คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Night 6
“อย่าไปแตะมันเข้านะค่ะ เดี่ยวจะถูกดูด ค่อยๆคิดหาวิธีพังเอาแบบไม่ต้องแตะมันเถอะค่ะ” เด็กสาวเอ่ยกับชายหนุ่มทั้งสองอย่างอารมณ์ดี ชวนให้สาวตาทุกคู่ที่มองอยู่ถึงกับแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ออกมาไม่ถูก บ้างก็ตกใจ บ้างก็ประหลาดใจ แต่ส่วนใหญ่จะส่ายหน้าอย่างระอา
ระรื่นได้ตลอดเวลาจริงๆ
“นี่น่ะเหรอระดับนัมเบอร์ ดูยังไงก็งั้นๆ” เสียงทุ้มซึ่งเอ่ยขึ้นจากด้านหลังอย่างขี้เล่นตามวิสัยทำให้หญิงสาวร่างสูงหันมามองต้นเสียงด้วยอาการตื่นตระหนก นัยน์ตาสีม่วงก็พบกับชายหนุ่มสามคนยืนอยู่ข้างร่างเล็กของเด็กสาวที่ตนจับล่ามเอาไว้กับเสา พลางยืดเส้นยืดสายด้วยอากัปกริยาสบายๆ ซึ่งชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงเข้มก็กำลังกุลีกุจอจัดการปลดโซ่ที่มัดร่างเล็กออกด้วย
“พวกเราใช้สองคนนั่นเป็นตัวล่อ อย่างเรเนอร์ว่าจริงๆล่ะ พวกนัมเบอร์น่ะ ยังไงๆก็สู้ระดับเกรทไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ ไม่สิ แค่ผีดิบระดับเจ็ดยังสู้ไม่ได้เลยล่ะมั้ง แย่หน่อยนะ เพราะว่ายังไง เหนือระดับนัมเบอร์ขึ้นไปก็ยังมีอีกหลายตำแหน่งจนกว่าจะถึงเกรทนี่”
ถ้อยคำถากถางของชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีทองวาวเรียกอาการสั่นระริกด้วยความโกรธจากนัมเบอร์สิบสองได้อย่างไม่ยากเย็น พร้อมๆกับร่างสูงของชายหนุ่มสองคนที่เป็นเหยื่อล่อก็จัดการกับกับม่านตาข่ายเจ้าปัญหาจนพังในที่สุด ก็ก้าวเข้ามาสมทบ
“อย่าคิด ว่าฉันมีดีแค่นี้นะ คิดเหรอว่าฉันจะเตรียมการแค่นี้โดยที่รู้อยู่แล้วว่ายังไงพวกเธอก็ต้องมาน่ะ”
รอยยิ้มกว้างเจ้าเล่ห์แย้มขึ้นบนใบหน้าของนัมเบอร์สิบสอง พร้อมๆกับเงาทะมึนของอะไรบางอย่างซึ่งแผ่ออกมาจากทางด้านหลังของหญิงสาวคนนั้น
“สัมผัสแบบนี้ เซเทลฟนี่นา ระดับสูงซะด้วย”
เสียงทุ้มของชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีแปลกที่เอ่ยขึ้นมาทำให้เหล่าชายหนุ่มตั้งท่ารับ พลางกันเด็กสาวไปอยู่ด้านหลัง จนกระทั่ง
“จะขอแนะนำ เซเทลฟระดับสี่ จากแหล่งเพาะพันธ์สดๆร้อนๆ”
สิ้นคำกล่าวเซเทลฟระดับสี่ที่เจ้าหล่อนพูดถึงก็ปรากฏกายขึ้น มันคงจะไม่ทำให้ใครตกใจเท่าไหร่นักถ้าเซเทลฟระดับสี่ที่ว่าไม่ปรากฏตัวออกมาเป็นสิบตัวแบบนี้ แค่ระดับสามตัวเดียวพวกเขายังแทบจะหืดขึ้นคอ แถมเรย์ยังต้องทำสัญญา แล้วระดับสี่เป็นสิบตัวแบบนี้
จะทำยังไงล่ะเนี่ย
เมื่อกราดตามองอีกครั้งก็ไม่พบร่างของนัมเบอร์สิบสองอีกแล้ว ทำให้คิดกันได้ว่าเจ้าหล่อนคงหนีไปเรียบร้อย ร่างสูงของชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีเงินจึงเอ่ยออกมาสั้นๆ
“เรเนอร์ ปลดล็อกพันธะสัญญา”
ร่างเล็กมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างชั่งใจเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจ ขาเรียวก้าวเข้าไปหาร่างสูงของชายหนุ่มอย่างมั่นคงแล้วเอ่ย
“รีรีส พรีเนล ปลดปล่อยพลังแห่งไนท์ของข้า”
มือหนาของชายหนุ่มฉุดร่างเล็กกว่าเข้าหาตัวเบาๆ ก่อนวงแขนแกร่งจะรั้งร่างบางขึ้น ใบหน้าคมโน้มลงไปใกล้จนชิด แล้วประทับริมฝีปากบนต้นคอขาวตรงตำแหน่งรอยสักอย่างแผ่วเบา วงแหวนเวทส่องสว่างขึ้นที่ไต้เท้าของทั้งคู่ และแสงสีดำก็สว่างวาบ
ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดของไนท์เรียกดาบออกมา ก่อนจะกระโจนเข้าไปหาศัตรูตรงหน้าอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาสีเพลิงมองภาพตรงหน้าอย่างเป็นห่วง กระทั่งมือหนาของใครบางคนแตะที่ไหล่มนเบาๆ ใบหน้าหวานเหลือบมองเจ้าของสัมผัสซึ่งพยักหน้าให้เธอ
“ปลดล็อกพันธะสัญญาของฉันเถอะ เรย์คนเดียวเอาไม่ไหวหรอก”
ร่างเล็กของเด็กสาวหันไปมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างชั่งใจ แล้วถอดกำไลข้อมือสีฟ้าอ่อน ก่อนจะเอ่ยเช่นเดียวกับคราวของเรย์
“รีรีส พรีเนล ปลดปล่อยพลังแห่งไนท์ของข้า”
ก่อนริมฝีปากสีสดจะประทับลงไปบนกำไลข้อมือสีน้ำเงิน
สิ้นแสงสว่างวาบ ร่างของชายหนุ่มผู้ถูกปลดล็อกพันธะสัญญาก็กระโจนเข้าไปช่วยเพื่อนทันที สองร่างกวัดแกว่งอาวุธคู่กายสู้กับศัตรูตรงหน้าอย่างไม่ลำบากเท่าไดนัก แต่ทว่าด้วยศัตรูที่มีจำนวนมากเกินไปนั้น ทำให้ดูจะทุลักทุเลอยู่พอสมควร
“เรเนอร์”
เสียงเรียกเบาๆทำให้เด็กสาวหันไปมองต้นเสียงอย่างสนใจ ชายหนุ่มทั้งสามที่เหลือมองหน้ากันได้ชั่วครู่ ก่อนชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงจะเอ่ย
“ทำสัญญากับพวกเราได้มั้ย”
“ไม่ดีมั้งค่ะพวกคุณไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นโดยเฉพาะ รุยกับชุนจิโร่ แน่ใจเหรอค่ะ จะให้ฉันเป็นมาสเตอร์”
“ฉันทำให้เธอเดือดร้อน แค่นั้นก็พอแล้ว” เจ้าของนัยน์ตาสีแปลกเอ่ยสวนขึ้นตามมาด้วยอีกคนที่ถูกเอ่ยถึง
“ฉันทนดูเพื่อนลำบากไม่ได้หรอกนะ และทั้งเธอ ทั้งสองคนนั้นก็เป็นเพื่อนฉันทั้งคู่ด้วย”
