คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : การเริ่มต้นครั้งใหม่ที่มีเพียงเรา 2 คน
“ ตัวฉันในตอนนี้มีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันนะ” มันเป็นความคิดที่เกิดขึ้นมาในสมองของฉันเมื่อฉันตื่นขึ้นในโรงพยาบาล หลังจากที่รู้ว่าพ่อแม่ฉันและคนอื่นๆ ในครอบครัวของฉันเสียชีวิตเนี่ยจากอุบัติเหตุรถทัวร์ตกภูเขาเพราะหิมะถล่ม คำถามต่อมาที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือ “แล้วทำไมฉันไม่ตายล่ะ ทั้งที่น่าจะตายไปพร้อมๆกับทุกคนแล้ว ทำไมฉันกลับรอด” ขณะที่ความคิดของฉันกำลังจมดิ่งลงสู่ความเศร้าหมอง ฉันหันมองไปรอบห้องสีขาว อีกมุมหนึ่งของห้องมีเด็กชายคนหนึ่งอายุประมาณฉันนอนอยู่ ดูท่าอาการเค้าจะหนักกว่าฉันเสียอีก ฉันพยายามขยับตัวเพื่อลุกขึ้นจากเตียง ทันใดนั้นเสียงพยาบาลก็ดังขึ้น เธอรีบวิ่งมาประคองฉันให้นอนลงที่เดิม เธอมองฉันด้วยสายตาที่อ่อนโยนมาก
“จะทำอะไรก็กดปุ่มเรียกซิจ๊ะเดียวก็ล้มตกเตียงกันพอดี” แล้วเธอก็เดินอ้อมเตียงไปปรับสายน้ำเกลือ
“ขอโทษนะคะ เด็กคนนั้นเป็นใครเหรอคะ” ฉันถามพยาบาลคนนั้น
“เด็กคนนี้เค้าอยู่บนรถทัวร์คันหลังรถทัวร์ของเธอไง รู้สึกว่าจะรอดมาคนเดียวเหมือนหนูเลย” เธอพูดขณะที่เดินไปดูเด็กคนนั้น จากนั้นเธอก็เดินออกจากห้องไป เมื่อได้ยินคำว่ารอดมาคนเดียว น้ำตาของฉันมันก็ไหลออกมาเกือบจะทันทีเลยก็ว่าได้
เวลาผ่านไปหลายวันอาการฉันเริ่มดีขึ้นและเริ่มทำกายภาพ แต่เด็กคนนั้นก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาเลย “นายกับฉันจะว่าด้วยบุญหรือกรรมนะที่ทำให้เรามาเจอกัน หากต้องแลกด้วยการสูญเสียคนที่เรารักไป มันก็คงไม่คุ้มหรอกใช่ไหม”
ฉันจ้องมองใบหน้าที่หลับไหลของเด็กคนนั้น แต่แล้วดวงตาที่หลับไหลคู่นั้นก็เริ่มที่จะขยับ มันน่าแปลกที่ฉันรู้สึกดีใจอย่าบอกไม่ถูกขณะที่กดปุ่มเหนือเตียงเพื่อเรียกพยาบาลเข้ามาดู ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนกับว่าเค้าเป็นสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งในชีวิตของฉันเลย หลายวันต่อมาเค้าก็เริ่มอาการดีขึ้นและเดินได้ แล้วจู่ๆเค้าก็มาพูดกับชั้น
“เธอพูดใช่ไหมว่าเป็นบุญหรือกรรมที่ทำให้เรามาพบกัน ฉันว่ามันคงเป็นกรรมที่ต้องเสียคนในครอบครัวไป แต่มันคงเป็นชะตามากกว่าที่ทำให้เรา 2 คนรอดมาเจอกันนะ ว่าไหม” เค้าพูดแล้วก็ยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันช่างน่าแปลกใจที่เขายังทำหน้ายิ้มแย้มได้ ต่างกับตัวฉันที่ทำหน้าเศร้าหมอง จากวันนั้นเค้าชอบชวนฉันไปนั่งที่ดาดฟ้าของโรงพยาบาล
