คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter3 The return of the young maN
ในห้องทำงานของชาลส์นั้นเงียบสนิทอยู่พักใหญ่แทบไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้นเลยการเคลื่อนไหวเดียวในห้องคือก้อนน้ำแข็งในแก้วบรั่นดีของชาลส์ที่ขยับจากการละลายเล็กน้อย
เพราะชาลส์กำลังมองสำรวจร่างกายของแขกคนพิเศษของเขา
ร่างกายของชายหนุ่มดูแข็งแรงขึ้นมากเมื่อเทียบกับครั้งล่าสุดที่พวกเขาทั้งสองคนได้เจอกัน
และที่ทำให้ชาลส์หุบยิ้มไม่ได้จนถึงตอนนี้ก็เป็นเพราะเขาไม่คิดว่าจะได้เจอกับมินโฮอีกครั้งด้วยซ้ำ
“คิดถึงฉันเหรอมินโฮ”
ชาลส์พูดพร้อมลุกขึ้นไปนั่งข้างๆชายหนุ่ม
เขาไม่ได้หวังคำตอบจากคำถามนั้นแต่หวังความกลัวจากแววตาของมินโฮมากกว่า
“เอ...หรือคิดถึงอย่างอื่นกันนะ”
ชาลส์พูดลอยๆพร้อมวางแขนโอบบ่าของมินโฮแต่มือของเขาก็ถูกจับไว้ทำให้ต้องยอมยกแขนออก
“ผมอยากจะหางานสักหน่อยคุณชาลส์”
“เหอะ ตอนฉันมีงานให้ไม่เห็นนายจะแคร์”
ชาลส์บ่นก่อนยกแก้วบรั่นดีขึ้นมาดื่ม
แม้เขาจะทำท่าทางเล่นตัวอยู่ไม่น้อยแต่ทุกคนก็รู้ดีว่าตอนที่มินโฮหนีไปจากที่นี่นั้นชาลส์คือคนที่ไม่แยแสอะไรมากที่สุด
เขาไม่ไดมองมินโฮเป็นอะไรไปมากกว่าสินค้าเช่าที่ขายไปก็ไม่ได้ราคาเลย
อาจจะเพราะมินโฮนั้นเป็นเด็กที่แก๊งค้ามนุษย์เอามาให้ชาลส์เพื่อขัดดอกค่าหนี้ที่ติดอยู่ก็เท่านั้น
“อย่าเงียบสิ ตอนหนีไปฉันอุส่าไม่ให้ใครไปตามเก็บ
เลยได้ใจกลับมารึยังไง”
“...ผมขอโทษครับคุณชาลส์ ผมไม่ได้ได้ใจนะครับ
แค่ตอนนี้ผมทำงานเป็นนักฆ่ารับจ้างอยู่
แต่อาจจะเพราะผมไม่ได้มีเส้นสายแบบคุณงานมันก็เลยไม่มากนัก”
“ก็เลยจะกลับมาพึ่งเจ้านายเก่างั้นเหรอ”
ชาลส์พูดแทรกประโยคของมินโฮที่ดูจะกำลังหนักใจทำให้เขาพยักหน้ารับแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก
“รู้ไหมฉันขนลุกมากๆเลยที่นายพูดสุภาพๆกับฉัน
ฉันจำได้ว่าคำล่าสุดที่นายเรียกฉันตอนเด็กๆเนี่ยน่าจะเป็นไอ้สถุลหรืออะไรนี่แหละ”
คำพูดของชาลส์นั้นทำให้มินโฮรู้ว่าเจ้านายเก่าของเขานั้นกำลังจะตอบปฏิเสธข้อเสนอที่มินโฮอุส่ามาถึงที่นี่
ห้องเงียบลงอีกครั้งและมินโฮก็ได้แต่มองชาลส์ที่จิบบรั่นดีในแก้วโดยไม่พูดอะไรก่อนที่เขาจะกลืนน้ำลาย
“ช่วยหางานเพิ่มให้ผมหน่อยเถอะนะครับ
ไม่ต้องให้ผมเขาเป็นคนของที่นี่ก็ได้”
ชาลส์ยังคงนิ่ง
เขาไม่ได้คิดอะไรในหัวไม่แม้แต่จะระแวง เพียงแค่เขาอยากรู้ว่ามินโฮจะต้องการงานจากเขาขนาดไหนก็เท่านั้น
และภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยของชาลส์นั้นเขากำลังสะกดกลั้นไม่ให้ตัวเองหลุดหัวเราะกับการกระทำของชายหนุ่มแม้ว่าเขาจะรู้สึกขำขนาดไหนก็ตาม
“คุณชาลส์อย่าเงียบสิครับ
ผมรวบรวมความกล้านานมากเลยนะครับเพื่อจะมาเจอคุณน่ะ”
มินโฮพูด
เขาเริ่มลังเลแล้วว่าจะแสดงออกแบบไหนเพื่อขอร้องชายตรงหน้าดีและพยายามใช้สมองนึกย้อนไปให้มากที่สุดเพื่อที่จะนึกให้ออกว่าชาลส์ในความทรงจำของเขานั้นเป็นคนที่ต้องเอาใจยังไงกันแน่
