คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Night 2
ร่างสูงของเพื่อนๆสี่หนุ่มในห้องนอนขนาดกว้างขวางสำหรับห้าคน กำลังนั่งนิ่งฟังคำอธิบายจากคนตัวสูงที่สุด เจ้าของนัยน์ตาสีเงินซึ่งแบกปัญหาหนักอกสุดๆมาให้พวกเขาทันที ซึ่งเจ้าปัญหาที่ว่าก็นั่งอยู่บนเตียงอีกฝั่งเนื่องจากมีการประชุมเร่งด่วนในห้อง
“นายบอกว่าหล่อนจะมาอยู่รวมกับเราที่นี่ เพราะหล่อนเป็นมาสเตอร์นายไปแล้ว สาวน้อยร่างเล็กหน้าตาน่ารักจะมาอยู่ร่วมห้องกับผู้ชายอย่างพวกเราเนี่ยนะ!” ท้ายเสียงดังขึ้นเล็กน้อยด้วยอารมณ์ขึ้นก่อนจะหุบปากแทบไม่ทันเมื่อผู้ถูกพาดพิงหันกลับมามองอย่างงงๆ
“จะโวยวายทำไม ชุนจิโร่ แค่งานเข้าแล้ว น่าจะเข้าตลอดจนกว่าจะจบด้วย” ชายหนุ่มอีกเอ่ยขึ้น นัยน์ตาสีทองวาวมองข้ามไปที่ร่างเล็กของเด็กสาวอย่างสนใจแล้วเอ่ยถามสิ่งที่คาใจตั้งแต่ฟังเรื่องราวทั้งหมด “นายว่าหล่อนจะอยู่ที่นี่ แล้วหล่อนจะไม่ออกไปทำธุระของตัวเองรึไง รึไม่มีที่ไป”
“เฟยหลง นายเสียมารยาทไปหน่อยล่ะมั้ง” เสียงเข้มจัดปรามขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับเอ่ยไพล่ไปตำหนิคนอีกคนที่นั่งนิ่งไม่รู้ไม่ชี้ตั้งแต่เมื่อครู่ “เชน เงียบนักก็มาช่วยห้ามมวยที แต่ถ้านายจะใส่ไฟก็นั่งไปเงียบๆด้วย”
“นายนี่รู้ดีไปหมดเลยนะ ดักคอแบบนี้ฉันนั่งเฉยๆดีกว่า รุยก็ห้ามทัพไปละกัน” ผู้ถูกดักคอเอ่ยขึ้นเรียบๆพลางเสใบหน้าที่แย้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ไปทางอื่น
“เธออยู่ที่นี่เพราะฉันจะได้ไม่ต้องออกจากที่นี่ แค่นั้น ส่วนเรื่องที่เธอมีที่ไปรึเปล่า ฉันไม่รู้ และนายก็ไม่มีสิทธิถาม เฟยหลง” ผู้สร้างปัญหาเอ่ยเรียบๆ อย่างที่ใครก็จับความรู้สึกไม่ได้ เชนหันมามองเล็กน้อยเมื่อจบประโยค ก่อนจะเอ่ยออกมาสั้นๆ
“นายจะเอายังไงล่ะ ให้เธอนอนที่นี่ยังงั้นเหรอ คิดว่าเธอจะยอมอยู่กับผู้ชายอย่างเรารึไง หรือว่า ผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนง่าย..........ไปซะ มะ..............”
ยังไม่ทันสิ้นคำกล่าวมีดสารพัดประโยชน์ที่ตั้งเอาไว้ข้างโต๊ะเขียนหนังสือซึ่งกลายเป็นที่ประชุมเฉพาะกิจก็ย้ายนิวาสถานมาอยู่ปลายคางของผู้ที่เอ่ยคำพูดเมื่อครู่ไม่จบโดยมือหนาของชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีเงินด้วยความเร็วที่ไม่มีใครมองทัน
“มากไปแล้วนะ เชน นายจะด่าฉันฉันไม่ว่า แต่ตอนนี้นายไม่มีสิทธิมาละลาบละล้วงมาสเตอร์ของฉัน” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆแต่เล่นเอาคนรอบข้างถึงกับนิ่งไป เพราะเสียงนั้นเข้มกว่าปกติ และนัยน์ตาสีเงินก็ขุ่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คนถูกขู่นั่งเฉย
จ้องกันอยู่สักพัก
“พอเถอะค่ะ อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิค่ะ” เสียงหวานที่ดังขึ้นพร้อมกับมือเล็กที่เอื้อมมาแตะมือหนาเบาๆทำเอาร่างทั้งห้าเกือบอุทานออกมา
มาตั้งแต่เมื่อไหร่
รอยยิ้มหวานน่าเอ็นดูแย้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อร่างสูงลดมือลง ก่อนที่จะเอ่ยเสียงเบาออกมาด้วยความเกรงใจ “มีปัญหาเพราะฉันแบบนี้รู้สึกไม่ดีเลยค่ะ ยังไง จะให้ฉันนอนตรงระเบียงก็ได้นะค่ะ ลมเย็นดีด้วย มาทะเลาะกันแบบนี้ ฉันรู้สึกไม่ดีเลยล่ะค่ะ”
นัยน์ตาสีแดงเพลิงใสวาวเหลือบมองอากัปกริยาตอบสนองของบุรุษทั้งห้าอย่างรวดเร็ว ก่อนหยุดสายตาลงที่ชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงนามเชน แล้วยิ้มบางๆ
“ไม่ต้องห่วงเรื่องง่ายไปหรอกค่ะ ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น ถึงจะมีคนคิดแบบนั้น ฉันก็ไม่ใช่คนอ่อนแอขนาดนั้นหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วงค่ะ คุณเชน เครเวิร์ด”
เสียงหวานเอ่ยเรียบๆพลางเอ่ยชื่อผู้ฟังซะเต็มยศ เล่นเอาเจ้าตัวอึ้งสนิท ใบ้กินกะทันหัน ก่อนเรย์จะเป็นคนเปลี่ยนประเด็น
“ไม่ได้ พูดอะไร”
หญิงสาวยิ้มบางเป็นคำตอบพลางเอียงคอด้วยความสงสัยเป็นเชิงถามว่าทำไมไม่ได้
“คุณนอนบนเตียงนั่นแหละ เดี่ยวนอนบนพื้นเอง ตกลงนะ” จากการทำสัญญาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาทำให้พอจะทราบนิสัยคร่าวๆของเด็กสาวได้ว่า เป็นคนที่ตัดสินใจได้เด็ดขาด ประมาณว่าพูดจริงทำจริง จึงรีบเสนอก่อนแม่สาวน้อยตรงหน้าจะไม่สนองข้อเรียกร้องดังกล่าว เด็กสาวถอนหายใจก่อนพยักหน้า แล้วหันมาหาเพื่อนร่วมห้องอีกสี่คน ร่างเล็กโค้งศีรษะ ก่อนที่จะเอ่ยแนะนำตัว
“ซายารส์ เรเนอร์ค่ะ ขอโทษที่เสียมารยาทไม่แนะนำตัวตั้งแต่แรกนะค่ะ แย่จัง ยินดีที่ได้รู้จักค่ะทุกคน คุณ ชุนจิโร่ ตงเฉิน คุณรุย วากาสะ คุณเฟยหลง วินเซนต์ แล้วก็คุณเชน เครเวิร์ด”
เจ้าของชื่อมองคนกล่าวอึ้งๆก่อนชุนจิโร่จะกล่าวถาม
“ทำไมถึงรู้จักชื่อพวกเราได้อ่ะ แถมนามสกุลมาด้วย”
