คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Night 7
ท่ามกลางเสียงครึกครื้นในตลาดแห่งการค้าขายในเมืองดารค์โซลแห่งนี้ ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินอย่างเร่งรีบ มือหนาหอบของเอกสารปึกบางๆ ควรจะเป็นภาพที่ไม่แปลกมากเท่าไหร่นักในตลาดแห่งเมืองค้าขายที่มีทั้งนักท่องเที่ยวและพวกประหลาดๆเดินกันให้ว่อน ถ้าชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้มีเพื่อนอีกคนที่สูงกว่าซึ่งหอบผ้าแบบต่างๆเต็มอ้อมแขนเป็นตั้งสูงซึ่งบังทัศนะวิสัยเสียมิด ที่เดินถูกทางไม่ได้ล้มไม่ได้ชนกับใครเข้าก็เพราะเพื่อนที่ถือเอกสารด้านหน้าจูงมืออยู่
“ช้าๆหน่อยได้ไหมเล่า นายทำฉันเวียนหัวแล้วนะ สน”
เสียงโวยจากคนที่ถูกจูงทำให้ร่างสูงของคนที่เดินนำตวัดนัยน์ตาสีเขียวมรกตมองอย่างหงุดหงิด แล้วโวยขึ้นบ้างอย่างคนอารมณ์ไม่ดี
“อย่าบ่นนักได้มั้ยเล่า เดี่ยวก็ถึงแล้วน่า ไอ้ชิน”
ยังไม่ทันขาดคำมือหนาของคนนำหน้าก็ผลักประตูบานใหญ่ของร้านขายเสื้อผ้าเก่าแก่ซึ่งมีชื่อเสียงมากที่สุดในเมือง ขายาวก้าวอาดเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“อ้าว ไงจ้ะ สนธยาของน้า มาเยี่ยมคุณอา คาชินเหรอจ้ะ เขาออกไปซื้อของน่ะจ้ะ ยังไม่กลับเลย” เสียงทักหวานที่ดังขึ้นทำให้ผู้มาใหม่มองหาต้นเสียงกันเลิกลั่กกระทั่ง ร่างสูงเพรียวของหญิงสาวคนหนึ่งก้าวออกมาจากหลังร้าน ใบหน้าหวานอมชมพูแบบเดียวกับผิวนุ่ม สวมชุดกระโปรงลูกไม้แขนตุ๊กตาดูน่ารัก ผมยาวสีเหลืองออกส้มยาวถึงต้นขามัดรวบสูงเอาไว้ และด้วยนัยน์ตากลมโตสีม่วงสวยยิ่งทำให้คนตรงหน้าดูน่ารักขึ้นไปอีก จนไม่อาจคาดเดาอายุได้ เพราะค่อนข้างตัดกับความน่าเกรงขามี่แผ่ออกมาบางๆนี่เหลือเกิน
“ไม่ต้องเรียกเต็มสตีมก็ได้ เปล่าครับ น้าซาร่า วันนี้ผมมาหาน้าต่างหากล่ะ โธ่ อย่าเล่นหัวผมสิฮะ”
สนธยากล่าวเสียงอ่อยเมื่อน้าสาวคนสวยเอามือวางบนหัวสีน้ำตาลอ่อนของเขาพลางยีอย่างหมั่นเขี้ยวเหมือนที่ทำเป็นประจำ จนผมยาวประบ่าที่รวบไว้ลวกๆของเขาหลุดลุ่ยจนยุ่งเหยิง และสามารถเรียกเสียงหัวเราะจากชินที่มาด้วยกันได้ไม่ยาก หญิงสาวจึงเอ่ยต่อ
“แหม ก็น่ารักนี่จ้ะ ที่มาหาวันนี้ อ๋อ เรื่องที่ส่งจดหมายมาใช่มั้ยล่ะจ้ะ อ้าวมีเพื่อนมาด้วยเหรอจ้ะ สวัสดีค่ะ หนุ่มน้อย น้าชื่อ ซาร่า มิรันโด้ค่ะ”
“ครับ ผมชื่อชิน ครอสครับ คุณซาร่า ผมรู้จักคุณมานานแล้วนะฮะ จากงานวิจัยเรื่องไซบอร์กเมื่อยี่สิบปีก่อน” ชินเอ่ยอย่างสุภาพและชื่นชม นัยน์ตาสีทองมองร่างบางของหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสนใจ มือเรียวของหญิงสาววางบนหัวสีทองของเขาพลางลูบเบาๆอย่างเอ็นดู