แต่เขาก็นึกไม่ออกเพราะในความทรงจำของเขานั้นชาลส์คือหนึ่งในคนที่เขาไม่เคยมองเห็นตัวตนอะไรเลยมากที่สุด
“มินโฮ ฉันพูดจริงๆนะนายกลับไปดีกว่า
เดี๋ยวโรแบร์โตกลับมาเมื่อไรคงทำอะไรที่นายไม่ชอบแน่”
ชาลส์พูดเมื่อเห็นมินโฮใช้เวลาคิดนานเกินไปพร้อมเอื้อมไปเทบรั่นดีลงในแก้วเพิ่ม
เขาอยากจะกัดขอบแก้วเพื่อสะกดอารมณ์ของตัวเองที่แทบจะระเบิดหัวเราะได้ตลอดเวลา
และเขายิ่งรู้สึกอยากหัวเราะมากขึ้นเมื่อมินโฮยังคงเงียบอยู่แบบนี้โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าคำพูดของเขานั้นมีคีย์เวิร์ดบางอย่างที่ทำให้ชายหนุ่มคิดวิธีที่จะขอร้องเขาออกแล้ว
มินโฮจับแก้วในมือของชาลส์ที่ถือแก้วอยู่ก่อนจะกระดกบรั่นดีในแก้วนั้นทำให้ชาลส์ถึงกับนิ่งไปแต่ระหว่างที่ชาลส์ยังอึ้งอยู่นั้นมินโฮก็ใช้มือทั้งสองประคองแก้มของชาลส์ก่อนจะประกบจูบลงที่ปากของเขา
แก้วในมือของชาลส์หลุดลงกระแทกกับพื้นจนแตกเพราะความตกใจของเขา
เขาแทบไม่รู้รสของแอลกอฮอล์ที่ไหลเข้ามาในปากแต่เมื่อเขาตั้งตัวได้ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มินโฮถอยออกพอดี
“เดี๋ยวนี้มีแต่คุณโรแบร์โตในหัวแล้วเหรอครับ”
มินโฮถามด้วยรอยยิ้มบางๆแบบที่ชาลส์ไม่เคยเห็นทำให้ชาลส์หลุดหัวเราะเบาๆออกมาเพราะความขำทั้งหมดที่เขากลั้นไว้นั้นถูกความตกใจกระแทกหายไปหมดแล้ว
“แค่พูดเพราะคนที่ต้องระวังโรแบร์โตน่าจะเป็นนาย
แล้วก็เข้าใจซะใหม่ ฉันไม่พวกบ้ากามที่จะนอนกับลูกน้องของตัวเองไปทั่ว
ฉันไม่ให้นายมาเป็นพนักงานของที่นี่แค่เพราะนายกล้าจูบฉันแบบนั้นหรอกนะ”
ชาลส์พูด
เขายังคงใจแข็งไม่ให้ชายหนุ่มเข้ามาทำงานที่นี่แต่เขาก็ไม่ได้ใจร้ายจนมองไม่เห็นความพยายามของมินโฮ
และชาลส์เองก็ชอบเรื่องประหลาดใจมากกว่าใครๆ
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นก็นับว่าทำให้เขาแปลกใจได้มากที่สุดในรอบหลายเดือนทีเดียว ชาลส์จึงลุกขึ้นก่อนจะพูดกับมินโฮ
“นายกลับไปได้แล้ว
ถ้ามีงานอะไรที่นายพอทำได้ฉันจะโทรไปหา ทิ้งเบอร์ไว้ให้ด้วยก็แล้วกัน”
คำพูดของชาลส์นั้นทำให้มินโฮยิ้มออกก่อนที่เขาจะทิ้งนามบัตรไว้แล้วขอตัวกลับ
หลังจากชายหนุ่มกลับไปแล้วชาลส์ก็เดินออกมาจากห้อง บาร์ที่ไร้ลูกค้านั้นมีเพียงคนของเขานั่งอยู่นิดหน่อยและพวกเขาก็มองชาลส์ด้วยท่าทางแปลกใจ
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรน่ะชาลส์”
มิซูกิถามด้วยความสงสัยแต่ชาลส์ก็ยังไม่ตอบอะไร เขากลับบอกให้บาร์เทนเดอร์ไปเก็บเศษแก้วในห้องของเขาแทน
“ไอ้เด็กนั่นมันหาเรื่องบอสเหรอครับ”
เสียงของชายอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยพูดอย่างไม่พอใจ
วิงที่อยู่กับชาลส์มานานรู้จักและรู้เรื่องของมินโฮเป็นอย่างดีและเขาก็รู้ดีด้วยว่าความพยศของมินโฮนั้นมากขนาดไหน
“ใช่ วิง เขาเกือบฆ่าฉันแล้ว”
ชาลส์พูดอย่างอารมณ์ดี
เขาฉีกยิ้มกว้างพลางนึกถึงรสจูบของชายหนุ่ม
ถ้าแก้วใบนั้นไม่ใช่ของเขาเองและชายหนุ่มที่เจตนาจะฆ่าเขาด้วยเครื่องดื่มเมื่อกี้เขาคงจะตายไปเสียแล้ว
“เด็กนั่นโตขึ้นมากเลย
ทำเอาฉันไม่ได้ตั้งตัวเลยล่ะ”
“งั้นให้ผม...”