ท่ามกลางแสงสลัวในบาร์เหล้าขนาดกลาง ชายหนุ่มร่างสูงกำลังนั่งดื่มเหล้าสีสวยอย่างละเมียดละไม นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่สวยทอดมองเหล้าในแก้วอย่างเลื่อนลอย
“ดูใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะ วันนี้หนาวเกินไปรึไง ถึงได้เหงา” เสียงทักจากร่างสูงหลังเคาน์เตอร์ซึ่งเรียกสติของคนเหม่อไปไกลให้กลับสู่ปัจจุบัน ร่างสูงของผู้เอ่ยในชุดมาสเตอร์ประจำร้านยืนเช็ดแก้วเหล้าอยู่ตรงหน้าของชายหนุ่ม ใบหน้าขาวเรือนผมสีทองยาวประบ่ามัดรวบไว้ด้านหลัง นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนมองร่างสูงตรงหน้าอย่างพินิจ พลางฟังประโยคสั้นๆจากคนตรงหน้าที่วันนี้ดูเหมือนจะหนาวจัดทั้งๆที่เป็นคนขี้ร้อน เพราะสวมโค้ตยาวสีดำ ด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาวแบบปกติ
“คงแบบนั้นล่ะครับ...........มาสเตอร์ ผม...........อาจจะเหงาก็ได้”
“คิดถึงพวกเด็กๆ หรือว่าเธอคนนั้นกันครับ” คำถามตรงๆตามนิสัยที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาเรียกรอยยิ้มบางจากเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินได้ไม่ยาก มือหนาเสยเรือนผมยาวสีแดงเข้มอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเพลียๆ
“คงทั้งสองอย่าง พวกเด็กๆยังต้องเรียนรู้กันอีกเยอะ หรือผมไม่น่าจะให้เด็กคนนั้นทำตามใจตัวเองดีล่ะครับ มาสเตอร์”
“ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่เด็กคนนั้นเป็นคนเลือกเองนี่ครับ เลือกที่จะเป็นอาวุธให้กับเธอ เพื่อต่อกรกับศัตรูคนนี้” มาสเตอร์เอ่ย ก่อนอธิบายต่อ “อย่างเด็กคนนั้น เป็นเด็กที่นิสัยเหมือนกับหญิงสาวคนนั้นยังไงล่ะ เธอน่าจะรู้ดีกว่าใครนะ ว่าสิ่งที่เธอคนนั้นตัดสินใจไปแล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงก็ไม่มีทางเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปแล้วเด็ดขาด เพราะเธอเป็นคนเลือกมันเอง”
“เทคีลาร์นั่น มันอันตรายเกินกว่าใครจะคาดคิด เท่าที่ผมรู้ คนที่สามารถทำลายมันได้โลกนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น และคนๆนั้นก็ไม่ใช่เด็กคนนี้เสียด้วย” ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินใสเอ่ยพลางจิบเหล้าในแก้วช้าๆ ก่อนจะเหม่อมองออกไปด้านนอกร้านซึ่งตอนนี้เห็นเพียงแสงสว่างสีทองยามสนธยาของพระอาทิตย์ ที่สุดขอบทะเลสีครามซึ่งถูกย้อมเป็นสีแดงอันไกลโพ้น
เหมือนกันเลยนะ ทะเลสีแดงแบบนี้
เหมือนกับที่นั่น
ต่างกันก็แค่เพียง
เธอไม่ได้อยู่ที่นี่ กับฉันอีกต่อไปแล้ว
อย่างน้อยก็ขอให้เธอ ช่วยเด็กพวกนั้น......หน่อยเถอะนะ
“รี เอนเด เชีย รานาส พรีเรล”
เสียงหวานเอ่ยฝ่าเสียงกัมปนาทลั่นของการต่อสู้ วงแหวนเวทเรืองรองไต้เท้าของเด็กสาว ในมือเล็กมีอัญมณีสีทองรูปดวงดาวห้าแฉกซึ่งทอประกายรับกับเสียงหวาน ปรากฏดาบยาวคู่กายของเด็กสาวร่างเล็กลอยคว้างและทอแสงอยู่กลางอากาศ รวมทั้งไดอาของหญิงสาวที่ต้นคอส่องประกายวาววับ
“ต่อหน้าทวยเทพแห่งศรัทธายามราตรี ขอประกาศพันธะสัญญาปกปักษ์ แด่ไนท์ของข้า รุย วากาสะ อัศวินแห่งแสงสว่าง !”
สิ้นเสียงหวาน แสงสีทองก็สว่างจ้าจนแสบตา ก่อนที่ใครจะทันรู้สึกตัว ร่างสูงของเจ้าของชื่อผู้ถูกทำสัญญาก็กระโจนเข้าไปกลางวงต่อสู้พร้อมกับดาบยาวสองคมสีเงินด้ามเป็นคริสตัลใสโปร่งใสลายสวยงาม เสื้อผ้าที่เคยเป็นแค่เสื้อยืดกางเกงขายาว เปลี่ยนเป็นเสื้อปิดคอสีน้ำเงินเข้มปิดทับด้วยปกเสื้อด้านหน้าเหมือนขุนนาง ชายผ้าด้านหลังยาวถึงข้อเท้า กางเกงสีเดียวกันและรองเท้าหนังสีน้ำตาล สิ่งที่เด่นสะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็น ที่ข้างขวาของชายหนุ่ม มีสิ่งที่รูปร่างคล้ายปีกแบบเครื่องยนต์สยายออกกว้าง
“เฟลมมิ่ง สเปียร์”
คมหอกของเพลิงสีแดงสว่างจ้าเป็นหลายสิบอัน ก่อนจะพุ่งตรงไปยังเซเทลฟตัวที่ใกล้ที่สุดอย่างไม่รอช้า แต่ยังไงก็ยังไม่สามารถจัดการให้เด็ดขาดได้ภายในทีเดียว ก่อนเจ้าของนัยน์ตาสีแปลกตวัดดาบสู้กับดอลของเซเทลฟอีกตัวที่พุ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน
“ทำสัญญาพร้อมกันสองคนเลยนะ เรเนอร์ ไม่มีเวลาแล้ว”
เจ้าของนัยน์ตาสีม่วงเอ่ยรัวเร็ว ไม่ผิดจากอีกคนที่พยักหน้ารับกับคำกล่าวนั่นอย่างรวดเร็ว
“รี เอนเด เชีย รานาส พรีเรล”
เสียงหวานเอ่ยเบาๆอย่างรวดเร็ว วงแหวนเวทเรืองรองไต้เท้าของเด็กสาวอีกครั้ง มือเล็กรับอัญมณีสีม่วงรูปดวงดาวสี่แฉกจากเจ้าของนัยน์ตาสีเดียวกันนั้น และอัญมณีรูปปีกสีเทาจากชายหนุ่มอีกคน ซึ่งทั้งสองชิ้นทอประกายรับกับเสียงหวาน ดาบยาวคู่กายของเด็กสาวร่างเล็กลอยคว้างอยู่เหนือร่างเล็กอีกครั้งและทอแสงอยู่กลางอากาศ ไดอาของหญิงสาวที่ต้นคอส่องประกายวาววับ
“ต่อหน้าทวยเทพแห่งศรัทธายามราตรี ขอประกาศพันธะสัญญาปกปักษ์ แด่ไนท์ทั้งสองของข้า ชุนจิโร่ ตงเฉิน อัศวินแห่งนภา และเฟยหลง แม็กซ์มิลเลียน อเล็กซัส วินเซนต์ อัศวินแห่งดวงดาว !”
