คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : chapter 5
รุสะ
โธ่เว้ย โธ่เว้ย โธ่เว้ย โธ่เว้ย
หายไปไหนนะ
ถ้าน้องเป็นอะไรไป
พี่จะทำยังไงเล่า
โธ่ว้อย เรามันโง่เอง
เสียงสบถในใจของชายหนุ่ม ผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงจากการขยี้หัวตัวเองด้วยความเจ็บใจหนักนัยน์ตาสีม่วงกำลังหรี่ลงด้วยความกังวลและโมโหตัวเอง
ไอ้เอ็ดบ้า
ทำไมไม่ดูน้องให้ดี
เรามันบ้า
“รุสะ อยู่ที่ไหน ตอบพี่ที” เสียงตะโกนที่สามารถปลุกชาวบ้านตื่นได้เป็นกิโลดังขึ้นอย่างกระวนกระวายเป็นที่สุด
หลังจากที่ทะเลาะกันยกใหญ่เพราะเรื่องผ่าตัด จู่ๆเด็กสาวก็แอบหลบออกจากห้องตัวเองทางหน้าต่าง แล้วกว่าเขาจะรู้ตัวเธอคงออกมาเป็นชั่วโมงแล้ว
โธ่
พี่แค่อยากให้น้องหาย.........เท่านั้น
พี่ไม่อยากเสียใครไปอีกแล้วนะ รุสะ
คนสุดท้ายในโลกนี้ คนที่พี่รักยิ่งชีวิต
ขอร้อง อย่าเป็นเหมือน.......เธอคนนั้น
ใจพลันกระวนกระวายถึงบทสนทนาสุดท้ายที่คุย ไม่สิ ตะโกนใส่กัน
“พี่ บ้า หนูไม่อยากผ่าตัดนะ ถ้าหนูทำ พี่ก็จะหาเงินแบบเอาเป็นเอาตายเหมือน พ่อกับแม่ เหมือนกับตอนนั้นที่พี่ทำให้....เธอคนนั้น ไม่เอาค่ะ ถ้าพี่เป็นอะไรไปหนูจะทำยังไง จะให้หนูอยู่คนเดียวอีกแล้วเหรอค่ะ” เสียงตะโกนตัดพ้อจากน้องสาวผู้ไม่เคยเถียง ผู้ที่ไม่เคยแม้แต่จะว่า บ่นหรือร้องให้เพราะมีพี่ชายอย่างเขา น้ำตาไหลพรากอาบแก้มราวทำนบพัง นัยน์ตาสีมรกตฉายแววน้อยใจชัดเจน
“พี่แค่อยากให้น้องหายเท่านั้นนะ” เสียงที่พยายามอธิบายกับน้องสาวกำลังตกตะลึงพึงเพริดเพราะอาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับน้องสาวของเขา
“ไม่ค่ะ ไม่ หนูขอตายๆไปซะถ้าทำอย่างนั้น ไม่ค่ะพี่ชาย”เด็กสาวกล่าวเสียงแข็งพลางปิดประตูห้องดังปังแล้วลงกลอนในทันที
“รุสะ เดี่ยวก่อนออกมาคุยกันให้จบสิ” เสียงกล่าวต่อมาเป็นของเขา
นี่ก็อีกสิบนาทีจะเช้า ตามหามาแปดชั่วโมงแล้ว ทำไมยังไม่เจอ
ฉันจะทำยังไงดี
มาเนีย บอกฉันที ฉันจะทำยังไงดี
แล้วขาก็พาเขาวิ่งมาที่สวนสาธารณะใกล้ๆ ตอนนี้เขาเหนื่อมากแล้ว ขาล้าไปหมดไม่มีแรงเหลืออีกแล้ว เขาคิดพลางทรุดตรงโคนต้นไม้
พลันสิ่งหนึ่งทำให้ตื่นจากภวังค์ได้ในทันใด
ร่างบางของเด็กสาวที่เขาตามหากำลังหลับพริ้มอยู่ตรงม้านั่งข้างๆ คลุมด้วยเสื้อของใครบางคน แต่มันไม่สำคัญแล้ว เขาพบน้องสาวแล้ว
