คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Prologue - ลำนำแห่งมหาสงคราม
อันดับแรกคงต้องทักทายกันก่อน ขอบคุณที่มาอ่านเรื่องของเรานะคะ ^^"(ทั้งหน้าเก่าๆและหน้าใหม่) เรย์ค่ะ หรือหลายๆคนจะเรียกเหมือนเดิมก็ได้นะคะ ^^"
คงจะต้องใช้คำว่า ยินดีที่รู้จัก และ ไม่ได้พบกันนาน ควบคู่กันไปสินะคะ ^^"
สมัยก่อนเปลี่ยนรูปแบบบอร์ด(ยุคเก่าหน่อย ใครดูไอดีเรื่องก็คงพอจะทราบนะคะ) ^^ เราเองเคยอาศัยบอร์ดนี้มาขีดๆเขียนๆอะไรเล่นบ่อยเหมือนกัน แต่บางคนอาจจำได้ว่าเราหายไปนานมาก...(ถึงมากที่สุด) ช่วงนั้นเรียนค่อนข้างหนักค่ะ ^^" เลิกแต่งฟิคไปเลย สมุดที่เอาไว้ขีดๆเขียนๆเล่นก็กลายมาเป็นจดข้อมูลรายงาน เรียกว่าสำนวนแย่ไปเลยทีเดียวค่ะ
สำหรับเรื่องนี้น่าจะมีคนพอจำได้ว่าเราลงไป 8 ตอนแล้วล่ะ แต่เอามารีไรท์ใหม่ (ซึ่งก็ค้างเติ่งอยู่พอสมควร) นำมาลงแล้วนะคะ^^" คงจะพอใช้ได้นะคะ ><
พูดถึงตัวบทซักหน่อย... มันเป็นบทนำที่ไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรเลย(กับคนอ่านและคนเขียน) แต่ยังแอบหวังเล็กๆว่าคงจะทำให้หลายๆคนพอเดาเรื่องลางๆได้ เราเองก็ภาวนาให้เขียนเกี่ยวกับอะไรทำนองนี้คล่องๆ จะได้ขัดเกลาสำนวนเอาไปใช้(โม้)ในปีหน้า ^^" ก็นานๆทีจะได้เห็นตัวเองใช้ศัพท์อลังก์แบบนี้นี่คะ ^^||| เขียนเองยังนั่งงงเองเลย... นี่ฝีมือฉันเรอะ =[]=!!! แต่บทต่อๆไปก็คงไม่ขนาดนี้หรอกค่ะ ไม่งั้นเราตายพอดี = =|||
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ถ้ามีคำติชมจะดีใจมากเลย เราจะเอาไปใช้ในบทต่อๆไปค่ะ >< หรือถ้าอ่านๆไปแล้วอยากได้เนื้อเรื่องยังไง หรืออยากให้ตัวละครของตัวเองเข้ามามีบทบาทด้วยก็ยินดีนะคะ(อันนี้อาจมีแบบฟอร์มทีหลังค่ะ ^^") แล้วพบกันบทหน้า สวัสดีค่ะ ^^"
-------------------
Sarah the paladin princess
บทนำ : Prologue - ลำนำแห่งมหาสงคราม
ลมเอย... เจ้าจะพัดเลยไปแห่งใด?
ลมเอย... วายุเทพบัญชาเจ้าให้พัดไปทิศไหน?
ลมเอย... โอ... สายลมอันศักดิ์สิทธิ์เอย... โปรดพาข้าไปที...
พาข้าไปยังที่แห่งนั้น... ณ ที่ที่เราสามารถอยู่ด้วยกัน... ณ ที่ซึ่งข้าและเขาจะมิต้องพรากไกล...
ลมเอย... โอ... ลมเอย...