วาบ
เปรี้ยง
“นี่ชื่อเต็มๆนายเหรอ ยาวชะมัดเลย”
เสียงบ่นดังๆอย่างอารมณ์ดีของคนที่ร่าเริงอยู่เสมอ เรียกค้อนควับจากคนที่โดนบ่นว่าชื่อยาวได้หนึ่งวงใหญ่ๆ ที่บัดนี้อยู่ในชุดกี่เพาสีแดงขอบสีดำคงจะไม่แปลกจากชุดกี่เพาปกติเท่าไหร่ถ้าต้นแขนขวาไม่ได้สวมเหราะอ่อนสีเงินยวง และไม่มีเชือกผ้าเส้นหนาร้อยที่เสื้อด้านหน้าทั้งสองข้างพาดผ่านแขนแล้วติดกับเสื้อที่ด้านหลัง ด้านในสวมกางเกงสีดำยาว ที่ข้อมือหนามีเปลวเพลิงสีแดงวิ่งวนอยู่รอบๆคล้ายวงล้อ อาวุธเป็นกระบี่สีเงิน ด้ามเป็นสีทองซึ่งฝังอัญมณีสีเงินเอาไว้
“หนักหัวนายหรือไง ชุนจิโร่ ชุดนายมันก็เว่อร์พอกันน่ะแหละ”
คนถูกว่าหัวเราะรับกับความขี้โมโหของเพื่อนที่มักจะชอบกวนตีนคนอื่นอยู่เสมอ พลางทำเป็นเหลือบมองชุดตัวเองอย่างงงๆ ทั้งๆที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ได้เว่อร์ขนาดนั้นเสียหน่อย แค่เป็นชุดสีเทาขอบดำแขนกุดปิดคอ พาดลายดูอลังการนิดหน่อย ชายผ้าก็ยาวถึงข้อเท้าเหมือนคนอื่นเค้า กางเกงก็สีดำ รองเท้าก็แบบเดียวกัน ยกเว้นที่แขนซ้ายมีของที่คล้ายวงแหวนซึ่งมีประจุไฟฟ้าวิ่งอยู่ และอาวุธเป็นดาบยาวขนาดใหญ่ยักษ์ สูงขนาดเท่าตัวคนถือห้อยพู่ที่ติดกับเชือกสีดำไว้ด้วย
“ไม่เห็นจะเว่อร์ตรงไหนเลย”
“ดาบที่เจ็ด............ดาบหั่นเหล็ก”
สิ้นเสียงร่างของดอลขนาดใหญ่ก็บิดไปวนมาอย่างเจ็บปวด พร้อมกับรอยแผลขนาดใหญ่เรียกให้เด็กสาวคิดในใจอย่างพินิจ
แม้แต่ดาบหั่นเหล็กของเรย์ยังทำได้แค่รอยแผลฉกรรจ์กับระดับสี่เท่านั้นเอง
แล้วเซเทลฟแค่ระดับสี่
ก็ยังถือว่าเป็นระดับต้นๆ เท่าที่เคยบันทึกได้ด้วย
แล้วถ้าระดับสูงกว่านี้เกิดโผล่ขึ้นมาล่ะก็
“ย้าก พวกนาย จบมันซะทีเถอะน่า” ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาม่วงเอ่ยลั่นอย่างสนุกสนาน มือหนาวาดดาบเป็นวงกว้างไปด้านหลังส่วนมืออีกข้างที่ว่างยันพื้นเตรียมพร้อม และไม่ต้องสั่งซ้ำเมื่อเหล่าเพื่อนๆต่างหลบให้อย่างรู้หน้าที่หลังจากเสียงกล่าว แล้วเตรียมพร้อมกันคนละทิศ
ลมกรรโชกพัดหมุนวนจนร่างเล็กที่ยืนอยู่ด้านหลังแทบปลิว ไปรวมกันที่ดาบของทั้งห้าพร้อมๆกับประกายไฟสีแดงซึ่งเตรียมพร้อมจะประทุเป็นสาย นัยน์ตาสีเพลิงมองเหล่าชายหนุ่มที่ต่างเตรียมตั้งท่าจะโจมตีระลอกใหญ่ ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในอีกตำแหน่งที่ว่างอยู่
“ชุนจิโร่ รุยกับเฟยหลง โจมตีเข้าไปก่อนค่ะ แล้วพวกเราจะเข้าไปซ้ำ”
รอเพียงเสียงสัญญาณจากเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงผู้เริ่ม
“เอาล่ะนะ พร้อมกันนะ รุย เฟยหลง ดาบไฟบรรลัยกัลป์ !”
“เฟลมมิ่ง สเปียร์ !”
“ไฟอา สตรีม !”
ประกายเพลิงที่ลั่นเปรี้ยะๆก็ปะทุจนกลายเป็นทะเลเพลิงขนาดใหญ่หวังเผาไหม้เหล่าดอลทั้งหมดให้สลายกลายเป็นเถ้าธุลี เหล่าเซเทลฟรอบด้านกรีดร้องอย่างเจ็บปวด พลางกระเสือกกระสนเป็นรอบสุดท้าย ร่างเล็กของเด็กสาว และชายหนุ่มอีกสองคนที่เหลือจึงกระโจนขึ้นมา ก่อนร่างสูงของชายหนุ่มในชุดขาวจะเอ่ยพร้อมกับวาดดาบลงมาด้วยใบหน้านิ่งสนิท
“เดธไฟเออร์สตรีม !”
เปลวไฟสีฟ้าพวยพุ่งออกมาจากดาบยาวของผู้ร่ายเวท แล้ววิ่งวนไปทั่วลานด้านล่าง และไล่เผาผลาญเหล่าเซเทลฟผู้บงการดอลเหล่านั้นให้กลายเป็นจุน
“ดาบ.............แยก !”
ไร้เสียงไดๆเมื่อร่างสูงของผู้ลงดาบต่อมาเคลื่อนที่จากตำแหน่งของตนผ่านเหล่าเซเทลฟด้วยความเร็วที่ไม่มีใครมองทัน ปรากฏกายอีกครั้งที่ทิศตรงข้าม และตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนของเหล่าเซเทลฟเมื่อพบว่าบนร่างของตนมีแผลฉกรรจ์จนเลือดสีดำพุ่งออกมาเป็นน้ำพุ และดูเหมือนจะเหลืออยู่หนึ่งตนนอกสายตาของเหล่าชายหนุ่มซึ่งพยายามหลบหลีกออกจากสถานที่แห่งนี้
“ขอให้ไปสู่แสงสว่างเถอะนะค่ะ”
สิ้นเสียงหวานดาบยาวสีแดงก็เสียบทะลุอกของเซเทลฟตนนั้นซึ่งมองใบหน้าหวานของคนตรงหน้าอย่างตื่นตระหนก มือขาวซีดสั่นระริก และนัยน์ตาของเซเทลฟตนนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจับใจ สุดท้าย มือเล็กจับด้ามดาบแน่นก่อนกระชากดาบยาวออกมาจนหมดเล่ม
เลือดสีดำพุ่งกระเด็นเป็นสายเปรอะเปื้อนบริเวณกว้างรอบๆ และเสียงกระชากดาบออกเรียกให้สายตาทุกคู่หันมามองต้นเสียงอย่างสนใจ
และยังไม่มีใครทันสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
แล้วใบหน้าหวานจึงหันมายิ้มให้เหล่าชายหนุ่มซึ่งยืนนิ่ง
“เรื่องวุ่นๆก็จบแล้ว.........กลับกันเถอะค่ะ”
หลังจากวันรับน้อง ประมาณหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง เป็นเวลาของงานประจำปีที่สำคัญที่สุดสำหรับสถาบันไนท์แห่งนี้ นั่นก็คือ งานสถาปนา
งานสถาปนา เป็นงานที่จัดขึ้นทุกปี ถือว่าเป็นงานพิธีที่สำคัญที่สุดเพราะเหล่านักเรียนปีหนึ่งจะได้รับมอบเข็มขัดคาดคอของเครื่องแบบสถาบัน ซึ่งในวันนั้นเหล่าปีหนึ่งจะเป็นนักเรียนของสถาบันไนท์เต็มตัว และจะมีการมอบรางวัลนักเรียนดีเด่นประจำชั้นปี นั่นหมายถึงอนาคตการเป็นไนท์ระดับสูง เพราะในงานสถาปนานั้น จะมีองค์จักรพรรดิแห่งโซลบลู สตัดเครด ไคล่า ยูชิ มาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีนี้ และราชาแห่งแคว้นต่างๆทั้งองค์รัชทายาทของแคว้นนั้นๆก็จะมาร่วมเป็นแขกในพิธี
พูดง่ายๆ คือเป็นงานที่ใหญ่และมีเกียรติมากนั่นเอง
“ก็เพราะเป็นงานสถาปนาสถาบัน พวกเราทุกคนจึงต้องมาแบ่งงานกันล่ะนะน้องๆทั้งหลาย”
เสียงกล่าวของรุ่นพี่มองเดจอมกวนซึ่งเรียกให้ลางสังหรณ์ของเหล่ารุ่นน้องทั้งสองชั้นปีและพี่ปีสี่ถึงกับทำงานรัวเร็ว เพราะรู้กันดีตั้งแต่รับน้องแล้วว่า รุ่นนี้ทำงานอะไรของสถาบันที ก็เล่นเอาป่วนตั้งแต่เหล่ารุ่นน้องรุ่นพี่ เพื่อนร่วมชั้นยันกระทั่งบุคลากรเช่นอาจารย์ รวมทั้งผู้อำนวยการอีกด้วย
“ตามที่ได้แบ่งงานตามความเหมาะสม ได้ยินกันนะครับทุกคนว่า ตามความเหมาะสม เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะโต้แย้งไดๆกับตำแหน่งที่ได้รับ เชิญลงกับคนจัด ประธานของเรานะครับ”
รุ่นพี่เซตที่ซ้ำลงมาอีกประโยคเล่นเอาความหวังที่แต่ละคนเตรียมจะเปลี่ยนงานถึงกับหดวูบ แม้แต่รุ่นพี่ปีสี่ซึ่งก็ไม่อยากจะเข้าไปแหยมกับรุ่นน้องคนนี้เท่าไหร่นัก ไม่ใช่เพราะกลัวหรอกนะ แต่มันเป็นเพราะว่าพวกเขากำลังจะจบ เลยไม่อยากไปหาเรื่องยุ่งใส่ตัวกันต่างหาก
แต่ถ้าว่ากันตามตรงไม่มีฟอร์มล่ะก็
พวกเขาเกรงใจไอ้ท่าทีเย็นเยือกเป็นน้ำแข็งนั่นกับ
เวลาพ่อเจ้าประคุณเกิดเดือดแล้วเนรมิตสถาบันจนกลายเป็นนรกไปน่ะสิ
ไม่เอาแล้วนะ แบบงานประลองปีที่แล้ว
เสียงโวยวายในใจนั่นบังเอิญไปตรงกับเหล่ารุ่นพี่ปีสองและเหล่าเพื่อนสนิทของเจ้าตัวคนถูกนินทาพอดีเสียด้วย สายตาของทุกคนมองหน้ากันอย่างปลงๆ
คงต้องก้มหน้ารับสภาพ จะโดนอะไรแปลกๆมั้ยเนี่ย
แต่เมื่อสังเกตจากใบหน้านิ่งซึ่งประดับไปด้วยรอยยิ้มบางๆของร่างสูงผู้เป็นประธานนักเรียนผู้ละเลยหน้าที่ควบคุมไปคุยกับเด็กสาวร่างเล็กอย่างออกรส รวมทั้งยังชี้ชวนให้เด็กสาวดูภาพประกอบในหนังสือเล่มหนาที่อุตส่าห์พกมาด้วยอย่างอารมณ์ดี
ไม่มีปัญหาอะไรหรอกถ้าที่ปกหนังสือมันไม่เขียนว่า
แกลลอรี่ภาพ : เพลิงแค้นแห่งธาตุทั้งหก การปราบปรามกบฏที่โหดเหี้ยมและทารุณที่สุดในศตวรรษแห่งโซลที่ห้าสิบเอ็ด ศักราชที่ห้าร้อยสิบสี่ถึงศักราชที่ห้าร้อยสิบเจ็ด
......................................ล่ะก็นะ.................
