คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter1 New membeR
แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมาที่ผืนทะเลอันกว้างใหญ่ทำให้ผิวน้ำเป็นประกายสวยงาม
สายตาของชายหนุ่มจ้องมองมันด้วยความแปลกใจว่าทำไมสถานที่ที่เหมือนดินแดนแห่งความฝันแบบนี้ถึงเป็นที่ที่เขาต้องเอาชีวิตมาเสี่ยง
ชายหนุ่มจากดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก้าวเท้าลงจากเรือที่มาส่งเขาที่ฝั่งของเกาะวงแหวนกลางทะเล
จริงๆแล้วที่นี่นั้นมีสนามบินแต่ในตอนแรกเอาได้แวะเมืองที่ไม่ห่างจากที่นี่มากทำให้เขาตัดสินใจเหมาเรือมาถึงที่นี่ได้
ดอนนี่เดินไปตามทางเดินของท่าเรือ ในมือของเขานั้นมีแผนที่ที่บอกทางไปยังจุดหมายซึ่งมันมาจากเพื่อนของเขาที่จริงๆก็ทำงานร้านอาหารข้างๆสำนักงานนี้เท่านั้นเอง
ในมือของเขายังถือแผนที่แน่นเพราะถึงเขาจะเคยไปที่สำนักงานนั้นมาแล้วเขาก็ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะจำทางได้ดีพอจะเดินไปด้วยตัวเอง
ผู้คนมากมายเดินสวนกันไปมาอย่างสบายอารมณ์
มีทั้งนักท่องเที่ยวและนักศึกษาทำให้เขาแอบคิดในใจว่าทำไมคนที่อายุเพิ่งผ่านคำว่าวัยรุ่นมาได้เพียงไม่นานนั้นต้องมาจริงจังกับชีวิตแบบนี้
แต่มันก็คงช่วยไม่ได้เพราะถ้าเขาไม่ทำงานนี้ที่บ้านก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นเป็นแน่
ดอนนี่เดินมาตามแผนที่เรื่อยๆ เขาไม่อยากเรียกแท็กซี่เพราะเขากังวลเรื่องเงินไม่น้อยอีกทั้งเขายังมั่นใจว่าเขาเดินไหวแน่นอน
จนในที่สุดดอนนี่ก็มาถึงหน้าสำนักงานขนาดใหญ่ในย่านที่มีแต่ตึกราชการ
ตึกสีขาวสะอาดกะด้วยสายตาน่าจะสูงราวๆ6ชั้นเป็นอย่างต่ำและมีตัวอักษรสีทองเขียนคำว่า“Office of
Martyrs”
ดอนนี่ยืนกลืนน้ำลายอยู่หน้าตึกเอื้อกใหญ่ก่อนจะเปิดประตูกระจกที่ติดฟิล์มไม่ให้เห็นอะไรด้านในเข้าไป
พื้นที่ปูด้วยกระเบื้องหินอ่อนสีขาวเทาและผนังหินสีน้ำตาลแดงทำให้เขามั่นใจว่าถูกต้องตามความทรงจำกับที่มาครั้งก่อน
ตรงหน้าของเขานั้นคือเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์สีเข้มที่มีพนักงานแต่งตัวเต็มยศตรงข้ามกับเขาที่ยังอยู่ในสภาพเสื้อยืดกางเกงขาสั้นอยู่
ชายหนุ่มกระชับสายของกระเป๋าเป้ทั้งสองข้างบนบ่าของเขาก่อนจะเดินตรงเขาไป
และก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรหญิงสาวก็พูดสวนขึ้นมาก่อน
“สวัสดีค่ะ มาติดต่ออะไรคะ ได้นัดไว้รึเปล่า”
เธอถามด้วยรอยยิ้มทำให้ดอนนี่ประหม่าเล็กน้อยก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือที่เปิดหน้าอีเมลรับรองจากทางทีมเอ็มเองให้เธอดู
“ขอเวลาสักครู่นะคะ”
เจ้าหน้าที่สาวพูดพร้อมกับรับโทรศัพท์ของเขาไปแล้วเริ่มตรวจสอบอะไรบางอย่างในคอมพิวเตอร์ของเธอก่อนที่จะหันมาพูดกับเขาอีกครั้งพร้อมกับคืนของของเขาให้
“นั่งรอสักครู่นะคะ
พอดีตอนนี้เจ้าหน้าที่ประชุมกันอยู่ เดี๋ยวจะมีคนลงมารับนะคะ”
“อ่า ครับ ขอบคุณครับ”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันพาไปเอง!”
เสียงใสๆดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนที่เคาน์เตอร์หนไปมองหญิงสาวผมดำมัดจุกกลมๆสองข้างที่เพิ่งเดินเข้ามา เธอเดินตรงมาที่ดอนนี่ทันทีก่อนจะตบเข้าที่หลังของเขาแรงๆสองสามครั้งเพื่อเป็นการทักทาย
“หวัดดีๆ เมื่อวานเราคุยเรื่องนายกันอยู่ล่ะนะ
รีบไปเหอะ”
สาวตัวเล็กพูดพร้อมกับดึงเสื้อของดอนนี่และลากเขาไปขึ้นลิฟต์อย่างรวดเร็ว
เธอทำตัวสบายๆราวกับที่นี่ไม่ใช่ที่ทำงานและการแต่งตัวของเธอก็สามัญธรรมดาแม้จะดูดีกว่าที่ดอนนี่ใส่อยู่ตอนนี้ก็ตาม
“หวัดดีอีกรอบนะ ฉันเหม่ยลี่ นายล่ะ”
“อ่า...ดอนนี่ครับ”
ดอนนี่ตอบอย่างประหม่าเมื่ออีกฝ่ายชวนคุยระหว่างที่ลิฟต์กำลังขยับขึ้น
“ได้ยินมาว่าเป็นนักกีฬามาก่อนหรอ
เสียดายนะวันที่นายมาทดสอบร่างกายฉันไม่อยู่ ฉันเองก็เคยเป็นนักกีฬานะ ฮะๆๆ แหม
คิดถึงเรื่องนั้นจังเลย”
เหม่ยลี่พูดด้วยท่าทางร่าเริงและผ่อนคลายทำให้คู่สนทนาลดความกังวลลงอย่างไม่รู้ตัว
“งั้นหรอครับ”
“แล้วคนที่ทดสอบร่างกายให้นายวันนั้นใครหรอ”
“เอ่อ...รู้สึกจะ...คุณริฮานน่าหรืออะไรนี่แหละครับ
คือผมจำได้ว่าชื่อเธอยาว”
“อ้อๆๆ เข้าใจละ โอ๊ะ ถึงแล้วล่ะ รีบไปกันเถอะ
นอกจากโต๊ะทำงานแล้วเรามีที่พักให้นายด้วยนา”
เหม่ยลี่พูดขึ้นเมื่อเห็นลิฟต์มาถึงชั้นที่ต้องการ
ทันทีที่ประตูเปิดออกหญิงสาวก็รีบออกไปอย่างรวดเร็วทำให้ดอนนี่ต้องเร่งฝีเท้าตามด้วยอย่างช่วยไม่ได้
แต่พอถึงห้องที่ติดป้ายว่าห้องประชุมเหม่ยลี่ก็รีบจัดเสื้อผ้าก่อนจะเคาะประตูอย่างมีมารยาท
เมื่อประดูเปิดออกทำให้ดอนนี่เห็นห้องประชุมที่ถูกจัดอย่างเรียบร้อยและเป็นทางการแต่ด้านในนั้นกลับมีคนอยู่เพียงแค่สามคนเท่านั้น
และหนึ่งในนั้นก็เป็นคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาพอสมควร
“ไง ดอนนี่ ฉันว่าแล้วว่านายต้องได้งานแน่ๆ”
หญิงสาวผมดำยาวที่ทักเขานั้นคือคนเดียวกับที่เขาเจอในวันที่ทดสอบร่างกาย
เธอเกือบจะหักแขนเขาในวันนั้นแล้วแต่ตอนนี้เธอกลับทำท่าทางสบายอารมณ์แทน
“สวัสดีครับ คุณอลัมสยาห์
ยินดีที่ได้พบคุณนะครับ”
ชายหนุ่มสวมแว่นผมสีเขียวหม่นพูดด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับเล็กน้อยก่อนจะสวมกอดเขาเบาๆตามมารยาทในแบบของตัวเองแล้วถอยออก
“ผมฟาซิล เบอร์วินครับ
รับผิดชอบงานพิสูจน์หลักฐาน ส่วนทางนี้คือ...”