คงเพราะเธอมั้ง มาเนีย
พลันก็ปราดเข้าหาร่างบางของเด็กสาวทันที
“รุสะ รุสะ” เอ็ดกล่าวปลุกรุสะพลางเขย่าตัวเด็กสาวเบาๆ แล้วแพขนตาหนาเริ่มขยับช้าๆและมองเห็นร่างและใบหน้าของพี่ชายแสนดีของเธอ
“หืม พี่ชายทำไมมาอยู่ที่นี่”เด็กสาวกล่าว แล้วร่างบางก็ถูกคนเป็นพี่ชายดึงเข้าไปกอดแน่น
“อย่าทำอย่างนี้อีกนะ พี่ขอร้อง พี่ก็ไม่อยากเห็นใครเป็นอะไรอีกแล้ว อย่าเป็นเหมือนมาเนีย อย่าเหมือนเขา” ถ้อยคำขอร้องมากมายจากชายหนุ่มทำให้เด็กสาวฉุกคิดถึงเรื่องครั้งนั้น
“หนูขอโทษค่ะ หนูขอโทษ” เธอกล่าวพลางร้องไห้ให้กับพี่ชาย “หนูขอโทษ หนูผิดไปแล้วค่ะ เรื่องพี่มาเนียที่หนู...ลืม หนูขอโทษค่ะ” เด็กสาวร่ำไห้
ร่างสูงโปร่งที่อยู่อีกฟากของสวนจ้องมองมาอย่างไม่เข้าใจที่พูดเท่าไรนัก ถึงแม้เขาจะมีน้องสาวเหมือน
ชายคนนั้นก็ตามแต่ แต่ว่าไม่เห็นเป็นไรเลยเท่านี้ก็ดีแล้ว
“โชคดีนะ รุสะ”
..........................................
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณที่สาดส่องเข้าห้องทางหน้าต่าง ร่างบางของหญิงสาวผมสีเงินนอนอยู่บนเตียง เพียงแต่ว่านัยน์ตานิลกาฬนั้นไม่ใด้หลับพริ้มอย่างควรจะเป็น แต่ทว่ากลับเบิกโพลงราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ขอบตาที่ดูคล้ำเป็นสิ่งที่แสดงว่าเจ้าของนั้นอดนอนมาทั้งคืน
ทำไมนะ
ทำไมเราถึง.........เลวได้ซะขนาดนี้
คิดแล้วก็ยิ้มด้วยความขมขื่นใจ พลางคิดโทษตัวเองซ้ำๆไปมาไม่รู้กี่รอบตั้งแต่เมื่อคืน
เพราะเราเอง ถ้าวันนั้นเราไม่คิดแพลงๆว่าจะจูบเธอเพื่อช่วยเธอจากตำรวจพวกนั้น ถ้าเพียงแต่หาวิธีอื่น วิธีอะไรก็ได้ที่ช่วยเธอได้ ที่ไม่ใช่ที่เราทำตอนนั้น เรื่องคงไม่เป็นแบบนี้ เร็นเคียวก็ไม่ต้องจากบ้านเกิดมาอยู่กับเรา เร็นเคียวก็ไม่ต้องมาคอยทำอะไรๆให้เรา ส่วนเคนเคย์คนนั้นอาจจะช่วยเธอได้มากกว่าเรา ถ้าเร็นเคียวได้กลับไปเค้าก็คงทำตัวดีและอาจทำให้เร็นเคียวรักเขาได้ ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้นเขาอาจจะไม่เสียน้ำตาทั้งๆที่เขาเป็นชายชาตรี เราเองที่เป็นคนทำให้เค้าเสียเกียรติ เสียศักดิ์ศรี เสียใจ แล้วก็แค้น แล้วถ้าเราไม่ทำอย่างนั้น เร็นเคียวก็จะไม่บาดเจ็บ เร็นเคียวก็จะไม่สลบไปทั้งวัน เร็นเคียวก็จะไม่ต้องให้วิญญาณกับเรา แล้ว ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้น เร็นเคียวก็คงจะ....มีความสุขมากกว่านี้ หึ ใช่