“ผู้อำนวยการท่านเล่าให้ฟังเรื่องรูมเมทของเรย์น่ะค่ะ ว่ามีสี่คน เป็นท้อปของระดับชั้นกันหมดยกเว้นเรย์คนเดียว” เสียงหวานเอ่ยเรียบๆพร้อมรอยยิ้มบาง แล้วหันไปทางคนที่เงียบมาตั้งแต่เมื่อครู่ “คุณเครเวิร์ด ขอบคุณที่เป็นห่วงนะค่ะ ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ เพราะคุณก็ไม่รู้จักฉันมาก่อน จะพูดอย่างนั้นก็ไม่แปลก”
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูเบาๆทำให้ร่างสูงของผู้ก่อปัญหาเดินไปเปิดให้อย่างรวดเร็ว พบร่างบางเล็กอ้อนแอ้นของหญิงสาวคนหนึ่ง ผมสีดำสนิทตัดซอยเคลียไหล่บาง นัยน์ตาสีแดงเลือดคุ้นตา และสไตล์การแต่งตัวแบบพั้งค์ร๊อก ที่มักเห็นเป็นประจำในวิชาการต่อสู้ทำให้เรย์ยืนอึ้ง
“อาจารย์ เซยะ”
“หา อาจารย์เซยะ มาทำไมอ่ะ ฉันไม่ได้สอบวิชาวิทยาศาสตร์ตกนะ” ชุนจิโร่ร้องเสียงหลงพลางเต้นเป็นเจ้าเข้า แต่พอนัยน์ตาสีม่วงเข้มเห็นร่างเล็กตรงหน้าแล้วก็ถอนหายใจ “โธ่ เซยะจี้นี่เอง นึกว่าอาจารย์เซยะซะอีก หลงใจหายนึกว่าตกวิทยาศาสตร์ สอบซ่อมคราวที่แล้วแทบตาย”
“ชุนจิโร่นี่น้า หึ เซยะจี้ไม่มีอะไรมากหรอกนะ แค่จะเอาของพวกนี้มาให้น่ะ” กล่าวจบก็ยื่นกระเป๋าผ้าสีน้ำตาลขนาดกลางให้เรย์ซึ่งรับมาถือไว้อย่างงงๆ ก่อนร่างเล็กจะเอ่ยลา “แค่นี้แหละ ไว้เจอกันในคาบนะทุกคน เซยะจี้จะไปนัดสายแล้ว เดี่ยวเซโอจะโกรธเอา ไปล่ะนะ”
กล่าวจบก็วิ่งฉิวไปอีกทางทันที เรย์มองกระเป๋าผ้าในมืองงๆ ก่อนจะสำรวจกระเป๋าด้านใน นัยน์ตาสีเงินยวงเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนปิดประเป๋าฉับ แล้วเดินดุ่มๆไปยื่นให้เด็กสาวคนเดียวในห้อง
“ของใช้ส่วนตัว พวกเสื้อผ้า........กับของจำเป็น ผู้อำนวยการคงฝากเซยะจี้มาให้”
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ” เสียงหวานเอ่ยพลางยิ้มรับ มือเล็กควานของในกระเป๋าดูคร่าวๆ ก่อนหยิบเสื้อนอนวันพีซ ซึ่งเป็นสีดำสนิท แต่ค่อนข้างบาง......บางสุดๆ ขึ้นมาดู
ก่อนที่ห้าหนุ่มจะสบถในใจพร้อมกัน
คืนนี้จะเป็นไรมั้ยเนี่ย
เสียงจอแจในโรงอาหารของสถาบันไนท์ก็ยังคงเป็นเฉกเช่นทุกๆวัน มีทั้งเสียงโวยวาย เสียงหัวเราะ แล้วก็เสียงแซวตามประสาชายหนุ่มขี้เล่นของพวกเขา แต่วันนี้มีอยู่ที่หนึ่งที่ดูท่าจะดังกว่าปกติ นั่นคือมุมขวาด้านประตูของโรงอาหารที่บรรดาเหล่าชั้นปีหนึ่งจับจองเป็นที่นั่งประจำ
“เฮ้ งั้นเมื่อวาน เรย์ก็ได้มาสเตอร์ใหม่เป็นสาวน้อยน่ารักด้วยเนี่ยนะ ดีชะมัดเลย”
“น่าอิจฉาจัง เลาให้ฟังหน่อยดี เรย์”
“นายไปเจอหล่อนได้ยังไงอ่ะ แล้วเธอมาที่นี่ทำไมล่ะ”
“แล้วนาย ทำสัญญากับเธอได้ยังไงอ่ะ เธอตกลงเลยเหรอ”
และอีกสารพันคำถามมาจากข่าวซึ่งไม่รู้ว่าคนปากดีทีไหนไปปล่อยซะเป็นเรื่องใหญ่ จนคนเงียบๆกลายเป็นเป้าสายตาและเป้าคำถามอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก จึงเลี่ยงตอบสั้นๆ
“ฉันลืมของ เธอเลยเอามาคืน เรื่องสัญญา ตอนนั้นพวกนายก็อยู่ คิดเองสิ”
คำตอบที่ทำเอาคนถามเซ็งไปในทันที นี่ถือเป็นคำตอบที่ยาวที่สุดแล้วนะตั้งแต่มีใครถามอะไรคนตรงหน้า ด้วยเพราะเป็นคนเงียบๆไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ทำให้มีคนเกรงใจมากพอควรรวมทั้งรุ่นพี่ด้วย แต่บทที่จะต้องช่วยก็เป็นคนที่จริงใจไม่หยอก ทำทุกอย่างอย่างจริงจัง ด้วยเหตุนี้จึงมีแต่เพื่อนๆที่เกรงใจแล้วก็ชอบนิสัย แล้วก็ไม่ค่อยมีคนหมั่นไส้คนตรงหน้าเสียด้วย
“โธ่เอ้ย เซ็งเลยอ่ะ นายก็ช่วยสงเคราะห์ความอยากรู้ของพวกเราหน่อยสิน้า”
“น้าเรย์ โธ่อย่างกดิ”
“คิดกันเอาเอง เห็นอยู่แล้วยังมาขอให้เล่าอีก” เสียงทุ้มเอ่ยสวนเรียบๆก่อนจะติดขันเล็กน้อยเมื่อลอบสังเกตใบหน้าของเพื่อนที่เจื่อนไปถนัดเมื่อรู้ตัวว่าถูกจับได้
“เอย์อายอะไอไอ๋อ่ะ อ่ายอายอ้วยอันเออ” ชุนจิโร่เอ่ยขึ้นทั้งๆที่ข้าวยังเต็มปาก เรียกเสียงถอนหายใจจากชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีทองซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้า ก่อนมือหนาจะหยิบผ้าเช็ดหน้าแล้วเช็ดไอ้ข้าวที่เลอะปากเลอะแก้มขาวของคนข้างๆออกอย่างละเหี่ยใจ แล้วค้อนขวับเมื่อเสียงกล่าวปนหัวเราะของชายหนุ่มอีกคนซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามเจ้าของนัยน์ตาสีแปลกดังขึ้น
“นายนี่หงุดหงิดเพราะชุนจิโร่ประจำเลยนะ”
“ฉันสังหรณ์ว่าถ้าไม่กลับไปดูซะหน่อยแล้ว อาจจะแย่” เสียงทุ้มเอ่ยตอบเรียบๆ ก่อนจะหยุดกึกเมื่อเจ้าของนัยน์ตาสีเงินอมม่วงเอ่ยออกมา
“ฉันไปด้วยละกัน นายคงไม่คิดจะแบกข้าวตั้งไม่รู้กี่สิบห่อนั่นไปคนเดียวหรอกนะ”
“ไม่น่าลำบากเลยนะค่ะ ข้าวเยอะขนาดนี้ เดี่ยวฉันไปหาทานเองก็ได้นี่ค่ะ” เสียงหวานเอ่ยอย่างเกรงใจเมื่อชายหนุ่มสองคนหอบข้าวหอบน้ำมาเยอะแยะจากโรงอาหารของสถาบัน ขนาดว่าระยะทางไม่ไกลมาก แต่รู้สึกว่าจะแบกของที่หนักเกินไป หน่อย สองหนุ่มเกือบที่จะขยับไหล่ให้เข้าที่กันแทบไม่ทันหลังจากที่วางของต่างๆลงบนพื้นเรียบร้อยด้วยอากัปกริยาสบายๆ