“ขอบใจจ้ะ ชิน แต่สนไม่เห็นจะสนใจงานของน้าเลย เฮ้อ เออจริงสิ สนเอาแบบมารึเปล่าจ้ะหือ”
คำถามที่มือหนาของคนถูกเรียกยื่นเอกสารที่นั่งคิดมาทั้งคืนกับพวกออกแบบให้ ซึ่งหญิงสาวก็รับมาเปิดดูคร่าวๆพลางยิ้มหวานอย่างเอ็นดู
“สมเป็นเด็กผู้ชายกันจริงๆ แต่แบบคร่าวๆแค่นี้น้าก็โอเคนะ รายละเอียดนี่น้าใส่เสริมเติมแต่งเองนะจ้ะ”
“ตามสบายเลยฮะ ขอแค่ไม่ผิดคอนเซปต์ก็พอน้าเก่งอยู่แล้วนี่นา”
สนธยาเอ่ยตอบพลางจัดผ้าที่ตนให้เพื่อนขนมาแยกเป็นส่วนๆอย่างชำนาญจนคนมองที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกยืนทึ่งอึ้งอย่างงงๆ หญิงสาวก็เอ่ย
“คิดว่าอีกสามวันน่าจะได้ แล้วค่อยมาเอาแล้วกันนะจ้ะสน” สนธยาก็หันมาตอบสั้นๆพลางฉุดเพื่อนที่มาด้วยวิ่งออกนอกร้านไปทันทีที่พูดจบ
“ครับ ผ้าที่น้าจะให้ผมขนมีเท่านี้ใช่มั้ยฮะ ผมไปล่ะ”
เหลือเพียงเสียงหัวเราะของหญิงสาวที่พูดไล่หลัง
“กลัวน้าใช้งานเป็นค่าตอบแทนหนักกว่านี้เหรอจ้ะ สนธยา”
ร่างเพรียวของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเดินอยู่ที่ระเบียงทางเดินบนอาคารเรียนท่ามกลางแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่ของอาคารเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอย่างที่ทำเป็นประจำในเวลาที่เกิดอยากทำขึ้นมา นัยน์ตาคู่สวยสีฟ้าอ่อนสอดส่องมองหาความผิดปกติอย่างแข็งขันจนกระทั่งได้ยินเสียงอะไรบางอย่างซึ่งลอดผ่านประตูห้องดนตรีที่อยู่ถัดไปอีกสามห้อง
“เจ้าปรารถนาที่จะอยู่ข้างกายเรา ปกป้องเราตลอดไปเช่นนั้นเหรอ ไคเรน”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงของข้า ข้าจะขอปกป้ององค์หญิง และองค์ชายคาอิลเรด้วยชีวิต ถ้าองค์หญิงจะทรงโปรด”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าจะต้องให้สัตย์สาบานกับเราสี่ข้อ โดยที่เจ้าห้ามบิดพลิ้วเป็นอันขาด เพื่อแลกกับความปรารถนาข้อนั้นของเจ้า..........ไคเรน”
อ๋อ ซ้อมละครกันล่ะสิ ท่าทางจริงจังกันน่าดู
“อ้าว อาจารย์อีฟครับ มาเดินตรวจตราเหรอฮะ จะเข้าไปดูมั้ยล่ะฮะ”
เสียงทักที่คุ้นเคยทำให้นัยน์ตาสีฟ้าหันไปมองลูกศิษย์ตัวแสบซึ่งสูงกว่าเธอตั้งคืบ นัยน์ตาสีทองมองเธออย่างอารมณ์ดีในมือมีถุงเสบียงใบเบ้อเริ่ม
“น่าสนใจนะจ้ะ แต่อาจารย์รอดูวันงานดีกว่าจ้ะ เฟยหลง วันนี้ก็เป็นวันซ้อมวันที่สามแล้วคงเก่งกันแล้วล่ะสิจ้ะพวกเธอหัวเร็วแถมยังตั้งใจทำงานด้วยนี่นา” คนถูกถามเลยตอบ
“ก็ไปไวแล้วล่ะครับ เพราะตอนนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นซ้อมลำดับฉาก กับซ้อมพวกเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าครับ เพราะพวกแสดงหลักจำบทกันเร็ว แถมใส่อารมณ์กันก็เก่ง”