ท่าทางปีนี้ คงจะต้องไปทำบุญล้างซวยกันทั้งสถาบันล่ะมั้งเนี่ย
“จากการแบ่งงานอันแสนจะลงตัวตามดุลยพินิจของประธานคนเก่งของเรา ผลที่ได้ก็คือ...........................ไลก้านายเลิกไซโคเรเนอร์จังเถอะน่า รสนิยมนายมันน่าสยองชะมัด ภาพสงคราม ถึงตานายอธิบายได้แล้ว ไอ้คุณท่านประธานไลก้า”
เสียงกล่าวของมองเดเรียกให้ร่างสูงของชายหนุ่มซึ่งกำลังคุยอยู่กับเด็กสาวอย่างออกรสวางหนังสือชั่วครู่ เด็กสาวเองก็ลุกหลบฉากไปนั่งข้างเหล่าหนุ่มๆชั้นปีหนึ่งตามระเบียบ แล้วร่างสูงจึงก้าวออกมาทำหน้าที่ประธาน มือหนารับเอกสารแจกแจงงานจากเซตด้วยใบหน้านิ่ง
“เอาล่ะ จะขอแบ่งงานเป็นชั้นปีนะ เริ่มจาก รุ่นพี่ปีสี่ ซึ่งจะต้องแสดงฝีมือในงานครั้งนี้ หน้าที่ป้องกันและรักษาความปลอดภัยจึงยกให้รุ่นพี่ปีสี่ทั้งหมด แต่ผมกลัวพวกพี่จะว่างมากเกินไป รับหน้าที่จัดการเสบียงช่วงเตรียมงานสามวันสำหรับนักเรียนทั้งสถาบันไปด้วยนะครับ”
คำขอแกมบังคับที่เห็นกันชัดๆเล่นเอาเหล่ารุ่นพี่ร้องโวยกันอยู่ในใจ เรื่องรักษาความปลอดภัยน่ะ มันของตาย จะหนักก็ช่วงที่มีงานซึ่งจะต้องลงเวรยามกันเต็มรูปแบบ แถมมีเวลาว่างช่วงเตรียมงานสามวันหรือว่าโดดเยอะอีกด้วย แต่ขอโทษจัดเสบียงเนี่ยนะ รุ่นน้องมีทั้งหมดร้อยยี่สิบคน ถึงจะไม่เยอะแต่พวกนี้มันกินจุกัน แล้วหน้าที่นี้ ปีที่แล้วเคยเป็นของพวกปีสามอย่างพวกเขาไม่ใช่เรอะ แค่ปีที่แล้วยังแทบกระอักเพราะต้องเตรียมงานจิปาถะยังมาเจอกับสารพัดความอยากของแต่ละคน
ลาก่อนเวลาอู้ของพวกเรา
“ส่วนปีสาม เหมือนปีที่แล้วนะครับ ดูแลด้านพิธีการ งานต้อนรับ ลำดับเวลา ความเรียบร้อย การประสานงาน และงานจิปาถะอื่นๆนอกเหนือจากงานของรุ่นพี่ปีสี่และรุ่นน้องทั้งสองชั้นปี แล้วก็จะมีบางส่วนที่ต้องผลัดเปลี่ยนไปช่วยพวกรุ่นน้องจัดสถานที่ด้วย ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องจะต้องประสานลำดับงานเอกสารหรือว่างานของชั้นปีตัวเองกับรุ่นพี่ปีสามด้วย”
รายละเอียดงานที่ดูจะยุ่งยากอย่างแรงซึ่งเล่นเอาพี่ปีสามหลายคนที่เตรียมใจรับสภาพอยู่แล้วถึงกับหน้ายู่บอกบุญไม่รับเกิดอาการเซ็งเป็ดกะทันหัน กระทั่งรุ่นพี่คนดีกล่าวต่อ
“ส่วนน้องปีสอง เป็นงานจัดสถานทั้งหมดของงานที่เรื่องนี้ให้ประสานกับพี่อาคิลัวร์ทั้งสองคน ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยก็ วาเร”
“จัดสถานที่ที่ว่าก็คือ ทั้งหมดของงาน ทั้งส่วนงานเลี้ยง ห้องพัก ห้องรับรอง ความสะอาดทั้งหมดของสถาบัน ง่ายๆก็คือสถานที่ในวันงานทั้งหมดรวมถึงพวกสวนหย่อม ป่า กำแพง ประตูหน้าสถาบัน โรงเรือนเอย คอกม้าเอย หอคอยเอย ไล่ขึ้นไปจากดินธรรมดาถึงยอดเสาหลังคาเลย”
คำอธิบายซึ่งเล่นเอาเหล่าปีสองหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เกิดอาการใบ้กินกะทันหัน
พระเจ้าช่วยกล้วยทอด สถานที่ทั้งสถาบัน !
ไปทำบุญล้างซวยกันเดี่ยวนี้เลยเถอะ
“ส่วนน้องปีหนึ่ง ก็เหมือนกับทุกปีนะครับ พวกเธอจะต้องรับผิดชอบในส่วนของ การแสดงในงานเลี้ยง”
รุ่นพี่ไลก้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งซึ่งก็เล่นเอาเหล่าเด็กปีหนึ่งซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรเลยและไม่เคยร่วมงานอะไรในวันสถาปนามาก่อนเกิดอาการงงเต๊ก
“ยังไงฮะพี่ไลก้า” ภาวินเอ่ยถามขึ้น
“ในงานวันสถาปนานอกจากจะมีพิธีมอบเข็มขัดคาดคอให้พวกนายแล้ว ยังมีการมอบรางวัลเกียรติยศ สุดท้ายก็คืองานเลี้ยงวันสถาปนา และในระหว่างงานเลี้ยงก็จะมีการแสดงบนเวทีของเหล่านักเรียนปีหนึ่งของสถาบัน ซึ่งในส่วนรายละเอียดจะเป็นหน้าที่ของมองเด แล้วก็เซต”
กล่าวเสร็จร่างสูงก็ถอยหลบฉากให้เพื่อนทั้งสองคนออกมายืนด้านหน้า แล้วเซตก็อธิบายขึ้นก่อน
“การแสดงในทุกปี ผู้อำนวยการจะเป็นคนเลือกประเภทและชุดการแสดง โดยจะใช้วิธีเสี่ยงทายเช่นการปาเป้า ปิดตาแล้วสุ่มเลือกกระดาษแล้วก็อีกสารพัดวิธีเพี้ยนๆ ตัวอย่างเช่นปีของพวกพี่ได้การแสดงละครเพลงในชุดเรื่องเซเรนาเนีย หรือปีที่แล้วเป็นการแสดงระบำดอกไม้”
คำอธิบายที่เล่นเอาคนฟังอ้าปากเหวอ
สถาบันไนท์ที่มีแต่ผู้ชาย
ให้เล่นละครเพลง แถมยังมีเต้นระบำ
สมทบมาด้วยคำพูดของมองเดที่ทำให้เหวอยิ่งกว่า
“แต่การแสดงของพวกเธอปีนี้ผู้อำนวยการได้เลือกแล้วล่ะ เป็นการแสดงละคร ส่วนชุดการแสดงเป็น นิทานปรัมปราเก่าแก่ กุหลาบสีเลือดแห่งความชั่วร้ายอันงดงาม น่ะนะ”
สิ้นคำความเงียบก็เข้าปกคลุมสถานที่ประชุมในทันที เหล่ารุ่นพี่ต่างหันมามองรุ่นน้องปีหนึ่งของตนด้วยสายตาไว้อาลัย เสียใจอย่างสุดซึ้ง ส่วนเหล่านักเรียนปีหนึ่งต่างมองหน้ากันเองด้วยความอึ้ง ทึ่ง ตะลึง หลอน และแน่นอนว่า ร้องสบถกันในใจแล้วคนละหลายๆตลบ
และในใจของพวกเขารุมเชือดเฉือนไปที่คนๆเดียวเท่านั้น
ไอ้คุณท่านผู้อำนวยการนั่น !
