ย่อสอบวิทย์! เรื่องปิโตรเลียม ปลายภาค ม.5
เรื่องปิโตรเลี่ยม
ผู้เข้าชมรวม
11,878
ผู้เข้าชมเดือนนี้
6
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ปิโตรเลี่ยม : เป็นสารไฮโดรคาร์บอนทั้งชนิดอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว
โมเลกุลเล็กจนถึงโมเลกุลใหญ่
เกิดจาก: ซากพืชซากสัตว์ทับถมในชั้นกรวด ทรายและโคลนล้านๆ ปี //
ความกดดัน+ความร้อนใต้โลก+ถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรีย
แบบไม่ใช้ออกซิเจน
*น้ำมันดิบ+หินน้ำมัน เป็นปิโตรเลียมเชื้อเพลิงฟอสซิล
*ถ่านหินไม่จัดเป็นปิโตรเลียม *ปิโตรเลียมอยู่ระหว่างชั้น
หินดินดาน
โครงสร้างของชั้นหินที่พบปิโตรเลียม: มีลักษณะโค้งคล้ายรูปกระทะคว่ำ ชั้นบนเป็นหินทราย
*น้ำมันจะแทรกอยู่ระหว่างหินที่มีรูพรุน ระหว่างชั้นหินดินดานกับหินดินดาน
*ปิโตรเลียมจากแหล่งกำเนิดต่างกันจะมีปริมาณไฮโดรคาร์บอนต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของซากพืช-สัตว์ที่เป็นตัวกำเนิดของปิโตรเลียม
การสำรวจปิโตรเลียม
1.ทางธรณีวิทยา / ใช้ภาพถ่ายทางอากาศ ภาพถ่ายดาวเทียม แผนที่ และการเก็บวิเคราะห์ตัวอย่างหิน
2.การสำรวจทางธรณีฟิสิกข์ / วัดค่าแรงดึงดูดของโลก ทำให้ได้ข้อมูลขอบเขตของแหล่งตะกอนฟอสซิล
- การวัดค่าสนามแม่เหล็ก ทำให้ทราบความลึก+ลักษณะของชั้นหิน
- การวัดคลื่นการสั่นสะเทือน / ทราบลักษณะชั้นหินอย่างละเอียด
แก๊สธรรมชาติ : เกิดใต้พื้น บนบกหรือทะเล ในอ่าวไทยมีมีเทนเป็นส่วนใหญ่
*แก๊สธรรมชาติพบมีเทนมากที่สุด คือ ร้อยละ 60-80 โดยปริมาตร
*สารที่ไม่ใช่ไฮโดรคาร์บอน จะมี CO2 มากสุด
องค์ประกอบของแก๊สธรรมชาติ
1.ส่วนที่เป็นไฮโดนคาร์บอนหลายชนิด ได้แก่ มีเทน , อีเทน ,
โพรเพน , บิวเทน และแก๊สเหลว
2.ส่วนที่ไม่ใช่ไฮโดรคาร์บอน ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ , ไฮโดรเจนซัลไฟด์ , ไอปรอทและไอน้ำ
หลักการแยกแก๊สธรรมชาติ
1.แยกจากส่วนที่ไม่ใช่ไฮโดรคาร์บอน
2.ลดอุณหภูมิ เพิ่มความดัน เพื่อให้เปลี่ยนเป็นของเหลว
3.เพิ่มอุณหภูมิ ลดความดัน เพื่อให้เปลี่ยนเป็นแก๊ส
ประโยชน์จากแก๊สธรรมชาติ
1.มีเทน(CH4)>> ใช้เป็นเชื้อเพลิง // เป็นพลังงานสะอาด
2.อีเทน(C2H6)>> ผลิตปุ๋ยไนโตรเจน , ผลิตแอลกอฮอล์, ผลิต LNG แก๊ส
3.โพรเพน(C3H8)>> ใช้เป็นแก๊สหุงต้มในครัว , เชื้อเพลิงรถยนต์
4.บิวเทน(C4H10)>> ผลิตสารเคมี, เป็นวัตถุดิบป้อนโรงกลั่น, แก๊สหุงต้ม
5.เพนเทน(C5H12)>> เป็นวัตถุดิบป้อนโรงกลั่น, ผลิตสารเคมี
6.เฮกเซน(C6H14)>> เป็นตัวทำละลาย
7.คาร์บอนไดออกไซด์ >> ผลิตน้ำแข็งแห้ง , น้ำยาดับเพลิง