“กลัวว่าจะหิวน่ะ อีกอย่างคุณมีล่าเธอก็บอกว่ากลัวเรเนอร์จะหิวด้วย” เรย์เอ่ยตอบเรียบๆ พลางไต่ถามว่าต้องการอะไรอีกหรือไม่ เด็กสาวส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นคำตอบ แถมยังชวนให้ทั้งสองมานั่งทานด้วยกันเสียด้วย เรย์เหล่มองคนข้างตัวที่เอาแต่เงียบมาตั้งแต่เมื่อครู่เล็กน้อย
ไอ้ท่ามากนี่
“ไปนะ เดี่ยวผู้อำนวยการคงมา มีอะไรให้พี่ลีอาเรียกนะ” เสียงทุ้มเอ่ยกำชับ เด็กสาวพยักหน้ารับอย่างแข็งขันชวนให้รู้สึกตงิดๆว่านี่เขาคอยปรนนิบัติมาสเตอร์หรือกำลังจะหวิดกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กอนุบาลไปแล้วกันแน่
ร่างสูงของชายหนุ่มผมเงินเดินออกไปแล้วแต่มีอีกคนที่เอาแต่เงียบยังคงยืนนิ่งอยู่ จนกระทั่งเพื่อนสนิทส่งเสียงเรียกจึงยอมขยับกายไปทางประตู
“ขอโทษเรื่องเมื่อวานนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
ใบหน้าหวานแย้มยิ้มพรายก่อนเอ่ยตอบเบาๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ท่ามกลางสายตาและเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของคนที่เดินออกไปแล้ว
ในห้องทำงานกว้างขวาง แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางกระจกบานใหญ่ ส่องผ่านเข้ามากระทบเปลือกตาของร่างสูงกำยำในเสื้อเชิ้ตสีขาวซึงยับยู่ยี่ กางเกงสีดำสนิทขายาวเอนกายอยู่บนโซฟากว้าง คิ้วสีเพลิงขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะลืมตาอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าครามสวยทอประกายอ่อนโยน มือหนายันกายเปลี่ยนท่าเป็นนั่ง ก่อนจะขยี้เรือนผมสีแดงยาวสยายบนหัวจนยุ่งไม่เป็นทรง สะบัดศีรษะไล่ความง่วงอีกหน่อย แล้วก็ลุกขึ้นยืนขึ้นเต็มความสูงซึ่งคาดคะเนได้ไม่ยากว่าอาจเกินร้อยเก้าสิบหรือเกือบสองเมตรเลยทีเดียว
เท้าเปล่าเดินดุ่มๆไปที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ นัยน์ตาคู่สวยเหลือบเห็นเอกสารแปลกตรงหน้า มือหนาจึงคว้าขึ้นมาก่อนไล่สายตาอ่านอย่างรวดเร็ว
รอยยิ้มบางแย้มขึ้นบนใบหน้าคม พร้อมๆกับร่างสูงซึ่งเดินไปที่เก้าอี้นั่งลงแล้วคว้าปากกาข้างกาย ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยพึมพำเบาๆกับตัวเอง
“เจอกันแล้วสินะ ต่อจากนี้จะเป็นยังไงน้า”
นัยน์ตาสีฟ้าครามเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ มองฟ้าสีครามราวกับถวิลหาบางสิ่งบางอย่าง พร้อมรอยยิ้มอันแสนเศร้าสร้อย
“คงจะทำได้ดี..........อย่างที่เธอพูดเอาไว้”
คิดถึง อยากเจอ
อยากเจอ อยากสัมผัส แม้เพียงเสี้ยววินาทีก็ตาม
ฉันอยากเจอเธอเหลือเกิน
“เฮ้อ จบไปอีกหนึ่งวัน ทำม้ายทำไม ศาสตราจารย์เซยะเขาเกลียดฉันมากรึไงถึงให้ฉันทำรายงานคนเดียวอ่ะ” เสียงทุ้มของชุนจิโร่เอ่ยประท้วงอย่างคนหงุดหงิด โดยมีเหล่าเพื่อนสนิทเดินตามมาด้วยอาการปลงๆ ก่อนเฟยหลงจะเอ่ยซ้ำไปตรงๆว่า
“ก็นายหลับนี่ แถมคะแนนสอบก็ห่วย ห่วยกว่าเรย์อีกนะนาย วิชานี้น่ะ”
“นายไม่ต้องมาย้ำได้ไหมเล่า ฉันก็แคบ่นไปตามเรื่อง” ชุนจิโร่เบ้หน้าอย่างจี๊ดกับคำสวนเมื่อครู่
เสียงกระทบทั่งเล็กๆที่มีเป็นประจำเช่นทุกวัน โดยมีรุยเป็นคนห้ามทัพซึ่งเดินอยู่ตรงกลางระหว่างสองคนนั่น ไม่รู้จะเบื่อขนาดไหน แต่สองร่างที่รั้งท้ายก็ไม่ค่อยพูดอะไรกันเหมือนเดิม อาจจะเพราะไม่ค่อยถูกกันในหลายๆเรื่อง ถึงจะเป็นที่รู้กันว่า สองคนนี้ถือว่าสนิทกันมากที่สุดในหมู่เพื่อนๆทั้งหมดห้าคนนี่ก็เถอะ
“เหม่อตั้งแต่เมื่อกี้ ห่วงมาสเตอร์นายเหรอ” เชนถามขึ้นด้วยเสียงเรียบๆเมื่อนัยน์ตาสีเงินอมม่วงนั่นลอบสังเกตพฤติกรรมของคนข้างๆที่เอาแต่เหม่อไปที่ปลายทางซึ่งก็คือห้องพักอยู่ตลอด ทั้งๆที่ปกติจะคอยมองวิวรอบๆพลางทำสายตาดุๆไปเรื่อยๆแท้ๆ
“เธอชื่อเรเนอร์ นิดหน่อย ไม่รู้ว่าจะเบื่อรึเปล่า เพราะอะไรๆก็ยังไม่เข้าที่”
“คงไม่ล่ะมั้ง ดูเธอไม่ใช่คนขี้เบื่อขนาดนั้น แถมฝีมือระดับขนาดที่มาข้างๆพวกเราได้โดยที่ฉันรึนายไม่รู้ตัวน่ะ คงจะเก่งขนาดที่โดนฝึกมาจนเก่งเลยล่ะ ไม่น่าจะไร้ระเบียบขนาดนั้นนะ”
เรย์ขมวดคิ้วนิดนึงแล้วเอ่ยออกมา
“คิดอย่างนั้น เพราะเธอขี้เกรงใจรึ”
“ก็ใช่ ประมาณนั้นแหละ”
เมื่อเปิดประตูเข้าไป สายตาห้าคู่ก็หยุดอยู่ที่ร่างเล็กของเด็กสาวผู้เป็นรูมเมทใหม่ ซึ่งบัดนี้กำลังนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่างบานเล็กที่แง้มเอาไว้ข้างโต๊ะหนังสือ มือบางกอดดาบเรียวยาวที่ถูกพันด้วยผ้าหนาหลายชั้น เรือนผมสีเพลิงถูกถักเป็นเปียยาว บางปอยที่ปล่อยเคลียใบหน้าอยู่ไหวตามแรงลม แต่ที่สะดุดตาก็คือ ห้องนอนที่ค่อนข้างจะรกระเกะระกะอยู่ไม่น้อยแถมบางที่ยังมีฝุ่นเกาะหนาดูเรียบร้อยสะอาดใส
“ทำความสะอาดให้งั้นสิ นั่นสินะ อยู่คนเดียวทั้งวันก็ต้องหาอะไรทำ ไม่งั้นเบื่อตาย” เฟยหลงเอ่ยขึ้นลอยๆพลางเดินสำรวจห้องอย่างทึ่งๆ
