คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : chapter 3
“อะไรกันน่ะ ไม่จริงไช่มั้ยราเรล เธอเป็นคนที่ช่วยชั้นไว้เหรอ” เสียงของชายหนุ่มผมสีเลือด นัยน์ตาสีน้ำเงิน ที่กำลังคุยกับคนที่ชื่อ ราเรล เสียงของชายหนุ่มคนนั้นดังจนราวกับกลายเป็นเสียงตะคอกแฝงด้วยความไม่เชื่อใจคู่สนทนาตรงหน้าและแฝงด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวคล้ายกับติดหนี้บุญคุณคนที่ไม่อยากติดที่สุด
“นายตะโกนด่าชั้นได้แล้วแบบนี้คงไม่มีอะไรต้องห่วง งั้นต้องลากันแล้วล่ะ เซเนรุส” เสียงของหญิงสาวผมสี น้ำเงินเข้ม มีนัยน์ตาสีเลือด ที่โดนชายที่ชื่อ เซเนรุส ตวาดไส่ หรือ ราเรล เสียงที่เพราะแต่แหบพร่าเนื่องจากสถานการณ์ตรงหน้าทำให้เธอไม่คิดจะพูดอะไรไปมากกว่านี้
“เดี่ยว ราเรล ชั้นยังให้เธอไปไม่ได้ ชั้นไม่อยากติดค้างเธอ” เซเนรุสกล่าวตวาดพลางฉุดข้อมือของราเรลแล้วกระชากอย่างแรงมาให้นั่งข้างๆตน “เจ้าจะให้ข้าทำอะไรให้” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ไม่ต้อง นายให้ชั้นมามากพอแล้ว ชั้นทำให้นายได้แค่นี้” หญิงสาวกล่าว นัยน์ตาวาวโรจน์ด้วยความรู้สึกเกรี้ยวกราดและเสียใจ
“ ชั้นไม่ยอมให้เธอตายเพื่อช่วยชั้น ไม่เอา เธอบอกว่าอยากมีชีวิตอยู่นี่นา อยู่เพื่อคนที่ตายไปแล้ว เธอบอกเองว่าจะอยู่กับชั้น” ชายหนุ่มกล่าวเสียงดัง ใช่ เขาไม่อยากให้เธอตายเพียงเพราะเขาไปเล่นสนุกแล้วทำให้เธอต้องโดนลงโทษแทนเขา ให้เธอตายแทนเขา
“ความจริงบิดเบือนกันไม่ได้ เมื่อจะตายก็ต้องตาย ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ปล่อยชั้นเถอะ ถ้าไปสาย เธออาจจะโดนโทษด้วยนะ” หญิงสาวกล่าวพลางขยับตัวหนีจากชายหนุ่มที่บีบข้อมือและร่างกายของเธอแน่น
“ฉันไม่สน เธอต้องอยู่ที่นี่ อยู่กับฉัน” เซเนรุสกล่าวพลางกระชากราเรลมาในอ้อมกอดของตน สองมือของเซเนรุสพยายามกอดราเรลให้แน่นที่สุดราวกับจะไม่ให้เธอหายไปจากเขา “ไม่สนทั้งนั้น ไม่อีกแล้วราเรล ฉันจะไม่แคร์ใครอีกนอกจากเธอ ไม่สนใครอีกนอกจากเธอ ถ้าพวกนั้นจะพาเธอไปตาย ชั้นจะฆ่ามัน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่นะ เซเนรุส อย่าทำนะถ้าเธอทำจริงแล้วท่านพ่อของเธอล่ะ” ราเรลกล่าวอย่างร้อนรน
“ถ้าเขาจะฆ่าเธอแล้ว ฉันก็จะฆ่าเขา” เซเนรุสกล่าวอย่างแน่วแน่
“ไม่ได้นะ!” ราเรลกล่าวเสียงดังพลางใช้เวทย์มนต์สะกดการเคลื่อนไหวของเซเนรุส แล้วออกห่างจากเขาน้ำตานองหล่อนเริ่มไหลอาบแก้มเมื่อจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า “ ขอโทษ ”