“นี่ฉันคุยกับเธอมา 2 วันแล้วยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ฉันทาวาบาระ ฮิเดยูกิแล้วเธอล่ะ”
“ทาเคซาวะ ยูกิฮิโกะ”
“ชื่อเรามีคำว่ายูกิเหมือนกันเลยนะบังเอิญจัง” เค้าพูดแล้วหันกลับไปมองท้องฟ้าที่ดวงอาทิตย์กำลังตก
“แล้วจากนี้เธอจะทำยังไงต่อไปล่ะ” เขาถามฉัน
“ไม่รู้ซิ ฉันคิดว่าจะไปหาทนายประจำตระกูลให้หาบ้านใหม่ให้อยู่เพราะฉันไปอยากกลับไปที่ที่ทุกคนเคยอยู่ ส่วนหลังเดิมถ้าก็คนจ้างคนมาดูแล เพราะฉันไม่อยากนึกถึงเรื่องในอดีตที่ช้ำใจอีก”
“เธอนี่ดีนะรู้ว่าต้องทำอะไร ไม่เหมือนฉัน ฉันคงต้องหางานทำแล้วก็หาที่อยู่ใหม่เพราะบ้านที่ฉันอยู่เป็นบ้านเช่า ตอนนี้คงต้องคิดว่าจะไปอยู่ไหนดี” เค้าพูดแล้วก็หัวเราะ ช่างน่าแปลกใจทั้งที่เค้าต้องเจอกันปัญหามากมายกว่าฉันหลายเท่าแต่ทำไมเค้ายังยิ้มออกมาได้
“นายมาอยู่กับฉันไหมล่ะยังไงเราก็ไม่เหลือใครด้วยกันทั้งคู่นี้ ก็ยังดีกว่าอยู่คนเดียวจริงไหมล่ะ”
“ไม่รู้ซิ แต่ก็ดีเหมือนกันนะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเหงา ไม่ต้องอยู่คนเดียว” เค้าพูดแล้วกก้มมองที่พื้นเหมือนกำลังหลบสายตาเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นใบหน้าที่หมองเศร้าของเค้า นัยต์ตาของเค้าช่างดูว่างเปล่าเหลือเกิน
2 อาทิตย์หลังจากนั้นทนายของคุณพ่อก็มาหาฉันเค้าพูดถึงสิทธิการถือครองมรดกต่างๆ มากมาย ซึ่งตอนนี้ฉันยังไม่สามารถถือครองได้ทั้งหมด แต่เท่าที่มีอยู่ก็ทำให้ใช้ชีวิต ม.ปลายที่เหลือได้อย่างสบาย
“เท่าที่ดูตอนนี้ฉันยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ทั้งหมดแต่ฉันยังโชคดีที่มีอพาร์ตเม้นอยู่ ที่นั้นก็กว่าพอสมควรเลย ความจริงเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุ 15 ไม่คิดว่าจะได้ไปอยู่เร็วขนาดนี้” ขณะที่เดินไปปิดประตู
“อีก 2 วันเธอกับชั้นจะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ดีใจไหม” ฮิเดยูกิถามฉัน ท่าทางเค้าดูอารมณ์ดีมากๆ
“ฉันต้องกลับไปเอาของที่บ้านก่อนไม่รู้เจ้าของบ้านเช่าจะยังเก็บไว้หรือเปล่า เพราะเรานอนโรงพยาบาลตั้งเดือนนึง สงสัยป่านนี้โดนเอาไปขาดทำค่าเช่าหมดแล้วมั้ง”
