คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Night 3
ท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบาย
สายลมพัดโชยเอื่อยๆ
กองหนังสือวางสูงอยู่ในระดับพอเหมาะ
และเสียงบรรยายของอาจารย์คาร์ลประจำวิชากฎหมายที่กำลังได้จังหวะจะโคนที่น่าฟัง
จอมขี้เกียจสองตัวประจำระดับชั้นปีหนึ่งก็ฟุบหลับไปเรียบร้อย
คนแรกเป็นไนท์ฝึกหัดที่ถูกจัดเป็นอันดับสี่ของชั้นปีในจำนวนเกือบสามสิบคน เจ้าของใบหน้าหวานที่เรียกได้ว่าสวย และนิสัยที่มีพลังงานล้นเกินร้อยอยู่ตลอดเวลาทำให้เป็นที่รักของเหล่าเพื่อนๆ เป็นอันรู้กันว่าถึงมันจะขี้เกียจ แต่ก็เป็นคนที่เก่งจนคว้าอันดับสามไม่ก็สี่ของชั้นปีแข่งกับเพื่อนสนิทอยู่บ่อยๆ
ส่วนอีกคน
ไม่เก่งแล้วยังสะเออะขี้เกียจ
ร่างสูงของชายหนุ่มผิวขาว ใบหน้าคม นัยน์ตาสีเงินหลับพริ้มอยู่ในห้วงนิทรา ซึ่งมีอันดับเป็นที่โหล่ของชั้นปี แล้วก็ดันเป็นคนที่ไม่ค่อยขยันเสียด้วย ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ถือเป็นคนที่เก่งรอบด้านถามอะไรก็สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆได้ใจความ
เพียงแต่เวลาสอบไม่เคยเขียนวิธีทำลงไปเขียนแต่คำตอบ
พวกวิชาบรรยายก็เขียนตอบไม่เคยเกินสองบรรทัดๆทั้งๆที่เขาสั่งว่าสองหน้า
ทำการบ้านก็ไม่ต่างกัน
มันถึงยังที่โหล่อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
สายตาเกือบสามสิบคู่ของเพื่อนๆมองเจ้าตัวขี้เกียจสองตัวอย่างจนปัญญา อายุก็ยี่สิบเข้าไปแล้ว ยังทำตัวขี้เกียจเป็นพวกทีนเอจอยู่นั่นแหละ
สถาบันไนท์เป็นสถาบันที่ต่อยอดมาจากการเรียนระดับไฮน์ทีนเอจซึ่งต้องผ่านซับทีนเอจแล้วก็จูเนียร์มาก่อน การเรียนของระดับต้นเริ่มจากพรีใช้เวลาเรียนสองปีตั้งแต่สี่ขวบบางคนสาม ส่วนจูเนียร์ใช้เวลาเรียนหกปี ซับทีนเอจใช้เวลาเรียนหกปีเหมือนกัน ส่วนไฮน์ทีนเอจสองปีคือการแบ่งแยกวิชาเฉพาะเรียนพื้นฐานของสาขานั้นๆสองปี หลังจากนั้นก็จะเข้าระบบของสถาบันขนาดใหญ่เฉพาะทางก็จะแยกรับผู้ต้องการศึกษาตามสาขา สถาบันไนท์ก็เป็นหนึ่งในนั้น และก็มีสถาบันขนาดใหญ่อย่างโซฟิเทียร่าและรานูออสซึ่งมีการสอนครบวงจรตั้งแต่พรีจนระดับสูงแยกสาขา และผู้เรียนตามสถาบันเฉพาะทางต่างๆก็มาจากสองสถาบันนี้ทั้งนั้น
และสถาบันไนท์ก็ได้ชื่อว่าเข้ายากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง
เพราะรับจำนวนน้อยและเป็นหนทางที่ใฝ่ฝันของเหล่าผู้ที่อยากเป็นอัศวินซึ่งมีเกียรติยศสูงสุดในหมู่ทหาร อยู่รับใช้กษัตริย์ และเหล่าบุคคลสำคัญและเป็นหลักการันตีว่าครอบครัวจะมีฐานะที่ดี ที่สำคัญไม่เสียเงินเรียน รวมทั้งการสอบเข้าซึ่งเป็นที่ลือชื่อว่า สอบเข้าได้ยากที่สุด
แต่ดูสองตัวนี่มันทำ ไม่คุ้มงบประมาณแผ่นดินเลยให้ตายสิ
ส่วนเจ้าที่โหล่ เพื่อนก็ได้แต่คิดอย่างปลงตกว่าขนาดมีมาสเตอร์ก่อนชาวบ้านมาได้อาทิตย์กว่าๆ อยู่ห้องเดียวกัน มันยังไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนเลยให้ตาย
ปล่อยเค้าเป็นตัวของตัวเองเถอะค่ะ เคยถามแล้วว่าทำไมทำแบบนั้นเจ้าตัวเขาบอกเองว่าเขาไม่ใช่คนที่ชอบอธิบาย เขาชอบสรุปมากกว่า เดี่ยวนี้รายงานก็เริ่มเขียนเกินสองบรรทัดแล้วนะค่ะ ค่อยๆเป็นค่อยๆไปดีกว่าค่ะ
เสียงหวานที่ยังคงก้องอยู่ในใจทุกคนเมื่อไปเล่าเกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียนให้มาสเตอร์ของมันฟัง สาวน้อยหน้าตาน่ารักซึ่งตอบพวกเขาด้วยหน้าซื่อตาใส ชวนให้ตงิดๆยังไงชอบกล จะว่าปัดความรับผิดชอบก็ไม่ใช่ จะว่าห่วงหาก็ไม่ผิด แต่ดูเป็นคนง่ายๆเฉยๆจริงๆด้วย ถึงก่อนที่จะแนะนำเจ้าตัวผู้เป็นไนท์ของเขาไปแล้วยังออกปากออกมาเลยว่าเป็นผู้หญิงที่นิสัยแปลกๆ
เป็นคนแปลกทั้งคู่เลยสองคนนี้
“สบายรึเปล่าล่ะ หลับอีกแล้วนะ ชุนจิโร่” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นเมื่อทั้งห้าคนเดินออกจากห้องเรียนประวัติศาสตร์ คนถูกถามเอ่ยตอบงัวเงีย
“อะไรเล่า รุย ฉันต้องหลับเอาแรงเดี่ยวไปสู้กับศาสตราจารย์เซยะไม่ได้ แล้ววันนี้ก็มีชั่วโมงของเซยะจี้ด้วย ยังไงๆช่วงบ่ายก็ห้ามหลับเด็ดขาด”
“ขอให้นายหลับทีเถอะ ศาสตราจารย์เซยะจะได้ให้นายอยู่เรียนพิเศษ” ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีทองซึ่งเดินมาด้วยกันเอ่ยอย่างขันๆ
“นั่นสิ พักนี้นายชอบเอาขนมมากินที่ห้องเลอะไปหมด ไปให้ศาสตราจารย์เซยะดัดนิสัยสักอาทิตย์ก็ดี” ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยสำทับแววตาสีเงินทอสีม่วงอ่อนมีประกายขันเล็กน้อย
“อะไรกันน่ะ เรย์พูดอะไรหน่อยสิ เขาว่าพวกเรานะ” ชุนจิโร่โวยพลางหันไปหาแนวร่วมซึ่งกำลังเกาหัวแกรกๆ
“ฉันท้อปวิชานี้กับของเซยะจี้ อย่าเอาฉันไปเกี่ยว” เสียงทุ้มเอ่ยตอบเรียบๆ