มือใหญ่ของร่างสูงเจ้าของนัยน์ตาสีเงินคว้าผ้าผืนใหญ่ที่พับเรียบร้อยกางออกแล้วคลุมร่างเล็กเบาๆ แล้วยิ้มบางอย่างเอ็นดูหน่อยๆ
“ไงค่ะ ทุกคน กลับกันเร็วจัง” เสียงเอ่ยที่คุ้นหูแต่ดังขึ้นในห้องจากระเบียงทำให้ทุกสายตาหันไปมองร่างเล็กบางของหญิงสาวสวยผู้ซึ่งคอยอยู่ข้างกายของผู้อำนวยการสถาบันตลอดเวลา
อีฟ โรซาเรีย
หรืออีกชื่อ อีฟ โซฟิเทีย นั่นเอง
“อาจารย์อีฟ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” รุยเอ่ยถามขึ้นอย่างสุภาพ หญิงสาวยิ้มให้ก่อนจะตอบสั้นๆ
“ตั้งแต่แรกจ้ะ อาจารย์มาหาเรเนอร์จ้ะ”
นัยน์ตาสีเงินลอบมองเด็กสาวข้างกายอย่างพินิจก่อนจะไปสะดุดที่ซองจดหมายสีดำข้างกายบนโต๊ะเขียนหนังสือ อะไรก็ไม่น่าแปลกใจตรงตราประทับ
ปีกสีน้ำเงินประจำตราราชวงศ์ไคล่าแห่งโซลบลู
มาอยู่ที่นี่..........ได้ยังไงกัน
ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ จดหมายสีดำก็ลุกเป็นไฟสีแดงฉานในพริบตา แล้วก็ไหม้หายกลายเป็นขี้เถ้าอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครตามสถานการณ์ได้ทัน ก่อนเสียงหวานจะเอ่ย
“พวกเธอคงเข้าใจเกี่ยวกับจดหมายนั่นนะ เอาเป็นว่าเรเนอร์ได้รับคำสั่งจ้ะ แล้วก็คำสั่งนั่นมีส่วนหนึ่งระบุให้เธออยู่อาศัยที่สถาบันนี้ต่อจนกว่าภารกิจจะลุล่วงและเรย์เรียนจบการศึกษาหรือสามารถหาทางยกเลิกพันธะสัญญาได้นั่นเองล่ะจ้ะ”
ท่ามกลางความมืดในยามรัตติกาล แว่วเสียงหัวเราะเริงร่า เสียงหัวเราะเริงร่าจากบนฟ้าที่ไร้ดาว
“เศร้าสร้อย~~...........จงเศร้าสร้อย~~............ไร้ซึ่งความหวัง~~..........เพราะว่าเรา เรา เกรท มิเคลีย~~....จะไปห๊าเธอ วู้ วู น้านา”
เอ สัมผัสแบบนี้ รึว่าจะ
เซเทลฟ....ไม่สิ ระดับสูงกว่านั้น
สูงมากกว่าจะเรียกว่าเซเทลฟ
รึจะเป็น มิเคลีย
นัยน์ตาสีเพลิงปรือขึ้นเล็กน้อยอย่างสงบ ก่อนกราดมองรอบห้องที่เหล่าบุรุษรูมเมทจำเป็นกำลังนั่งอ่านหนังสือทำการบ้านและรายงานตามสะดวกของแต่ละคน ความอบอุ่นเล็กๆทำให้นัยน์ตาสีเพลิงเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ ก่อนจะแย้มยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นผ้าผืนหนาที่คลุมกาย
โอ๊ะ ไม่ใช่เวลามานั่งยิ้มซักหน่อยนี่นา
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอเรเนอร์จัง หลับสบายรึเปล่า” เสียงทุ้มขี้เล่นทักขึ้นอย่างอารมณ์ดีเมื่อนัยน์ตาสีม่วงหันมาเห็นเด็กสาวที่นั่งหลับอยู่ข้างหน้าต่างตื่นขึ้นมา
“ค่ะ อุ่นมากเลย” อืม ต้องรีบแล้วน้า จะออกไปยังไงไม่ให้ใครเดือดร้อนดีล่า
เผลอคิดมากไปจนแสดงออกทางสีหน้า นัยน์ตาคู่สวยของบุรุษผู้เป็นไนท์ประจำตัวในห้องจับท่าทีผิดสังเกตนั่นได้ก่อนใครเพื่อน เด็กสาวปรับสีหน้าใหม่ พลางคิดข้ออ้างอย่างรวดเร็ว
“คือว่า อืม รู้สึกจะหิวอีกแล้วทั้งๆที่กินไปตั้งเยอะ ขอไปหาอะไรกินหน่อยได้มั้ยค่ะ”
“เอาสิ เดี่ยวไปด้วยนะ” เสียงทุ้มของชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีเงินยวงเอ่ยสนับสนุนขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมๆกับลุกขึ้นคว้าเสื้อคลุมกันหนาว
ที่นี่มีโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งเหรอค่ะ
เล่นเอาคนหาข้ออ้างมองตามตาค้างพลางสบถในใจ เพราะไม่คิดว่าจะได้ของแถมมาในการอ้างมั่วๆแบบนี้ เพื่อนสนิททั้งหลายของร่างสูงก็พยักหน้ารับพลางฝากซื้อของที่อยากกินกันใหญ่ นัยน์ตาสีแดงกลมโตหันไปสบกันนัยน์ตาสีน้ำเงินอมม่วงอย่างไม่ตั้งใจ
“ฉันอยากกินขนมปังน่ะ รบกวนซื้อมาให้ทีแล้วกันนะ”
ความเงียบที่น่าอึดอัดจนคนรอบข้างที่กลับหอกันเป็นพวกสุดท้ายถึงกับหนาวยะเยือกเมื่อเดินผ่านชายหนุ่มผู้เป็นที่โหล่ของระดับชั้นปีหนึ่งซึ่งเดินประกบเด็กสาวร่างเล็กซึ่งคาดว่าจะเป็นมาสเตอร์ของชายหนุ่มนั่งเองซึ่งกำลังยิ้มเจื่อนๆแบบคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ไม่ได้อยากให้ใครมาด้วยซักหน่อย เดี่ยวก็โดนลูกหลง
ศัตรูตัวนี้ท่าทางจะระดับสูงด้วยสิ แย่แล้ว
ทำยังไงดีล่า
“มีอะไรรึ ถึงได้ทำท่าทางแปลกๆ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ก่อนร่างสูงจะหันกลับมาหาร่างเล็กอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาสีเงินยวงเรียบนิ่งรอคำตอบจากร่างเล็กที่กำลังยืนทื่อ
นัยน์ตาสีแดงเพลิงหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนเสียงหวานจะเอ่ยจริงจัง
“พวกระดับสูงจะบุกสถาบันค่ะ ฉันสัมผัสได้ กลิ่นของเธอเข้ามาใกล้แล้วล่ะค่ะ”
“แล้ว”
“ฉันไม่อยากให้เรย์และทุกคนเดือดร้อนค่ะ”
เสียงตอบชัดถ้อยชัดคำ ใบหน้าหวานแลจริงจัง ร่างสูงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนมือหนาจะคว้าข้อมือเล็กอย่างถือวิสาสะออกแรงเล็กน้อยรั้งร่างเล็กเข้ามาใกล้ ใบหน้าคมโน้มเข้าไปใกล้ นัยน์ตาสองสีเงินจ้องมองนัยน์ตาสีเพลิงคู่สวย ก่อนเอ่ยกระซิบเสียงเรียบ
