้ว่าเพราะอะไรวันนี้ฟอนด้าถึงมีอารมณ์เปิดกระจกรถให้กับนักข่าวที่รอเธออยู่หน้าประตู
“คุณฟอนด้าครับ
เมื่อคืนออกมาจากผับชื่อดังพร้อมกับผู้ชายจริงหรือเปล่าครับ”
เสียงถามของชายคนหนึ่งดังขึ้นโดยที่เธอยังไม่ทันได้อ้าปากอนุญาตให้ถาม
มันทำให้ฟอนด้ายิ้มเล็กน้อยก่อนจะหยิบแก้วกาแฟที่ช่องวางแก้วข้างประตูรถมาสาดใส่หน้าของเขา
“เสือก”
หญิงสาวตอบนิ่งพร้อมกับสั่งให้รถเข้าไปในบ้านทันที
ฟอนด้าที่ต้องเจออะไรแบบนี้แทบไม่มีเว้นวันทำให้เธอแทบจะประสาทแต่เธอก็ต้องพยายามทำเป็นไม่สนใจ
ฟอนด้าลงจากรถหรูที่สะอาดเอี่ยมเมื่อมีคนมาเปิดประตูให้
เธอเดินเข้าบ้านโดยไม่สนใครแม้แต่น้อยก่อนจะรีบเดินขึ้นห้องของตัวเองในทันที
คฤหาสน์หลังใหญ่ที่ดูโอ่อ่านี้เงียบสงบราวกับมีแค่เธอคนเดียวที่อาศัยอยู่ที่นี่
ซึ่งมันเป็นแบบนี้เสมอเพราะพ่อบุญธรรมของเธอนั้นแทบจะไม่มีเวลากลับบ้านด้วยซ้ำ
อีกทั้งคนใช้ในบ้านก็ไม่ค่อยคุยกับคนอารมณ์รุนแรงแบบเธอเท่าไร
บางครั้งฟอนด้าก็แอบสงสัยว่าคนที่ไม่สนใจญาติพี่น้องและไม่แม้แต่คิดจะแต่งงานแบบริคนั้นจะรับเด็กแบบเธอมาเป็นลูกบุญธรรมทำไมกัน
ระหว่างที่ฟอนด้าเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้องของเธอนั้นก็มีเสียงข้อความเข้าทำให้เธอกดเปิดดู
มันเป็นข้อความจากชายแปลกหน้าเมื่อเช้าที่ดูเหมือนว่าเขาจะแอบเอาเบอร์ของเธอไปตอนที่เธอกำลังเมาอยู่
ฟอนด้ามองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจกดบล็อคมันไปในที่สุด
“มีแต่พวกน่ารำคาญ”
หญิงสาวพูดกับตัวเองแล้วปาโทรศัพท์ลงบนเตียงโดยไม่สนใจว่ารายชื่อที่ถูกบล็อกของเธอตอนนี้มันเยอะพอจะสร้างทีมฟุตบอลได้สักสองทีมแล้ว
“อะไรนะ?! ให้ฉันพักงานเหรอ?!”
เสียงตวาดของชายหนุ่มนั้นดังมากจนทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆในออฟฟิศหันมองไปทางเดียวกัน
เสียงนั้นดังออกมาจากห้องทำงานของหัวหน้าของพวกเขานั่นเองแต่เสียงตวาดดังลั่นนั้นไม่ใช่เสียงของหัวหน้า
มันเป็นเสียงของคนที่ใครๆในที่ทำงานก็รู้ดีว่าเป็นตัวปัญหาอันดับท็อปของที่นี่
สำนักข่าวไอดีเอ็น(IDN News agency)นั้นเป็นสำนักข่าวชั้นแนวหน้าของเกาะไอเดน
พวกเขานำเสนอข่าวมากมายรวมถึงตีพิมพ์หนังสือพิมพ์และหนังสือบางชนิด
อีกทั้งยังมีช่องโทรทัศน์ของตัวเองอีกด้วย
แต่สิ่งที่ทำให้สำนักข่าวแห่งนี้ต้องมีปัญหาและถูกด่าทออยู่หลายครั้ง
หนึ่งในเหตุผลของข้อผิดพลาดนั้นก็คือการที่พวกเขารับชายคนนี้เข้ามาทำงาน
สตีเฟ่น
แสตนเฟอร์ดินาน สิ่งมีชีวิตที่สร้างรอยโหว่ขนาดใหญ่ให้กับสำนักข่าวไอดีเอ็นนั้นคือคนที่กำลังสร้างเสียงรบกวนให้กับเพื่อนร่วมงานอยู่ในขณะนี้
แม้เขาจะอายุใกล้เลขสามเต็มที่แต่ทุกคนรู้ดีว่าเขายังทำตัวงี่เง่าและไม่คิดถึงความเป็นจริงอยู่เสมอ
“เอาน่า สตีเฟ่น
คิดซะว่าไปพักร้อนสักสามสี่เดือนก็แล้วกัน นายทำอะไรไม่ได้หรอก รอบนี้ท่านประธานสั่งมาเองเลยด้วย”
“แต่ฉันยังมีข่าวที่ทำค้างไว้นะ!!”