“ใจเย็น ฉันชอบมัน
มันดูมีประโยชน์กว่าสมัยก่อนมาก ปล่อยมันไปก่อน”
ชาลส์ปรามวิงที่ดูจะเดือดร้อนแทนเขามากจนเกินไปพลางคิดในใจว่าเขานั้นไม่เคยคิดเลยว่าเด็กหนุ่มตัวผอมๆที่ถูกเอามาขัดดอกด้วยความไม่เต็มใจและหนีจากเขาไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนจะกลับมาพร้อมกับร่างกายที่ดูสมราคานักฆ่าและกล้าเผชิญหน้าตรงๆกับเขาได้
หลังจากออกมาจากบาร์แล้วมินโฮก็พยายามทำตัวปกติที่สุดจนเขาขับรถมาไกลพอที่จะรู้สึกว่าปลอดภัย
ชายหนุ่มรีบหักรถจอดข้างทางในทันทีก่อนที่เขาจะลงจากรถเพื่อสงบสติแต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นผล
มินโฮอาเจียนออกมา ในท้องของเขาปั่นป่วนไปหมด ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินลงบันไดหน้าทางเข้าบาร์ใจของเขาก็สั่นไม่หยุด
ไม่ใช่เพราะเขาอ่อนแอหรือขี้ขลาดแต่ความหลังฝังใจนั้นมันไม่ง่ายเลยที่จะเผชิญหน้า
และเมื่อเขาได้เจอกับชาลส์
เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงกวางที่กำลังจะถูกเสือขย้ำมากขึ้นไปอีก
มินโฮยืนพิงต้นไม้ริมทางอยู่พักใหญ่ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรไปยังเบอร์ที่คุ้นเคย
และปลายสายก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเธอเป็นคนที่สั่งให้มินโฮทำเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
“สำเร็จไหม”
ปลายสายถามด้วยเสียงที่ดูจริงจังเหมือนกับทุกๆวันที่ผ่านมาทำให้มินโฮแอบเสียดายที่อีกฝ่ายไม่คิดจะปลอบเขาเลย
“แน่นอน ไร้ที่ติเลยล่ะ”
มินโอตอบด้วยความมั่นใจทั้งที่จริงๆในใจเขาเกือบจะหลุดต่อยชาลส์ในใจไปหลายรอบแล้วก็ตาม
เขาบอกกับปลายสายว่าชาลส์จะโทรมาหากมีงานและเขารู้ดีว่าคนแบบชาลส์นั้นไม่เคยรับปากใครลอยๆทำให้ปลายสายพอใจกับงานที่เขาทำสำเร็จอยู่พอสมควร
แต่เธอก็ตัดสายไปโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
มินโฮทิ้งตัวลงนั่งพิงต้นไม้อย่างหมดแรงทั้งที่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรหนักหนามา เขามองถนนที่เงียบสงบอย่างเหม่อลอยไม่มีแม้รถสักคันที่จะวิ่งผ่านและความเงียบก็เริ่มทำให้จิตใจของเขานั้นฟุ้งซ่านไปตามเรื่องตามราว
“เฮ้
ของแบบนี้มันจะได้ราคาสักเท่าไรกัน”
เสียงของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มสวมแว่นกันแดดถามด้วยท่าทางไม่พอใจ
เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่นั้นไม่รู้เลยว่าสายตาของเขาหลังแว่นกันแดดสีเข้มนั้นแสดงอารมณ์แบบไหนอยู่กันแน่
แต่เด็กหนุ่มกลับรู้ดีว่าในสายตาของชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ที่พาเขามาที่นี่นั้นกลัวชายตรงหน้าขนาดไหน
“น่า...คุณชาลส์
แค่อาทิตย์เดียวนะครับ ขอยืดไปอีกหน่อย”
ชายร่างใหญ่ขอร้องราวกับผู้แพ้ทั้งที่คนที่เขากลัวนั้นดูจากภายนอกแล้วน่าจะอ่อนแอกว่าเขามาก
เด็กหนุ่มได้แต่นั่งเงียบๆฟังการสนทนาของทั้งสอง
ในหัวของเขายังคงว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดนอกจากภาพของครอบครัวที่ถูกฉีกกระชาก
แต่ในขณะที่เขายังคงนิ่งอยู่นั้นอยู่ๆก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นทำให้เขาหลุดจากภวังค์ของตัวเอง
“อย่า...อย่า!