“ครับ นอกจากนั้นพระนางของเราก็ตั้งใจซ้อมกันด้วยเพราะรู้ว่าตัวเองห่วยเรื่องพวกนี้ เนอะ อเล็กซัส”
เสียงทักที่ดังขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าขาวของชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงซึ่งหวานราวกับหญิงสาว และอาการคิ้วกระตุกจากคนที่ถูกเรียกด้วยชื่อแปลกๆ
“ฉันบอกนายกี่หนแล้วว่าอย่าเรียกฉันว่าอเล็กซัสน่ะ หา ชุนจิโร่”
คนถูกเอ็ดซึ่งไม่สนใจก็เชื้อเชิญอาจารย์สาวเข้ามาดูการซ้อมแกมบังคับเล็กน้อยเพื่อมาวิจารณ์การแสดง ร่างเล็กของอาจารย์สาวจึงต้องก้าวเข้ามาในห้องคนตรีอย่างเลี่ยงไม่ได้ นัยน์ตาสีฟ้าจึงพบว่าบัดนี้ห้องดนตรีใหญ่ซึ่งมีคนใช้ไม่มากบัดนี้แน่นขนัดไปด้วยเหล่าสมาชิกของเด็กปีหนึ่ง และรุ่นพี่ในแต่ละชั้นปีทั้งที่ว่างและที่หอบงานของตัวเองมาทำกำลังนั่งรวมกันอยู่ สองมือก็ทำงานของตัวเองไป แต่นัยน์ตาจับจ้องอยู่กับการแสดงของรุ่นน้องตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ พลางเสนอความคิดให้กับรุ่นน้องปีหนึ่งซึ่งมีสมุดและปากกาคนละเล่มคอยจดคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ดังกล่าวอย่างตั้งใจ รวมทั้งเหล่าสภานักเรียนซึ่งมือก็นั่งปั่นเอกสารกันเป็นระวิง พลางเช็คนู่นเช็คนี่จากเอกสารกองพะเนินที่สุมอยู่ข้างๆ แต่ตาก็มองการแสดงของรุ่นน้องอย่างจดจ่อ
กลายเป็นศูนย์บัญชาการไปแล้วสินะ แม้แต่พวกปีสี่เองยังมาดูรุ่นน้องเลย
ว่าแล้วนัยน์ตาสีฟ้าจึงหันไปทางเวทีกลางห้อง
“ต่อไปจะเริ่มซ้อมฉากที่ห้ากันนะ ทั้งสองคนยังไหวไหม เล่นซ้อมมาสี่ชั่วโมงแล้ว พักก่อนรึเปล่า” เซบาสเตียนซึ่งเป็นผู้กำกับการแสดงในครั้งนี้เอ่ยขึ้นซึ่งนักแสดงนำทั้งสองก็ทำเหมือนทุกครั้งที่โดนถามคือส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว พลางเดินไปประจำตำแหน่งที่วางกันไว้ และเนื่องจากในฉากนี้ นางเอกของเรื่องต้องเปลี่ยนชุด เด็กสาวร่างเล็กเจ้าของนัยน์ตาสีเพลิงผู้รับบทจึงต้องเดินไปเปลี่ยนรองเท้า
“เซบาสเตียน ฉากนี้รึเปล่าที่ยังมีปัญหา” เสียงถามจากรุ่นพี่ปีสามคนหนึ่งดังขึ้น ซึ่งคนถูกถามก็พยักหน้ารับอย่างจนใจพลางเอ่ย
“พวกพี่ช่วยดูหน่อยนะครับ จริงๆมันก็โอเคแล้ว แต่ผม........ยังรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่างฮะ”
“เฮ้อ เหนื่อยจัง แค่ปีแรกยังแทบไม่ได้นอนกันเลยแฮะ”