กุหลาบสีเลือดแห่งความชั่วร้ายอันงดงาม ตามสารานุกรมหมายถึง นิทานปรัมปราเกี่ยวกับการเสียสละของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งได้ชื่อว่าเป็น องค์กษัตริย์ผู้เหี้ยมโหดที่สุดในหมู่แวมไพร์ แต่การกระทำและจุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอนั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่เล่าขานสืบต่อกันมา ผู้ประพันธ์คือ องค์เทพไคล่าแห่งโซลบลู ถูกนำมาแต่งใหม่เรื่อยๆตามยุคและสมัยโดยยังเป็นนิทานอมตะไม่เปลี่ยนแปลง
เนื้อเรื่องโดยรวมมีอยู่ว่า
นานมาแล้วในยุคสมัยที่รุ่งเรืองของชนเผ่าแวมไพร์ กษัตริย์ อเล็กเซเทียเจ้าแห่งแวมไพร์มีทายาทสองพระองค์ รัชทายาทหนุ่มอนาคตไกลองค์โต คาอิลเร เป็นเจ้าชายที่มีความสามารถสูงในทุกๆด้าน เป็นคนที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบมีความเป็นผู้นำสูง และมีจิตใจที่อ่อนโยน
ผิดกับรัชทายาทคนที่สองหรือน้องสาวแท้ๆ คาริเรนา เจ้าหญิงซึ่งถูกขนานนามว่า เจ้าหญิงแห่งความตาย สวยอย่างหาตัวจับยาก เป็นคนเก่งมีความสามารถสูงจนวัดระดับไม่ได้ หล่อนเป็นคนร่าเริง เข้ากับคนง่ายก็จริง แต่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นเด็กที่อารมณ์รุนแรงมาก แม้จะสุขุมนุ่มลึก เย็นชา เฉยเมยกับสิ่งรอบข้าง ดูเผินๆเหมือนคนไม่ค่อยพูดแต่เป็นเด็กสาวที่แฝงความร้ายเจ้าเล่ห์เอาไว้ในตัวมากจนไม่น่าเข้าใกล้
ด้วยจิตใจที่อ่อนโยนมากเกินไปของคาอิลเร และจิตใจที่แข็งกระด้างจนน่ากลัวของ คาริเรนา ถึงแม้พี่น้องคู่นี้จะสนิทและรักกันมาก ปัญหารัชทายาทที่แท้จริงจึงคงเป็นปัญหาคาราคาซังตั้งแต่ คาริเรนา เจ้าหญิงองค์น้องคนนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมา
คาริเรนา เริ่มแรกเธอใช้ชีวิตแบบเด็กสาวปกติทั่วไป จนกระทั่งเธอได้เพื่อนชายมาสนิทด้วยหนึ่งคน นั่นคือ ไคเรน อาเทเรียส แวมไพร์เลือดผสมที่มีพลังค่อนข้างสูงกว่าปกติทั้งๆที่ไม่ควรมีอำนาจไดๆของแวมไพร์เลย ทั้งสองสนิทกันมาก มากจนความคิดของทั้งสองไม่อาจบังคับให้มันหยุดอยู่แค่คำว่าเพื่อนได้ ไคเร็น เป็นคนร่าเริง แต่ค่อนข้างเข้ากับคนอื่นได้ยาก เพราะไม่ค่อยพูดถ้าไม่สนิท ซื่อสัตย์และรักความยุติธรรม ศรัทธาในความถูกต้องไม่เปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องแปลกที่เขานั้นสนิทและคิดเกินเพื่อนกับหญิงสาวที่เหมือนกับกระจก ทั้งความคิดและการกระทำเหมือนอยู่กันคนละฝั่งที่ไกลกันจนลิบตา
ไคเรน นั้นเป็นแวมไพร์เลือดผสมที่ไม่มีใครยอมรับ บิดาของเขาเป็นแวมไพร์ชั้นสูงซึ่งไปหลงรักหญิงสาวชาวมนุษย์ สุดท้ายเมื่อมีไคเรน บิดาของเขาถูกจองจำชั่วชีวิตที่คุกสเครดกลางทะเล ส่วนแม่แท้ๆของเขานั้นนั่นเสียชีวิตไปตอนที่คลอดเขาออกมา องค์กษัตริย์จึงได้เก็บไคเรนมาเลี้ยงในวังของท่าน โดยที่มีคาอิลเรและคาริเรนาเป็นทั้งพี่ เพื่อนสนิทและนายเหนือหัวเพียงสองคน ด้วยเหตุนี้ไคเรนจึงรักและเคารพคาอิลเรมากพอๆกับองค์กษัตริย์ และรู้สึกผูกผันกับคาริเรนามากกว่าคำว่าเพื่อนสนิทหรือน้องสาวมาทั้งชีวิตของเขา
ด้วยฐานะที่แตกต่างจึงไม่อาจเอื้อม แม้คาริเรนาจะทราบดีอยู่แล้วถึงทั้งความรู้สึกของไคเรนและความรู้สึกของตน แต่ด้วยเป้าหมายบางอย่างของเธอซึ่งไม่มีใครทราบ คาริเรนาจึงทำได้เพียงมองเท่านั้น ไคเรนเองก็ขอเพียงรับใช้อยู่ข้างกายคาอิลเรและคาริเรนาเท่านั้น และคำขอนั้น คาริเรนาขอแลกมันกับสัตย์สาบานจากไคเรนสี่ข้อ ซึ่งถ้าเธอขอให้เขาสาบานแล้ว เขาจะต้องทำตามทุกอย่างโดยไม่มีการบิดพลิ้วเป็นอันขาด โดยที่คาอิลเรซึ่งเข้าใจดีในความสัมพันธ์และความรู้สึกของทั้งคู่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้
จนกระทั่ง
บิดาของไคเรนซึ่งถูกจองจำอยู่นั้นตายอยู่ในคุกสเครดโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งบิดาของไคเรนนั้นโดนสังหาร รวมถึงเหล่านักโทษทั้งหมดในคุกสเครด ซึ่งถือเป็นนักโทษหนักซึ่งได้รับโทษทัณฑ์ในระดับสูงด้วย ไคเรนซึ่งตกอยู่ในห่วงของความโกรธาและการแก้แค้น จึงสืบหาตัวผู้ลอบสังหารบิดาอย่างเลือดเย็นโดยหมายจะฆ่าทิ้งในแบบเดียวกับบิดานั่นก็คือแทงดาบทะลุหัวใจ
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน องค์กษัตริย์ อเล็กเซเทียเจ้าแห่งแวมไพร์ ก็สวรรคตลงไปเพราะถูกปลงพระชนม์เช่นกัน เป็นเวลาเดียวกับการประกาศตัวของ เจ้าแห่งเผ่าแวมไพร์คนใหม่ผู้ลอบปลงพระชนม์องค์กษัตริย์องค์ก่อนและผู้สังหารหมู่เหล่านักโทษแห่งคุกสเครดอย่างโหดเหี้ยม
องค์กษัตริย์แห่งชนเผ่าแวมไพร์ คาริเรนา !