ทันทีที่หญิงสาวกำลังจะออกไปจากห้องก็มีเสียง เปรี้ยะ เปรี้ยะ ดังขึ้นแต่เธอไม่สนใจพยายามเดินไปที่ประตูแต่แล้ววงแขนของคนที่เธอพึ่งสะกดการเคลื่อนไหวไปเมื่อตะกี้กลับมารั้งเธอไวอีกครั้งและกระชากเธอกลับไปบนเตียง “เธอคิดจะสะกดทายาทของเจ้าปิศาจสูงสุดอย่างฉันเรอะไง ราเรล” เสียงของเขาฟังดูหื่นกระหาย
“ขอร้อง ปล่อยชั้นไป ฉันไม่อยากให้เธอตาย”เธอกล่าวกับเซเนรุสด้วยน้ำตานองหน้า
“...................” ไม่มีคำตอบไดจากเซเนรุส เขาสบตากับราเรลด้วยแววตาแน่วแน่สักพักก็ดันร่างของราเรลให้นอนราบไปบนเตียง เคลื่อนใบหน้าเข้าไปชิดสัมผัสไออุ่นๆของลมหายใจอีกฝ่ายไดชัดเจน “ถ้าเธอดึงดันที่จะไปให้ได้ ฉันก็จะทำทุกวิธีที่จะไม่ให้เธอไปตาย” กล่าวเสร็จราวกับตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จึงก้มลงประทับริมฝีปากของตนเองเข้ากับริมฝีปากบางสวยของอีกฝ่าย เนิ่นนานและแนบแน่น ราวกับเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าของ “ฉัน รักเธอ ถ้าเธอจะไปให้ได้ฉันก็จะให้เธออยู่ที่นี่ เป็นของฉันตลอดไป”
แสงจันทร์นวลสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างในห้องมืดๆเผยให้เห็นสองร่างบนเตียงผ้าปูสีขาวที่กำลังโรมรันในคืนที่มืดมินี้
The End
“เอ๋ ต้องมีภาคสองต่ออีกเรอะ” เสียงของหญิงสาวเรือนผมสีเงินดังขึ้น
“โธ่เอ้ย ติดซะแล้วคงต้องตามดูแล้วล่ะซิเนี่ย ฮิฮิฮิ” คำกล่าวเสียงใสของรุสะจัง
"ต้องตามต่อแล้วสิเนี่ย" เสียงหัวเราะเบาๆของเด็กสาวดังขึ้นอย่างอารมณ์ดี
แล้วทุกๆคนก็ทยอยออกจากโรงด้วยความเงียบสงบพร้อมเสียงบ่นเล็กๆน้อยๆที่หนังเรื่องนี้ดันทำให้ต้องตามต่อภาคสองอีก
หลังจากนั้นทุกคนก็มารวมกันอยู่ด้านหน้าของส่วนห้องน้ำในห้าง เนื่องจากต้องรอโคคุเรียวเข้าห้องน้ำ
"สนุกมั้ย รุสะ" เอ็ดถามขึ้นหลังจากมานั่งรอโคคุเรียวได้ซักพักแล้ว
"สนุกซิค่ะ พี่ชายต้องพาหนูมาดูภาคสองต่ออีกนะค่ะ" เสียงเล็กๆของรุสะตอบกลับมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ทำให้เอ็ดยิ้มตอบกลับด้วยความสบายใจ
ดีแล้วสินะที่พามาดู
จะได้ไม่ต้องพูดแบบนั้นอีก
"อืม พี่สัญญา"เสียงตอบของชายหนุ่มผู้เป็นพี่ตอบกลับอย่างอ่อนโยนพร้อมยกนิ้วก้อย
"สัญญาแล้วนะค่ะ พี่ชาย" เด็กสาวตอบอย่างมีความสุขพร้อมยกนิ้วเกี่ยวก้อยกับพี่ชาย