“ไม่ต้องห่วง มันเป็นหน้าที่ของไนท์ที่จะต้องปกป้องมาสเตอร์ เธอต่างหากทำไมต้องออกมาสู้กับมันด้วย”
“นี่เป็นสิ่งที่ฉันทำได้ค่ะ เรย์” เสียงหวานเอ่ยตอบชัด
“แม้นั่นจะเป็นการที่เธอไม่เคยรักตัวเองเลยรึ ถึงยอมให้ตัวเองไปเสี่ยงอันตรายขนาดนั้น” เสียงทุ้มเอ่ยสวน แม้น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่คนฟังก็พอรู้ได้ว่ามีโทสะบางเบาเจือจางอยู่ในน้ำเสียงเข้ม มือหนาเผลอบีบข้อมือเล็กแน่นโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึก
นัยน์ตาสีเพลิงจ้องมองคนตรงหน้าก่อนเอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้ายังคงดูสงบ แต่หัวคิ้วขมวดบางๆทำให้คนตัวโตรู้ว่าเด็กสาวตรงหน้าเริ่มจะมีโทสะเหมือนกัน
“เรย์ต่างหากล่ะค่ะ เรย์ต่างหากที่ไม่รักตัวเอง ข้ออ้างของคุณที่จะไม่รักตัวเองก็คือคำว่าหน้าที่”
“หน้าที่คือสิ่งที่ต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นการรักตัวเองรีไม่ก็ตาม”
เพี้ยะ
ร่างเล็กเงื้อมือเรียวก่อนฟาดลงไปบนแก้มขาวของใบหน้าคมสุดแรง ใบหน้าหวานที่มักมีแต่รอยยิ้มบัดนี้เต็มไปด้วยความโกรธ ริมฝีปากเม้มแน่น นัยน์ตาสีเพลิงจ้องมองร่างสูงกว่าซึ่งกำลังยืนนิ่งอย่างตำหนิ ก่อนเอ่ยตวาดลั่นอย่างที่ไม่เคยทำ
“เรย์จะเป็นยังไงมาก่อนฉันไม่รู้ค่ะ เรย์อาจคิดว่าไม่เหลือใครที่อยู่เคียงข้าง แต่ไม่ว่ายังไง ถ้าชีวิตหนึ่งต้องหายไป ยังไงๆก็ต้องมีคนเสียใจ ถึงแม้จะไม่อยู่บนโลกนี้ คนที่คอยเฝ้ามองจากที่ไกลแสนไกลนั่นของคุณก็ต้องเสียใจเหมือนกัน ไม่ได้เหลือตัวคนเดียวในโลกซักหน่อยนี่ค่ะ! อย่าทำให้ชีวิตตัวเองไร้ค่าได้มั้ย”
กล่าวจบร่างเล็กก็วิ่งลิ่วออกไป ทิ้งให้ร่างสูงจมอยู่ในความรู้สึกสับสน
.......................................
.............พี่น่ะ จะปกป้องหนูตลอดไปใช่มั้ยค่ะ
.............ไว้สักวันพี่จะต้องเป็นไนท์ของเรอาให้ได้นะค่ะ
.......................................เรอา
กระโปรงวันพีซสีดำพลิ้วไสวจนแทบจะรั้งร่างอ้อนแอ้นให้ปลิวตาม สายลมแรงยามกลางคืนสร้างเสียงหวีดหวิวฟังแล้วสะท้านหัวใจ ร่างเล็กยืนนิ่งอยู่ในสนามหญ้ากว้างข้างตึกเรียน ใบหน้าขาวบึ้งตึง ก่อนสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว
เขาผิดต่างหาก เราไม่ผิด
คนบ้า เถียงคำไม่ตกฟาก บ้าบ้า
“เรย์บ้า คนหัวดื้อ ไม่รักชีวิตตัวเองเอาซะเลย บ้าที่สุด” เสียงหวานพึมพำกับตัวเองเบาๆในความเงียบยามกลางคืน ก่อนจะหรี่นัยน์ตาลงเล็กน้อย
ไม่ได้เหลือคนเดียวสักหน่อย
คงเพราะโกรธมากจนเกินไป น้ำใสๆจึงไหลรินออกมาจากดวงแก้วสีเพลิง ไหล่บางสั่นสะท้านเพราะแรงสะอื้นบางๆ มือเล็กปาดน้ำตาทิ้งอย่างรวดเร็ว
คนที่มองอยู่ไกลๆเขาจะรู้สึกยังไงล่ะ คนบ้า ความรู้สึกช้า ไม่เข้าใจอะไรบ้างเลย
“อ้าว ทำไมมีสาวน้อยมายืนร้องไห้อยู่ล่ะ สถาบันนี้ไม่ได้มีแต่นักเรียนชายรึไง” เสียงกล่าวยียวนที่ดังขึ้นทำให้นัยน์ตาสีเพลิงกราดหาที่มารอบตัว ก่อนจะพบร่างเล็กยืนตระหง่านอยู่บนยอดต้นไม้ต้นใหญ่
ร่างเล็กบางที่ขนาดน่าจะพอๆกัน ผิวขาวซีด วันพีซกระโปรงสั้นแค่เข่าสีม่วงอ่อน และรองเท้าบัลเลย์สีแดงผูกริบบิ้นสีฟ้าไล่ขึ้นไปเกือบถึงหัวเข่า เรือนผมถักเปียเล็กๆสองเปียสีฟ้าจางยาวถึงสะโพก ลูกผมที่เหลือซอยสั้นไม่เท่ากัน ใบหน้าหวานนัยน์ตาสีเพลิงเข้มเกือบเป็นสีเลือด และริมฝีปากสีแดงอมม่วงยิ้มแสยะกว้าง
“เกรท มิเคลีย มาแล้วจ้า”
ยุ่งล่ะสิ
...............................................
ตูม เปรี้ยง
“อย่าเอาแต่หนีซี่ อย่างนี้ไม่สนุกสิ สาวน้อย”
ตัวก็เท่ากัน อย่ามาเรียกเพี้ยนนะ
ตะโกนตอบในใจพลางกระโดดหลบใบมีดเพลิงที่ยิงลงมาเป็นชุดอย่างชำนาญ เสื้อผ้าตัวสวยที่เพิ่งได้มาขาดเป็นริ้วๆ แต่ผิวเนื้อขาวไร้รอยบาดแผลไดๆ นัยน์ตาสีเพลิงไล่สายตาหาที่หลบอย่างรวดเร็ว แต่ในเมื่อพาตัวเองมาอยู่ที่โล่งโจ้งขนาดนี้ จะว่าใครได้
“เก่งใช้ได้ เลิกเล่นซ่อนหาดีกว่า นานๆแล้วมันน่าเบื่อ”
เสียงเล็กเย็นเอ่ยอย่างสนุกสนาน ใบหน้าขาวจัดจนซีดนั้นจ้องมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยนัยน์ตาสีเลือดที่ทอประกายสนใจเต็มที่ แล้วหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อแลเห็นประกายกล้าไร้ความกลัวในนัยน์ตากลมโตสีเพลิงสวย ริมฝีปากสีแดงอมม่วงจึงแย้มยิ้มกว้างขึ้นอีก
“ว่าจะมาทักทาย แต่เจอของเล่นแบบนี้ งานน่าเบื่อดูจะสนุกขึ้นมาแล้วแฮะ เรามาเล่นกันดีกว่า แม่สาวน้อย” สิ้นเสียงหวานจัดจนน่าขนลุก มิเคลียชูแขนขึ้นสูง เช่นเดียวกันกับเด็กสาวผู้กำลังจะตกเป็นของเล่น ลมพายุพัดวนเปลี่ยนทิศและกลายสภาพเป็นลมกรรโชกกะทันหันหมุนวนเป็นสายไปที่มือของทั้งคู่ แล้วเปลวไฟสีเทาก็ลุกพรึบขึ้นที่มือของมิเคลีย เช่นเดียวกับเด็กสาวเจ้าของนัยน์ตาสีเพลิงซึ่งเป็นไฟสีน้ำเงินเข้มจัด และไฟก็ก่อตัวเป็นรูปร่าง ดาบยาวสีแดงและดำสนิท ก่อนสองเสียงจะประสานออกมาพร้อมกัน
“ปลดปล่อย !”