เสียงบ่นที่เรียกหัวเราะบางๆแกมขันจากเพื่อนร่วมชั้นปีซึ่งบัดนี้ย้ายสถานที่นอนจากห้องนอนประจำลงมาอยู่ในห้องโถงใหญ่ด้านล่างซึ่งเอาไว้รวมกลุ่มกันเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ แต่ละคนก็ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองอย่างขะมักเขม้น โดยเฉพาะพวกฝ่ายศิลป์ที่ทำฉากซึ่งไม่ได้ใช้วัสดุอุปกรณ์ไดๆทุ่นมากนักยกเว้นพวกของประกอบฉากขนาดเล็ก ส่วนพวกฉากขนาดใหญ่จะใช้เวทม่านมายาเพื่อไม่ให้เปลืองอุปกรณ์และเวลาในการทำ แต่ละคนก็ทั้งนั่งทำ แล้วก็นั่งฝึกเวทเพื่อใช้ให้คล่องจะได้ไม่หน้าแตกแล้วก็ทำละครพัง ส่วนฝ่ายที่เหลือก็เฉพาะนักแสดงหลัก ฝ่ายเขียนบท และฝ่ายเสื้อผ้าที่นั่งคุยอยู่กับเซบาสเตียน
“อย่าบ่นเลยน่า ชุนจิโร่ เดินเสบียงจากรุ่นพี่เหนื่อยมากรึไง” เสียงทักจากซันซึ่งนั่งทำอุปกรณ์ประกอบฉากอย่างขะมักเขม้นเอ่ยถามขึ้นอย่างขันๆ
“เออ เหนื่อยสิ นายลองมานั่งฟังความอยากร้อยแปดของตัวเองดูบ้างเด่ะ เฮ้ เซบาสเตียน นายก็ไปนอนซักงีบดีกว่ามั้ง นายหลับวันละสามชั่วโมงเองนะเดี่ยวนี้”
เสียงโวยจากชุนจิโร่ เรียกเสียงสนับสนุนจากเพื่อนๆซึ่งตะโกนเสริมกันอย่างเป็นห่วง คนโดนห่วงก็เลยจำใจต้องนอนพักบนโซฟานุ่มหน้าเตาผิงตามคำขอของเพื่อนๆอย่างช่วยไม่ได้ นอนสักพักก็หลับสนิทเพราะความเพลียที่สะสมมานานอย่างรวดเร็ว
“ฝืนตัวเองจังนะค่ะ เซบาสเตียนน่ะ” เด็กสาวเอ่ยพลางรับผ้าห่มจากชายหนุ่มก่อนรั้งคลุมร่างของคนหลับเบาๆ แล้วลุกไปนั่งที่โซฟาอีกตัวด้านข้าง พร้อมๆกับร่างสูงของชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีเงินซึ่งตามติดเป็นเงาตามตัวเด็กสาวอยู่ไม่เคยห่างกาย
“เหนื่อยรึเปล่า เรเนอร์” เสียงทุ้มเอ่ยถาม แม้น้ำเสียงจะฟังจะฟังดูเรียบเฉยแต่สามารถสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่มีให้เสมอ ร่างเล็กจึงตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่หรอกค่ะ เรย์ต่างหากที่น่าจะเหนื่อยกว่า เพราะเอาแต่คอยดูแลคนอื่นไปทั่วแบบนั้น”
รอยยิ้มบางที่หาดูได้ยากแย้มบนใบหน้าขาวแสนขรึมของชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีเงิน มือบางหยิบผ้าห่มผืนหนาซึ่งขนลงมาจากห้องนอน ก่อนห่มให้ทั้งตัวเองและคนข้างกายซึ่งนั่งอ่านบทอย่างเอาจริงเอาจัง นัยน์ตาหันมามองร่างเล็กที่อยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกับเขาอย่างตกใจ
“เรเนอร์ แบบนี้มัน”
“อุ่นกว่าค่ะ จะได้ไม่เป็นหวัดไงล่ะค่ะ”
เสียงตอบที่สวนมาพร้อมกับนัยน์ตาคู่กลมใสแจ๋ว ร่างสูงจึงไม่เถียงอะไรอีก ส่วนหนึ่งก็เพราะแววอิดโรยในนัยน์ตาคู่สวยนั่น
คงต้องนั่งตัวแข็งอย่างนี้ทั้งคืนเลยล่ะมั้งเนี่ยเรา
.............................................................................................................