"โอ้ย เอ็ดเอ้ย ห่วงน้องสาวจังนะโว้ย น่าอิจฉาจังมีน้องสาวน่ารักๆแบบนี้ให้เกี่ยวก้อยด้วย นี่ถามหน่อยเด่ะ ถ้ามีผู้ชายมาจีบน้องสาวแก แกจะหวงแบบนี้มั้ยวะ" เสียงกระเซ้าดังมาจากไอ้หนุ่มไส่แว่นที่เห็นไอ้เพื่อนยากูซ่าทำท่าทางหวานกับน้องสาวมัน ถ้าเป็นแบบนี้ "สงสัยรุสะจังอาจจะโสดตลอดชีวิตมั้ง" อีกเสียงดังขึ้นจากท่านชายประจำกลุ่ม
"พวกแก ไอ้เพื่อนบ้าโว้ย" สิ้นเสียงตะโกนตอบรับคำแซวก็เกิดการวิ่งไล่จับเล็กๆขึ้น ด้านหน้าของส่วนห้องน้ำในห้าง เนื่องจากหนุ่มยากูซ่าโดนเพื่อนแซว
"อะไรกันเหรอ" เสียงใสๆของหญิงสาวผู้ที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำถามด้วยความฉงนปนขำขันเล็กๆที่เห็นไอ้พวกเพื่อนๆจอบซ่าบวกแสบวิ่งไล่กันอย่างกะเด็กประถมปัญญาอ่อน
"รุสะจัง เป็นอะไรไป" เสียงของหญิงสาวผมสีน้ำเงินดังขึ้น เรียกสติของโคคุเรียวได้ชะงักและมันกำลังทำให้ทุกคนตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อเห็นอาการของเด็กสาวที่เริ่มหน้าซีดและเอามือกุมหน้าอกแน่น
"รุสะ" เสียงของชายหนุ่มที่สติขาดผึงเมื่อเห็นอาการของน้องสาวสุดหวงแหนกำเริบและรีบปรี่เข้าไปหาเด็กสาวในทันที
"เรียกรถพยาบาลนะ" คำกล่าวของไซที่ไม่รอคำตอบของใครทั้งสิ้นรีบกดมือถืออย่างเร็วและท่าทางจะมีเมโมรี่ใว้ในเครื่องด้วย
"อาจจะไม่ทันก็ได้" คำกล่าวของคิวทำให้เอ็ดใจหายและตกใจ ผู้เป็นพี่ชายรีบกระชากคอเสื้อของคิวแล้วกล่าวว่า
"ไอ้บ้า ไม่มีทางโว้ย"
"บ้าทั้งคู่แหละ พวกแกต้องช่วยรุสะก่อนไม่ใช่รึไง ไอ้พวกโง่" เสียงของผู้ที่ตั้งสติได้ดีที่สุดดังขึ้น โคคุเรียวเดินเข้ามาผลักทั้งเอ็ดและไซออกไป "เร็นเคียว ทำได้ไหม" หญิงสาวหันไปขอร้องเร็นเคียวด้วยแววตาร้อนรน
" อืม ถอย " เสียงตอบเรียบๆดังจากเร็นเคียว เธอนั่งลงและวางมือลงบนหน้าอกของรุสะ
" ราตรีสีมืดมิด จันทราสีเลือด พลังแห่งกาลเวลาและความมืด " เสียงกล่าวเนิบๆ ช้าๆของหญิงสาวเรียกลมหนาวยะเยือกให้พัดเข้ามาอย่างรุนแรงและวนเข้าสู่มือของเร็นเคียว "รักษาเด็กสาวผู้โชคร้าย ซาราเรียว โคเนเคียว มิเรซาเรียว ไรรันรุส" สิ้นคำกล่าวเกิดแสงสว่างวูบวาบที่มือของเร็นเคียวแล้วเข้าสู่ร่างของรุสะ
ทันไดนั้นใบหน้าของเด็กสาวกลับเป็นเหมือนเดิมและผ่อนคลายลงจนกลายเป็นปกติ
" เร็นเคียว เป็นอะไรน่ะ " เสียงจากโคคุเรียวดังขึ้นอย่างตื่นตระหนก เมื่อเห็นอาการของหญิงสาวผมสีน้ำเงินตรงหน้าที่ทรุดฮวบลงไปกับผนังด้วยอาการอ่อนแรงและใบหน้าที่ซีดเซียวพลางหายใจหอบแฮ่กๆอย่างอึดอัดมากๆเลย “เร็นเคียว” โคคุเรียวเรียกอีกครั้ง