“ถ้าข่าวที่นายว่าคือการออกไปไล่กระทืบหรือพูดเสียมารยาทใส่ใครอีกก็พับมันไปได้เลย”
“หา? แต่...”
“ไม่มีแต่ ออกไป”
คำสั่งเด็ดขาดของหัวหน้าทำให้เขาต้องเดินออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
ดูเหมือนว่าการที่เขาถูกพักงานรอบนี้ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเมื่อชั่วโมงก่อนที่เขาไปต่อยยามหน้าบ้านของประธานธิบดีที่พยายามกันเขาออกจากพื้นที่ตามคำสั่งของฟอนด้าที่มองนักข่าวทุกคนหน้าบ้านเป็นหนอนแมลง
แต่ก็ยังโชคดีที่เขาไม่ใช่คนที่โดนกาแฟสาดใส่หน้า ไม่งั้นเขาคงวีนแตกใส่หญิงสาวคนนั้นเป็นแน่
สตีเฟ่นเก็บของของตัวเองบางอย่างใส่กระเป๋าเป้ของเขาก่อนจะเดินออกมาจากออฟฟิศอย่างหัวเสีย
เขาคิดวนไปมาอยู่ในรถว่าจะเอายังไงต่อดีจนในที่สุดเขาก็คิดอะไรโง่ๆขึ้นมาได้ว่า
ถ้าเขามีข่าวดีๆสักข่าวไปให้หัวหน้า ไม่แน่เขาอาจจะได้กลับไปทำงานต่อเร็วขึ้นก็ได้
เมื่อคิดได้แบบนั้นสตีเฟ่นก็รีบโทรหาคนรู้จักคนหนึ่งของเขาทันทีก่อนที่จะขับรถไปยังสถานที่ๆนัดกันอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มนัดกับคนรู้จักของเขาที่ย่านท่องเที่ยวแห่งหนึ่งในร้านกาแฟที่พวกเขาเคยเจอกันบ้างเป็นครั้งคราว
ด้วยความรีบร้อนสตีเฟ่นจึงเดินไปด้วยความเร็วจนลืมมองระยะของคนที่เดินสวนมาก ทำให้เด็กหนุ่มผมสีแดงสดชนเข้ากับไหล่ของเขา
เด็กหนุ่มคนนั้นชะงักพร้อมกับกล่าวขอโทษแต่เขาก็ไม่ได้สนใจและรีบเดินต่อไปในทันทีจนถึงร้านกาแฟที่นัดกันไว้
สตีเฟ่นสั่งกาแฟที่หน้าเคาน์เตอร์และรีบนั่งลงตรงข้ามกับหญิงสาวที่คุ้นหน้าในทันที
“ไง สตีเฟ่น
ไม่มีงานแล้วเหงาเลยสิ”
หญิงสาวที่นั่งรอเขาอยู่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ดูเหมือนชีวิตของเธอจะราบรื่นจนน่าหมั่นไส้ทีเดียว
“ไม่ต้องแซวเลย ชาร์ลอต”
สตีเฟ่นตอบเพื่อนสาวของเขาด้วยท่าทางอารมณ์เสียก่อนที่เขาจะหยิบสมุดจดเล่มเล็กๆออกมาจากกระเป๋าเสื้อเพื่อเตรียมจะจดสิ่งที่เธอจะบอก
“ถึงจะอยากได้ข่าวก็ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้นเลย”
“ช่างฉันเถอะน่า ที่บอกว่ามีอะไรน่าสนใจน่ะ
รีบๆบอกมาได้แล้ว”
“แค่บอกว่าน่าสนใจนะ
ไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์อะไรรึเปล่า”
ชาร์ลอตพูดก่อนจะวางนามบัตรสีแดงเลือดหมูลงบนโต๊ะ
นามบัตรเรียบหรูพิมพ์ด้วยตัวอักษรสีทองอย่างดีทำให้อ่านง่ายและสะดวกพอสมควร
“เฮนดริน่าคลับ(Hendrina Club)เหรอ?”