“นายนี่มันความดันต่ำชะมัดเลย อดนอนมารึไง ว่าแต่แล้วทำไมนายเก่งวิชานี้จังฟะ” ชุนจิโร่เอ่ยถามนัยน์ตาสีเงินเหลือบมองเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบ
“เรื่องเก่ง ของเซยะจี้มีแต่สอบปฏิบัติส่วนของศาสตราจารย์เซยะ เขาไม่ได้แคร์เรื่องเขียนตอบสองบรรทัด แล้วก็เรื่องอดนอนเปล่า แต่เป็นความดันต่ำ น่าจะใช่”
“ช่างมันเถอะ นายแค่ขยันขึ้นวิชานี้ก็น่าจะโอเคน่า แล้ววันนี้นายจะเอาข้าวไปให้เรเนอร์จังมั้ยเรย์” ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีทองเอ่ยตัดบทพลางถาม
“ไม่หรอกวันนี้เธอบอกว่ามีงานต้องทำ จะออกไปข้างนอก ถ้ามีปัญหาเธอจะเรียกเอง”
คนฟังทั้งหลายทวนขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน
“ทำงาน”
“แล้วนายก็ปล่อยเขาไปเนี่ยนะ” ชุนจิโร่เอ่ยเสียงสูงซึ่งคนฟังก็พยักหน้ารับแล้วเอ่ย
“จะออกไปรับตอนเลิกเรียนที่หน้าสถาบัน”
แดดแรงจังเลย
เด็กสาวร่างเล็กกำลังยืนอยู่หน้าบาร์ขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง ซึ่งอยู่แถวๆสถาบันกราเดียส ที่สถานที่ค่อนข้างเก่าและดูโทรมเกินไปนิดสำหรับสถานที่ที่ถูกขนานนามว่าเป็นบาร์ที่เป็นที่นิยมของคนทั่วไปและนักท่องเที่ยว แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเหล่าคอเหล้าทั้งหลายที่พากันมาเมาตั้งแต่ตะวันยังส่องบั้นท้ายซึ่งมากันเต็มจนแน่นร้าน ร่างเล็กเดินเข้าไปในด้านในด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“นมจืดเย็นแก้วค่ะ มาสเตอร์” เสียงใสเอ่ยสั่งเครื่องดื่ม ซึ่งมาสเตอร์ประจำร้านก็ยิ้มรับพลางจัดการให้ตามที่เด็กสาวร่างเล็กเจ้าของนัยน์ตาสีเพลิงกลมโต เรือนผมสีเดียวกันวันนี้รวบสูงสองแกละดูน่ารักบวกกับชุดสไตล์โกธิคโลลิต้า ที่คอขาวมีปลอกผ้าลูกไม้สีแดงยึดด้วยปลอกหนังสีดำ เสื้อขอบลูกไม้สีดำแขนยาวเผยผิวเนื้อเหนืออกขาวอมชมพู สวมทับด้วยกระโปรงเพ็ตติโค้ตสีแดงเข้มยาวไล่ลงมาจนถึงเกือบเข่าแหวกตรงกลางด้านหลังมีโบสีแดงปลายเป็นระบายยาวถึงน่อง กระโปรงขอบลูกไม้สีดำสองชั้นด้านใน ถุงน่องลูกไม้สีดำสูงถึงต้นขาและรองเท้าบูทสูงครึ่งน่อง ยิ่งทำให้ร่างเล็กของเด็กสาวในวันนี้ดูน่ารัก ไม่เหลือคราบของเด็กสาวซอมซ่อที่โผล่มาที่สถาบันในวันแรกเลยแม้แต่น้อย เรียกสายตาหลายสิบคู่ให้มองตามได้ไม่ยาก
“ได้แล้วครับ สาวน้อยมาทำอะไรที่นี่เหรอครับ” มาสเตอร์เอ่ยถาม นัยน์ตาสีทองวาวจ้องมองร่างเล็กตรงหน้าอย่างเอ็นดู ผมสีทองรวบไว้ด้านหลังเป็นปอยเล็กๆทำให้มาสเตอร์คนนี้ดูหนุ่มมากขึ้นไปอีก พลางยื่นแก้วนมเย็นให้มือเล็กตรงหน้าซึ่งรับมาถืออย่างทะนุถนอม
“ก็มีงานนิดหน่อยนะค่ะ แย่จัง ชุดสะดุดตาไปหน่อยล่ะค่ะ” เสียงหวานเอ่ยอย่างอึดอัด เมื่อเหล่าคอเหล้ายามกลางวันทั้งหลายยังคงไม่ยอมละสายตาไปทั้งๆที่ผ่านไปสักครู่แล้วหลังจากที่เธอเดินเข้ามาที่นี่ แหงล่ะ ชุดแบบนี้แล้วเดินเข้ามาในบาร์เหล้าที่มีแต่ผู้ชาย
มันน่าไหมล่ะ
“เดี่ยวที่นี่จะจัดการประลองในอีกสามวัน สาวน้อยจะมารึเปล่าครับ” มาสเตอร์เอ่ยถามขึ้นเฉยๆ ใบหน้าหวานแย้มยิ้มกว้างก่อนเอ่ย
“ลงชื่อไว้บัญชี กุหลาบ ได้เลยค่ะ”
นัยน์ตาคมสีทองของมาสเตอร์เจ้าของร้านหรี่ลงเล็กน้อย มือใหญ่หันไปหาเหล้าที่ชั้นข้างหลัง แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“เรด บาลเซ่น หรือ ไวโอเลต แมรี่ดีครับ”
“แบล็คโรส เบลี่ย์ค่ะ”
สิ้นเสียงหวานมาสเตอร์เจ้าของร้านก็แย้มรอยยิ้มกว้าง ก่อนก้มลงหยิบอะไรบางอย่างไต้โต๊ะแล้วมือหนาก็ยื่นของบางอย่างให้เด็กสาวร่างเล็กตรงหน้า ซองจดหมายสีดำ ปิดผนึกด้วยตราปีกสีน้ำเงินที่คุ้นตา และของอีกอย่างที่วางมาคู่กัน สร้อยคอที่มีจี้เป็นรูปหยดน้ำสีม่วงเข้ม แล้วก็ค๊อกเทลสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ
“เทคีลาร์ คือชื่อของมันครับ” เสียงทุ้มของมาสเตอร์เอ่ยเบาๆ ก่อนปรับสีหน้ากลับไปยิ้มเหมือนปกติก่อนที่เด็กสาวจะเดินเข้ามานั่งตรงหน้า
เทคีลาร์ หนึ่งในเจ็ดอัญมณีต้นกำเนิดพลังของ ลอร์ด แบ็คครอส
ท่าทางจะสนุกแล้วล่ะสิ
“ไปทำอะไรมา ถ้ากระดูกมันหักขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ เกือบจะหายแล้วไม่ใช่เหรอ” เสียงถามอย่างเป็นห่วงทำให้ร่างเล็กในชุดน่ารักซึ่งคนเอ่ยถามถึงกับอึ้งเมื่อเห็นครั้งแรกและเปลี่ยนเป็นโมโหขึ้นมาเมื่อเห็นขาขาวในถุงน่องสีดำสวมรองเท้าส้นสูงซึ่งเดินกะเผลกหน่อยๆนั่งนิ่งๆยอมให้คนตัวสูงกว่าสำรวจข้อเท้าบอบบางหลังจากที่ฉุดเธอมานั่งบนบันใดใกล้ๆ แล้วลงมือถอดรองเท้าและถุงน่องออกอย่างถือวิสาสะ
“ถ้าหักก็เอาไปต่อคนที่เขาไม่มีค่ะ” เสียงหวานเอ่ยตอบเสียงเจือออดอ้อนปนขบขันเมื่อเห็นร่างสูงจ้องเขม็ง สิ้นคำกล่าวที่ว่าก็ถลึงตามองเธออย่างเอาเรื่อง