“เร็นเคียวจัง เป็นอะไรรึเปล่า” คำกล่าวของชายหนุ่มสวมแว่นกำลังสังเกตอาการของเร็นเคียวพลางถามด้วยความป็นห่วง รวมถึง ไซและเอ็ดที่เข้ามาดูอาการของเร็นเคียวด้วย
นี่ล่ะ
ข้อดีของเจ้าพวกนี้
ไม่ใช่เวลาก็ไม่ใช่
ทีหลังก็ได้
แต่ตอนนี้ ต้องดูอาการของเร็นเคียวก่อนว่าเป็นอะไร ดีนะเนี่ยที่ตรงนี้ไม่มีใครนอกจากพวกเราเอง ก็เลยเห็นกันแค่พวกของเรา โคคุเรียวค่อยๆยื่นมือไปสัมผัสหน้าผากของหญิงสาวแต่
“ไม่เป็นไร.......แค่...เหนื่อย......นิด....หน่อย” คำกล่าวของหญิงสาวที่ตะกุกตะกัก แต่ก็เรียกเสียงถอนหายใจจากสามชายหนุ่มและหนึ่งหญิงสาวได้
“เพราะหนูรึเปล่าค่ะ พี่เร็นเคียว” เสียงของเด็กสาวที่เพิ่งฟื้นจากการที่อาการกำเริบดังขึ้นอย่างเศร้าสร้อย เร็นเคียวจ้องมองเด็กสาวด้วยความเอ็นดูก่อนตอบว่า
“เปล่า...หรอก...จ้ะ...ไม่..ใช่....หรอ..”
“เร็นเคียว” โคคุเรียวกล่าวเสียงดังเนื่องจากหญิงสาวกล่าวไม่จบเพราะสลบไปแล้ว
“พากลับบ้านนายละกัน” คิวออกความเห็นแล้วกล่าวต่อว่า “เรื่องนั้นคุยที่บ้านนายละกัน มันจะมืดแล้ว”
“มืดเหรอ เอ้อ รอตรงนี้นะ” โคคุเรียวกล่าวเมื่อนึกขึ้นได้แล้ววิ่งพรวดพราดเข้าห้องน้ำ ชาย
“อะไรของมันวะ” เอ็ดกล่าวพลางหันไปมองน้องสาว “เป็นอะไรไปรุสะ ยังปวดอยู่เหรอ”
“เพราะหนูเหรอค่ะ พี่ชาย พี่คิว พี่ไซ” เสียงเล็กๆของเด็กสาวกล่าวขึ้นอย่างเศร้าสร้อยและสำนึกผิด
“ไม่หรอกน่า รุสะอย่ากังวลไปเลยนะ” เสียงนุ่มๆของไซดังขึ้นกล่าวปลอบเด็กสาวที่หน้าเสียตั้งแต่เห็นอาการของเร็นเคียว ชายหนุ่มก้มลงนั่งข้างๆเอามือลูบหัวของเด็กสาวแล้วกล่าวว่า “พี่เร็นเคียวเค้าบอกแล้วนี่นาว่าไม่เป็นไร เพราะงั้นถ้าพี่เค้าเห็นรุสะแบบนี้เค้าต้องไม่ดีใจแน่รู้มั้ย ?” ไซกล่าว
“ค่ะ ขอบคุณค่ะพี่ไซ”เด็กสาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“มาแล้ว มาแล้ว” เสียงของหญิงสาวผมสีเงินดังขึ้นในชุดผู้ชายตัวใหญ่ เสื้อเชิ้ตตัวใหญ่สีขาว กางเกงหลวมโพรกสีดำ วิ่งออกมาจากห้องน้ำชาย
“แกจะบ้าเหรอไงวะ ไอ้เรียวแต่งชุดผู้ชายทำพระแสงอะไร มันช่วยเร็นเคียวจังตรงไหนวะ” คิวตะโกนด่าโคคุเรียวเป็นชุด ถึงปกติเขาจะทำเป็นเล่นทุกที แต่นี่ก็ไม่ใช่บทมันที่จะต้องมาเล่นเอาตอนนี้
“อ้า มืดแล้ว” เสียงของหญิงสาวดังขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“ เฮ้ย” เสียงของสามหนุ่มดังขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