“อือ
ฉันไม่เคยไปหรอกนะแต่มีคนเคยบอกฉันว่ามีเด็กอายุไม่ถึงเกณฑ์ทำงานที่นั่น
ถ้าสนใจนายก็ไปสิ ผู้ชายน่าจะเข้าไปง่ายกว่านะ”
ชาร์ลอตพูดแล้วยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม
สตีเฟ่นหยิบนามบัตรนั้นขึ้นมาก่อนจะมองที่อยู่ที่เขียนไว้
มันเป็นคลับที่อยู่ในย่านเที่ยวกลางคืนของเขตใต้ใกล้ท่าเรือซึ่งห่างจากที่ๆเขาอยู่พอสมควรแต่เขาก็ไม่มีทางเลือก
ถ้าเขาอยากได้ข่าวเขาก็คงต้องไปแม้ว่าจะมีต้นตอเป็นเพียงแค่ข่าวลือก็ตาม
“น่าดีใจนะที่เธอยกงานให้แบบนี้”
สตีเฟ่นพูด
เขาแปลกใจเล็กน้อยที่เพื่อนร่วมสายงานจะยอมยกข่าวน่าสนใจให้เขาในยุคที่การแข่งขันสูงแบบนี้
“ฉันไม่สนใจข่าวค้าประเวณีหรอกนะ
อีกอย่างฉันมีเรื่องที่น่าสนใจกว่า”
“สำหรับเธอมีอะไรน่าสนใจกว่าอาชญากรรมด้วยเหรอ”
“ก็นะ...พอดีฉันตามคดีๆหนึ่งอยู่แล้วน่ะ
ไม่เสี่ยงทิ้งงานนี้ไปวิ่งไล่ข่าวลือหรอก”
ชาร์ลอตตอบ
งานของเธอนั้นแม้จะอยู่ในสายเดียวกับสตีเฟ่นแต่มันต่างกันพอสมควร
เพราะชาร์ลอตนั้นทำงานอิสระ
เมื่อได้ข่าวที่น่าสนใจมาเธอก็ขายให้กับสำนักข่าวให้พวกเขาไปเขียนข่าวต่อกันเอง
ซึ่งมันเป็นแนวทางที่คนหัวร้อนไม่ง้อลูกค้าแบบสตีเฟ่นไม่น่าจะทำได้ และเพราะเป็นงานอิสระที่มีแนวโน้มขึ้นลงสูงมากจึงไม่แปลกที่ชาร์ลอตจะไม่อยากทิ้งงานที่ทำอยู่เพื่อไปเสี่ยง
“พอจะบอกได้ไหม
ฉันอยากรู้น่ะ”
“...ไม่ได้หรอกนะ”
ชาร์ลอตตอบด้วยรอยยิ้มก่อนที่เธอจะลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับก่อน
สตีเฟ่นมองหญิงสาวเดินออกจากร้านไปก่อนจะกระดกกาแฟของตัวเองจนหมดแล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจะจ่ายเงิน
แต่เมื่อเขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วเขาก็ต้องสบถขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“ชิบหาย...”