ชายหนุ่มพูดพร้อมผายมือไปทางอีกสองคนด้านหลัง
“คุณแอนเจลีก้า ริฮานน่า กับคุณโฮรัง คิม
ทั้งสองคนนี้จะเป็นเพื่อนร่วมห้องทำงานของคุณครับ แน่นอนว่ารวมถึงคุณเหม่ยลี่ด้วย”
“ครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
“จริงๆก็ยังมีอีกคนในห้องทำงานของคุณแต่ดูเหมือนจะออกไปทำงานข้างนอกน่ะครับ
และทางที่ดีผมว่าคุณอย่าไปสนใจเขานักจะดีกว่า โดยเฉพาะต้นไม้บนโต๊ะของเขาน่ะครับ”
ฟาซิลกล่าวก่อนจะยื่นเอกสารบางอย่างให้ดอนนี่และขอตัวไปทำงานของตัวเองพร้อมกับบอกให้ทุกคนทำความรู้จักกันเสียหน่อยก่อนจะเริ่มงาน
“อีกคนนี่ใครหรอครับ”
ดอนนี่ถามระหว่างเดินตามทั้งสามสาวไปที่ห้องทำงานจริงๆทำให้โฮรังหันกลับมาตอบ
“โนอาห์น่ะ จริงๆไม่ได้ไปทำงานอะไรหรอก แค่มหา’ลัยมีสอบแค่นั้นเอง
ประเด็นคือเขาไม่ชอบให้ใครไปยุ่งกับต้นไม้ของเขาน่ะ”
โฮรังตอบพร้อมยักไหล่พอเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องไปสนใจเรื่องนั้นมากก็ได้
ดอนนี่มาถึงโต๊ะทำงานของเขามันเป็นโต๊ะสำนักงานทั่วๆไปที่สะอาดเอี่ยมและไม่มีรอยขีดข่วนใดๆราวกับเพิ่งยกมาให้เขาโดยเฉพาะ
“เฮ้ๆ”
เหม่ยลี่เรียกดอนนี่ที่กำลังจะจัดของวางไว้บนโต๊ะพร้อมกับยื่นกล่องปากกาเล็กๆให้เขา
“ฉันให้ ถือซะว่ารับขวัญวันเข้างานนะ!”
เหม่ยลี่พูดด้วยรอยยิ้ม
ดูเหมือนเธอจะเตรียมตัวต้อนรับพนักงานใหม่มาดีกว่าใครๆอาจจะเพราะเธอรู้สึกว่าพนักงานใหม่ก็ไม่ต่างกับเด็กเข้าใหม่ในโรงเรียนนัก
หญิงสาวเดินอย่างสบายอารมณ์กลับไปที่โต๊ะของตัวเองหลังฟังคำขอบคุณจากเด็กใหม่แล้ว
ดอนนี่ไม่ได้วางกล่องนั้นลงบนโต๊ะ
เขาเอามันใส่กระเป๋าเป้เพราะคิดว่าคงไม่ใช้ของที่คนอื่นอุส่าให้มาง่ายๆและอยากเก็บเอาไว้ก่อน
ดอนนี่บรรจงจัดของของเขาบนโต๊ะรวมไปถึงกรอบรูปหนึ่งอันที่ดูมีความหมายกับเขามากเหลือเกิน
“รูปครอบครัวหรอไอ้หนู”
เสียงทักทำให้เขาหันไป
มันเป็นเสียงทุ้มเข้มของชายวัยกลางคนร่างสูง
เขาสวมเสื้อนอกสีเข้มและมีกลิ่นควันบุหรี่ฟุ้งรอบตัวทำให้รู้ได้ทันทีว่าเขาเพิ่งทำอะไรมา
“เอ่อ...ครับ”
“เป็นแฟมิลี่แมนดีนี่
ฉันมารับน่ะ ต้องให้นายรีบเอาของไปเก็บที่ห้องก่อน เดี๋ยวเย็นนี้เรามีงานสำคัญกัน”
“ห๊ะ...อ่า...ครับ
เข้าใจแล้วครับ”
ชายแปลกหน้าพูดแล้วรีบเดินออกไปจากห้องโดยไม่หันมามองว่าเด็กใหม่จะเดินทันเขาหรือไม่
พวกเขาลงลิฟต์มาจนถึงชั้นล่าง
ในลานจอดรถใต้ดินที่แสนเงียบสงัดนั้นเต็มไปด้วยรถหรูที่ดูใหม่และไฮเทคแต่ชายวัยกลางคนกลับเดินไปขึ้นรถกระบะที่ดูธรรมดาๆคันหนึ่งแทน