แสงสีน้ำเงินส่องผ่านหน้าต่างลอดผ้าม่านที่กำลังปลิวไสวพร้อมกับร่างไร้สติของหญิงสาวผมสีน้ำเงินที่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียงสีขาว ข้างๆมีร่างชายหนุ่มผมสีเงิน นัยน์ตาสีนิลกาฬของเขากำลังปรากฏความกังวลใจอย่างที่สุด
“ตกลงแล้วเรื่องมัน.......เป็นยังไง” เสียงจากชายหนุ่มอีกคนที่เงียบไปนานกล่าวขึ้น สายตาคมเข้มสีมรกตนั่นกำลังมองลอดผ่านกรอบแว่นบางอย่างสงสัย แต่แฝงแววอะไรบางอย่างที่ โคคุเรียวไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร มันทำให้ ชายหนุ่มอีกสองคนในห้อง และเด็กสาวอีกคน เบนสายตามา ณ ชายหนุ่มเรือนผมสีเงินยวงอย่างสนใจและระคนสงสัย
“ก็....น้า......คำสาปน่ะ” โคคุเรียวอธิบายสั้นๆ เพราะตอนนี้ห่วงเร็นเคียวมากกว่า
“แล้ว........ฉันรู้นะว่าแกห่วงคุณเร็นเคียวเค้าน่ะ.......แต่แกอธิบายก่อนเดะ” เอ็ดกล่าวขึ้นหลังจากฟังคำอธิบายที่คนสมองมีรอยหยักน้อยอย่างเขาไม่สามารถเข้าใจได้
“มันก็น่าจะรู้นะว่าแกมันโง่” ไซกล่าวขึ้นพลางหัวเราะน้อยๆ แต่เรียกเสียงหัวเราะจากคนในห้องได้ในทันทีแม้แต่รุสะก็ยังหัวเราะเลย ส่วนเอ็ดก็หน้าบูดปนแดงนิดหน่อย(อายน้อสาวมั้งฮ่าฮ่า)
“ก็.....เพราะปิศาจน่ะ......โดนสาปอะไรประมาณนั้นน่ะแหละ.........ไม่มีอะไรมากหรอก” โคคุเรียวกล่าวตอบอย่างง่ายๆแล้วเกิดอาการชะงักเนื่องจาก
แพขนตาหนาขยับขึ้นอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาสีเลือดของหญิงสาวที่นอยอยู่บนเตียงสีขาวสะอาดเบนมองเหล่าหนุ่มๆและเด็กสาวข้างเตียง พลางส่งยิ้มให้ทุกๆ คนหายเป็นห่วง
“เป็นอะไรมากมั้ย” คนที่ถามขึ้นก่อนคือโคคุเรียว(มันแหงอยู่แล้วแหละ)
“ไม่เป็นไร ไม่เห็นต้องเป็นห่วงเลยนะ” เธอกล่าวพลางลุกขึ้นขึ้นนั่ง
“พี่สาวไม่เป็นไรแน่นะค่ะ” เด็กสาวกล่าวขึ้นอย่างเป็นห่วง
“จ้ะ หวังว่าพลังพี่คงไม่มีผลกระทบกับร่างกายของเธอนะ รู้สึกเจ็บรึอึดอัดบ้างรึเปล่าล่ะจ้ะ?” เร็นเคียวกล่าวตอบพลางถามต่อ
“ไม่ค่ะ ไม่มี”รุสะตอบพลางส่ายหัวไปมาแล้วถามต่อว่า “พลังรึค่ะ พี่เป็นใครค่ะ”
“ก็..........ซาตาน.......น่ะจ้ะ” เร็นเคียวกล่าวตอบอย่างง่ายๆพลางยิ้มฝืนๆ
“ช่างมันเถอะ เป็นอะไรก็ไม่เกี่ยวกันนี่นา” จู่ๆคิวก็กล่าวขึ้น
“เอ๋” ทั้งโคคุเรียวและเร็นเคียวต่างอุทานอย่างงงๆ และตามมาด้วยคำพูดของไซ
“หมายความว่าถึงพวกเธอจะเป็นอะไรก็ตาม”
“พวกนายก็เป็นเพื่อนของเราไง” คนที่กล่าวต่อจากไซก็คือเอ็ด
“ไว้เราไปดูหนังกันอีกน้า นะค่ะพี่เร็นเคียวพี่โคคุเรียว” รุสะกล่าวพลางยิ้มแป้น