“ยังจะล้อเล่นอีก อาทิตย์หน้าเธอต้องไปเรียนพร้อมกันกับพวกเรา”
“ค่ะ อะไรนะ” ทวนคำอีกทีอย่างไม่เข้าใจ
“เป็นคำสั่งของผู้อำนวยการ จะให้เธอนั่งแกร่วอยู่ในหอคงน่าเบื่อ พามานั่งเรียนด้วยจะดีที่สุด” เสียงทุ้มเอ่ยอธิบายสั้นๆซึ่งจับประเด็นที่เด็กสาวพอจะเข้าใจ ก่อนเสียงหวานจะหลุดเสียงร้องออกมาเบาๆเมื่อมือหนากดลงไปบนผิวเนื้อที่ข้อเท้าด้วยแรงมากเกินไปนิด เสียงทุ้มเอ่ย
“เดินไม่ไหวสินะ”
ร่างเล็กส่ายหน้าไปมาราวกับยืนยันว่า ไม่เอาเด็ดขาด
คนตัวโตถอนหายใจสั้นๆก่อนวงแขนแกร่งจึงช้อนเข้าไต้ข้อพับบาง มือหนาโอบแผ่นหลังบางอย่างเบามือ แล้วรั้งร่างเล็กเข้าอ้อมกอดเบาพร้อมๆกับขู่สำทับ “ถ้าดิ้นจะพาไปห้องพยาบาลนะ”
ได้ผล คนตัวเล็กหยุดดิ้นทันที แก้มใสป่องขึ้นเล็กน้อยเพราะถูกขัดใจ เรียกความขบขันเล็กน้อยบนใบหน้าคมที่เคร่งเครียดมาตั้งแต่เมื่อครู่ ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยเรื่อยๆ
“ไปทำอะไรมาล่ะ”
“เอ๋ ก็ออกไปในเมืองมานิดหน่อยค่ะ ออกไปรับงาน” คำตอบที่ทำเอาคนถามขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะมุ่นหัวคิ้วหนักขึ้นเมื่อเสียงหวานเอ่ยขึ้น
“คืนนี้ฉันจะต้องออกไปทำงานนะค่ะ”
ไม่เจียมสังขาร
คนตัวสูงสบถในใจเป็นรอบที่ร้อยเมื่อยืนมองดูร่างเล็กบางซึ่งเปลี่ยนชุดจากแบบโกธิคโลลิต้ากลายเป็นอีกชุดที่จะเรียกได้ว่าเป็นชุดที่มีแต่ระบายก็ไม่น่าจะผิดนัก เสื้อสีขาวขอบเป็นระบายสีเดียวกันเผยเนินอกเล็ก แขนเสื้อยาวถึงข้อศอกซึ่งก็มีขอบระบายสีเดียวกัน ผ้าผืนใหญ่สีดำผูกที่เอวบางและขมวดเป็นโบขนาดใหญ่ด้านหลัง กระโปรงสีขาวบานออกด้านหน้ายาวถึงแค่ต้นขาไล่ระดับยาวต่อไปทางด้านหลังและมีระบายซ้อนหลายชั้นด้านในยาวถึงเกือบหัวเข่ายาวไล่ระดับตามกระโปรงเช่นกัน รองเท้าส้นสูงสีขาวที่เข้าชุดถูกพับเก็บไปโดยคำประกาศิตของชายหนุ่ม และก็ต้องจำใจใส่รองเท้าคู่บางที่เหมือนรองเท้าบัลเลย์แทน เรือนผมสีแดงถูกประดับด้วยกิ๊บรูปผีเสื้อสีน้ำเงินที่ขมับด้านซ้าย ปล่อยสยายยาวปลายผมดัดเป็นลอนหน่อยๆ ด้วยความสามารถของชายหนุ่มอีกคนในห้องซึ่งมาเจอพวกเขาพอดี มือหนาและนัยน์ตาสีเงินอมม่วงอ่อนมองร่างเล็กที่กำลังลงมือแต่งหน้าบางๆให้เป็นขั้นสุดท้าย จนกระทั่งเสียทุ้มเอ่ยออกมาเมื่อเห็นผลงาน
“เสร็จแล้วล่ะ โอเคไหม”
ใบหน้าหวานพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น พลางมองหน้าตัวเองในกระจกอย่างตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะหันไปหาชายหนุ่มอีกคนที่ยังอยู่ในห้อง
“โอเคมั้ยค่ะ เรย์”
คนถูกถามหันมามองร่างเล็กเต็มๆตา ก็ยิ้มให้เล็กน้อยแล้วเอ่ยสั้นๆ “ดูหวานดี”
“ไปกันดีกว่าค่ะ เดี่ยวถ้าไม่รีบจะดึกเกินไปนะค่ะ” ร่างเล็กเอ่ยพลางยิ้มหวาน ร่างสูงของบุรุษทั้งสองมองหน้ากันเล็กน้อยแล้วลุกตามอย่างจนใจ
สองชั่วโมงก่อน
“ยังไงก็ห้ามไปค่ะ เรย์ห้ามไปด้วยเด็ดขาด” เสียงหวานเอ่ยยันหนักแน่นที่ทำให้คนฟังแทบจะยกมือกุมมือขมับ ทราบความรั้นของแม่คุณเต็มๆก็วันนี้ ทั้งสองอยู่ในห้องนอนที่หอพักซึ่งตอนนี้ไม่มีใครอยู่เพราะประชุมกันในห้องนั่งเล่นโถงใหญ่ด้านล่างของหอ
“ทำไม” เสียงทุ้มเอ่ยถามเรียบๆ
“อันตรายค่ะ แล้วงานของฉันก็เป็นความลับค่ะ ห้ามใครรู้เด็ดขาด” เสียงหวานตอบชัดถ้อยชัดคำ คราวนี้มือหนาจึงกุมขมับจริงๆอย่างหนักใจ
“ฉันจะไม่ยุ่งกับงานของเธอ แต่จะไปด้วย ตกลงไหม”
“เรย์ต้องไม่ยุ่งกับงานของฉัน และห้ามไปด้วยกันด้วยค่ะ ตกลงไหมค่ะ”
“เธอนี่มันดื้อชะมัด”
“เรย์ก็ไม่ต่างกับฉันหรอกค่ะ”
“เอาแต่ใจ ดื้อ ไม่ฟังชาวบ้าน”
“หัวแข็ง รั้น ไม่ฟังคนอื่น”
ก่อนจะออกทะเล สองคนที่ฮึ่มๆแฮ่ๆใส่กันก็ต้องชะงักเมื่อร่างสูงของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีแดงเปิดประตูเข้ามา นัยน์ตาสีเงินที่ทอสีม่วงอ่อนจางๆมองสองร่างตรงหน้าอย่างฉงนก่อนจะเอ่ยถามอย่างคนที่มีลางสังหรณ์แม่นกว่าผู้หญิงแท้ที่นั่งอยู่นี่
“พวกนายสองคนมีปัญหากันใช่มั้ย”
หลังจากฟังคำกล่าวอธิบายสั้นๆเพื่อนร่วมห้องก็ทำหน้าที่สนับสนุนเพื่อนอย่างเต็มกำลัง โดยอ้างเหตุผลต่างๆนาๆที่สามารถทำให้คนอื่นจนแต้มไปได้นานแล้ว แต่ดันใช้กับเด็กสาวตรงหน้านี่ได้ไม่กี่มุก แถมบางมุกยังโดนสวนจนสองคนมองหน้ากันแล้วตัดสินใจใช้ไม้สุดท้าย
“ถ้าอย่างนั้นจะแอบตามไปเอง แล้วคราวนี้จะไปหมดห้าคนเลยนะ”
ร่างสูงผู้ติดตามทั้งสองคนถอนหายใจเฮือกอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมายเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ทั้งสองหันมามองหน้ากันอย่างเหนื่อยใจ ก่อนเจ้าของนัยน์ตาสีเงินอมม่วงซึ่งมองเลยไปยังร่างเล็กซึ่งกำลังเดินอยู่ด้านหน้าจะเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาก่อน