“ไม่นอนหรือไง เหนื่อยไม่ใช่เหรอ”
เสียงทุ้มต้องถามคำถามเดิมอีกรอบเมื่อร่างเล็กของเด็กสาวยังคงนั่งอ่านบทมาราธอนกับเขา เพื่อนๆรอบๆห้องบัดนี้หลับคางานที่ทำอยู่อย่างอ่อนเพลีย เหลือเพียงเขาและเด็กสาวข้างกายที่ตีสองเข้าไปแล้วยังคงอ่านบทของตัวเองกันอย่างไม่คิดจะหลับจะนอน
“ไม่หรอกค่ะ ฉันอยากเข้าใจคาริเรนาคนนี้ให้มากกว่านี้ค่ะ อยากเข้าใจเหตุผลของเธอให้มากกว่านี้อีกสักนิด ว่าความรักของเธอน่ะเป็นแบบไหน”
“แต่ว่า........งั้นก็ช่วยไม่ได้.......ถ้างั้น.............แผล เป็นยังไงบ้าง”
คำถามซึ่งเด็กสาวยิ้มรับเป็นคำตอบ ที่ชายหนุ่มซึ่งนั่งมองอยู่ไม่เชื่อเลยสักนิด เธอมักจะยิ้มกลบเกลื่อนจนเขาเขวทุกครั้งไป และครั้งนี้คงต้องเค้นถามเหมือนทุกที
“เรเนอร์ จะต้องให้ฉันเปิดดูเองรึเปล่า”
“มันไม่ลามไปมากหรอกค่ะ ก็ยังคงตัว” เสียงหวานตอบเจื่อนๆเมื่อถูกจับได้ว่าโกหก คิดในใจอย่างงอนๆว่าปิดคนตรงหน้าไม่ได้สักกะเรื่อง
“งั้นเหรอ..........ถ้าเจ็บเธอต้องบอกฉันนะ เข้าใจมั้ย” คำพูดซึ่งร่างเล็กพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน ไม่รู้วาทำเพื่อตอบรับคำขอของเขา หรือว่าเปลี่ยนบทสนทนากันแน่
“แล้วเรย์ล่ะก็ คิดว่าคาริเรนารักไคเรนมากขนาดไหน”
คำถามที่ทำให้ร่างสูงของชายหนุ่มคิดตามอย่างพิจารนาก่อนเอ่ยตอบยาว
“มีสองแง่ ถ้ามองจากมุมของไคเรนคนนั้น คงเป็นความรักที่เธอให้เขามากมายโดยที่เขาไม่รู้ตัว ความรักที่เธอไม่เอ่ยต่อเขา และไม่ว่ายังไงก็ไม่อยากให้เขารู้ เพราะสุดท้ายเธอรักถึงขนาดที่ทำทุกอย่างเพื่อเขาเลยนี่นา เขาคงรู้ดีด้วยว่าถ้าไม่เกิดกบฏนั่น สุดท้ายคาริเรนาของเขาก็จะทำแบบนี้อยู่ดี”
“แล้วมุมของเรย์ล่ะค่ะ”
ร่างสูงเงียบไปพักหนึ่ง แล้วเอ่ย
“คิดว่า เป็นความรักที่ทั้งยิ่งใหญ่แล้วก็สมเป็นคาริเรนาจอมเจ้าเล่ห์ดีนะ แต่เธอคนนั้นลืมนึกไปรึเปล่าว่าคนน่ะ อยู่ก็เหมือนตายถ้าหากขาดหัวใจของตัวเองไป”
“ลึกซึ้งจังเลยนะค่ะ เรย์เนี่ย มิน่าถึงเอาใจใส่คนอื่นอยู่ตลอดเวลาเลยนะค่ะ” เด็กสาวเอ่ยเสียงใส เรียกให้ใบหน้าคมขาวๆขึ้นสีเรื่อเล็กน้อยเนื่องจากไม่คิดว่าจะถูกชมโต้งๆขนาดนี้ มือหนาเกาหัวแกรกๆกลบอาการเขินของตน แล้วคว้าร่างเล็กให้นั่งพิงร่างของเขาดีแล้วเอ่ยเก้อๆ