“พวกแกมันบ้า” เสียงด่าแบบซึ้งน้ำใจดังมาจากโคคุเรียว
แสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านผ้าม่านเผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มสามคนและหญิงสาวหนึ่งคนที่นอนเรียงกันอยู่บนพื้นห้องและร่างของเด็กสาวบนเตียงสีขาวที่หลับใหล
แพขนตาหนาของหญิงสาวผมสีเงินขยับขึ้นอย่างช้าๆแล้วหรี่เล็กลงเนื่องจากแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาก่อนที่จะขยับกายลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน
“ฮ้า....ฮา...ฮา......ฮ้าวววววววว” เสียงหาวลากยาวจากโคคุเรียวในร่างหญิงสาวชุดผู้ชายหลวมโพรกดังขึ้นและการลุกของเธอก็ทำให้ทุกคนในห้องค่อยตื่นจากภวังค์
“หือ กี่โมงแล้วง่ะ” คำกล่าวสั้นๆจากเอ็ด นัยน์ตาสีม่วงกำลังหรี่ปรือด้วยความง่วงเรือนผมสีน้ำตาลดูยุ่งเหยิง เขาชยี้หัวสองครั้งแล้วกล่าวปลุกร่างเด็กสาวที่อยู่บนเตียงว่า “รุสะ ตื่นได้แล้ววว”
“อื้อ”เสียงตอบรับคำปลุกจากเด็กสาวบนเตียงที่กำลังขยับกายขึ้นช้าๆ
“งึมงึม เฮ้กี่โมงแล้วง่ะ” คำกล่าวรับอรุณของไซ นัยน์ตาสีน้ำตาลกำลังกวาดสายตาหา นาฬิกาอยู่เรือนผมสีทองดูยุ่ง แล้วคิวที่ตื่นเป็นคนสุดท้ายก็ลุกขึ้นมาพร้อมกล่าวว่า
“งามมมมมม อ้าววววว........เฮ้.......อารายเนี่ยยยยยยยย........นิ่มๆ...................................................................................(ประมาณสามนาทีได้)....................เฮ้ย!”
“ไอ้เรียวไปเปลี่ยนเสื้อผ้า” เสียงคำสั่งเด็ดขาดดังมาจากสามหนุ่มที่ทนดูสภาพของโคคุเรียวไม่ไหวเพราะ
เสื้อที่ตัวใหญ่มากเกินไปนั้นเลื่อนหลุดลงมาอยู่ที่วงแขนเกือบถึงข้อศอกแล้วเสื้อที่โคคุเรียวใส่อยู่นั้น ไม่ได้ติดกระดุมสองเม็ดทางด้านบน
“หา” โคคุเรียวตอบอย่างงงๆพลางมองดูเสื้อผ้าของตนแล้วกล่าวต่อว่า “อารายอ่ะ จาตกจายอารายกานน้า ฉานนะถึงจะเปงอย่างนี้แต่ก็ผู้ชายแท้ๆโว้ย” เธอกล่าวพลางลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างเสียอารมณ์ที่เพื่อนรักทั้งสามไม่เข้าใจว่าไอ้การโดนแบบนี้มันเป็นยังไง
“ถ้าฉันยังไม่รู้ว่ามันเป็นผู้ชาย ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไงว่ะ” คนที่กล่าวขึ้นมาก่อนคือเอ็ดที่กำลังเอามือปิดปากใบหน้าแดงก่ำ เขากล่าวขึ้นอย่างอารมณ์เสียเช่นกัน
“เอาะไรกันค่ะ อาหารเช้าน่ะ” เสียงนุ่มๆดังมาจากในครัวพร้อมกับใบหน้ารูปไข่ของหญิงสาวผมสีน้ำเงินที่อยู่ในชุดเสื้อตัวใหญ่เพียงตัวเดียว (ทำร้ายสายตาเจงเจง)