สายลมโชยชายพัดผ่านมา... สายลมที่นำพากลิ่นไอแห่งชีวิตมาสู่ทุกชีวิตที่ลมเข้าไปเคล้าคลอ สัมผัสอันน่าประหลาด.. บางคราวอบอุ่นประดุจดั่งหัตถ์แห่งมารดา ยามโอบกอดบุตรแห่งตน ราวกับจะปลอบประโลมความอ้างว้างในจิตใจ ให้ลุกขึ้นเดินหน้าต่อไปโดยไม่กริ่งเกรงอุปสรรคใด บางคราวกลับสดชื่น มีชีวิตชีวาเสียยิ่งกว่ากระแสน้ำ ราวกับต้องการมอบความหวังใหม่ในการมีชีวิตอยู่ให้คนผู้นั้น หรือในบางครา.. หากตั้งใจฟังเสียงกระซิบของสายลมให้ดี ก็อาจได้รับการบอกเล่าถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ การที่ได้เกิดมา การมีวัฒนธรรมของตน การได้อยู่ร่วมกันกับคนที่รัก รวมถึงเรื่องเล่าแห่งศรัทธา ที่จารึกไว้บนพื้นโลก ตำนานลี้ลับมากมายที่แม้แต่มนุษย์คนแรกก็ยังไม่อาจรู้.. สายลมที่กระพือเข้ามาแล้วพาดผ่านไป ชื่นฉ่ำ อ่อนหวาน ประดุจดั่งธารน้ำใส ไหลเย็น ต้นกำเนิดของชีวิตทั้งมวล ที่จักชะล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ รองรับเอาความเจ็บปวดทุกข์ทนให้หายไปพร้อมกับสายลม
กระแสดำรัสแห่งวายุเทพที่โอบกอดท้องนภาไว้นั้น ดุจดั่งพรสวรรค์ที่ประทานมาให้มวลมนุษย์โดยแท้จริง...
แต่.. โอ... เหตุใด? เหตุใดจึงไม่ทรงพระกรุณาโชยชายความอบอุ่นนั้นมาทางเขาบ้าง? เหตุใดจึงมิทรงยอมให้เขาได้รับรู้ความอ่อนโยนแห่งกระแสวายุนั้นบ้าง? เพราะเหตุใดหนอ.. เขาจึงมิเคยได้รับรู้กระแสแห่งชีวิตนั้นเลย...?
=~*~=~*~=~*~=~*~=~*~=
ดินแดน เอล ออร์เวไนน์ ในภาษาเทพโบราณ หรือที่มวลมนุษย์ต่างเรียกขานกันด้วยนามอันคุ้นเคยว่า "สรวงสวรรค์" ที่พำนักแห่งเหล่าเทพและเทพี ผู้กุมชะตาแห่งผืนแผ่นดิน เรทาเซีย ผืนแผ่นดินอันเป็นมาตุภูมิของผู้มีชีวิตตามใจปรารถนา แผ่นดินอันถือกำเนิดมาได้จากพระมหากรุณาของพระเทพบิดร และน้ำพระทัยอันพิสุทธิ์แห่งเทพมารดร ผู้ประทานชีวิต และสรรพสิ่งทั้งมวล
"เอล ออร์เวไนน์" นามนี้ล้วนเป็นยอดปรารถนาของผู้ที่มีชีวิตภายใต้ผืนนภาเหนือเรทาเซีย กล่าวกันว่า หากผู้ใดได้กระทำการอันเป็นที่โปรดปรานของเหล่าเทวาผู้ปกป้องคุ้มครองดินแดนเรทาเซีย เมื่อใดที่ผู้นั้นลาจากมาตุภูมิอันเป็นที่พำนักของกายหยาบชั่วนิจนิรันดร์แล้ว ดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ของผู้นั้นจักได้ย่างก้าวผ่านบานทวารสีทองนวลเนียนสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ดินแดนอันเป็นที่สถิตของดวงวิญญาณบริสุทธิ์นั้นตราบจนถึงวาระสุดท้ายของกาลเวลา
แต่ในเวลานี้.. สรวงสวรรค์อันเป็นยอดปรารถนานั้น กลับมิได้งดงามเช่นมโนภาพวาดไว้..