เสียงกัมปนาทดังลั่นเมื่อดาบสองเล่มปะทะกันกลางอากาศ ใบหน้าขาวซีดของมิเคลียเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ส่วนเด็กสาวก็ตีหน้าเรียบสนิท ดาบทั้งสองสั่นกึกๆเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมออมแรง และก็ผละออกมาพร้อมกัน ก่อนที่มิเคลียจะเป็นฝ่ายเงื้อดาบเป็นวงกว้าง แล้วเหวี่ยงเข้าหาด้านข้างของเด็กสาวเจ้าของนัยน์ตาสีเพลิง ซึ่งส่งแรงที่ข้อเท้าเล็กน้อยก่อนพลิกตัวหลบฉิวเฉียด ดาบยาวผ่าอากาศสวนกลับทันที ราวกับรู้จังหวะดี แขนขาวซีดยกดาบขึ้นรับภายในเสี้ยววินาที ก่อนขาเรียวจะถีบเข้าไปที่ร่างตรงหน้าแบบไม่ต้องพักหายใจ แต่ก็ใช่ว่าจะเสียท่าเมื่อเจ้าของนัยน์ตาสีเพลิงกระชากขาขาวซีดเข้ามาก่อนหมัดหนักไม่สมขนาดตัวจะซัดเข้าไปที่แก้มของร่างเล็กพอกัน แต่ก็หลบลูกเตะที่เข้ามาทางด้านข้างโดยที่ไม่รู้ตัวได้ไม่ทัน
สองร่างกระเด็นไปคนละทิศ มิเคลียกระเด็นไปทางป่าก็ถูกแรงหมัดอัดเข้ากับลำต้นของต้นไม้ต้นใหญ่จนหักครืน ส่วนเด็กสาวเจ้าของนัยน์ตาสีเพลิงถูกอัดกระเด็นติดตึกเรียนจนผนังยุบเป็นวงกว้าง สองร่างที่ลงไปนอนกองกับพื้นสนามต่างลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และเงื้อดาบ ก่อนกระโจนเข้าหากันอีกครั้ง เพราะไม่ว่าใครหรือฝ่ายไหนหากละสายตาหรือไม่คิดจะตอบโต้แม้เพียงเสี้ยววินาที
อาจถูกดาบของอีกฝ่ายเสียบทะลุได้โดยไม่รู้ตัว
ทว่า
ทันไดนั้นเองร่างเล็กของเด็กสาวเจ้าของนัยน์ตาสีเพลิงก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของวงแขนแกร่งซึ่งกระชากร่างของเธอออกมาจากรัศมีวงดาบสีดำในเสี้ยววินาที ร่างของมิเคลียชะงักก่อนที่จะถอยไปตั้งหลัก นัยน์ตาสีเลือดมองผู้มาใหม่อย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก
“ออกไปจากที่นี่ซะ” เสียงทุ้มเอ่ยเข้ม นัยน์ตาสีเงินทอประกายโกรธเกรี้ยวและเย็นชา มิเคลียพึมพำเสียงเบาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก ร่างสูงเอ่ยถามเด็กสาวในอ้อมกอดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย “ไม่เป็นไรนะ เรเนอร์”
นัยน์ตาสีเพลิงมองมือใหญ่ซึ่งกระชับร่างเธอแน่นขึ้นอย่างพิจารนา ช้อนนัยน์ตาคู่สวยมองใบหน้าคมซึ่งไม่ยอมละสายตาจากมิเคลีย แล้วเอ่ย
“ค่ะ ฉันไม่เป็นไร”
“นายมายุ่งกับของเล่นของชั้น ยุ่งกับเวลาสนุกของฉัน แย่จังเลย ไม่มีมารยาท” เสียงหวานจัดชวนขนลุกตำหนิ พร้อมชี้ดาบไปทางชายหนุ่มเป็นเชิงว่าถ้าไม่เลิกจุ้นมีปัญหาแน่
“คนที่ย่องเข้ามาในสถานที่ของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตไร้มารยาทกว่านะ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆ ใบหน้าคมตายสนิท เรียกให้เด็กสาวในอ้อมกอดหลุดเสียงคิกออกมาเบาๆกับอกแกร่ง มิเคลียเหล่มองเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างแย้มบนใบหน้าบางๆ สนุกที่มีคนให้เล่นเพิ่ม ก่อนเอ่ยเถียง
“ชิ เอาเถอะ ภารกิจลุล่วง ฉันแค่มาเตือนเท่านั้นว่าให้พวกแกส่งของที่เราต้องการมาได้แล้ว”
“มีที่ไหน อะไรล่ะ”
“เจ้าก็นึกเอาเองสิ”
“งั้น..........ก็ไม่ต้องเอา”
“ก็ฉันจะเอา ไม่งั้นก็เอาของเล่นฉันคืนมาเลยนะ ไอ้นายหน้าเข้มไร้มนุษย์สัมพันธ์”
“ฉันชื่อเรย์ ผู้หญิงคนนี้เป็นมาสเตอร์ของฉันไม่ใช่ของเล่นของเธอ ยัยเตี้ยปากจัด”
“ไอ้หน้าตายแย่งของคนอื่น เอาของเล่นของเค้ามาน้า”
ยิ่งเถียงกันมากเท่าไหร่ก็เริ่มมีความรู้สึกว่าเรื่องที่เถียงก็ออกทะเลไปทุกที จากเถียงสักพักก็กลายเป็นด่าใส่กันไปเสียแล้วสิ
‘มิเคลีย กลับได้แล้ว ไว้ค่อยกลับมาเล่นกับพวกนี้ทีหลัง’
ร่างเล็กเจ้าของนัยน์ตาสีเลือดชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพึมพำอย่างเสียดาย นัยน์ตาสีเลือดหันไปมองค้อนคนขัดจังหวะเสียหลายวง ก่อนเอ่ยถาม
“ชื่ออะไร”
“บอกว่าเรย์ เรย์อาร์ซิเทียส ไม่ได้ยินรึไงยัยเตี้ย”
“เรเนอร์ ซายารส์ค่ะ มิเคลีย เสร็จงานแล้วเหรอค่ะ”
สองเสียงที่เอ่ยทำให้มิเคลียยิ้มกว้าง
สองคนนี้มันไม่รู้จักกลัวรึไงนะ
น่าสนใจจริงๆ
แบล็คครอส คราวนี้คงมีเรื่องกลับไปเล่าให้ฟังเยอะแยะเลย
“ไปล่ะ จำไว้ละกัน ฉัน เกรท มิเคลียแห่งกางเขนดำ”
...............................................................................................