“นายว่า เรเนอร์จะไปไหน ที่บอกว่าจะทำงาน”
“ไม่รู้ รู้แต่ว่าทางนี้ถ้ายังเดินตรงไปเรื่อยๆ คงจะไม่ค่อยดี” คนถูกถามเอ่ยตอบเรียบๆ นัยน์ตาสีเงินมองเลยไปยังปลายทางของทางเดินที่เริ่มเปลี่ยนเป็นเส้นทางลูกรังแคบๆขนาบไปด้วยป่าครึ้มทั้งสองด้าน ซึ่งจุดหมายด้านหน้าทำให้ร่างสูงหรี่นัยน์ตาเล็กน้อย
“ที่ไหนล่ะ” คนถามยังคงเอ่ยต่อเมื่อคนตอบยังตอบไม่หมด
“เฮลยีร่า” คำตอบสั้นๆที่ทำเอาคนฟังเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง
เฮลยีร่า จะกล่าวถึงมีแต่คนรู้จักเพราะถือเป็นสถานที่ที่เรียกได้ว่าเป็นแหล่งชุมนุมที่เจริญที่สุดและใหญ่ที่สุดของเหล่านอกกฎหมายทั้งหลาย ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครควบคุมคนเหล่านี้ ถึงจะได้ชื่อว่าพวกนอกกฎหมาย แต่ก็ถือว่าไม่ใช่พวกเดนตายจนตรอกไร้อุดมการณ์ แต่เป็นที่ที่ทางการจะไม่เข้ามายุ่งตราบไดที่ยังไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร ส่วนการที่ใครจะมาหาที่ตายที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครต้องสน เป็นสถานที่ที่อาจเรียกไก้ว่ารวบรวมเหล่ายอดฝีมือพเนจรและเหล่ายอดฝีมือในเงามืดทั้งหลายคงไม่ผิดนัก ที่นี่มีทุกอย่างที่ต้องการ เพียงแต่กฎข้อเดียวของที่นี่คือ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หรือเอาให้เข้าใจง่าย เรื่องของตัวเองก็ต้องจัดการด้วยตัวเอง
ที่คาดไม่ถึงไม่ใช่เพราะมันอันตราย แต่คาดไม่ถึงเพราะเด็กสาวที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้ากำลังจะไปทำงาน และคาดไม่ถึงที่คนข้างๆกายดันรู้เรื่องสถานที่ดังกล่าวนี่
“จะถึงแล้วนะค่ะ อย่างที่ตกลงกัน เราจะทำเป็นไม่รู้จักกันนะค่ะ”
ใครจะทำได้เรื่องแบบนั้น
คิดในใจแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ทั้งสามเดินไปเงียบๆโดยไม่มีใครพูดอะไรกันอีก จนกระทั่งเห็นคบเพลิงส่องสว่างพร้อมกับป้ายเก่าๆโทรมๆซึ่งปักเอียงกะเท่เร่ เขียนไว้ว่า เฮลยีร่า ขอต้อนรับ เรามีคำแนะนำให้ท่านเพียงอย่างเดียว ฆ่าก่อนที่จะถูกฆ่า
บรรยากาศเงียบสงัดเปลี่ยนไปเป็นกดดันเล็กน้อยเมื่อร่างเล็กพาเดินเข้ามายังภายในที่ที่เรียกว่า เฮลยีร่า ผู้คนเดินกันว่อนเหมือนกับเป็นเมืองทั่วไปในยามกลางวัน ต่างกันที่ทุกสะพายอาวุธครบมือ บางคนก็แต่งตัวชนิดที่ว่าถ้าลองไปเดินเที่ยวในเมืองตอนสายๆอาจถูกหาว่าเป็นพวกโรคจิตไปเลยก็ได้ ร้านรวงต่างๆก็มีไม่ต่างจากในเมือง สภาพแวดล้อมสะอาดสะอ้านเหมือนปกติ
ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแหล่งชุมนุมของพวกนอกกฎหมาย
สายตาแทบทุกคู่หันมามองผู้มาใหม่ทั้งสามด้วยสายตาสนใจ และคนที่เด่นที่สุดคงจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เด็กสาวร่างเล็กใบหน้าหวานที่อยู่ในชุดน่ารักไม่เข้ากับสถานที่ แถมยังใจกล้าไม่พกอาวุธติดกายให้เห็นอย่างโจ่งแจ้ง และยังตีหน้าเรียบอย่างไม่สนใจใครอีกด้วย
ขาขาวก้าวอาดๆเข้าไปในบาร์เหล้าแห่งหนึ่งซึ่งมีเสียงอึกทึกครึกโครมดังออกมายันด้านนอก สายตาทุกคู่ในบาร์เหล้ามองตรงไปยังผู้มาใหม่ในทันทีเหมือนกับเป็นปฏิกิริยาตอบโต้อัตโนมัติ และดูเหมือนจะสะดุดตากับสาวน้อยที่เดินเข้ามาอย่างจัง ทำให้ชายหนุ่มสองคนที่เดินตามเข้ามาด้วยหมดความเด่นลงไปทันตาเห็น โธ่ เล่นซะชุดขาวทั้งตัวขนาดนั้น ไม่เด่นก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว
“รับอะไรดีครับ สาวน้อย” ร่างสูงของมาสเตอร์ประจำร้านซึ่งอยู่หลังบาร์ยาวเอ่ยถามขึ้น นัยน์ตาสีม่วงหลังกรอบแว่นมองร่างเล็กตรงหน้าอย่างเอ็นดู
“เอานมเย็นเหมือนเดิมค่ะ มาสเตอร์ รู้สึกเหมือนผมจะยาวขึ้นอีกแล้วนะค่ะ” เด็กสาวเอ่ยตอบพลางทักเกี่ยวกับผมยาวสลวยสีฟ้าอ่อนยาวถึงกลางหลังซึ่งถูกรวบเอาไว้เรียบร้อย ทำให้สองหนุ่มที่ตามมาด้วยรู้ได้ทันทีว่าเด็กสาวตรงหน้ามาที่นี่บ่อยจนเรียกได้ว่าเป็นขาประจำไปแล้ว รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าคมของคนโดนทักแย้มออก ก่อนจะเอ่ยไพล่ไปถึงสองหนุ่มด้านหลัง
“จีนิสเขาไม่ให้ตัดครับ สองคนมาใหม่ล่ะครับ อยากได้อะไร”
“ช็อกโกแลตร้อนละกันครับ” เสียงทุ้มของเจ้าของนัยน์ตาสีเงินอมม่วงอ่อนเอ่ยขึ้นมาก่อนพลางเดินไปนั่งข้างซ้ายเด็กสาวใบหน้าหวานซึ่งกำลังอึ้ง พร้อมๆกับอีกคนที่ไปนั่งขนาบอีกข้างอย่างรวดเร็วพร้อมกับสั่งของที่ตนอยากได้เหมือนกัน
“ชาจีนครับ”
ไม่เห็นทำตามที่บอกเลย
เด็กสาวพึมพำอย่างขัดใจเมื่อสองหนุ่มเล่นประกาศตัวโต้งๆว่ามากับเธอ นี่คงไม่คิดจะทำตามกันเลยใช่มั้ยเนี่ย บอกแล้วนี่นาว่ามันอันตราย
สายตาสองคู่มองเด็กสาวที่กำลังนั่งหน้าบึ้งแก้มป่องเมื่อสองคนข้างๆไม่ทำตามที่ตกลง เล่นเอาคนมองเกือบหลุดขำ แต่สายตาทุกคู่ในร้านแทบจะหลุดขำตั้งแต่ไอ้สามคนนี้สั่งเครื่องดื่มแล้ว