ทุ่งหญ้ากว้างสีนวลตาท่ามกลางหมู่ไม้สีทองเปล่งประกายงดงาม แลสายน้ำศักดิ์สิทธิ์อันเป็นต้นกำเนิดของสรรพชีวิตทั้งมวลนั้น บัดนี้ได้กลายเป็นสนามรบที่ใช้ตัดสินชะตากรรมของเหล่าทวยเทพและเหล่าศัตรูผู้รุกราน เผ่าพันธุ์แห่งความมืดดำอนธกาล เผ่าพันธุ์ของผู้ที่สาบานตนเป็นปฏิปักษ์ต่อชาวนครเอล ออร์เวไนน์ตลอดไป
เผ่าที่ถูกเรียกขานนามยามที่แผ่นดินเกิดทุรยุค ผู้เป็นเหตุแห่งความอาดูรวินาศทั้งมวล ผู้ที่ได้ชื่อว่าอยู่เบื้องหลังความชั่วร้ายเลวทราม
เผ่าพันธุ์แห่งทมิฬกาล... เผ่าปิศาจ...
สงครามนั้นยืดเยื้อยาวนานนับหมื่นปี จนราวกับว่ามันจะคงอยู่เช่นนี้ไปชั่วกัลป์ ทั้งฝ่ายเทพและปิศาจต่างประสบกับความสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่อาจประมาณได้ แต่ในภูผาใหญ่ยังมีวันต้องทลาย.. มีหรือสงครามจักไม่มีจุดสิ้นสุด? แม้จะยาวนานเพียงใด.. แต่ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง.. วันตัดสินชะตาที่แท้จริง... วันอันเป็นจุดสิ้นสุดของมหาสงคราม...
=~*~=~*~=~*~=~*~=~*~=
ร่างหนึ่งยืนสงบนิ่งท่ามกลางทุ่งหญ้าสีนวลที่ถูกย้อมด้วยสีเงินบริสุทธิ์ ปนเปกับสีแดงคล้ำจนเกือบกลายเป็นดำจากโลหิตของเหล่านักรบผู้หาญกล้าสละชีพ เพื่อศักดิ์ศรีแห่งเผ่าของตนทั้งผองเทพแลปิศาจ แม้ร่างนั้นจะสูงอยู่ค่อนข้างมาก แต่ทว่ากลับไม่เก้งก้างเลยแม้แต่น้อย ตรงข้าม.. กลับทำให้ร่างนั้นดูสง่ายิ่งภายใต้ความมืดมิดของรัตติกาลอันถูกส่องสว่างด้วยเงาของจันทรา ชุดเกราะอ่อนสีเงินทอประกายสว่างไสวงดงามราวกับตะเกียงแก้วผลึก หากคงไว้ซึ่งความแวววาวนวลตาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของธาตุโลหะ ผ้าคลุมสีเข้มไหล่ที่ยาวจรดพื้นพสุธาปลิวสะบัดตามสายลมที่พัดมาต้องมัน เผยให้เห็นอาวุธคู่กายอันเหน็บอยู่ที่เอว ด้ามดาบสีขาวบริสุทธิ์เลื่อมนวลฉลุเป็นลาย วิจิตรบรรจงอย่างไม่อาจมีผู้ใดเทียม ฝักดาบฝังด้วยฝังด้วยอัญมณีเลอค่านานาชนิด เส้นผมสีทองสลวยเปล่งปลั่ง พลิ้วไหว ละเอียดลออประหนึ่งไหมชั้นเลิศ ดวงเนตรวาวเลื่อมสีอเมทิสต์คมกริบ เรียวงามยิ่งพญาเหยี่ยวสงบนิ่งเยียบเย็น ดวงหน้าคมคายมีเค้าเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าอากัปกิริยาไม่แสดงอารมณ์ใดทั้งสิ้น แต่กระนั้น.. รัศมีบางอย่างที่แผ่กระจายจากร่างนั้นกลับทำให้ผู้พบเห็นบังเกิดความหวั่นเกรงได้อย่างน่าประหลาด..
... ความงามเหนือจินตภาพ.. ที่อันตรายยิ่งกว่าอสรพิษร้ายนับหมื่นพัน...