“อะไรก็ได้คร้าบบบบบบบบที่อาย่อยยยยยย” คนที่ตอบเสียงไสเกี่ยวกับเรื่องของกินก็คือไอ้คิวนั่นเอง แหงล่ะเรื่องกินนี่มันไม่เคยพลาดหรอก
“พวกพี่รีบๆไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ วันนี้มีเรียนไม่ใช่รึค่ะ ถึงหนูจะไม่มีเรียนวันนี้ก็เถอะ” เสียงไสๆมาจากเด็กสาวที่กำลังงัวเงีย
“ช่างมันเถอะวันนี้ก็มีแค่งานมหาลัยน่ะจะโดด” คำตอบสั้นๆมาจากพี่ชายของเธอ
และเมื่อเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงความวุ่นวาย ณ ยามเช้าก็จบลงเมื่อทุกๆคนมานั่งรอกินข้าวที่โต๊ะอาหารอย่างสงบเสงี่ยม
“มาแล้วค่ะ ข้าวเช้า ข้าวหน้าหมูกับเห็ดทอด” เร็นเคียวกล่าวพร้อมยกชามห้าใบมาเต็มอ้อมแขนทำให้สุภาพบุรุษนัมเบอร์วัน(............)อย่างคิวก็ลุดพรวดมาช่วยเร็นเคียวทันที
“โหยน่ากินจัง กินล่ะคร้าบบบบบบบบ” คิวพูดอย่างอารมณ์ดีพลางซัดข้าวเช้าฝีมือเร็นเคียวเข้าปากในทันทีแล้วตะโกนสุดเสียงว่า “อร่อยที่สุดเลย”
“อร่อยจังค่ะ”เด็กสาวกล่าวอย่างชื่นชม
“อร่อยดีจังเลยนะครับ เยี่ยมเลย” ไซกล่าวชมน้ำเสียงแฝงแววนับถือ
“บรรยายไม่ถูกหรอกแต่สุดยอด” เอ็ดกล่าวชมเช่นกัน
“ฝีมือเร็นเคียวนี่อร่อยทุกอย่างจิงๆแหละ” โคคุเรียวกล่าว
“ก็ดีใจที่ถูกปากนะค่ะ กลัวว่าจะไม่ชอบกันซะอีก” เร็นเคียวกล่าวอย่างถ่อมตัวก่อนจะถามอีกว่า “วันนี้จะไม่ไปเรียนกันเหรอค่ะ?”
“อืม ช่ายแล้ว” เสียงตอบพร้อมกันจากสามหนุ่มหนึ่งหญิง
“แล้ววันนี้เธอจะทำอะไรล่ะ” เร็นเคียวหันไปถามโคคุเรียว
“คงอยู่บ้าน ว่าแต่เร็นเคียวไม่กินเหรอ” โคคุเรียวตอบพลางถามต่อเนื่องจากเร็นเคียวไม่ได้กินข้าว
“กินแล้วล่ะ” เธอตอบสั้นๆ
“เร็นจัง เธอเป็นไข้นี่นา” คิวพูดขึ้นมาพลางเอามือแตะหน้าผากเร็นเคียว (วิธีเรียกเร็นเคียวของคิวทำเอาคนข้างๆหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ) มันทำให้หญิงสาวข้างๆหันมาดูด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เธอตอบสั้นๆ
หลังจากนั้นสามสิบนาทีเร็นเคียวและโคคุเรียวออกไปส่งเพื่อนๆหน้าหอพัก
“งั้นพวกเราไปล่ะนะ” เอ็ดกล่าว
“มีอะไรก็โทรเรียกก็แล้วกัน ไปล่ะ” ไซกล่าวแล้วขับรถออกไป
“เร็นเคียว ไหวมั้ย” โคคุเรียวหันมาถามเร็นเคียวที่เริ่มมีอาการหน้าซีดและเริ่มเซ และจู่ๆร่างบางนั่นก็ต้องล้มลงสู่พื้นแน่ถ้าไม่มีอ้อมแขนบางๆของโคคุเรียวรับไว้
“โธ่ แย่จัง เป็นไข้แล้วทำไมไม่ยอมบอกกันมั่งนะ” เขากล่าวอย่างหงุดหงิด
ความคิดเห็น