คิดจะไปก็ไป ไอ้พวกนี้เข้าใจยากจัง
“เรย์ค่ะ ปล่อยก็ได้ฉันไม่เป็นไร” เสียงหวานเอ่ยเมื่อคนตัวสูงยังคงไม่ยอมคลายวงแขนกว้าง เมื่อได้ยินคำกล่าวคนตัวสูงจึงปล่อยมือแทบไม่ทัน แต่เพราะอุ้มจนลอยเกือบเป็นหิ้วเมื่อปล่อยแบบไม่ให้ตั้งตัว ร่างเล็กจึงร่วงก้นจ้ำเบ้ากับพื้นสนามดังตึง
“อ้ะ ขอโทษ เจ็บมากรึเปล่า”
เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างตื่นๆ เด็กสาวยิ้มเล็กน้อยเป็นคำตอบ และพยายามยันตัวลุก แต่ก็ต้องร้องออกมาเบาเมื่อสัมผัสเจ็บปวดที่ข้อเท้าแล่นปราดเข้าสู่สมอง
“ข้อเท้าแพลงสินะ มาช้าไปหน่อย เลยปกป้องเธอไม่ได้ ฉันขอโทษ” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆนัยน์ตาสีเงินหมองลงไปอย่างที่คนมองเห็นได้ไม่ยากระหว่างที่มองสำรวจข้อเท้าบางซึ่งบัดนี้บวมอย่างเห็นได้ชัด และเสื้อผ้าชุดที่เหมือนตัวเมื่อวานแต่เป็นสีน้ำเงินขาดเป็นริ้วจนเห็นผิวเนื้อขาว กับรอยแผลฟกช้ำอีกนิด แผลถลอกอีกหน่อย มือหนาช้อนไปไต้ข้อพับและแผ่นหลังก่อนประคองร่างเล็กเข้าอ้อมกอดอย่างทะนุถนอมแล้วออกเดินลิ่วๆโดยระวังไม่ให้กระเทือนกับร่างบางกลับไปที่ห้องพลางเอ่ยกระซิบเบาๆ
“จับไว้ดีๆนะ”
“ประคองไปเฉยๆก็ได้ค่ะ ไม่ต้องลำบากก็ได้”
เสียงหวานเอ่ยอย่างขัดเขิน เพิ่งรู้จักกันได้วันเดียวแล้วจะให้เขามาเป็นภาระให้แบบนี้ แถมยังเป็นสภาพแบบนี้อีกด้วย ร่างสูงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
“ทำไมไม่เรียกดังๆล่ะ ตะโกนบอกเดี่ยวก็ต้องมีใครได้ยิน ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”
“เหมือนกันไงค่ะ สิ่งที่ฉันทำได้ นี่คือข้ออ้างของฉัน เหมือนที่เรย์พูดเมื่อกี้” เสียงหวานตอบเรียบๆ นัยน์ตาสีเพลิงกลมโตจ้องมองดวงแก้วสีเงินตรงหน้าอย่างจริงจัง ก่อนเอ่ยสำทับอีกประโยค “ข้ออ้างของฉันที่จะไม่รักตัวเองเหมือนคุณไงค่ะ เรย์”
“หึ ยอมแพ้แล้วล่ะ เข้าใจแล้ว” คนตัวสูงบอกอย่างปลงตกกับความรั้นของร่างเล็กในอ้อมกอดคนนี้ ความรั้นที่เห็นแววมาแต่แรกๆก็ออกลายซะชัดเลยทีเดียว ร่างสูงหัวเราะเบาในลำคอก่อนยิ้มบางๆให้เด็กสาวในอ้อมกอดด้วยแววตาอ่อนโยน
“มีอะไรตลกล่ะค่ะ เรย์” เสียงหวานเอ่ยประท้วงเมื่อคนตรงหน้ากำลังจะเห็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรบเธอเป็นเรื่องตลกไปซะนี่
“เปล่า ขอโทษนะ เอาเป็นว่า ขอโทษเรื่องเมื่อตะกี้ด้วยละกัน ฉันเข้าใจที่เธอพูดแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยตอบ
“จริงเหรอค่ะ ดีจังเลยทีหลังอย่าคิดจะทิ้งชีวิตง่ายๆล่ะค่ะ มันไม่ดีนะ” เด็กสาวเอ่ยเบาๆ มือเล็กชูสองนิ้วให้กำลังใจพร้อมรอยยิ้มกว้าง
ยังกะเด็ก เอาเถอะ
“เธอนี่น้า ถึงจะหัวรั้นไปหน่อย” คำกล่าวนี่ทำให้คนฟังหน้ายู่ไปชั่วครู่ก่อนขึ้นสีก่ำโดยที่คนพูดไม่ได้รู้ตัวเลยซักนิดว่าทำให้ใครเขิน “น่ารักดีเหมือนกันนะ”
“ข้อเท้าแพลง ไปเจออะไรกันมา กลับมาถึงมีสภาพแบบนี้” เสียงกล่าวเข้มขึ้นตอนท้ายอย่างตำหนิเมื่อสองร่างผู้บอกว่าจะไปหาอะไรกินกลับมากับด้วยสภาพที่ชวนให้เหล่าบุรุษทั้งหลายในห้องพักนั่งตะลึงไปเกือบนาที ร่างสูงเจ้าของนัยน์ตาสีเงินสภาพยังสมบูรณ์เหมือนขาไป เพียงแต่หัวยุ่งเล็กน้อยจากหน้ามุ่ยๆของเจ้าตัวกับหน้าบานๆของร่างเล็กในวงแขนพอให้เดาออกว่าน่าจะแกล้งกันมา ส่วนแม่สาวน้อยตัวดีสภาพนั้นดูไม่ได้ เสื้อผ้าขาดเป็นริ้วๆจนเกือบจะเรียกว่าเป็นเศษผ้าอยู่แล้ว แผลฟกช้ำดำเขียวกับแผลถลอกแดงเป็นจ้ำ แล้วที่เห็นชัดที่สุดข้อเท้าเปล่าเปลือยบวมอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไม่ได้ใส่รองเท้าเพราะคนอุ้มถอดออกไปยิ่งทำให้เห็นว่าผิวขาวอมชมพูนั่นเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำจนดูน่ากลัวไปเรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ จู่ๆคุณเกรทมิเคลียก็โผล่มาน่ะค่ะ ก็เลยสู้กันนิดหน่อย” คำกล่าวแก้ตัวน้ำขุ่นๆทำเอาคนถามขมวดคิ้วแล้วหันไปเค้นเอากับชายหนุ่มผู้ซึ่งกำลังพันแผลให้เด็กสาว
“เรย์ อธิบายมานะ”
“ก็อย่างที่ได้ยินนั่นแหละ รุย ยัยเตี้ยนั่นโผล่มา เรเนอร์ก็เลยสู้กับยัยนั่นนิดหน่อย แล้วก็ดันเสียหลักเวลาลงพื้น ข้อเท้าเลยแพลง” เสียงทุ้มอธิบายโดยไม่มองหน้าคนถาม ซึ่งทุกคนที่ฟังอยู่ถึงกับส่ายหัว แล้วชุนจิโร่จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างจริงจังผิดนิสัย
“นายไปเจอมิเคลียมาจริงๆ ? แล้วทำไมปล่อยให้เรเนอร์บาดเจ็บล่ะ”
“ทะเลาะกันนิดหน่อย เลยแยกกัน” เสียงทุ้มเอ่ยตอบตามตรง ปิดไปก็ไม่เห็นได้เงินพันล้านซะหน่อย
“เรื่องเล็กน่ะค่ะ ขอโทษนะค่ะที่ทำให้เป็นห่วง” เสียงหวานเอ่ยเรียบๆ ก่อนนัยน์ตาสีเพลิงจะมองเจ้าการบ้านในมือของเหล่าบุรุษตรงหน้าอย่างสนใจ แล้วอ่านออกเสียงหัวข้อออกมาอย่างชัดเจน “การปราบปรามกบฏที่โหดเหี้ยมและทารุณที่สุดในศตวรรษแห่งโซลที่ห้าสิบเอ็ด ศักราชที่ห้าร้อยสิบสี่ถึงศักราชที่ห้าร้อยสิบเจ็ด เพลิงแค้นแห่งธาตุทั้งหก วิชาประวัติศาสตร์สินะค่ะ”