ซึ่งดอนนี่ก็แอบโล่งเพราะถ้าคันอื่นเขาคงไม่กล้าขึ้นเป็นแน่
ในรถนั้นเงียบมากแม้ทั้งสองจะนั่งข้างกัน
ชายวัยกลางคนขับรถต่อไปโดยไม่พูดถึงจุดหมายแม้แต่น้อยนั่นทำให้ดอนนี่รู้สึกอึดอัดมากและท่าทางเขาจะแสดงสีหน้ามากไปเสียหน่อยทำให้คนขับรถต้องถอนหายใจ
“ฉันบาเทล เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ภาคสนาม
ว่าง่ายๆก็หัวหน้าหน่วยของนายนั่นแหละ”
ชายแปลกหน้าแนะนำตัวก่อนจะพูดต่อโดยไม่เว้นช่องให้ดอนนี่พูดอะไรกลับเลย
“ฉันรู้จักนายแล้ว
และจะบอกไว้เลยจะไอ้หนู เราทำงานกัน24ชั่วโมง
ถึงจะมีเวลาให้กลับไปนอนแต่นายก็ต้องมาทำงานทุกครั้งที่เสียงโทรศัพท์ดัง
แล้วก็ใส่เครื่องแบบมาด้วย”
บาเทลพูดอย่างรวบรัดเพื่อให้ดอนนี่เข้าใจว่าเวลางานที่ระบุไว้ว่า9โมงเช้าถึง1ทุ่มนั้นเป็นเพียงเวลานั่งแช่ในสำนักงานเท่านั้น
ดอนนี่ไม่มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้ โดยปกติเขาก็ไม่ใช่คนตื่นยากอยู่แล้ว
แต่ปัญหาของเขาน่าจะเป็นการที่เขาไม่รู้ว่าจะแต่งตัวทันรึเปล่าเสียมากกว่า
หลังขับรถมาได้ไม่นานบาเทลก็หยุดรถที่คอนโดแห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากสำนักงานนัก
เรียกว่าขับรถเพียง5นาทีก็ถึงได้ง่ายๆหรือจะเดินมาก็ได้ด้วยซ้ำ
มันเป็นคอนโดที่ค่อนข้างดูดีและมีราคาพอสมควร โดยบาเทลบอกว่าพนักงานของทีมเอ็มส่วนมากก็อยู่ที่นี่กัน เพราะมันเป็นคอนโดของทีมโดยเฉพาะที่ซื้อขาดจากบริษัทดั้งเดิมแล้ว
ด้านในนั้นมีสวัสดิการที่ครบครัน ทั้งอาหาร กาแฟ หรือแม้แต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เรียกว่าไม่ต่างกับโรงแรมดีๆสักแห่งเลย
ชายหนุ่มผู้ไม่เคยสัมผัสสิ่งเหล่านี้เดินเข้าไปข้างในอย่างเกร็งๆ
สำหรับครอบครัวชนชั้นกลางล่างแบบเขาแล้วนั้นการจะเข้ามาอยู่ในที่แบบนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย
แต่เขาก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อถึงห้องของตัวเอง ห้องนอนที่กว้างพอสมควรถูกแยกจากห้องนั่งเล่นอย่างชัดเจนและมีห้องอาบน้ำขนาดใหญ่อยู่พร้อม
อีกทั้งยังมีตู้เก็บอุปกรณ์ขนาดใหญ่ไว้สำหรับเก็บอาวุธและอุปกรณ์เสริมต่างๆรวมถึงชุดเครื่องแบบของเขาก็ถูกแขวนไว้ในนั้นด้วย
แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะโดนความแปลกหูแปลกตาเข้าครอบงำบาเทลก็ถามคำถามกับเขาเล็กน้อย
“นายใช้อาวุธอะไรได้บ้าง
มีด ปืน หรือจะบ้าบอถึงขั้นเป็นดาบยาว
แต่ว่าบอกก่อนนะว่าหน่วยเราเน้นอาวุธระยะใกล้มากกว่า”
“ผมมีของๆผมอยู่ครับ