8.ไนโตรเจน (N2)>> ทำปุ๋ยไนโตรเจน
9.ปรอท,ไอน้ำ,ฮีเลียม,ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ไม่มีประโยชน์
น้ำมันดิบ เกิดจากการทับถมของสารอินทรีย์ ถูกเก็บกักไว้ในชั้นหิน
ดินดาน(หินตะกอน)
*พบน้ำมันดิบครั้งแรกที่ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
*แหล่งน้ำมันดิบที่สำคัญพบที่จังหวัดกำแพงเพชร
การกลั่นน้ำมันดิบ : ต้องนำไปกลั่นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนออกเป็นกลุ่มๆ ตามช่วงจุดเดือด ทำให้น้ำมันดิบได้รับความร้อน 500 C
*โดยสารที่มีจุดเดือดสูง+แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมาก จะควบเป็นของเหลวก่อน และอยู่ด้านล่างของหอกลั่น บนสุดเป็นแก๊ส
จุดเดือดต่ำ >>> จุดเดือดสูง
ก๊ากหุงต้ม>เบนซิน>น้ำมันก๊าด>ดีเซล>หล่อลื่น>น้ำมันเตา>ยางมะตอย
*ยางมะตอย(บีทูเมน) ทำวัสดุกันรั่วซึม *ไข ทำเครื่องสำอาง
*น้ำมันก๊าด เป็นเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่น
โมเลกุลขนาดเล็ก โมเลกุลขนาดใหญ่
-จุดเดือดต่ำ -จุดเดือดสูง
-สีอ่อน -สีเข้ม
-ติดไฟง่าย -ติดไฟยาก
-เหลว -หนืด
ผลกระทบจากปิโตรเลียม
1.ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์(CO) เกิดจากท่อไอเสียรถ จากการเผาไหม้อย่างไม่สมบูรณ์ของเบนซินหรือดีเซล
*มีผลต่อมนุษย์และสัตว์ เพราะ จับกับฮีโมโกลบินได้ดีกว่าออกซิเจน ทำให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ ทำให้เวียนหัว อาจสลบและตายได้
การลด
- ปรับปรุงเครื่องยนต์ให้มีประสิทธิภาพในการเผาไหม้สูง เกิดปฏิกิริยาสันดาปสมบูรณ์ ไม่มีเขม่า ไอน้ำมัน และ CO
- ติดตั้ง คะตะไลติกคอนเวอร์เตอร์ (ตัวแปลง) ช่วยเปลี่ยน CO
เป็น CO2
- ปรับปรุงค่างเลขออกเทนให้สูงขึ้น
*เลขออกเทนสูง จะทำให้เครื่องยนต์เดินเรียบไม่สะดุด
*น้ำมันไร้สารตะกั่วปรับปรุงคุณภาพโดยเติมสาร เอ็มทีบีอี
2.สารตะกั่วจากท่อไอเสีย: นำสารเตตระเอธิลเลด เติมในน้ำมันเบนซิน เพื่อเพิ่มคุณภาพ
3.ออกไซด์ของซัลเฟอร์: พบในรูปของ SO2 ทำให้เกิดฝนกรด ได้รับปริมาณน้อยจะปวดเมื่อย ถ้ารับ 20 ppm ทำให้ปอดอักเสบ,หลอดลมตีบ
*เกิดจากภูเขาไฟระเบิด , การเน่าเปื่อยของสิ่งมีชีวิต , ส่วนใหญ่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมและรถยนต์
*SO2 ละลายในน้ำฝนจะได้กรดซัลฟิวริก ทำให้เกิดฝนกรด
4.ไฮโดรคาร์บอน ได้แก่ มีเทน อีเทน ไอของเฮกเซน เฮปเทน ออกเทน เบนซิน อัยตรายต่อเยื่อตา , ระคายเคืองระบบหายใจ
5.ทางน้ำ มาจากการใช้ผลิตภัณปิโตรเคมีต่างๆ คราบร้ำมันที่ปกคลุมผิวน้ำ ทำให้ออกซิเจนไม่สามารถละลายลงไปในน้ำได้