กับคนที่เธอรัก
“โคคุเรียว เป็นอะไรรึเปล่า” เสียงอ่อนโยนจากหญิงสาวอีกคนที่คอยเฝ้าดูหญิงสาวผมเงินในร่างชายหนุ่มทั้งคืนในความคิดของเธอตอนนี้ชายหนุ่มในร่างหญิงสาวคนนี้อาการน่าเป็นห่วง เพราะทั้งคืนไม่มีเสียงพลิกตัวเพราะนอนดิ้น ไม่มีเสียงกรนเบาๆอย่างที่ควรจะเป็น ตั้งแต่คืนแรกเธอเห็นอาการนอนของเขาชัด และคืนที่สองก็ปรกติดี เพียงแต่เมื่อคืนนี้ไม่มีเสียงอย่างที่ควรจะมี
เพราะเรารึ ที่สร้างเรื่องวุ่นวายมากมายให้ไม่เว้นแต่ละวันตั้งแต่เข้ามาอยู่
คงอย่างนั้น รำคาญสินะ
“นี่ เร็นเคียว ถ้าฉันจะให้เธอเป็น.......อิสระล่ะ” คำถามที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินเพียงแต่มันทำให้ใจของคนฟังหล่นวูบ กระตุกแรงด้วยคมมีดจากคำถามของหญิงสาวผมเงิน มันช่างคมเสียเหลือเกิน
“จะให้ฉันไปเหรอค่ะ ไปจากที่นี่” เธอตอบคำถามด้วยคำถาม เสียงของเธอยังเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึก
ส่วนด้านของคนฟังนั้นหัวใจกระตุกวูบ ชาไปทั้งตัวแล้วเอื้อนเอ่ยวาจาที่กรีดแทงลงไปในส่วนลึกทั้งในใจของตัวเองและคนฟังคนนั้น
“ที่ไหนก็ได้ตามใจคุณ ไปจากผม ลืมผมซะ อย่ากลับมาหาผมอีกเป็นอันขาด” คำตอบนั้นทำให้คนฟังต้องนิ่ง นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างข่มความรู้สึก
งั้นเหรอ ไปสินะ
แล้วเธอกล่าวด้วยความรู้สึกอันหนักอึ้งกับชายหนุ่มในร่างหญิงสาว
“ค่ะ ฉันจะไป ตามที่คุณต้องการ” เธอกล่าวได้ยากเย็นเต็มทีพลางร่ายเวทอะไรบางอย่าง “ขอบคุณมากสำหรับทุกๆอย่าง ขอโทษที่มาอยู่ให้รกหูรกตารำคาญใจของคุณ ตามความต้องการของคุณ ลาก่อนค่ะ อาเร็น โคคุเรียว” เธอกล่าวแล้วเดินออกไปในชุดตอนที่เข้ามาครั้งแรกด้วยเวทย์มนต์ ร่างบางหายไปจากประตูตามมาด้วยความมืดสลัวๆที่กลับมาตามเดิมในห้อง
ปล่อยให้ใครคนนึงนั่งจมอยู่กับความทุกข์ ความรู้สึกผิด และเสียใจ
ไม่เคยต้องการอย่างนั้นสักนิด
เธอคนนั้นจะลืมเรา
หึ สมกับที่เราทำแล้วนี่
แล้วทำไม ทำไม
มันต้องเจ็บ
เราจะ...ลืมเธอได้มั้ย
ห้วงความคิดของคนที่นั่งเงียบอยู่บนเตียง ถึงจะปลอบตัวเองยังไง มันก็ยังเจ็บ
แล้วเสียงร่ำให้ที่ลอยมาตามสายลมเคว้งยามรุ่งอรุณนี่เป็นของใครกันหนอ
........................................................................................