“เอ่อ หลับเถอะ เธอเหนื่อยไม่ใช่เหรอ หรือถ้าไง นอนไม่หลับก็ คุยเรื่องบทต่อก็ได้”
คำกล่าวซึ่งทำให้ร่างเล็กของเด็กสาวอมยิ้มอย่างมีความสุข เมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยอันอ่อนโยนจากคนข้างกาย ใบหน้าหวานแย้มยิ้มกว้างก่อนจะพลิกบทมาอ่านอีกรอบเพื่อทำตามจุดประสงค์ของตน นัยน์ตาสีเพลิงจับจ้องไปที่ตัวอักษรบนเอกสารอย่างตั้งใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเพลียก็เข้าครอบงำประกอบกับมีที่พิงอุ่นๆซึ่งช่างสบายยิ่งนัก ร่างเล็กจึงผล็อยหลับไปในเวลาอันรวดเร็ว
“ไง นอนไม่หลับกันรึไง” เสียงทักที่คุ้นเคยทำให้ร่างสูงของชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีเงินเหลือบสายตาผู้มาใหม่ตรงหน้าพลางเอ่ย
“นายล่ะ ไม่ง่วงเหรอ ซ้อมไปตั้งเยอะ แถมไปช่วยซ้อมเวทให้ฝ่ายฉากอีก เชน”
เชนส่ายหน้าเบาๆเป็นคำตอบพลางนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวด้านข้าง ใบหน้าคมจับจ้องที่เด็กสาวร่างเล็กเพียงคนเดียวในห้องข้างกายผู้สนทนาอย่างเอ็นดู แล้วเอ่ยบ้าง
“นายคิดยังไงกับบทระหว่างคาอิลเรแล้วก็ไคเรน”
นัยน์ตาสีเงินหรี่มองร่างของคนตรงหน้าอย่างชั่งใจและพิจารนา ก่อนเอ่ย
“ไคเรนเทิดทูนคาอิลเร มันก็มีแค่นั้น......................ถ้านายหมายถึงในบทล่ะก็นะ”
เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นจากคนถามในทันทีที่ได้รับคำตอบ นัยน์ตาสีเงินอมม่วงมองคนตรงหน้าอย่างถูกใจแล้ววางบทลงบนโต๊ะด้านหน้า ก่อนเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนั่งสบายๆ
“นายก็ดูออกอีกแล้วสินะไปอ่านพงศาวดารมาล่ะสิ ใช่..............คาอิลเร ทั้งเอ็นดู รักไคเรนเหมือนน้องชายแท้ๆ แต่ว่าในอีกนัยหนึ่ง” ก่อนที่เจ้าของนัยน์ตาสีเงินจะเอ่ยต่ออย่างรู้ทัน
“อิจฉา เพราะ............”
“คาอิลเรรักคาริเรนามากกว่าน้องสาว ถึงได้อิจฉาไคเรนอยู่ลึกๆที่คาริเรนามอบความรักทั้งหัวใจให้ไป โดยเหลือเพียงความใจดีไว้ให้เขา”
สิ้นคำกล่าวสองร่างก็ตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงปะทุของกองไฟในเตาผิงซึ่งลุกโชติช่วงเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ผู้อาศัยในที่นี้
...............................................................