และแล้ววันที่ฉันจะได้ออกไปจากโรงพยาบาลก็มาถึง ฉันนั่งรถแท๊กซี่ไปกับฮิเดยูกิ แถวบ้านเค้าเป็นย่านที่มีคนพลุกพล่าน วุ่นวายแต่ดูมีชีวิตชีวา ไม่นานนักฉันและเค้าก็มาถึงบ้านเช่าเก่าๆ หลังหนึ่ง เมื่อเค้าลงจากรถก็รีบวิ่งไปยังบ้านของเจ้าของที่อยู่ถัดไปนึงเดียว หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่หน้าบ้านหลังนั้น
“ฉันนึกว่าแกจะตายซะแล้วตอนนี้บ้านนั้นฉันให้คนอื่นเช่าแทนแล้ว แล้วก็นี่ของของแก ส่วนพวกทีวีตู้เย็น ฉันถือว่าเป็นค่าเช้าที่ค้าง แล้วก็มีกล่องใบนึงแม่แกมาฝากไว้ก่อนไปฉันยังไม่ได้เปิดแกเปิดเองแล้วกัน” เค้าพูดแล้วเดินไปหลังบ้านโดยไม่มีท่าทีสนใจจเด็กหนุ่มตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
“ก็ยังดีที่เค้ายังไม่ทิ้งของส่วนตัวของฉันสงสัยทีเหลือคงโดนขายเป็นค่าเช่าที่ค้างไปแล้วมั้ง แต่ก็ดีจะได้ไม่ต้องคิดถึงมันอีก” เค้าพูดแล้วยกของที่เหลืออยู่ออกไปด้านนอก
“We are fight .naotonomete ” เสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้น
“ได้เดี๋ยวฉันจะไปถึงในอีก 1 ชั่วโมง แค่นี้นะ”
“ไปกันเถอะ ทนายบอกว่าเตรียมอพาร์ตเม้นไว้ให้แล้ว เราไปดูกันดีกว่าว่าชอบหรือเปล่า” แล้วฉันก็ช่วยเค้ายกข้าวของพรุงพรังขึ้นรถแท๊กซี่ไป
“ต่อไปนี้นายเป็นคนสำคัญในชีวิตของฉันนะ ห้ามหนีฉันไปไหนเด็ดขาด” ฉันพูดและจัดมือเค้าไว้แน่น เค้ากุมมือของฉัน
“ฉันจะอยู่กับเธอจนเธอเบื่อเลยคอยดู” มันช่างเป็นช่วงเวลาที่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกเลยที่เดียว
“คุณหนู ที่นี้เป็นอพาร์ตเม้นของคุณครับ แต่ที่นี่ยังไม่ได้ตกแต่งอะไรนะครับเพราะมันกระทันหันมาก ส่วนนี้บัตรเครดิตของคุณครับ แล้วก็นี้เอกสารรับเงิน 5% ของรายได้ทั้งหมดที่ได้จากอสังหาริมทรัพย์กับบริษัทของคุณพ่อและคุณแม่ของคุณครับ จะโอนเข้าบัญชีทุกต้นเดือน กรุณาอ่านอย่างถี่ถ้วนนะครับถ้าสงสัยตรงไหนก็โทรหากระผมได้ทุกเวลาครับ แล้วอีก 1 อาทิตย์กระผมจะมารับเอกสาร” เมื่อพูดจบเค้าก็ขึ้นรถคันสีดำคันใหญ่ออกไป
“ไปดูกันดีกว่าว่าในห้องเป็นยังไง” ฉันลากข้าวของและตัวเค้าขึ้นไปบนอพาร์ตเม้น และเมื่อเปิดประตูเข้าไป มันช่างดูกว้างขวางและสวยมาก เพราะมีหน้าต่างบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นเมืองได้เกือบทั้งเมือง แต่มันเป็นห้องที่ว่างเปล่าจริงๆ