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้โคคุเรียวที่นั่งทานข้าวหน้าหมูทอดที่วางไว้แต่เช้าด้วยฝีมือของ..........เร็นเคียว ต้องลากสังขารที่เหนื่อยล้าเต็มทนจากเรื่องเมื่อเช้า มันเหนื่อยที่ใจไม่ใช่กาย เปิดประตูแล้วกล่าวแก่แขกว่า“ค่ะ มาแล้วค่ะ”
“งาย ไอ้เรียวไปเรียนกันเต๊อะ” เสียงกล่าวอย่างร่าเริงจากชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีมรกตไสวาววับที่ไม่รู้ว่าในแววตานั้นซ่อนอะไรบางอย่างไว้ข้างๆเป็นร่างของชาหนุ่มอีกเพื่อนสนิทของเขาอีกสองคนและร่างบางเล็กอีกร่างของเด็กสาวเรือนผมสีนิลกาฬ นัยน์ตาสีหยก
“เออ รอแป้บนึงละกัน” โคคุเรียวตอบเรียบๆ แต่เรียกความสนใจจากทุกๆคนที่รออยู่หน้าประตู แน่นอนทุกคนสนใจอยู่สองเรื่อง
โคคุเรียวเป็นอะไรไป อาการแบบนี้ แล้วก็
เร็นเคียวหายไปไหน
แต่ละคนต่างก็เก็บคำถามไว้ในใจ เพราะรู้จักกันมานานจึงเข้าใจว่าโคคุเรียวในขณะนี้นั้น ไม่สามารถตอบคำถามใครได้ แล้วเจ้าตัวเองก็คงไม่อยากตอบอีกด้วย
“มาแล้ว ไปกันรึยัง” หลังจากแต่งตัวเสร็จอย่างเชื่องช้าเจ้าตัวก็เดินออกมาจากบ้าน ล็อกประตู พลางถาม
“แกเป็น อะไรรึเปล่า” เอ็ดถามขึ้น
“เปล่า ไม่มีอะไร” แล้วเธอก็เดินนำลงจากหอไปเลย เป็นผลทำให้ทุกๆคนต้องรีบเดินตามอย่างไร้ข้อโต้แย้งแต่ทว่าก็ยังมีสายตาหนึ่งในตอนนั้น วันนั้น
“เนี่ยนะ ไม่เป็นไร” เสียงพึมพำอย่างเหลืออดของเจ้าของสายตาในวันนั้น
และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรกันอีก ทุกๆคนเดินไปส่งรุสะที่โรงเรียนมัธยม แล้วก็เดินไปมหาวิทยาลัย และตลอดเวลานั้น โคคุเรียวเดินอย่างเหม่อลอย และไม่ปริปากกล่าวอะไรเลยแม้เพียงสักคำเดียว
รวมถึงแม้เวลาเรียนที่ทั้งสามคอยจับตาดูไอ้เพื่อนรักที่อาการผิดแปลกตั้งแต่เมื่อเช้า มันก็ยังไม่ยอมพูดอะไรแม้สักคำเดียวกับเพื่อนๆมากมายที่มาชวนคุย เวลาเรียนก็เอาแต่นั่งเหม่อก้มหน้า พลางเขียนอะไรบางอย่างแล้วขีดฆ่าไปซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอดเวลาเรียนและที่ทำให้สังเกตเห็นง่ายที่สุดคือตอนวิชาภาษาญี่ปุ่น
“เอาล่ะขอถามข้อนี้สักข้อก็แล้วกันนะ โคคุรียวตอบให้หน่อยสิว่า ประโยคที่ว่า ความรักที่เจ็บปวด เป็นภาษาญี่ปุ่นว่ายังไง” เสียงที่แหบแล้วก็ฟังแสบแก้วหูของอาจารย์หญิงแก่ๆในวิชาภาษาญี่ปุ่นหันขวับมาถามโคคุเรียวที่ยังมีอาการนั่งเหม่อก้มหน้าอยู่กับสมุดโน็ต