*การวัดคุณภาพของน้ำ วัดจากปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำเรียกว่าค่า DO สูงแปลว่าน้ำดี
*แหล่งน้ำธรรมชาตอควรมีค่า DO ไม่น้อยกว่า 3mg
*BOD และ COD สูงเป็นน้ำเสีย
สารประกอบไฮโดรคาร์บอน : ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลี่ยมและแก๊สธรรมชาติ ส่วนใหญ่เป็นไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัว คือ พันธะระหว่างคาร์บอนเป็นพันธะเดี่ยวทั้งหมด(ยกเว้นมีเทน)
*ไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวที่ประกอบด้วยคาร์บอน 3 อะตอม เรียกว่า
โพรเพน(มีสูตรโครงสร้างแบบเดียว)
*ไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวที่ประกอบด้วยคาร์บอน 4 อะตอม เรียกว่า
บิวเทน(มีแบบโซ่ตรงและโซ่กิ่ง)
*ประกอบด้วยธาตุ C และ H เท่านั้น
*โมเลกุลของสารที่เล็กที่สุด ประกอบด้วย C เพียง 1 อะตอม
* เมื่อจำนวนคาร์บอนเพิ่มขึ้น การยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมคาร์บอนอาจเป็นโซ่ตรงหรือโซ่กิ่ง
*โมเลกุลที่เล็กที่สุด คือ มีเทน(CH4)
*ไฮโดรคาร์บอนไม่ละลายน้ำ แต่ละลายในตัวทำละลายอินทรีย์บางชนิด และเกิดปฏิกิริยาการเผาไหม้ได้ดี
*ปฏิกิริยาการเผาไหม้ >> ไฮโดรคาร์บอน+ออกซิเจน = CO2และน้ำ
จะเกิดสมบูรณ์ต่อเมื่อมีออกซิเจนเพียงพอ
*การเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ มักเกิดจากสัดส่วนที่ไม่ดีพอระหว่างไอของน้ำมันกับออกซิเจน
เชื้อเพลิงในชีวิตประจำวัน
- แก๊สหุงต้ม >> แก๊สโพรเพน+บิวเทน เมื่อถูกอัดลงไปในถังเหล็กภายใต้ความกดดันสูง จะเปลี่ยนเป็นของเหลว เรียกว่า LPG
- เบนซิน >> เฮปเทน+ไอโซออกเทน เหมาะกับพาหนะที่ใช้แก๊สโซลีน เบนซินใช้กับรถที่มีเลจออกเทน 91 และ 95
เลขออกเทน เป็นตัวบอกคุณภาพของน้ำมันเบนซิน
คือ ไอโซออกเทน กับ นอร์มอลเฮปเทน
*เบนซินที่เหมาะสมกับเครื่องยนตืแก๊สโซลีน มีเลขออกเทน 87
*แต่เบนซินที่กลั่นได้จะมีเลขออกเทนต่ำกว่า 75 จึงต้องเติมสารเตตระเมทิลเลต หรือสารเตตระเอทิลเลต แต่ก็จะทำให้มีไอของสารตะกั่ว เกิดอันตราย
*ดังนั้นจึงเปลี่ยนมาเติมเมทิลเทอร์เชียรีบิวทิลอีเทอร์(MTBE) แทน หรือเรียกว่าน้ำมันไร้สารตะกั่ว
*คุณภาพของเบนซินบอกได้จากเลขออกเทน
*คุณภาพของดีเซลบอกได้จากเลขซีเทน คือ เลขซีเทน และแอลฟา เมธิลแนฟทาลีน
*เอทานอล+เบนซิน ในอัตราส่วน 1:9 เรียกว่า แก๊สโซฮอล์ ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับเบนซิน 95
หมายเหตุ ย่อจาก 14 หน้า เหลือ 2 หน้าเอสี่ โชคดีน้า
ผลงานอื่นๆ ของ Even Star ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Even Star
ความคิดเห็น