เพราะรัก จึงไม่อาจคว้ามาไว้ข้างกายได้
เพราะรักมาก จึงไม่อาจคัดค้านในความตั้งใจที่โหดร้ายนั่น
เพราะรักที่สุด จึงต้องเดินไปในทางที่เธอสร้างเอาไว้ให้ได้
.........................ความเห็นแก่ตัวของฉันไม่มีวันที่จะได้รับการให้อภัยจากตัวฉันได้
เพราะรัก จึงไม่อาจเอื้อมฉุดรั้งเธอลงมาได้
เพราะรักมาก จึงไม่อาจปฏิเสธเธอได้แม้สักอย่าง
เพราะรักที่สุด จึงไม่อาจมีชีวิตอย่างที่เธอปรารถนาได้
.........................ความผิดของฉันไม่มีวันลบล้างได้ และไม่มีวันที่จะยกโทษให้ได้
เสียงเจี้ยวจ้าวดังเช่นทุกวันในห้องดนตรีใหญ่ซึ่งเหล่าเด็กนักเรียนปีหนึ่งของสถาบันไนท์ยึดเป็นที่ซ้อมละครกันมาได้ห้าวันแล้ว อีกเพียงสามวันก็จะถึงงานวันสถาปนา ซึ่งจากคำบอกเล่าของเหล่ารุ่นพี่แล้วสามวันถัดจากนี้ คือสามวันมหาโหดแห่งการเตรียมงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการสร้างสถาบันไนท์แห่งนี้ เหล่ารุ่นน้องซึ่งยังใหม่กับงานอยู่จากตั้งใจทำงาน กลายเป็นตั้งใจทำงานสุดๆถึงยังไงความสนุกสนานก็เป็นสิ่งที่มักมีไม่เคยขาดเพราะเจ้าสองตัวคู่กัดประจำชั้นซึ่งยังคงทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องซึ่งสร้างสีสันให้กับการเตรียมงานและซ้อมละครที่แสนตึงเครียดนี้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว
“ฉันบอกนายแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเรียกฉันด้วยชื่อนั้น ชุนจิโร่” เฟยหลงกดเสียงหนักเน้นทีละคำอย่างอารมณ์เสียเมื่อคนที่กำลังกล่าวถึงไม่เคยทำตามคำขอ
แถมยังยิ้มยียวนกวนบาทาอีกด้วย
“อย่าบ่นนักเลยน่า อเล็กซัส ทีพวกเรเนอร์เรียกนายแปลกกว่านี้นายยังไม่บ่นเลยนี่นา”
“มันไม่เหมือนกัน ฉันไม่ชอบให้ใครมาเรียกชื่อนี้”
“+-*/!@#$%^&*” (จิ้นเองตามสะดวก)
“ชุนจิโร่ค่ะ อาเฟย หยุดทะเลาะกันดีกว่าค่ะ” เสียงหวานของเด็กสาวเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี พลางแยกสองร่างที่กำลังทะเลาะกันอย่างง่ายดายจนคนมองนึกสงสัย
“เธอก็อย่าเรียกชื่อที่เหมือนผู้หญิงอย่างนั้นได้มั้ย” เฟยหลงเอ่ยขึ้นบ้าง
“มันก็น่ารักดีนี่ค่ะ คนอื่นเขาก็เรียกกันอีกตั้งหลายชื่อ อาเฟยก็อย่าคิดมากสิค่ะ”
คำกล่าวที่ทำเอาคนฟังกุมขมับเบาๆ พลางนึกในใจว่าไอ้ความสุภาพจัดของเด็กสาวร่างเล็กตรงหน้านี่มันหายไปหมดแล้วรึยัง ก่อนเอ่ย
“งั้น เรน ไม่ต้องไปซ้อมการแสดงรึไง”
ใบหน้าขาวหวานของเด็กสาวและทุกคนในที่นั้นที่ได้ยินเสียงของเฟยหลง ต่างเอียงคออย่างสงสัยในสรรพนามดังกล่าว แต่สักพัก เด็กสาวร่างเล็กก็แย้มยิ้มออกมาบางๆ พร้อมกับพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนสาวเท้าเดินกลับไปทางเวทีสูง ซึ่งหลายคนก็มองตามอย่างงงๆ
“เรน นายเปลี่ยนวิธีเรียกเรเนอร์ใหม่เหรอ” ชุนจิโร่เอ่ยถามอย่างสงสัย ซึ่งคนตัวสูงกว่าที่ถูกถามก็ยิ้มบางๆก่อนตวัดเสียงเข้มด้วยใบหน้าเรียบ
“ไม่เกี่ยวกับนาย ชุน”