แต่มีดกับดาบก็ใช้เป็นครับ ผมใช้ของมีคมได้ทุกอย่าง แต่ปืนนี่ไม่ค่อยแม่น”
ดอนนี่พูดพร้อมกับวางกระเป๋าเป้ลงบนโซฟาขนาดใหญ่ทำให้บาเทลเกิดความสงสัยเล็กน้อย
“ในถุงผ้าที่ยื่นออกมาจากกระเป๋านายนั่นมันอะไร”
เขาถามเมื่อสังเกตเห็นถุงผ้าหูรูดที่เป็นสาเหตุทำให้ดอนนี่รูปซิปกระเป๋าเป้ของเขาได้ไม่สุด ดอนนี่มองหน้าบาเทลเล็กน้อยก่อนจะดึงถุงผ้านั้นออกมาแล้วดึงของด้านในออก มันเป็นมีดยาวสองเล่มที่มีลักษณะไม่คุ้นตา ใบมีดนั้นคมทั้งสองด้านและมีทรงหยักตั้งแต่โคนจรดปลาย
“มีดหรอ”
“จะเรียกแบบนั้นก็ได้ครับ
แต่ถ้าแถวบ้านผมเขาเรียกว่ากริช”
ดอนนี่พูดก่อนจะเก็บของมีคมของเขาเข้าที่เดิม
แม้จะมีรูปร่างที่พิลึกแต่กลับทำให้บาเทลสนใจในรายละเอียดของใบมีดที่จงใจทำทรงให้แปลกและที่รูปร่างที่แม้จะดูไม่อันตรายแต่น่าจะสร้างผลลัพธ์ที่เขาคิดไม่ถึงได้เป็นแน่
“ว่าแต่ดอน
ฉันไม่ได้อ่านมาว่านายทำอะไรมาก่อน รู้แค่ว่าเป็นนักกีฬาโอลิมปิก
อย่าบอกนะว่าแข่งมวยมาน่ะ”
“ฮะๆๆ เปล่าครับ
ผมเพิ่งออกมาจากคุกน่ะ”
คำตอบด้วยรอยยิ้มของดอนนี่ทำให้บาเทลรู้สึกแปลกๆกับท่าทางนั้น
“นายทำอะไรมา”
“ตอนแรกน่ะผมเป็นนักกีฬาปันจักสีลัตครับ
คุณอาจจะไม่รู้จักหรอก วันแข่งดันมีคู่แข่งจงใจทำให้ขาผมหักก่อนแข่งน่ะ
ขาผมใช้หนักมากเท่าเดิมไม่ได้แล้ว
ด้วยความที่สมัยนั้นอารมณ์ร้อนด้วยแหละครับผมพอออกจากโรงพยาบาลผมก็เลยเล่นมันเกือบตายเลย”
ดอนนี่เล่าพลางเอาของออกจากกระเป๋า
ในน้ำเสียงของเขามีความรู้สึกผิดเจือปนอยู่เล็กน้อยในขณะที่เขายังไม่หยุดเล่า
“บ้านผมน่ะไม่ได้อยู่บนกองเงินกองทองนะครับ
พอผมทำงานอะไรที่เงินดีๆไม่ได้เหมือนเก่ามันก็ยิ่งแย่ผมก็เลยโกรธแค่นั้นแหละ
แต่ถ้ารู้ว่าทำไปแล้วมันจะมาลำบากเอาตอนนี้ก็ไม่น่าทำซะตั้งแต่ตอนนั้นเลยนะครับ
รู้งี้ก็คงยอมปลดเกษียณจากนักกีฬาไปเป็นคนขับรถแถวบ้านดีๆไม่ต้องเข้าซังเตให้เสียประวัติแล้ว
ฮะๆ”
“หึ นายดูโตขึ้นนะ”
“พูดเหมือนเรารู้จักกันมาก่อนเลยนะครับ”
“คนที่เล่าเรื่องโง่ๆตัวเองได้แบบมีสำนึกมันก็ดูโตขึ้นทั้งนั้นแหละ
เอาล่ะอย่าชักช้า กลับไปที่ทำงานกันได้แล้ว อ้อ เปลี่ยนชุดด้วย
นายจะคีบแตะไปต่อยกับใครไม่ได้หรอกนะไอ้หนู”
บาเทลพูดพร้อมตบหลังของดอนนี่เต็มแรงก่อนจะเดินออกไปรอนอกห้องจนชายหนุ่มเปลี่ยนชุดเสร็จ
เสื้อเชิ้ตสีขาวผูกเนกไทเรียบร้อยกับกางเกงขากระบอกสีกรมทาดูเข้ากับชายหนุ่มชาวเอเชียผู้มีใบหน้าที่ดูเข้มและสวมแว่นได้พอดิบพอดี
เสียก็แต่มันดันไปเข้าในความหมายที่ดูเหมือนพนักงานบริษัทแทนนี่สิ
ความคิดเห็น