ความจริงที่โหดร้ายนี้ทำให้ไคเรนตกใจอย่างที่สุด คาอิลเรก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยกะทันหัน โดยที่ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว ยุคมืดที่โหดร้ายที่สุดของชนเผ่าจึงได้เริ่มขึ้น
เท้าความกลับไปตั้งแต่ต้นยุคที่ องค์กษัตริย์ อเล็กเซเทีย ครองราชย์ ประชาชนนั้นใช้ชีวิตกันอย่างสงบ และทำตามกฎของเหล่าแวมไพร์กันอย่างเคร่งครัด จนกระทั่งใกล้ถึงช่วงเปลี่ยนกษัตริย์ซึ่งคาอิลเรจะต้องขึ้นครองราชย์ต่อจากบิดา แต่ทว่าความใจดีที่มีมากเกินไปของคาอิลเรทำให้เหล่าเสนาธิการ ขุนนาง ทหารและประชาชนเกิดความเคลือบแคลง ความวุ่นวายต่างๆจึงเกิดขึ้น
แต่เมื่อกษัตริย์องค์ใหม่ คาริเรนาขึ้นครองราชย์ ยุคมืดของชนเผ่าก็มาถึง คาริเรนาเป็นคนที่โดนเหล่าเสนาธิการทักท้วงไม่ให้เป็นรัชทายาทเพราะความเจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยม หญิงสาวก็โหดเหี้ยมได้สมกับคำร่ำลือ เพราะคาริเรนาเอาจริงเอาจังกับกฎทุกอย่างและจัดการคนผิดได้โดยไม่ละเว้นไดๆ ไม่มีการอุทธรณ์ ไม่มีการร้องขอชีวิต กฎเพียงอย่างเดียวของคาริเรนาคือ
เมื่อกล้าที่จะใช้คมเขี้ยวของตนไปทำร้ายคนอื่น ก็จงเตรียมใจที่จะถูกทำร้ายกลับอย่างสาสมที่สุด
ไคเรนที่แม้โกรธแค้น แต่ก็ถูกคาริเรนายึดไว้ด้วยสัตย์สาบานสี่ข้อซึ่งเคยให้สัญญาไว้ คนซื่อสัตย์อย่างไคเรนไม่สามารถที่จะบิดพลิ้วคำสัญญาได้
จงอยู่ข้างกายและรับใช้องค์กษัตริย์ คาริเรนา
นั่นคือคำขอแรกซึ่งฝืนใจไคเรนอย่างที่สุด เพราะการที่เธอฆ่าบิดาของเขาให้ตายอย่างทรมานทำให้เขาโกรธแค้นเธออย่างประมาณไม่ได้ เพียงแต่ความรู้สึกส่วนลึกในจิตใจที่เก็บซ่อนเอาไว้ทำให้เขาไม่สามารถหันคมเขี้ยวของตนเข้าไปทำร้ายเธอได้ สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือการหนีไปให้ไกลที่สุด
การปกครองของคาริเรนาสร้างระเบียบและบรรทัดฐานขึ้นใหม่ในสังคมแวมไพร์ รวมทั้งความหวาดกลัวเด็กสาวผู้เป็นนายเหนือหัวสุดชีวิต และความเกลียดชัง แต่การกระทำเช่นนี้ ใช่ว่าจะไม่มีผู้ไดลุกขึ้นต่อต้าน เพียงแต่ผู้ต่อต้านทุกคนถ้าถูกจับได้จะถูกประหารโดยคาริเรนาต่อหน้าเหล่าประชาชนเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูอย่างโหดเหี้ยมจนเป็นที่สะพรึงกลัว
กลุ่มกบฏกลุ่มเดียวที่เหลืออยู่คือ อเล็กซัส และหัวหน้าของพวกเขาเหล่านั้นคือ คาอิลเร
กระทั่งในวันหนึ่ง หลังจากเวลาผ่านไปสามปี
จงทำตามแผนการของฉัน และต้องทำมันให้สำเร็จ
คำขอที่สองของคาริเรนา แผนของเธอเป็นแผนที่แปลกสำหรับไคเรนในขณะนั้น เพราะเป็นแผนที่ให้เขาทำเป็นออกปราบปรามเหล่ากบฏ อเล็กซัส ก่อนจะแกล้งทำทีเป็นเสียท่าและแกล้งตาย สุดท้ายหลังจากวันนั้นสองวัน ไคเรนต้องกลับมาหาเธอโดยไม่ให้ใครรู้ที่ห้องของเธอ
ไคเรนซึ่งปฏิบัติตามคำขอของคาริเรนาที่ตัวเองนั้นให้สัตย์สาบานเอาไว้อย่างไม่สามารถเลี่ยงได้ สุดท้าย อีกสองวันให้หลังเขากลับไปหาเธอที่ห้องของหล่อน
ในคืนนั้น คาริเรนากลับกลายเป็นเด็กสาวคนเดิมที่เขาเคยให้สัญญาด้วย ไม่ใช่องค์กษัตริย์ที่แสนโหดเหี้ยม เธอพูดคุยกับไคเรนด้วยน้ำเสียงสดใส และ.....
เธอจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ห้ามตายเด็ดขาด
คำขอที่สามที่ทำให้ไคเรนงุนงงหนักกว่าเก่าและเจ้าตัวก็ต้องยอมรับโดยดุสดี คาริเรนาจึงบอกแผนการสุดท้ายที่ไคเรนจะต้องทำในวันรุ่งขึ้น
และในวันต่อมา
วันรุ่งขึ้นนี้จะเป็นวันประหารเหล่ากบฏเล็กซัสซึ่งถูกจับได้จนครบและคาริเรนาจะเป็นคนลงมือประหารเองกับมือให้โหดเหี้ยมที่สุด
ทว่า
ไคเรนปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์พร้อมกับดาบสีดำซึ่งเป็นดาบประจำราชวงศ์ซึ่งสร้างความตกใจให้กับเหล่าแวมไพร์ที่คิดว่าเขาตายไปเสียแล้ว ไคเรนวิ่งเข้าไปหาคาริเรนาที่เตรียมชักอาวุธบนบัลลังก์ด้วยความเร็วที่เหนือชั้น ก่อนที่จะเงื้อดาบ แล้วเสียบเข้าไปในอกของคาริเรนาจนมิดด้าม
แม้จะเคียดแค้นสักเพียงไหน แม้จะโกรธสักเท่าไหร่ ก็ไม่อาจลบเลือนความรู้สึกในใจ ไคเรนทำได้แค่ร่ำให้และกรีดร้องในใจเท่านั้น ระหว่างที่กระชากดาบออกมาจากร่างของคนที่ตน โกรธแค้นจนสุดชีวิต และ.................รัก.....ยิ่งชีวิตเพียงคนเดียวของเขา
คาริเรนาทำเพียงหัวเราะออกมาเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อได้มองใบหน้าของชายหนุ่มเพียงคนเดียว
คนๆเดียวที่เธอ..........รัก.......ที่สุด
ก่อนองค์กษัตริย์ผู้โหดเหี้ยมที่สุดของชนเผ่าแวมไพร์จะสิ้นชีวิตลง
หลังจากนั้นความสงบสุขก็กลับมาสู่ชนเผ่าอีกครั้ง คาอิลเรได้ขึ้นครองราชย์ท่ามกลางความยินดีของเหล่าแวมไพร์ทั้งหลาย และไคเรนที่คาอิลเรขอให้อยู่รับฟังเรื่องอะไรบางอย่างซึ่งเขาจะเล่าก่อนจะให้ไคเรนตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อกับตนเอง
ความจริงทั้งหมด
คาอิลเร บอกกับไคเรน ว่า
คนที่ฆ่าบิดาของไคเรนไม่ใช่คาริเรนา แต่เป็นกบฏขุนนางผู้ต้องการล้มอำนาจขององค์กษัตริย์ อเล็กเซเทีย !