“สงสัยต้องซื้อของครั้งใหญ่เลยนะเนี่ย มิน่าละเค้าถึงให้บัตรทองเธอมา สงสัยเราต้องคิดแล้วว่าจะทำไงกับห้องนี้ดี” ฮิเดยูกิพูดกันฉันแล้วเราทั้งคู่ก็สำรวจไปรอบๆห้องเหมือนเล่นซ้อนหาเลย มันดูเป็นเหมือนเรื่องสนุกของเด็กอายุ 17 ที่น้อยคนจะได้มี โอกาศทำ
“เรามาคิดกันดีกว่าว่าเราจะแต่งห้องแบบไหนดี” ฉันพูดกับเค้าขณะที่เค้ากำลังเดินสำรวจส่วนต่างๆ
“นี่ยูกิฮิโกะ เธอแน่ใจแล้วแน่นะว่าเธอจะให้ฉันอยู่ที่นี่ ไม่งั้นมาไล่ที่หลังฉันไม่ไปด้วย”
“อืมแน่ใจซิ”
“นี่ยูกิฮิโกะ เธอเรียนที่ไหนเหรอ” ฮิเดยูกิถามขณะที่เค้ากำลังหาของอะไรบางอย่างในกระเป้
“เรียนที่เชนริว”ฉันตอบเค้า
“จริงอ่ะ ฉันก็เรียนเชนริว”
“สงสัยเป็นเพราะโรงเรียนเราแยกนักเรียนชายกับหญิงให้อยู่คนละฝั่งโรงเรียนมั้งถึงไม่เคยเจอกันเลย”
“เปล่าหรอกฉันเพิ่งได้ทุนกีฬาย้ายมาปีนี้เอง” ฮิเดยูกิตอบอย่างภาคภูมิใจ
“นี่เธอหาอะไรอยู่เหรอ” ฉันถามเค้าเพราะเห็นว่าหามานานพอสมควรแล้ว
“ก็กล่องที่แม่ให้อ่ะดิ”เค้าหันมาตอบและก้มหน้าหาต่อไป “นี่เอาไว้ในกระเป๋าเสื้อข้างล่างด้านซ้ายไม่ใช่เหรือหาในเป้มันจะเจอไหมเนี่ย” ฉันตอบ และเมื่อเค้าเจอกล่องใบนั้นเมื่อเปิดออก มันเป็นกุญเจออะไรซักอย่าง และด้านล่างของกล่องก็มีกระดาษแผ่นนึงวางไว้
“ฮิเดยูกิ ลูกรัก ถึงแม่จะไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับลูกมากเท่าไหร่ แต่ความจริงแล้วแม่รักลูกมากนะ และแม่ก็ดีใจที่ลูกได้ทุนกีฬาที่ลูกตั้งใจ แม่รู้ว่าลูกต้องพยายามมากขนาดไหนกว่าจะได้มันมาต้องซ้อมหนักขนาดไหน มันเป็นของขวัญที่แม่ตั้งใจจะให้ลูกมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาศซักที ตอนนี้มันเป็นของลูกแล้วหวังว่าลูกคงจะชอบนะ .............”
เมื่อเค้าอ่านข้อความในกระดาษนั้นจนหมด น้ำตามากมายจากไหนไม่รู้ไหลออกมาจากดวงตาที่ดูเศร้าหมองของเค้า ฮิเดยูกิที่ดูเข้มแข็งในสายตาของฉันบัดนี้เหมือนกันเด็กน้อยเพียงคนนึงที่นั่งร้องไห้เสียใจ เค้าได้แต่โอบกอดฉันและร้องไห้ หากฉันในตอนนี้สามารถช่วยบรรเทาความเศร้าของเค้าได้แม้เพียงนิดเดียวไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆฉันก็จะทำ เวลาผ่านไปเค้าร้องไห้จนในที่สุดก็หลับลงบนตักของฉัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าเด็กชายที่ดูเข้มแข็งและร่าเริงอย่างเค้า ก็ร้องไห้เป็นเหมือนกัน เพราะตั้งแต่ที่ฉันรู้จักเค้าถึงแม้มันจะไม่นานนัก แต่ทุกครั้งเค้าเจอกับเรื่องต่างๆ เค้าก็จะยิ้มและสู้กับมันเสมอ
ความคิดเห็น