“วันนี้มาเรื่องประลองสินะครับ จะอยู่ถึงกี่โมงล่ะ รึจะให้จัดที่พักไว้ให้ครับ” มาสเตอร์เอ่ยถามเสียงนุ่มพลางยื่นเครื่องดื่มสามแก้วให้สามร่างตรงหน้า เด็กสาวรับไปดื่มเล็กน้อย นัยน์ตาสีเพลิงหรี่ลงนิดหน่อย ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบสนิท
“วันนี้มีวงพนันใช่มั้ยค่ะ”
“ครับ ตามสายบอกว่าจะมีปลาตัวใหญ่มา เอาเหยื่อมารึยังล่ะครับ” เสียงนุ่มยังเอ่ยตอบคำถามเด็กสาวเรื่อยๆ เรียกรอยยิ้มแสยะกว้างบนใบหน้าหวานได้ไม่ยาก
“เรียบร้อยค่ะ รอว่าปลาตัวไหนจะมาติดเบ็ดเท่านั้น”
เสียงเฮลั่นเมื่อไอ้สิ่งที่คุณเธอเรียกว่า วงพนันเล็กๆ เริ่มตั้งขึ้น
เสียงเฮนั่นไม่เห็นสมกับคำว่า วงพนันเล็กๆสักเท่าไหร่
ร่างเล็กของเด็กสาวในชุดขาวยืนนิ่งอยู่กลางสนามประลองหลังจากล้มคู่ต่อสู้ในวงพนันเป็นคนที่สี่ด้วยมือเปล่า เรียกเอาเสียงเฮและเสียงโวยมากมายได้ไม่ยาก เงินพนันส่งผ่านไปผ่านมารวดเร็วอย่างกับลมพายุ เล่นเอาคนที่มาด้วยสองคนงงไม่หายว่ามาทำงานตรงไหน
“อีกสักพักน่ะครับ งานก็น่าจะเข้าแล้ว ถึงตอนนั้นพวกคุณก็ระวังตัวไว้หน่อยนะครับ เพราะเหยื่อกำลังจะฮุบเบ็ดแล้ว” มาสเตอร์หลังบาร์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆกับชายหนุ่มสองคนซึ่งจ้องมาร่างเล็กกันอย่างไม่คลาดสายตา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากำลังจะมีเรื่อง
เพราะสัมผัสของรังสีฆ่าฟันอ่อนๆนี่มันออกจะชัด
พลันสายตาสองคู่ของคนที่นั่งเฉยๆก็ไปสะดุดกับร่างในชุดคลุมสีดำสนิท ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นต้นตอของรังสีฆ่าฟันอ่อนๆนี่ ร่างนั้นขยับตัวเล็กน้อยเมื่อเด็กสาวกลางวงพนันสามารถน็อกคู่ต่อสู้ได้เป็นคนที่ห้า คราวนี้ดูเหมือนจะแกล้งออมมือมากไปนิด แขนเสื้อสีขาวเลยขาดยาวไปหน่อย
มีแผนอะไรของเธอนะ
คนตัวสูงเจ้าของนัยน์ตาสีเงินจ้องมองเด็กสาวกลางวงพนันอย่างพิจารนา ตั้งแต่รู้จักกนมาได้อาทิตย์กว่าๆดูๆเขาก็ยังเดาทางของสาวน้อยคนนี้ซึ่งดูท่าจะต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนานคนนี้ไม่ออก ทั้งๆที่เขามองใครไม่ค่อยพลาด แต่กับหญิงสาวคนนี้ ดูเหมือนการกระทำของเธอจะดูผิดไปจาที่เขาคาดไว้เสมอ
และก็หวังว่านี่คงเป็นอีกครั้งที่เขาเดาผิดนะ
แต่น่าเสียดาย ที่ไม่เป็นเช่นนั้น
“เราขอท้า” เสียงเยียบเย็นของร่างในชุดดำเอ่ยขึ้น ทั้งที่เสียงค่อนข้างเบาแต่กลับทำให้วงพนันที่ครึกครื้นถึงกับเงียบกริบกับเสียงที่ชวนให้ขนหัวลุกนั้น
“เชิญค่ะ” เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ และเย็นชาผิดวิสัย และผิดจากที่พวกเขาเคยเห็นในหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา นัยน์ตาสีเพลิงกลมโตหรี่ลงจนเกือบจะกลายเป็นแบบที่เรียกว่า ตาขวาง บรรยากาศครึกครื้นสนุกสนานแปรเปลี่ยนเป็นกดดันจนน่าอึดอัดในทันที
“เริ่มแล้ว ทุกคน ระวังตัวนะครับ” มาสเตอร์เจ้าของร้านเอ่ยเสียงเย็น ทำให้เหล่าวงพนันถอยกรูดกันราวกับรู้หน้าที่ เป็นที่ทราบกันดีว่าถ้าเจ้าของร้านผู้สุภาพและเป็นที่เคารพเกรงใจของผู้ที่มาที่นี่ทุกคนเอ่ยเตือนอะไรขึ้นมาแม้นิดหน่อย ก็ควรสดับฟังและน้อมทำตามแบบไม่มีข้อแม้ เพราะคนที่ไม่ทำตามแล้วเจอดีเข้าก็มีเยอะถมเท เพียงแต่ไม่มีใครกลับมาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เท่านั้นเอง
สองหนุ่มที่ตอนแรกดูอยู่ห่างๆกลับกลายเป็นว่าอยู่แถวหน้าสุดของการประลองคู่นี้ไปซะแล้ว สายตาสองคู่ยังคงมองไปที่กลางวงพนันด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่บรรยากาศรอบตัวดูหนักอึ้งจนไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เพราะสองคนนี่ดูยังไงก็ไม่ใช่คนน่าจะเข้าไปคุยด้วยเท่าไหร่
มือหนาคว้าช็อกโกแลตร้อนขึ้นดื่มอย่างสบายอารมณ์ ก่อนที่จะขอเบิ้ลเป็นแก้วที่สองเมื่อเปลี่ยนใจซดหมดในคราวเดียว ก่อนจะเอ่ยกับคนข้างกายด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ
“เนี่ยนะ เหยื่อตัวใหญ่ ไม่ค่อยระวังตัวเท่าไหร่เลยนี่”
“ไม่รู้สิ” ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีเงินเอ่ยตอบเบาๆ พลางจิบชาจีนหอมกรุ่นช้าๆ นัยน์ตาสีเงินหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะเหล่ไปทางร่างสูงด้านหลังซึ่งกำลังส่งค็อกเทลให้ขาพนันอีกฝั่ง เรียกให้คนถามฉงนเล็กๆก่อนเอ่ยถามออกมาสั้นๆ ถึงแม้ตัวเองก็พอจะรู้คำตอบ
“ทำไมล่ะ หรือนายคิดว่ามีอย่างอื่นอีก”
“อย่ามาหลอกให้พูด นายก็รู้ว่ามันเป็นยังไง” เสียงทุ้มเอ่ยสวน เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากคนหลอกให้พูดได้เป็นอย่างดี นัยน์ตาสีเงินอมม่วงเลื่อนมามองเข้าไปในแววตาสีเงินคู่สวย หรี่ลงเล็กน้อยอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงท้าทาย