ไคเรนไม่เข้าใจในสิ่งที่คาอิลเรต้องการจะสื่อ มีเพียงความรู้สึกสับสน และความรู้สึกผิดของตน ที่โกรธแค้นคาริเรนามาตั้งแต่ต้น
เพราะหล่อนไม่ได้ผิด คาริเรนาไม่ได้ฆ่าบิดาของเขา
เหตุผลที่คาริเรนาต้องอ้างเช่นนั้นเป็นเพราะ ท่านพ่อของเธอองค์กษัตริย์ อเล็กเซเทียก็ถูกลอบปลงประชนม์เช่นเดียวกัน การจะให้พี่ชายของตนซึ่งยังไม่ได้รับการเชื่อถือจากประชาชน รังแต่จะทำให้เกิดความระส่ำระส่ายและจะถูกเหล่ากบฏยึดบัลลังก์เท่านั้น คาริเรนาจึงตัดสินใจให้คาอิลเรออกจากวัง และตนจะเป็นคนคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ จัดกฎ บรรทัดฐาน และความเชื่อใหม่ๆให้กับเหล่าแวมไพร์ที่เริ่มแข็งข้อ กับความใจดีของคาอิลเร และเตรียมบัลลังก์ที่ปลอดภัยที่สุดเอาไว้ให้ โดยการสร้างความเกลียดชัง สร้างความรู้สึกแตกแยกให้รวมกันอยู่ที่จุดเดียว และให้เขาทำลายมัน พามันไปในทางที่ต้องการ รวมถึงการสืบหาและลงมือประหารคนที่ฆ่าบิดาของเธอและบิดาของไคเรนอย่างสาสมตามที่เธอกล่าวไว้
เมื่อกล้าที่จะใช้คมเขี้ยวของตนไปทำร้ายคนอื่น ก็จงเตรียมใจที่จะถูกทำร้ายกลับอย่างสาสมที่สุด
ส่วนการที่ให้ไคเรนเป็นคนสังหารเธอนั้น เพราะต้องการเปลี่ยนสถานะจากลูกครึ่งชั้นต่ำของเขา ให้กลายมาเป็นวีรบุรุษผู้สร้างยุคใหม่ ให้ไคเรนสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมแวมไพร์ได้อย่างมีความสุขต่อไป ถึงแม้สุดท้ายไคเรนจะเลือกทางอื่น
แม้เธอจะขอไม่ให้คาอิลเรบอกความจริงอะไรกับไคเรนเลยแม้แต่น้อย
แต่คาอิลเรไม่อาจทนเก็บมันไว้ได้มันคือความจริงที่ไม่ว่ายังไงไคเรนก็ต้องรู้ แม้จะไม่เชื่อก็ตาม
อย่างน้อยในความทรงจำของชายที่เธอรักที่สุด
พี่ชายอย่างเขาก็ขอทำให้มันกลายเป็นความทรงจำที่สวยงามที่สุด
เพื่อน้องสาวที่เขาไม่เคยทำอะไรให้เธอได้
คำขอแรกของเธอที่ให้เขาอยู่เคียงข้าง
เพราะถ้าเธอปล่อยเขาไป ทางสุดท้ายของเขาก็คงไม่พ้นตายตามบิดาไป
คำขอที่สองที่ให้ทำตามแผน
เพราะคงจะไม่อยากบอกแผนการสุดท้ายของเธอก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงทำให้เธอเสียแผน
คำขอที่สาม ให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป
เพราะเธอรัก และไม่อยากให้เขาตายเพราะเธอจากไป เมื่อเขาชำระความแค้นแล้วเธอกลัวว่าเขาจะตายเพราะไม่มีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่
และคำขอสุดท้ายของเธอต่อเขา
วันพรุ่งนี้ ดาบของนายจะต้องทำให้ฉันตายอย่างทรมานที่สุดเลยนะ ให้สาสมกับความแค้นนั่น
............................................
นั่นก็เพียงเพราะว่า
.........อย่างน้อย ครั้งสุดท้ายในชีวิตของฉัน
ฉันอยากมองนายเป็นครั้งสุดท้ายยังไงล่ะ......................................ไคเรน
“จบแล้วค่ะ เศร้าจังเลยน นะค่ะ เรย์” เรเนอร์เอ่ยขึ้นอย่างเศร้าสร้อยเมื่ออ่านนิทานในมือจบลง ซึ่งไม่ต่างกับทั้งคนข้างกายหรือคนที่ที่รายล้อมนั่งฟัง
“ได้ยินมาหลายรอบแล้ว แต่ฟังกี่ทีก็ยังเศร้าอยู่ดี ไคเรนในนิทานเองสุดท้ายก็เลือกที่จะหายตัวไปตลอดกาลด้วยนี่นา เพื่อรักษาสัญญาข้อสาม โดยที่ไม่ขอยอมรับสถานภาพที่คาริเรนาจัดเอาไว้ให้” ชุนจิโร่เอ่ยขึ้นเมื่อคว้าหนังสือนิทานไปพิจารณา
“เลิกเศร้าเถอะน่า ถ้าเศร้าขนาดนั้นเรามาทำละครครั้งนี้ให้ดีกันเถอะ ไม่ใช่เพื่อพวกเราเท่านั้น แต่เพื่อพวกเขาสองคนด้วยเอาไหมล่ะ”
คำกล่าวเสียงจริงจังของภาวินทำให้ทุกคนมีแรงฮึดสู้ขึ้นมาอีกรอบหลังจากตกอยู่ในภวังค์ของนิทานอยู่นาน ก่อนรุยจะเป็นคนที่เอ่ยขึ้นก่อน
“ถ้างั้นเรามากำหนดบทตัวละครกันเถอะ”
ท่ามกลางแสงสว่างจ้ายามเช้าที่ลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่ในห้องทำงานกว้าง
“แอบดูอะไรเหรอค่ะ คุณพ่อ” เสียงทักจากด้านหลังเรียกให้นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่สวยหันไปมองร่างสมส่วนของหญิงสาวคนหนึ่งด้านหลัง ผมสีแดงยาวสยายถึงสะโพกรวบไว้กลางศีรษะเรียบร้อย ปล่อยบางปอยเคลียใบหน้าให้ดูหวานขึ้น ผิวขาวอมชมพู สูงปานกลาง และนัยน์ตาสีเขียวซึ่งละม้ายคล้ายกับเใครบางคน กำลังส่งแววตาสนอกสนใจมาให้อย่างเต็มเปี่ยมจนน่าเอ็นดูนัก
“พ่อดูเอกสารของงานวันสถาปนาที่สถาบันไนท์อยู่น่ะจ้ะ ลูกมีอะไรรึเปล่า”
“แหม ก็คุณพ่อแน่ใจนะค่ะ ที่จะให้หนูไปงานสถาปนาของสถาบันไนท์ปีนี้ ไม่กลัวหนูทำเรื่องยุ่งเหรอค่ะ” เสียงหวานเอ่ยติดจะหงุดหงิด ซึ่งคนเป็นพ่อก็ยิ้มรับ
“ลูกไม่อยากไปกับพ่อเหรอ หืม”
ใบหน้าหวานส่ายไปมาเป็นคำตอบแล้วเอ่ย
“ก็หนูไม่ค่อยเก่งเข้างานสังคมนี่นา กลัวไปทำเรื่องยุ่ง แล้วคุณพ่อเสียหน้านี่ค่ะ อีกอย่างงานเลี้ยงพวกนี้ น่าเบื่อจะตายนี่ค้าคุณพ่อขา”
ร่างสูงของชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างระอากับเสียงออดอ้อนในตอนท้าย นัยน์ตาสีน้ำเงินยังคงกราดมองเอกสารในมืออย่างพินิจก่อนเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ
“นี่เป็นสาเหตุจริงของลูกใช่มั้ยล่ะจ้ะ แต่พ่อว่า ปีนี้ลูกน่าจะชอบนะ เพราะท่าทางไคยะจะทำเรื่องยุ่งให้เด็กปีหนึ่งกันอีกแล้วล่ะจ้ะ”
“ยังไงค่ะ มีอะไรเหรอ ปีโน้นก็ละครเพลง เต้นระบำ หนูว่าน้าไคยะก็แกล้งเด็กมากพอแล้วนะค่ะ นี่เด็ดกว่าอีกเหรอค่ะคุณพ่อ” เสียงหวานเอ่ยถามขึ้น
“จ้ะ เพราะปีนี้เป็นละครเวทีของนิทานที่ลูกชอบ กุหลาบสีเลือดแห่งความชั่วร้ายอันงดงาม ไงจ้ะ”
“ต่อไป รายงานความคืบหน้าของงานสถาปนา ฝ่ายรักษาความปลอดภัย รุ่นพี่ มิวส์”