... ความเยือกเย็น.. ที่พร้อมเผาไหม้เป็นเปลวเพลิงปลิดชีพศัตรูได้แม้เพียงเสี้ยววินาที...
ดวงศศิธรยามครบทั้ง 15 ค่ำ งดงาม น่าหวาดหวั่นเยี่ยงไร...
ผู้เป็นเจ้าแห่งจันทรา... ก็เยี่ยงนั้น!...
"นายท่าน..."
เสียงเรียกขานดังขึ้นจากเบื้องหลัง หากร่างนั้นชุดเกราะนั้นไม่ปรากฏความเคลื่อนไหวใด ผู้มาใหม่คุกเข่าลง ศีรษะค้อมต่ำ มือขวายกขึ้นแตะบริเวณหัวใจ...แสดงความเคารพสูงสุด ดวงตาสีเขียวสงบนิ่งหลุบลงต่ำ ราวกับผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเป็นสิ่งอันแม้จะปรายตามองยังมิบังควร
"ทุกอย่าง... พร้อมแล้วขอรับ" คำรายงานสั้นที่ผู้ถูกขานเป็น"นายท่าน"เพียงพยักหน้ารับ ไม่ตอบว่ากระไร อันเป็นลักษณะที่ผู้เคยคุ้นย่อมรู้ดี สัญญาณว่าสิ้นสุดการสนทนาแต่เพียงเท่านั้น ผู้รายงานจึงเป็นฝ่ายถอยกลับไปตามมารยาท ให้ร่างสูงโปร่งยืนอยู่ลำพังตามต้องการ
ดวงเนตรสีสวยตวัดขึ้นมองดวงจันทร์นวลกระจ่าง แสงจันทราคืนนี้สว่างจ้ายิ่งนัก
สว่าง... จนเกินไป...
มุมโอษฐ์ข้างหนึ่งเหยียดขึ้นน้อยๆเป็นเชิงหยัน ยามนึกถึงประโยคหนึ่งที่เคยมีใครบอกไว้...
"...อย่าทรงทำเป็นลืม..."
"...ยามใดดวงแก้วแห่งรัตติกาลทอแสงจรัสจ้าถึงขีดสุด... ยามนั้นคือกาลที่ราตริรัตนาต้องถึงความดับสลาย..."
ดับสลาย..อย่างนั้นหรือ...
เปลือกตาทั้งคู่ปิดลง นึกเยาะในใจ
'น่าขัน!!'
ร่างสูงระบายลมหายใจอัดอั้น ดุจปลดวางภาระหนักหนาที่แบกไว้ตลอดมา
...เอาเถิด... ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย...
...หลังจากนี้... หากทุกสิ่งจบลง ณ คืนนี้...
อาวุธคู่กายถูกชักออกจากฝัก เผยให้เห็นใบโลหะบางเฉียบ สีขาวเหลือบอย่างมุกชั้นเลิศ ประดับประดาด้วยอัญมณีสีเข้มโดดเด่น เปล่งประกายงดงามยิ่งน้ำแข็งยามได้อาบไล้แสงจันทร์ มือข้างหนึ่งลูบผ่านใบดาบทะนุถนอม เนิ่นช้า ประหนึ่งอำลา
...เจ้าจะไม่ต้องแปดเปื้อนด้วยโลหิต เพราะข้าจะไม่ฟาดฟันศัตรูใดอีก...
...สงคราม และทุกอย่าง...ควรสิ้นสุดเสียที!!
...แล้วก็...
สายลมพัดโชยวูบหนึ่ง คมดาบถูกสอดเก็บเข้าฝัก ก่อนร่างสูงจะหันหลังกลับ มุ่งหน้าสู่สมรภูมิอันจะเป็นที่ตัดสินศึกสุดท้าย...รอยยิ้มบางฉาบบนริมฝีปาก
...เมื่อถึงตอนนั้นเมื่อใด...
....ข้าจะกลับไปหาเจ้านะ.... เลออนเนส....
*มีต่อ
ความคิดเห็น