“เรานี่หักกันไม่ลงซักทีนะ เรย์ ชักสงสัยว่าถ้าวัดกันจริงๆฉันกับนายใครจะชนะ”
นัยน์ตาสีเงินเหล่มองคนที่เป็นทั้งเพื่อนตายและคู่แข่งอย่างไม่สบอารมณ์หน่อยๆ มันจะมายั่วเขาทำไมตอนนี้ ก่อนจะได้ปะทะคารมกันอีกประโยคเสียงเฮลั่นก็ดังขึ้นเรียกเป็นสัญญาณการเริ่มประลองให้สองหนุ่มต้องละจากสงครามปะทะฝีปากชั่วคราว สายตาสองคู่หันกลับไปมองร่างเล็กของเด็กสาวที่ได้แผลยาวที่หัวไหล่ซ้ายด้านหลังซึ่งเรียกให้เลือดไหลเป็นทาง เปรอะเปื้อนเสื้อผ้าสีขาวจนแห้งกรังเป็นสีคล้ำในเวลาเพียงเสี้ยววินาที แต่มือเล็กกลับคว้าคอของคนตรงหน้าในผืนผ้าคลุมแล้วบิดวนจนมีเสียงกระดูกหักด้วยมือเดียว
การต่อสู้ที่ควรจะจบไม่จบง่ายๆเมื่อ มือเหี่ยวแห้งในผ้าคลุมคว้าแขนขาวหมับ แล้วทุ่มลงพื้นไม้อย่างแรงจนหักเป็นหลุมใหญ่ ฝุ่นลอยฟุ้ง พร้อมๆกับชายหนุ่มที่ทำเป็นนั่งนิ่งอยู่นานสองนานจะลุกพรวดแต่ก็ยังทำไม่ได้เมื่อมือบางของชายหนุ่มสวมแว่น เจ้าของนัยน์ตาสีม่วง มาสเตอร์ของบาร์เหล้ารั้งไหล่หนาของสองร่างไว้กับที่ด้วยแรงมหาศาลซึงไม่มีใครคาดคิดว่าชายหนุ่มร่างผอมบางจะมีแรงมากขนาดนี้
“อย่าเพิ่งเข้าไปยุ่ง เลยนะครับ เธอยังไม่ได้แพ้สักหน่อย”
“แต่” เสียงทุ้มของสองหนุ่มประสานกันเถียงไม่ทันเริ่มก็มีเสียงดังที่เรียกความสนใจของสายตาทุกคู่ให้หันกลับไปมองการประลอง ร่างเล็กยืนนิ่งอยู่กลางซากเศษไม้ มือเล็กชูแขนเหี่ยวๆของร่างในผ้าคลุมซึ่งห้อยต่องแต่งราวกับหมดสติไปแล้ว เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินอมม่วงถอนหายใจอย่างโล่งอกไม่ต่างอะไรกับคนข้างๆแต่แล้วร่างที่ห้อยต่องแต่งอยู่นั้นกลับขยับมือเหี่ยวๆอีกข้างที่ห้อยอยู่อย่างไม่มีใครคาด นิ้วเรียวแหลมที่น่าสะอิดสะเอียนพุ่งไปที่อกขาวอย่างไม่มีใครคาดคิด
ก่อนที่ใครจะได้ขยับตัวทัน แสงสีดำก็วาบขึ้นเกิดแรงอัดไร้ที่มาอัดร่างในผ้าคลุมกระเด็นออกไปด้านนอกร้านอย่างรวดเร็ว แสงสีดำเมื่อสักครู่ของเด็กสาวก็ดับหายไปราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใบหน้าขาวยังคงเฉยสนิท ก่อนร่างเล็กจะเดินออกจากซากปรักหักพังมาหาชายหนุ่มทั้งสองและมาสเตอร์ของร้าน ซึ่งสองหนุ่มก็รีบปราดมาหาร่างเล็กซึ่งบาดเจ็บไม่น้อย
“กางอาณาเขตไม่คิด ไม่ห่วงตัวเองเลยรึไง นั่นมันผีดิบนะ ใช้เวทไม่ได้สักหน่อย”
“ใช้พลังไม่ดูเลยนะ เดี่ยวเรย์มันก็ช็อกแย่ถ้าเธอเป็นอะไร เรเนอร์” คำบ่นสองต่อทำเอาเด็กสาวกะพริบตาปริบๆก่อนจะตีหน้าเจื่อนหัวเราะแหะๆเพราะมีคนเดาทางเธออกว่า เมื่อกี้กางอาณาเขตกันการใช้พลังเวทและขอบเขตจำกัดการต่อสู้เอาไว้ซึ่งอีเวทสองบทนี่เรียกได้ว่ากินแรงอยู่พอสมควร
“ผีดิบ ปลดล๊อกพันธะเถอะ เธอบาดเจ็บนะ คนเดียวเอาไม่ไหวหรอกนะ” เสียงทุ้มของเจ้าของนัยน์ตาสีเงินเอ่ยตัดบทเด็กสาวที่กำลังจะก้าวเท้าออกสู่ถนนด้านนอกซึ่งตอนนี้มีเสียงหวีดร้องดังลั่น คงเพราะเจ้าผีดิบตัวนั้นอย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย
“อย่าฝืนเลยน่า เรเนอร์ เดี่ยวจะมีคนบาดเจ็บมากกว่านี้นะ” อีกเสียงที่มาด้วยกันเอ่ยเสริมอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงโครมครามดังสนั่น
ร่างเล็กกัดริมฝีปากอย่างเจ็บใจก่อนที่จะพยักหน้าตกลงอย่างแกนๆ สองคนนึกไปถึงวิธีปลดล็อกสัญญาซึ่งผู้อำนวยการจอมเจ้าเล่ห์เคยบอกเธอและเขาเอาไว้
‘ส่วนเรื่องการปลดล็อกสัญญา ในเมื่อไดอาของพวกเธอไปฝังอยู่ในเนื้อก็มีข้อแตกต่างระหว่างไนท์ปกตินิดหน่อยนะ ที่คอของเรย์ มันคือตัวเชื่อมพลัง แต่ที่คอของเรเนอร์มันคือต้นกำเนิดพลังของพวกเธอ เคยบอกไปแล้วสินะว่าพันธะสัญญามีห้าระดับ ของพวกเธอมันเกินไดม์ไปแล้ว และถ้าเกินไปแล้วแม้แต่วิธีปลดล็อกสัญญาก็ไม่เหมือนปกติที่แค่มาสเตอร์จูบไดอาของไนท์ แต่ไนท์จะต้องเป็นคนที่ถ่ายโอนพลังของมาสเตอร์เอง ง่ายๆเรย์ก็ต้องจูบไดอาที่มันอยู่บนต้นคอเรเนอร์นั่นแหละ’
คำอธิบายที่เคยเล่นเอาค้างไปนานพอดู แต่ตอนนี้คงไม่มีเวลาลังเลอีกแล้ว ร่างเล็กก้าวมายืนตรงหน้าร่างที่สูงกว่าเธอเยอะอยู่ แล้วพยักหน้าเบาๆเป็นการอนุญาต ก่อนเสียงหวานจะเอ่ยเบาๆ
“รีรีส พรีเนล ปลดปล่อยพลังแห่งไนท์ของข้า”
มือหนาฉุดร่างเล็กกว่าเข้าหาตัว ก่อนวงแขนแกร่งจะรั้งร่างบางขึ้น ใบหน้าคมโน้มลงไปใกล้ แล้วประทับริมฝีปากบนต้นคอขาวตรงตำแหน่งรอยสักอย่างแผ่วเบา
แสงสีดำสนิทสว่างวาบก่อนค่อยๆจางหาย ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของนัยน์ตาสีเงินยวงอยู่ในชุดที่เคยเห็นเมื่อครั้งทำสัญญากับเด็กสาวครั้งแรก เส้นผมสีน้ำเงินเข้มเกือบดำพลิ้วไสวตามสายลมพร้อมกับนัยน์ตาคู่คมซึ่งเหล่มองมาทางหนึ่งคนผู้ยืนนิ่ง