ร่างสูงของประธานนักเรียนแห่งสถาบันไนท์กล่าวหัวข้อซึ่งทำให้ทุกคนในห้องประชุมรู้สึกอากาศหายวับไปจากห้องในทันทีทันได อึดอัดจนขยับกันไม่ได้จนกระทั่งคนที่ถูกเรียกลุกขึ้นรายงาน หัวหน้าของรุ่นพี่ปีสี่ประธานนักเรียนของปีที่แล้ว มิวส์ วาเลนไทน์ ร่างสูงผิวขาวและลักษณะภายนอกที่ไม่ว่าดูยังไงๆก็เหมือนกับคนเป็นประธานซึ่งนั่งหัวโต๊ะไม่มีผิด เว้นก็แต่ความสูงที่มากกว่า ใบหน้าคมที่เข้มกว่าคล้ำกว่าที่จะดูทางไหนก็ขาวสวยอยู่ดี นัยน์ตาเรียวเป็นสีม่วงออกแดง และผมสีน้ำตาลแดงยาวถึงกลางหลังซึ่งผูกเป็นเปียไว้เรียบร้อยส่งให้ใบหน้าคมซึ่งเข้มกว่าดูหวานจนแทบไม่มีเค้าของความเคร่งขรึมและไร้มนุษย์สัมพันธ์แบบคนหัวโต๊ะ
“ด้านการรักษาความปลอดภัยมีการวางระบบใหม่นิดหน่อยต่างจากปีที่แล้ว มีจัดเวรยามสามชุด แต่ใช่ยามสองกะกลางวันแปดคน กลางคืนสิบสี่คน ส่วนเวลาเปลี่ยนกะที่เป็นปัญหาในหลายๆครั้ง จะให้เป็นช่วงเดิมคือเจ็ดโมงเช้ากับหนึ่งทุ่ม แต่ระบบที่เปลี่ยนไปคือระหว่างเปลี่ยนกะจะมีการคุ้มกันพิเศษโดยพวกชุดที่เหลืออีกแปดคนเป็นพวกเธอปีสามตามที่ได้จัดเอาไว้ ซึ่งหน่วยนี้จะเป็นหน่วยรักษาการณ์เฉพาะหน้าเวลาเปลี่ยนกะแค่สี่สิบนาทีในแต่ละวัน ก็หมดส่วนของการรักษาความปลอดภัยด้านนอก” เสียงทุ้มหยุดกล่าวพลางพลิกหน้าเอกสารในมือพร้อมๆกับสมาชิกในห้องประชุมแล้วเอ่ยต่อ “ส่วนที่เห็นแปดรายชื่อนั่นคือพวกปีสี่ที่ไปคุ้มกันเหล่ากษัตริย์ทั้งหกแคว้น ส่วนอีกสองคนก็คือ ฉัน กับ เลโอ เนเรอา จะคุ้มกันองคจักรพรรดิแห่งโซลบลู”
“ขอบคุณมากครับ รุ่นพี่ มิวส์ เชิญนั่งเถอะครับ ต่อไป ฝ่ายสถานที่ อาเค”
สิ้นเสียงของชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะ รุ่นพี่มิวส์ก็นั่งลงไปพร้อมกับอีกสองร่างของชายหนุ่มที่หน้าตาราวกับหญิงสาวสวยที่หาตัวจับได้ยากที่ปกติจะมีกันอยู่สองคน แต่วันนี้กลับเหลือเพียงคนเดียวซึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุมนี่ก็ลุกขึ้นแทนพร้อมกับรายงาน
“ด้านสถานที่จากการประสานกับพวกน้องปีสองแล้วก็แบ่งงานตามนี้นะครับ คือน้องปีสองทั้งสามสิบคนแบ่งออกเป็นสามกลุ่มกลุ่มละสิบคน แยกกันตามนี้คือ ฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ฝ่ายจัดงานตกแต่งเก็บรายละเอียด กับฝ่ายทำความสะอาด ซึ่งจะมีรุ่นพี่ปีสามผลัดกันไปช่วยเป็นระยะๆ รวมถึงในวันงาน จะมีการแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนละสิบห้าคน โดยชุดหนึ่งจะเป็นฝ่ายอำนวยความสะดวกตามงานไล่ตามเก็บทั้งความสะอาดการตกแต่งเพิ่ม รวมทั้งทำความสะอาดนอกงาน อีกส่วนเป็นฝ่ายเฉพาะหน้าก็เป็นพวกการจัดสถานที่งานเลี้ยง งานเต้นรำ จัดเวที จัดห้องรับรอง แล้วก็เตรียมจัดการเฉพาะหน้าภายในงานครับ”
“ดีมาก ฝ่ายจัดงานพิธี ผมขอกำหนดการที่เสร็จแล้วภายในวันนี้ ส่วนฝ่ายงานเอกสารรวบรวมรายงานทั้งหมดมา ทั้งรายจ่าย รายรับ รายชื่อแขก กับลิสต์ของจำเป็นทั้งหมดในงานประสานกับฝ่ายจัดซื้อด้วย ส่วนฝ่ายจิปาถะผมขอเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวกับพวกนายวันนี้เช่นกัน พวกเธอไม่มีปัญหา ขอแค่อย่าก้าวก่ายหน้าที่ ช่วยในสิ่งที่ช่วยได้ และไปตามคำขอของทั้งรุ่นน้องและรุ่นพี่เป็นพอถ้ามีปัญญาหา ก็มาบอกกับผมโดยตรงอะไรที่แก้ได้ จะรีบแก้ไขให้เร่งด่วน เข้าใจกันแล้วนะ”
บรรยากาศตึงเครียดค่อยผ่อนลายลงเมื่อรายงานในส่วนต่างๆเป็นไปด้วยดีและเรียบร้อย แต่ก็ยังไม่มีคำสั่งเลิกประชุมหรือการสรุปไดๆจนกระทั่ง
“เรื่องสุดท้าย การแสดงล่ะ มองเด เซต”
ทุกสายตาจับจ้องไปที่คนรายงานซึ่งนั่งเท้าคางอย่างเบื่อๆพลางมองดูเอกสารในมือ เมื่อได้ยินเสียงของประธานถามหา นายหัวเม่นตัวแสบก็ลุกขึ้นยืนรายงานความคืบหน้ากับชายหนุ่มอีกคนซึ่งมีส่วนร่วมในการดูแลฝ่ายการแสดง
นี้ก็ลุกขึ้นเช่นกัน
“การแสดงบนเวทีตอนนี้ จากการประสานงาน มีการแบ่งฝ่ายการทำงานกันแล้วครับ ตัวแสดงหลักมีห้าคน ที่เหลืออีกสิบคนเป็นตัวประกอบและรวมไปกับฝ่ายฉากที่เหลืออีกเจ็ดคนด้วย ส่วนอีกแปดคนที่เหลือแยกเป็นคนเขียนบทสองคน ฝ่ายแสง สี เทคนิคพิเศษสองคน แล้วก็ฝ่ายแต่งหน้ากับเสื้อผ้าอีกสามคน ผู้กำกับเวทีหนึ่งคน รวมทั้งหมดสามสิบเอ็ดคนครับ จากการกำหนดคร่าวๆจะแสดงกันทั้งหมด แปดฉากตามที่รายงานในเอกสาร ประธาน ส่วนรายชื่อนักแสดง เซตต่อสิ”
“ตามที่เห็นในเอกสาร ฝ่ายต่างๆก็มีรายชื่อตามที่สรุป ส่วนรายนามนักแสดงก็ตามที่เห็น จากการพิจารนาการซ้อมคร่าวๆคิดว่าน่าจะโอเค แต่ถ้าได้คนฝึกดีๆน่าจะดีกว่านี้”
นัยน์ตาของผู้ถามหรี่ลงเล็กน้อยอย่างสงสัยเป็นคำถาม ซึ่งคนมองก็ต้องรีบตอบ
“ไม่ใช่ว่าเล่นกันไม่ดี ตัวบทแล้วก็การดำเนินเรื่องเลิศเลยทีเดียว เสื้อผ้าหน้าผมก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะพ่อแม่ของเด็กพวกนี้ทำงานสายตรงอยู่แล้ว แต่ที่เป็นปัญหาคือบทนี้ดูเหมือนจะไม่มีคนไกด์ที่ดี พวกนักแสดงเลยต้องคลำหาลักษณะตัวละครห้าตัวนั่นกันเอง ถึงดูตามชื่อแล้วไม่น่าจะมีปัญหาก็เถอะ”
คำตอบดังกล่าวทำให้สายตาทุกคู่ไล่มองลงไปตามรายชื่อ จนกระทั่งเห็น
รายชื่อนักแสดงหลัก
คาริเรนา รับบทโดย ซายารส์ เรเนอร์
ไคเรน อาเรเทียส รับบทโดย เรย์ อาร์ซิเทียส
คาอิลเร รับบทโดย เชน เครเวิร์ด
กษัตริย์อเล็กเซเทีย รับบทโดย รุย วากาสะ
คิริน อาเรเทียส รับบทโดย ภาวิน เศวตรา
หมายเหตุ * นักแสดงทั้งห้ามาจากการจับไม้สั้นไม้ยาว (ที่มองเดเป็นคนทำ) แล้วมาจับฉลากกันอีกที (มองเดอีกเช่นกัน) หวยล็อกแน่นอน ยุติธรรมแน่นอน
แล้วเสียงอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นพร้อมกัน
.................................................
จะรอดหรือเปล่า การแสดงปีนี้
หวังว่าคงไม่ทำขายหน้านะ
ความคิดเห็น