“เฮ้ย ชุดมาแล้ว ไปช่วยกันขนหน่อยเร็ว” เสียงตะโกนที่ดังขึ้นทำให้ร่างสูงของเหล่าชายหนุ่มทั้งหลายผละจากงานที่ทำอยู่ไปรับกองเสื้อผ้าซึ่งถูกห่อมาอย่างดี พร้อมกับการสั่งการเสียงแข็งของผู้กำกับซึ่งวันนี้ดูจะฟิตจัดหลังจากได้หลับเอาแรงไปหลายชั่วโมงซึ่งไม่ต่างอะไรกับคนโดนสั่งเช่นกัน
“ขอบคุณคุณซาร่ามากนะครับที่ช่วยเป็นธุระให้เรื่องนี้” เซบาสเตียนเอ่ยขึ้น ถึงแม้จะเป็นหญิงสาวแต่ก็ยังสูงสง่าจนเท่าพวกเขากับบางคนเจ้าหล่อนก็สูงกว่าเลยทีเดียว ใบหน้าขาวประดับไปด้วยรอยยิ้มหวาน และมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนเอ่ย
“เพราะสนไปขอร้องน้าไว้จ้ะ ได้แอบฟังอยู่ข้างนอกมาบ้างแล้ว ท่าทางจะไปได้สวยนะจ้ะ”
“ขอบคุณครับ พวกเราทุกคนจะทำให้สุดความสามารถครับ คุณซากุระ ว่าแต่คุณซากุระ คงจะได้รับเชิญสินะครับ ตระกูลฮาลาร์เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมากนี่ครับ”
หญิงสาวแย้มรอยยิ้มกว้างให้เด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างเอ็นดู ก่อนเอ่ยออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ “รู้ดีจังเลยนะค่ะ แม้กระทั่งนามสกุลเก่าของน้าด้วย”
รอยยิ้มแย้มขึ้นบนมุมปากของชายหนุ่มโดยที่เจ้าตัวไม่ตอบอะไร ก่อนจะขอตัวไปทำงานต่อหลังจากเสนอตัวเดินไปส่ง และหญิงสาวบอกปัดอย่างสุภาพ ร่างสูงเกินมาตรฐานของหญิงทั่วไปจึงสาวเท้าออกมาจากสถานที่ซ้อมอย่างเงียบๆตามระเบียงทางเดิน และเจอใครบางคนที่ยืนรออยู่
“รอนานหรือเปล่า คาซิน”
เสียงหวานเอ่ยอย่างอ้อนๆพลางช้อนตามองร่างสูงของคนตรงหน้าด้วยแววตากลมโตใสซื่อ ที่คนฟังรู้ดีว่าไม่ได้ใสซื่ออะไรสักกะติ้ด นัยน์ตาคมสีน้ำตาลของชายหนุ่มร่างสูงเหล่มองคนข้างตัว ซึ่งเปลี่ยนเป็นยิ้มเจื่อนๆเมื่อคนตัวสูงกว่าจ้องไม่เลิกเสียที
“ไม่นานเท่าไหร่หรอก อย่าอ้อนน่า ฉันไม่ได้โกรธอะไรสักหน่อย”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น มือใหญ่ลูบหัวส้มๆของหญิงสาวเล่นอย่างหมั่นเขี้ยว นัยน์ตาคู่กลมโตของหญิงสาวมองร่างสูงอย่างงอนๆ มือเล็กคว้าแขนคนตัวโตมาควงแล้วออกเดินทันทีอย่างรวดเร็ว ซึ่งคนตัวโตก็ทำตามอย่างว่าง่ายไม่มีอิดออดไปตามทางเดิน
“ละครเรื่องนี้ ทำให้คิดถึงเธอกับหมอนั่นเลยสิ คาซิน” เสียงหวานเอ่ยเบาๆ ซึ่งชายหนุ่มรู้ดีว่าเธอไม่ต้องการการตอบกลับ แค่พูดความในใจที่อัดอั้นออกมาให้เขาฟังในยามที่เธอท้อแท้หรือมีเรื่องกลุ้มใจเสมอๆ แต่ความหมายของคำพูดนั่นก็ทำให้เขานึกตามความคิดของเธออย่างปวดใจ การที่เขาเงียบเสมอ เป็นผู้ฝังที่ดีนั้นก็ใช้ไม่ได้กับบางเรื่องที่ทั้งหนักและเป็นแผลบาดลึกอยู่ในใจแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน
“เธอคงไม่คิดว่าหมอนั่นมาเห็นแบบนี้แล้วจะอ่อนแอหรอกนะ ซาร่า”
หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยสั้นๆ
“ไม่หรอก ฉันก็แค่ ทิ้งความรู้สึกผิดของวันนั้นไปไม่ได้ วันที่ฉันเป็นต้นเหตุพรากความสุขของพวกเขาไป”
ความคิดเห็น