“ฝากดูเรเนอร์ด้วยนะ เชน”
เมื่อได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าเบาๆร่างสูงก็กระโจนออกไปนอกร้านอย่างรวดเร็ว เด็กสาวที่บัดนี้แผลเต็มตัวยืนมองอยู่นิ่งๆอย่างชั่งใจ แล้วสาวเท้าเดินออกไปซึ่งทำให้เชนที่อยู่ข้างหลังต้องรีบเดินมาประกบ พลางเอ่ยถามเสียงเรียบกับเด็กสาว
“เธอไม่ไว้ใจมันรึไง”
เด็กสาวส่ายหน้าเบาๆเป็นเชิงปฎิเสธ ก่อนจะเอ่ยออกมาสั้นๆ
“ไม่ค่ะ แต่งานของฉันยังไม่เสร็จ”
ร่างสูงของชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีเงินกำลังฟาดฟันกับสิ่งที่เรียกว่า ผีดิบ ในผ้าคลุมสีดำด้วยดาบที่เคยเห็นเมื่อครั้งที่แล้ว มือหนากดบนลงบนไหล่ของผีดิบในผ้าคลุมก่อนจะพึมพำอะไรบางอย่าง
ทันไดนั้น เพลิงสีแดงก็ลุกเผาแขนข้างที่เจ้าตัวกดดาบลงไปบนหัวไหล่เหี่ยวย่นในผ้าคลุม แล้วมือหน้าก็กดดาบลงจนฟันแขนข้างนั้นขาดได้อย่างไม่ยาก ร่างในผ้าคลุมร้องโหยหวนแต่เพียงครู่เดียว หลังจากที่แขนข้างนั้นหลุดไป มันก็ถอยหลังหลบไปอีกทางอย่างรวดเร็ว
“มันแพ้ทาง เพลิงชำระล้างสิ แสดงว่าเป็นแค่ผีดิบระดับสามเท่านั้นเอง” เชนกล่าวพลางถอนหายใจ ผีดิบนั้นแบ่งออกเป็นเก้าระดับ ระดับที่เรียกว่าสูงจริงๆคือตั้งแต่ระดับหกขึ้นไป ถ้าเป็นระดับสามถือว่ายังไม่หินเท่าไหร่นัก เพราะอยู่ในระดับที่เด็กปีหนึ่งของสถาบันไนท์จัดการได้ แม้กระทั่งไม่ต้องปลดล็อกพันธะสัญญาก็ไม่ยากเท่าไหร่นักในการกำจัดผีดิบระดับนี้
ชวนให้ใครบางคนสงสัย
ร่างสูงผู้กำลังต่อสู้ก็ซ้ำสิ่งที่เรียกว่าเพลิงชำระล้างลงไปที่ร่างของผีดิบในผ้าคลุมนั่นอีกครั้ง สายตาคู่คมเหลือบมองร่างเล็กซึ่งอยู่ในความดูแลของเพื่อนสนิทอย่างชั่งใจชั่วครู่ นึกฉงนกับรอยแผลที่พาดจากลำคอขาวลงไปถึงหัวไหล่ข้างซ้ายอย่างตื่นตระหนก
เมื่อกี้ไม่เห็นจะเห็นแผลนี่
แล้วทำไมเลือดถึงยังไม่หยุด
ครั้งที่เด็กสาวนอนเล่นอยู่ในห้องพยาบาลครั้งแรก ชายหนุ่มได้ทราบถึงประสิทธิภาพการฟื้นตัวของหล่อนได้ไม่ยาก แผลฉกรรจ์บางแห่งหายไปอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง ซึ่งผลจากการสอบถามผู้รู้แถวนั้นทำให้พบว่า พลังฟื้นตัวซึ่งเป็นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน เด็กสาวสามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งกรณีนี้หาได้ค่อนข้างน้อย เนื่องจากเงื่อนไขจิปาถะต่างๆเกี่ยวกับพลังนี้มีเยอะมากเกินไป
แต่เด็กสาวคนนี้ใช้มันได้
แล้วทำไม............
นึกฉงนได้ไม่นาน ก็ฉุกคิดได้ว่า ควรจะต้องเผด็จศึกตรงหน้าให้เร็วที่สุด เพราะดูจากสถานการณ์ที่กำลังผิดปกตินี้ อาจมีอะไรเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
“ดาบ..........แยก!”
มือหนากระชับดาบในมือมั่น รวบรวมสมาธิให้นิ่งและเยือกเย็น ก่อนที่ร่างสูงของชายหนุ่มจะหายวับไปเหมือนกับภาพลวงตา ก่อนที่ดวงตาของใครจะจับภาพร่างของเขาทัน เสียงดาบที่ตัดเนื้อดังแว่วแหวกอากาศมาสั้นๆ ปรากฏร่างสูงของเจ้าของดาบยืนหันหลังให้กับร่างของผีดิบในผ้าคลุม มือหนาคลายกระชับดาบในมือ เวลาเดียวกับที่ร่างในผ้าคลุมแยกร่างออกเป็นสองซีก และค่อยๆหลุดกระเด็นออกมาจากร่างสองซีกนั่นเป็นก้อนเนื้อหลายชิ้นเล็กๆซึ่งไม่มีใครสามารถนับได้ทันว่ามีกี่ชิ้น
“นี่น่ะเหรอ ดาบแยก ได้เห็นอีกแล้วนะเรย์ ดาบโปรดของนาย” เสียงทุ้มของเพื่อนสนิทเอ่ยขึ้นเมื่อร่างสูงของชายหนุ่มร่างสูงในชุดออกรบสาวเท้ากลับมาหาร่างเล็กของเด็กสาวผู้เป็นมาสเตอร์โดยไม่แม้แต่ชายตามองซากศพของผีดิบในผ้าคลุมแม้แต่น้อย
“ช่างมันเถอะ เรเนอร์ ทำไมเลือดมันไม่หยุด” คนตัวสูงเอ่ยถามเด็กสาวในเรื่องที่ข้องใจเมื่อครู่ทันที ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นนิดๆ นัยน์ตาสีแดงหวานกลมโตจ้องมองดวงแก้วสีเงินของคนตรงหน้าอย่างจริงจัง แต่จนแล้วจนรอดยังไม่ได้เอ่ยคำอะไรออกมา ร่างสูงจึงสำทับเข้าไปอีกที “ทำไมเลือดมันไม่หยุดสักที เกี่ยวกับไอ้แสงสีดำเมื่อตะกี้ด้วยใช่ไหม ตอบมาตรงๆเรเนอร์”
“ความลับทางราชการ ห้ามเผยแพร่ค่ะ” เสียงหวานเอ่ย ฟังดูเหมือนขัน แต่ใบหน้าหวานกลับดูเอาจริงเอาจังจนคนถามกับคนฟังอยากจะเอาหัวโขกเต้าหู้แล้วไปผูกคอตายไต้ต้นผักชีจริงๆ สองหนุ่มมองหน้ากันอย่างจนใจ แล้วก็นิ่งกันทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
“ออกมาแล้วงั้นสิ ตัวเอ้ของวันนี้” เชนเอ่ยออกมา นัยน์ตาสีเงินอมม่วงไล่กราดมองสภาพรอบตัวเพื่อหาต้นตอของความรู้สึกกดดันที่หนักขึ้นอย่างกะทันหัน
“ทนไม่ไหวเร็วจังนะครับ แค่ผีดิบตัวเดียว” เสียงทุ้มของมาสเตอร์ที่เอาแต่ยืนดูเหตุการณ์เดียวเอ่ยสมทบอย่างขันๆ พลางอมยิ้มบางๆ