“...............................................................” ผ่านไปเกือบนาทีไม่มีเสียงตอบรับจากโคคุเรียวแม้สักคำ อาจารย์จึงกล่าวเร่งอย่างมีเชื้อไฟปะทุ “โคคุเรียว ตอบทีจ้ะ”
และผ่านไปอีกประมาณห้านาที อาจารย์ก็เรียกอีกสามครั้งซึ่งดังมากขึ้นเรื่อยๆอย่างทุกคนในห้องรู้แล้วว่าเธอกำลังจะเดือดแล้วก็จะระเบิด ตู้ม จึงหันไปมองโคคุเรียวกันอย่างหวาดๆ และเมื่ออาจารย์หญิงกำลังจะเรียกอีกครั้ง “นี่เธอโคคุ เห ว้าย”
เสียงร้องอย่างตกใจมาจากเสียง กร้อบ ที่มาจากดินสอไม้ในมือของโคคุเรียวหักเป็นสองท่อนด้วยแรงบีบ แล้วเสียงเบาๆแต่ราวกับกำลังสั่นด้วยความ....โกรธว่า “คานาชิโนไอชิเตะ หนูขอตัวนะค่ะ” แล้วก็ลุกพรวดเก็บของเดินออกจากห้องโดยไม่หันมามองใครอีก
หลังเลิกเรียนทั้งสามหนุ่มที่เหลือไม่พูดอะไรกันอีก แต่ว่าวิ่งอย่างเร่งรีบไปยังม้าหินที่เธอมักจะนั่งอ่านหนังสือรออยู่เป็นประจำทุกๆวัน
“เรียว วันนี้แกเป็นอะไร” คิวถามขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ไม่ถ้าพวกแกไม่ว่าอะไร ฉันจะกลับก่อน ไปล่ะ” เธอกล่าวพลางยัดของต่างๆเข้ากระเป๋าอย่างไม่ค่อยเรียบร้อย
“วันนี้ฉันจะว่าถ้าแกกลับก่อน ตอนนี้แกมาคุยกับพวกเราให้รู้เรื่อง แกมีเรื่องอะไรกับคุณเร็นเคียวใช่มั้ยวะฮะ” เสียงถามตรงประเด็นมาจากคนที่ดูคนได้ทึ่มที่สุด
“มันเรื่องของฉัน แกไม่เกี่ยวไอ้เอ็ด พวกแกก็ด้วย” เธอตอบหลังจากชะงักกับคำถามที่กรีดลงกลางใจแล้วกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง พลางสบตาอย่างเอาเรื่อง
“นายไล่เธอออกจากบ้านใช่มั้ย” ไซถามขึ้น ทำให้สองหนุ่มมองด้วยความฉงนปนทึ่ง ส่วนหญิงสาวนั้น หันมามองอย่างโกรธเคือง ไซเห็นอาการจึงถอนหายใจแล้วด่าว่า “ใช่ล่ะสินะ ไอ้บ้าเรียว”
“เออ ไอ้คุณชายบ้าปิดแกไม่ได้สักเรื่อง แกนี่มันสู่รู้ซะไม่มีล่ะ ไอ้เจ้าชายไอด้อลฮิตติดชารต์ประจำคณะอักษรศาสตร์อันดับหนึ่งไม่เป็นสองตลอดสามปีเอ้ย เปลี่ยนฉายาใหม่ดีกว่า ให้เป็นไอ้เจ้าชายจอมปราชญ์ผู้หยั่งรู้อนาคตดีไหมวะฮึ ไอ้สู่รู้” เธอกล่าวตอบด้วยเสียงล้อเลียน แต่นั่นก็ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามโล่งอก มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ไอ้เพื่อนบ้านี่ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย
“เออก็แล้วแต่แก ไอ้เพื่อนวิปริตผิดเพศ” คำตอบล้อเล่นแต่ตามมาด้วย สงครามปาของย่อมๆ และชายหนุ่มอีกสองคนที่ยืนดูอยู่นานก็ตัดสินใจกระโดดเข้าไปร่วมสงครามย่อยๆด้วยอย่างนึกสนุก
“สรุป ไอ้เรียว แกไล่เร็นจังเค้าออกจากบ้านแกงั้นสิ”คิวถามขึ้นหลังจากที่สงบสงครามย่อยๆที่สร้างรอยถลอกเล็กๆน้อยๆบนร่างทั้งสี่ที่เป็นการเล่าเหตุการณ์เมื่อเช้าของโคคุเรียวไปในตัว
“เออก็อย่างที่เล่า แกจะเออะไรกับฉันนักพอทีเถอะว้อย เออว่าแต่แกรู้ได้ไงวะไอ้ไซ” คำถามจากเพื่อน
สนิทหญิงสาวจอมอวดดีของพวกเขา
“ก็ ฉันเห็นคุณเร็นเคียววิ่งมาด้วยชุดแปลกๆน่ะสิ” ไซกล่าวถามต่ออีกว่า “นั่นมันชุดเต็มยศใช่ป่ะ”
“เออ ถึงจะต่างกับครั้งแรกที่เจอแต่ก็ อืมเต็มยศ” โคคุเรียวกล่าวตอบ
“แล้วแกจะทำยังไงต่อไป ปล่อยเธอไปรึ” คำถามสั้นๆมาจากเอ็ด
“ใช่ตอนแรกฉันตั้งใจจะทำแบบนั้น” โคคุเรียวตอบด้วยเสียงเด็ดเดี่ยว
“แน่ใจรึ” คิวกล่าว
“พวกแกจะหมายความว่าอะไรกันแน่” โคคุเรียวกล่าวในที่สุด
“ไอ้โง่ แกเป็นเจ้าชีวิตเร็นจังใช่ไหมเฮอะ” คิวถาม
“ก็ใช่” เธอตอบ
“แล้วก็เป็นตลอดไปใช่ไหมเฮอะ” ไซถามต่อ
“ก็ใช่ แล้ว”เธอตอบด้วยความฉงน
“โธ่ไอ้บื้อ ถ้าคุณเร็นเคียวเค้าไม่มีแก แล้วเค้าจะอยู่ไปเพื่ออะไรเล่าไอ้โง่สุดซื่อบื้อ สุดงี่เง่า สุดบ้าบอคอแตกเอ้ย” เอ็ดกล่าวอย่างหมดความอดทนเต็มทีแล้ว
“ก็ เพื่อตัวเองดิ” เธอตอบอย่างฉงน
“อ้ายโง่ แกจะเขียนนิยายรักเกี่ยวกับซาตานไปทำซากอะไรวะหา ไม่งั้นซาตานเค้าจะมีกฎพวกนี้ไว้โชว์เล่นเหรอวะไอ้โง่เอ้ย” คิวก็ตะโกนอย่างหมดความอดทนเช่นกัน
ทันใดนั้นเธอก็เก็บของใส่กระเป๋าเร็วจี๋แล้ววิ่งพรวดออกจากโต๊ะแล้วหันหลังตะโกนให้เพื่อนๆว่า “ขอบคุณโว้ยไอ้เพื่อนเวร”
“มันบ้าดีเดือด” ทั้งสามสรุปเป็นคำเดียวกันได้
แสงแดดแรงยามบ่ายกำลังถูกแทนที่ด้วยเมฆครื้มเต็มท้องฟ้า ราวกับว่าพายุกำลังจะเข้าโหมกระหน่ำ เสียงใบไม้หวีดหวิวราวบทเพลงที่ขับขานด้วยความเศร้า ร่างบางของหญิงสาวสูงโปร่งในชุดธรรมดาอยู่ท่ามกลางป่าไผ่ ที่อยู่หลังหอพักของตัวเขาเอง เรือนผมสีน้ำเงินยาวราวเส้นไหมปลิวสยายตามแรงลม นัยน์ตาสีเลือดส่อแววเศร้าหมองแต่ แข็งกร้าวราวเฝ้ารอบางสิ่งที่.......อันตราย ชุดเสื้อสีดำเปิดไหล่ขาดเป็นจุดๆราวโดนคมมีด และรอยแผลบางที่ที่หายแล้วแต่ยังมีเลือดซึมอยู่ ส่วนกางเกงก็ขาดมากกว่าเสื้อและยังมีรอยแผลใหญ่ที่ถึงแม้เลือดจะหยุดไหลแล้วก็ยังมีคาบเลือดที่แห้งเกรอะกรังอยู่อีกเป็นจำนวนมาก