ชายหนุ่มวัยรุ่นเดินไปตามทางของย่านการค้า
เขาก้าวไปพร้อมกับฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเพราะในมือของเขามีกระเป๋าสตางค์หนังสีน้ำตาลเข้มที่เป็นของใครบางคนอยู่
และเขาได้ลองเปิดดูแล้วว่ามันเงินอยู่ประมาณร้อยมาลิคซึ่งมันทำให้กินอาหารแพงๆได้สามสี่มื้อทีเดียว
“ลาภลอยๆ
กระเป๋านี่ก็น่าจะพอมีราคาอยู่น้า”
หัวขโมยหนุ่มพูดกับตัวเองเบาๆก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆแล้วเขาก็เจอสิ่งที่เข้าตาโดยบังเอิญ
หญิงสาวผมสีอ่อนที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งของย่านการค้านั้นช่างสะดุดตาเขา
แต่ดูเหมือนเธอจะหยุดสายตาของผู้ชายที่เดินผ่านแทบทุกคนด้วยซ้ำ
ใบหน้าน่ารักที่ดูเหมือนแต่งหน้าอ่อนๆและดวงตาสีน้ำเงินเป็นประกายนั้นชวนให้อยากจับจ้อง
อีกทั้งเสื้อผ้าที่เธอใส่ก็ดูเข้ากับเธอมากเสียจนนึกภาพคนอื่นใส่ชุดเดียวกับเธอแล้วดูดีขนาดนี้ไม่ออก
โอทิสไม่รอช้า ด้วยความเป็นวัยรุ่นใจร้อนและมั่นหน้าทำให้เขาเดินตรงเข้าไปหาเป้าหมายในทันที
“นี่ รอใครอยู่เหรอ”
เขาทักอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มแต่รอยยิ้มของเธอที่ยิ้มกลับมานั้นทำให้ใจของเขาสั่นระรัวจนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“ไม่ได้รอใครหรอกค่ะ”
เสียงหวานตอบเขาอย่างเป็นมิตรทำให้เขารู้สึกว่าเธอนั้นช่างไร้ที่ติ
ไม่มีจุดไหนเลยที่บกพร่องในตัวเธอ
“งั้นเหรอ ผมชื่อโอทิสนะ
ขอนั่งด้วยได้ไหม”
โอทิสถามและนั่งลงโดยไม่รอคำตอบซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไร
โอทิสเดาว่าเธออาจจะโดนจีบจนชินแล้วก็เป็นได้
หญิงสาวไม่ได้ทำท่าทางสนใจเขามากนักแต่เขาก็พยายามจะทำความรู้จักกับเธอ
“นี่ เรียนอยู่ที่ไหนเหรอ”
“ฉันเรียนจบแล้วล่ะค่ะ
เพิ่งจบจากเอโคล โพลีเทคนิค(ภาษาฝรั่งเศส:École
polytechnique)น่ะ”
“หืม?
ไม่ใช่มหาวิทยาลัยของเกาะนี้สินะ”
“ค่ะ
ฉันมาจากฝรั่งเศสน่ะ”
หญิงสาวตอบทำให้เขารู้ว่าเธอน่าจะอายุมากกว่าเขาหลายปีทีเดียว
“งั้นเหรอ
แต่พี่สาวเหมือนเด็กมัธยมเลยนะ นึกว่ารุ่นใกล้ๆกันซะอีก”
โอทิสพูดด้วยรอยยิ้มทำให้อีกฝ่ายดูเขินอายเล็กน้อยและเมื่อรู้แล้วว่าเธอไม่ได้เรียนจบที่นี่เขาจึงถามต่อ
“แล้วมาทำอะไรเหรอ”
“อือ...ก็มาทำงานน่ะค่ะ”
“อ๋อ แล้ววันนี้หยุดสินะ”
“ประมาณนั้นค่ะ”
“งั้นไปเที่ยวกันไหม
เดี๋ยวผมเลี้ยงขนมก็ได้น้า”
โอทิสพูดชวนแต่หญิงสาวก็ลังเลเล็กน้อยก่อนที่เธอจะยักไหล่และตอบตกลง
เธอคงคิดว่าเด็กแบบโอทิสไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไรกับเธอ
“งั้นเอาเป็นเครปแล้วกันนะ”
“ได้เลย
ผมรู้จักร้านดีๆด้วยนะ!”
เด็กหนุ่มพูดอย่างสดใสก่อนจะลุกขึ้นและทำท่าจะเดินไปแต่หญิงสาวก็คว้ามือของเขาเอาไว้
นิ้วมือเรียวเล็กและสัมผัสของมือที่นุ่มนวลทำให้โอทิสชะงักและหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย
“ฉันเดินช้าน่ะค่ะ ค่อยๆไปนะ”
เธอพูดด้วยรอยยิ้มทำให้เขาพยักหน้าแล้วค่อยๆเดินไปพร้อมกับเธอ
ก่อนที่เขาจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“จะว่าไปพี่สาวชื่ออะไรเหรอ”
“ฮะๆ
ดันลืมแนะนำตัวซะได้ ฉันชื่อรอนค่ะ”
ความคิดเห็น