“ไมต้องปิดก็ได้ค่ะ หนึ่งในสี่ขุนพลปิศาจของลอร์ดแบล็คครอส เกรท กีราส” สิ้นเสียงหวานของเด็กสาวร่างเล็ก รอยยิ้มบนใบหน้าคมขาวซีดซึ่งเร้นกายอยู่ในบรรดาหมู่คนถึงกับแย้มกว้างออกมาอย่างถูกใจ ฝูงชนแตกฮือกันกระเจิงไปคนละทิศละทางเมื่อได้ยินชื่อดังกล่าว
และเหลือเพียงร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งกลางลานดินกว้าง
ชายร่างสูงเกือบเท่าชายหนุ่มผู้เป็นไนท์หนึ่งเดียวในนั้นคนนี้แต่งตัวเป็นตัวตลกหรือโจ๊กเกอร์แบบในไพ่ต่างๆอย่างสมบูรณ์ทุกรายละเอียด ยกเว้นเพียงแต่ใบหน้าขาวซีดสวมแว่นกรอบสี่เหลี่ยมบางๆซึ่งไม่ได้เกิดจากการเติมแต่ง และยังไม่ได้แต่งหน้าอะไรทั้งสิ้น ผมยาวสีดำสนิทถึงกลางหลังถูกรวบไว้ด้านหลังเป็นหางม้า และเครื่องแต่งกายที่ควรจะเป็นสีขาว สีแดง สีเขียวและสีฉูดฉาดกับมีเพียงสีดำ สีแดง และสีน้ำเงินเข้มเท่านั้น แต่สิ่งที่เห็นเด่นชัดคือ นัยน์ตาเรียวราวกับเหยี่ยวสีเลือดซึ่งกำลังจ้องมองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างสนใจ
แปะ แปะ แปะ
ชายหนุ่มในชุดตัวตลกปรบมืออย่างถูกใจและร่าเริงเป็นที่สุด ก่อนนัยน์ตาสีเลือดจะจ้องมองไปที่เด็กสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มบุคคลที่ยืนอยู่
“ช่วยคืน ของของพวกเรามาทีได้หรือไม่ สาวน้อย เทคีลาร์ เม็ดนั้น” น้ำเสียงทุ้มที่แฝงความเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งเอ่ยเรียบๆ ซึ่งชายหนุ่มสองคนที่ไม่รู้และไม่เข้าใจเรื่องที่พูดกันถึงกับหันขวับอย่างไม่เชื่อมาที่เด็กสาวร่างเล็ก เมื่อได้ยินคำว่า เทคีลาร์
หนึ่งในเจ็ดอัญมณีของลอร์ดแบ็คครอส
“ไม่อาจคืนให้ได้ค่ะ เกรท กีราส เพราะถ้าคืนให้ล่ะก็ ทุกคนจะเป็นอันตราย” เสียงหวานเอ่ยตอบชัดถ้อยชัดคำโดยไม่คิดจะเจรจาไดๆทั้งสิ้น เรียกเสียงหัวเราะขันๆของกีราสให้ดังขึ้นเบาๆ แล้วเสียงทุ้มจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ โดยที่ร่างเล็กก็นั่งฟังอย่างสงบ
“มันไม่ใช่ของของเธอไม่ใช่เหรอ สาวน้อย มันเป็นของของลอร์ดแบล็คครอสไม่ใช่เหรอ การที่เราจะเอาของของเราคืนมันผิดตรงไหน”
นัยน์ตาสีเพลิงจ้องมองร่างสูงของกีราสตรงหน้าด้วยแววตาจริงจัง แขนบางยันร่างของตัวเองให้ยืนอย่างมั่นคง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ
“เพราะสิ่งที่คุณจะใช้เทคีลาร์ทำต่างหาก เราถึงไม่สามารถคืนมันให้คุณได้”
ใบหน้าขาวซีดแย้มรอยยิ้มกว้าง
“งั้นเราก็คงไม่ต้องพูดอะไรกันอีกแล้วล่ะนะ สาวน้อย”
“เทคีลาร์..........เหรอ ของอันตรายเหมือนกันนะ แล้วยังใช้วิธีนั้นอีก” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเบาๆท่ามกลางความเงียบสงัดในห้องทำงานกว้างขวางยามราตรี ร่างสูงของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีแดงยาวสยาย และนัยน์ตาสีน้ำเงินคู่สวยซึ่งกำลังพิจารณาเอกสารในมืออย่างจริงจัง
แสงจันทร์สาดส่องผ่านทางกระจกบานใหญ่ เลยมาถึงกรอบรูปเล็กข้างที่วางปากกา เผยให้เห็นรูปบางอย่าง ที่ทำให้นัยน์ตาสีน้ำเงินต้องหยุดชะงัก มือหนาวางเอกสารกับโต๊ะทำงานเบาๆ ก่อนเลื่อนไปที่กรอบรูปเล็กนั่น นิ้วเรียวไล้รูปเล็กของหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินเข้มยาว ใบหน้าขาวอมชมพูสวยมีเสน่ห์อย่างหาตัวจับได้ยาก ริมฝีปากสีสดแย้มยิ้มเล็กๆ และนัยน์ตาสีมรกตเรียวใส
“ถ้านี่คือบททดสอบของเธอล่ะก็ เด็กคนนั้นก็เลือกวิธีการที่ไม่แตกต่างกับเธอเลยนะ ถึงภายนอกจะนิสัยไม่เหมือนกันก็เถอะ แต่ดูแล้วการกระทำหลายอย่างก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ทั้งเด็กคนนั้น รวมทั้งเด็กสาวของพวกเราด้วย” เสียงทุ้มเอ่ยราวกับรำพัน ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสบายๆ “รู้มั้ย...........เด็กสองคนนั้น กำลังค้นพบสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา ไม่ใช่เพียงสิ่งที่เขาศรัทธาเหมือนที่ผ่านมา ไม่ใช่เพียงสิ่งที่เขาเห็น เคารพ และรักตลอดมา แต่ตอนนี้เด็กพวกนั้นต้องเรียนรู้การมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่เขารัก”
ชายหนุ่มแย้มรอยยิ้มบางบนใบหน้าคม นัยน์ตาสีน้ำเงินเต็มไปด้วยความโหยหาและเศร้าเสียใจ พลางเอ่ยทำลายความเงียบในห้องทำงานใหญ่ชั่วครู่
“อย่างน้อย........ก็ขอให้พวกเขาได้เรียนรู้การมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่พวกเขารัก และอย่าให้อะไรมาพรากพวกเขาออกจากกันเลย.............นะ.......เธอเอง....ก็จะช่วยขอแบบนี้เหมือนกันใช่มั้ย”
ใช่ อย่าให้อะไรมาพรากพวกเขาออกจากกันเลย
เพราะมันทรมาน ทรมานเหมือนตายทั้งเป็น
แต่บางทีนั่นอาจดีกว่าการที่เราต่างตั้งคำถามต่อกันและกัน
ว่าเราทั้งสองคน
แม้หลังความตาย.......เราจะได้อยู่ด้วยกันไหม
ความคิดเห็น