คะ..คุณชาลส์ เดี๋ยวก่อน!!”
ชายร่างใหญ่ถูกใครบางคนลากออกไปอีกทางแต่เด็กหนุ่มที่ไม่ได้ฟังบทสนทนาอย่างตั้งใจนั้นไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“วิง
อย่าให้เลอะเทอะนักล่ะ”
ชายในชุดสูทพูดก่อนจะหันมามองเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มที่ยากจะบอกว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่
“นายชื่ออะไร”
“ค..คุณ...คุณคะ
คุณชื่ออะไร ให้ฉันตามรถพยาบาลไหม”
เสียงใสๆของใครบางคนทำให้มินโฮสะดุ้ง
เขาหลุดจากภวังค์ของตัวเองและมองเห็นใบหน้าของหญิงสาวที่จับบ่าของเขาไว้ทำให้เขาปัดมือเธอออกในทันที
“ไม่... ไม่ ขอบคุณ”
เขาพูดก่อนจะลุกขึ้นทำให้เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก
“สีหน้าคุณไม่ดีเลยนะคะ
ถ้ายังไงฉันมียาแก้เมาค้างในรถ คุณจะเอาหน่อยไหมคะ”
“ไม่ล่ะครับคุณสกาเล็ต”
มินโฮตอบหญิงสาวในชุดกาวทำให้เธอตกใจที่เขาเรียกชื่อของเธอแต่ก่อนสกาเล็ตจะถามอะไรเขาก็ใช้นิ้วชี้ที่ป้ายเล็กๆบนอกของเธอ
“ฮะๆ
ท่าทางจะไม่ได้เมาจริงๆนะคะเนี่ย”
“ผมดูเหมือนคนเมาเหรอ”
“แล้วคนประเภทไหนจะมานั่งข้างถนนหลังเที่ยงคืนบนถนนเส้นที่เป็นกลับจากย่านท่องราตรีล่ะคะ”
สกาเล็ตพูดติดตลกทำให้มินโฮกรอกตาเล็กน้อยและคิดว่าเขาอาจจะเหมือนวัยรุ่นเสเพลสักคนที่เพิ่งกลับจากผับจริงๆก็ได้
“แล้วคุณล่ะครับ
ใส่ชุดกาวเที่ยวผับเหรอ”
“ถ้าฉันตอบว่าใช่ล่ะคะ”
“คุณก็คงต้องกินยาแก้เมาค้างนั่นแล้วล่ะครับ”
“ฮะๆๆ ไม่หรอกค่ะ
ฉันแค่กำลังจะไปทำงาน”
สกาเล็ตตอบทำให้มินโฮนึกสงสัยว่างานอะไรกันที่จะต้องออกไปทำตั้งแต่ตีสี่ครึ่งแต่ดูเหมือนชุดกาวของหญิงสาวจะตอบคำถามของเขาในตัวเรียบร้อยแล้ว
“ผมนี่โชคดีจริงๆนะครับ
ที่ไม่ถูกใครมาฆ่าตายแถวนี้ก่อนที่คุณจะมาเจอ”
“ฉันว่าถ้าคุณอยู่ตรงนั้นคงไม่มีใครฆ่าคุณได้ดีกว่ายุงหรอกค่ะ”
“ฮะๆๆ นั่นสินะครับ”
“งั้นฉันขอตัวนะคะ
คุณไม่เป็นไรแล้วนี่นา”
“ครับ แล้วพบกัน”
มินโฮพูด
เขาก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงพูดแบบนั้นแต่มันทำให้คู่สนทนาของเขาหัวเราะเล็กน้อย
“ฉันคงไม่พูดว่าแล้วพบกันกับคนที่ไม่ชื่อหรอกนะคะ”
“แต่ผมรู้ชื่อคุณนะ”
มินโฮตอบด้วยรอยยิ้มและสกาเล็ตก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับ เธอแค่เดินไปขึ้นรถของตัวเองแล้วขับออกไปปล่อยให้ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วเขาก็ตบเข้าที่ไหล่ของตัวเองก่อนจะรำพึงเบาๆ
“ยุงเยอะชะมัด”
ความคิดเห็น