“อ้ะ อ๋อใช่ เขียนเรียงความสรุปสาเหตุในความคิด ก็สาเหตุของสงครามปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสรุปได้นี่นะ” รุยเอ่ยตอบ พลางพลิกหน้าหนังสืออ้างอิงเพื่อหาข้อมูล
“ช่ายๆ ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าเทพท่านเพี้ยนอะไรถึงลุกขึ้นมาปราบกบฏซะโหดสุดๆแบบนั้น ทั้งตัดคอ เผาทั้งเป็น คำสาปสั่งตายบ้างล่ะ แถมยังมีพวกภัยธรรมชาติอีกนะ ทั้งๆที่ปกติก็ใจเย็นกันแท้ๆ ใครจะไปรู้ล่ะว่าอะไรทำให้พวกท่านลุกฮือกัน” เฟยหลงเอ่ยเสริมอย่างจนปัญญาเพราะหาข้อมูลอ้างอิงมาหลายเล่มแล้ว มีไม่เคยเกินย่อหน้าเดียวในแต่ละเล่มส่วนใหญ่จะเน้นวิธีการเสียมากกว่า
“บางเล่มก็ว่า พวกท่านจะจัดระเบียบครั้งสุดท้าย แต่ดูจากวิธีการคงไม่น่าใช่เหตุผลหลักเท่าไหร่ แล้วอ่านจากประวัติศาสตร์พวกท่านก็ไม่ใช่คนหุนหันซะด้วย” เชนเอ่ยเสริม พลางพลิกตำรา แล้วเหลือบมองมาทางเด็กสาวก่อนเอ่ย “เท้าเป็นแบบนั้นทำอะไรก็ระวังละกัน เรเนอร์”
“ค่ะ” เสียงหวานรับคำพลางยิ้มกว้าง ก่อนหันไปมองคนทำแผลซึ่งทำเสร็จแล้ว และกำลังมองผลงานอย่างพอใจ คนตัวเล็กเอ่ยขอบคุณเล็กน้อย แล้วร่างสูงก็คว้ารายงานที่ตัวเองยังไม่ได้แตะมากางกับเขาบ้างบนเตียงของเขาที่ยกให้เด็กสาว ส่วนตัวเองระเห็จลงไปนอนบนพื้น
“จะเอาอะไรก็บอกเดี่ยวทำให้” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆ เด็กสาวอมยิ้มกับกิริยาช่างใส่ใจแบบห่ามๆของคนตรงหน้า มือเรียวจึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาเปิดอ่าน พลิกดูได้สักพักก็ถอนหายใจเบาๆ น้อยอย่างที่พูดจริงๆ ไอ้พวกประวัติศาสตร์ยังไงก็ต้องมีหลักฐานอ้างอิงแน่นอน จะสมมติแนวความคิดออกมาเองเป็นสิ่งที่ยากพอดูอยู่เหมือนกันนี่นะ เสียงหวานจึงเอ่ยถาม
“น้อยจริงๆด้วยนะค่ะ แบบนี้หาอ้างอิงยากเหมือนกัน ลองหาดูจากพวกหนังสืออย่างอื่นรึยังล่ะค่ะ”
“หือ หนังสืออะไรล่ะ ของแบบนี้ก็ต้องมีในหนังสือสงครามสิกับพวกจดหมายเหตุแล้วก็พวกลำดับเหตุการณ์น่ะ” ชุนจิโร่เอ่ยถามงงๆ
เด็กสาวยิ้มรับเจื่อนๆกับคำตอบแสนเรียบง่าย แล้วมองหาหนังสือบนกองของคนข้างตัวที่ยังไม่เขียนอะไรลงรายงานสักตัว แล้วนัยน์ตาคู่สวยก็เจอกับของที่ต้องการ มือเรียวจึงคว้ามาพลิกดูไปเรื่อยๆแล้วยิ้มกว้างเมื่อพบสิ่งที่ต้องการก่อนยื่นให้คนข้างๆที่ทำหน้างงๆ
“นี่ไงค่ะ อัญมณีเจ็ดสีที่ถูกเรียกว่าน้ำตาของเทพทั้งเจ็ด มีระบุหลักฐานไว้ว่าถูกค้นพบเมือไม่นานมานี่ และจากการคำนวณอายุรวมทั้งหลักฐานจากพงศาวดารกับบันทึกต่างๆพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เพลิงแค้นแห่งธาตุทั้งหก จากหลักฐานมากมายสามารถสรุปได้ว่าเป็นน้ำตาของเทพทั้งหกในช่วงเหตุการณ์นั้นแน่นอน” เรย์นึกตามคำพูดของเด็กสาวก่อนจะพยักหน้าเมื่อเข้าใจความหมาย
“หมายถึง มันจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง น้ำตาเหรอ คงจะเป็นโศกนาฏกรรม...หรือเปล่า” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ
“หรือจะเป็นอกหักรักคุด ความรักระหว่างมนุษย์กับเทพ” ชุนจิโร่เอ่ยเสริม
“ไอ้บ้า พูดออกมาได้ มันต้องเป็นน้ำตาแห่งความสะใจที่ได้ฆ่าพวกโรคจิตต่างหาก” เฟยหลงเอ่ยทับ
“แกนั่นแหละโรคจิตที่สุด คิดเรื่องอย่างนั้นออกมาได้ยังไง” รุยเอ่ยตัดบทอย่างรำคาญ ก่อนเอ่ยข้อสงสัยของตัวเองออกมาบ้าง “ถ้างั้นอาจจะพวกกบฏเป็นพวกเทพระดับสูงเลยต้องเล่นกันแรง หรือว่าจะเป็น แบบมีใครมาทำร้ายองค์เทพหนึ่งในหกนั่นล่ะ”
“ก็เป็นไปได้ หรือถ้าคนที่พวกท่านรู้จักหรือนับเป็นเพื่อถูกคนพวกนี้ทำร้ายก็เป็นไปได้เหมือนกัน เพราะถ้าพวกท่านจะจัดระเบียบครั้งสุดท้ายจริงๆก็ไม่น่าโหดได้ขนาดนั้น” เชนเอ่ยเสริมขึ้นมา
“อาจมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก่อนหน้านั่นหรือที่เกิดพร้อมกันก็ได้นะค่ะ ยกตัวอย่างเช่นการค้นพบคำทำนายของเครซาเอเรีย เพราะว่าเกิดในศักราชที่ห้าร้อยสิบสามพอดีนี่นา” เสียงหวานเอ่ยเสนอขึ้นมาบ้าง
“เอามารวมกันให้หมดสิ ง่ายดี ไม่ต้องเลือกด้วย ก็เค้าบอกเองนี่ว่า สาเหตุของการปราบปรามกบฏตามความคิดของนักเรียนนี่ แต่ไอ้ความรักระหว่างมนุษย์กับเทพ ฉันว่าไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไหร่ ถึงอกหักรักคุดน่าจะเกี่ยวข้องเต็มๆก็เถอะ” เรย์เอ่ยพลางลงมือตั้งต้นเขียนโดยไม่สนใจใคร ชุนจิโร่โวยเบาๆพลางค้อนนิดหน่อยแล้วลงมือเขียนรายงานซึ่งคนแซวที่สังเกตอาการคนถูกแซวก็แอบหัวเราะเล็กน้อยกับเด็กสาวข้างกาย หนุ่มๆที่เหลือมองหน้ากันหัวเราะนิดหน่อยแล้วก็เขียนลงไปตามข้อสรุปที่ได้สดๆร้อน
เรียกรอยยิ้มบางบนใบหน้าขาวสวยได้อย่างไม่ยากเย็น
จินตนาการใกล้เคียงความจริงอยู่นะค่ะ แบบนี้ สุดยอดไปเลย
สงสัยคราวหน้าต้องคุยให้ท่านฟังแล้วสิ
ความคิดเห็น