ชายหนุ่มมองร่างของหญิงสาวที่ตนเองตามหามาเกือบสองชั่วโมงให้หลัง หลังจากที่เพื่อนๆเตือนสติจนตอนนี้ พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ด้วยอาการตกตะลึงร่างบางนั่นถึงแม้จะแสดงอาการว่าไม่เจ็บปวดมากสักเท่าไหร่ และถึงแม้เลือดจะหยุดไหลแล้วก็ตาม แต่คราบเลือดที่ขาจำนวนมากบ่งบอกว่าเธอได้รับบาดเจ็บสาหัส
“เร็นเคียว เป็นอะไรมากมั้ย” ชายหนุ่มกล่าว และเมื่อเร็นเคียวเห็นชายหนุ่มทำท่าจะเดินเข้ามาหา เสียงตะโกนก้องเป็นคำสั่งดังขึ้นทันที
“อย่าเข้ามานะ”
ทันใดนั้นเอง ร่างบางก็หลุบหายไปและมาโผล่อยู่ตรงหน้าเขาในเวลาเพียงเสี้ยววินาที
“อย่าทำอะไรเขานะ” เสียงประกาศกร้าวทำให้เงาสีดำที่หลบอยู่ข้างต้นไม้ด้านหน้าพุ่งพรวดเข้ามาหาเร็นเคียว แสงสะท้อนเงาวับในมือเพียงชั่ววูบทำให้โคคุเรียวรู้ได้ในทันทีว่ามันคือ
มีด
“สวบ” เสียงที่สามารถทำให้โคคุเรียวสบถออกมาไม่เป็นภาษา เมื่อคนตรงหน้าเอาตัวมากันไว้เป็นโล่รับมีดแทนตัวเองที่อยู่ข้างหลัง เขาตะโกนสุดเสียง “เร็นเคียว”
“เคอาสก้า” เสียงตะโกนร่ายประกาศบริกรรมเวทย์มนต์จากหญิงสาว เรียกสายฟ้าเข้ามาผ่าเงาดำตรงหน้า แต่มือมีดก็หลบไปด้านข้างและหลุบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“อั่ก” เสียงกระอักลิ่มเลือดเนื่องจากการร่ายคาถาทำให้ตนเองเสียพลังไปมากและทำให้แผลเปิดกว้างขึ้น ความเจ็บทำให้ซวนเซและล้มลงในอ้อมแขนสั่นเทาของคนข้างหลัง
“เร็นเคียว เร็นเคียว เร็นเคียว”เสียงตะโกนอย่างสติแตกของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวต้องยิ้มให้แล้วกล่าวว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องห่วง อั่ก” เธอกล่าวและกระอักลิ่มเลือดออกมาอีกครั้ง ตอนนี้หญิงสาวคงเจ็บมากทีเดียว ถึงแม้ว่าเลือดตามแผลทั่วร่างจะหยุดไหลแล้วก็ตามแต่การที่ต้องใช้เวทย์ทั้งๆที่บาดเจ็บก็ส่งผลกระทบร้ายแรงกับร่างกายเช่นกัน เป็นผลทำให้ร่างบางของหญิงสาวโชกไปด้วยเลือดอุ่นที่ไหลรินราวกับว่าจะไม่มีวันหยุดลง
“เร็นเคียว ไม่นะ เจ็บมากใช่มั้ย จะพาไปรักษาเดี่ยวนี้แหละ” โคคุเรียวกล่าวเสียงดัง พยายามให้หญิงสาวรู้สึกตัวไม่ให้หลับไปซะก่อน เขาแทบไม่อยากจะคิดด้วยว่า ถ้าหล่อนหลับไปแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น
แล้วถ้าหล่อนไม่ตื่นล่ะ
ความคิดเห็น