คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : chapter one : to be mean
“คุณกุชิเก็น ที่ใส่อยู่นั่น...
มันผิดระเบียบอีกแล้วนะคะ”
เริ่มต้นจากการถูกปรามเรื่องเครื่องแต่งกายจากหัวหน้าห้องตั้งแต่หัววัน
“อืม ขอโทษด้วยนะ”
“ขอโทษอย่างเดียวมันได้เสียที่ไหนกันล่ะคะ!?”
ใบหูทั้งสองข้างที่ถูกประดับด้วยจิวสารพัดเสียจนมองเผินๆไม่รู้ว่าเจาะกี่รู
ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางพอสมควร เน้นไปที่มาสคาร่าและอายไลเนอร์ที่กรีดขอบตาคมนั่นเป็นพิเศษ— ยังไม่รวมยูนิฟอร์มที่ถูกปรับให้กับสไตล์เสียจนดูต่างจากในระเบียบของอาโอบะ
โจไซโดยสิ้นเชิงนั่นอีก
ก็แบบที่ถูกระเบียบมันไม่ให้ความรู้สึกเหมือนตนเองมากพอนี่นา...
และถ้าไม่มั่นใจก็ไม่ได้สิ
“น่าๆ”
ริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปทินต์สีนู้ดนั้นคลี่ยิ้ม
ดวงตาสีฟ้ามหาสมุทรคู่นั้นยังคงจับจ้องไปยังคู่สนทนาต่อไป
“ขอโทษที่อาจจะทำให้เป็นห่วง แต่ฉันไม่เป็นไรหรอก
ตั้งแต่เข้าเรียนมาก็โดนเตือนไปแค่ไม่ถึงสิบครั้งเท่านั้นเอง”
“นับด้วยเหรอคะ?”
“ก็เผื่อมีคนถามเฉยๆ... แล้วก็นะ
นี่ปีสุดท้ายด้วย จะให้กลับมาแต่งถูกระเบียบเหมือนวันปฐมนิเทศก็คงจะสายเกินไปแล้ว”
“ฉ-ฉันมีชุดสำรองค่ะ!
ถ้าจะเอาให้คุณกุชิเก็นเปลี่ยนในตอนนี้ก็ยังได้—”
ครืน!
“อรุณสวัสดิ์”
แต่แล้วทุกอย่างก็ถูกขัดจังหวะลงด้วยเสียงเลื่อนเปิดบานประตู... กับหญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มถูกระเบียบคนหนึ่ง
จังหวะเพอร์เฟ็กต์เสียเหลือเกิน— หากเป็นในซีรี่ส์เรื่องหนึ่งก็คงถือว่าเป็นฉากอันน่าจดจำฉากหนึ่ง
“อ-อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณอิโนะอุเอะ”
เจ้าของสกุลพยักหน้าตอบรับไปส่งๆ
ดวงตาสีนิลหลีกเลี่ยงกับสบโดยตรงกับอีกสองคู่ของคนในห้อง ณ ปัจจุบัน
ขณะที่สองขาก้าวเดินไปยังโต๊ะของตนเอง
อย่างไรก็ตาม อามิมั่นใจว่าเธอได้ยินเสียงเดาะลิ้นเบาๆจากปากของอิโนะอุเอะ
ไร
“เมื่อกี้เจออาจารย์ซากาโมโตะด้วยแหละค่ะ
เขาบอกว่าให้มาตามหัวหน้าหน่อย... เป็นเรื่องงบประมาณของชมรมฟันดาบ”
“เอ๊ะ!? จริงเหรอ? อาจารย์เร่งหรือเปล่า!?”
“ถ้ายิ่งเร็วก็ยิ่งดี— เขาบอกมาแบบนั้นค่ะ”
และเธอก็เห็น... ว่าเจ้าหล่อนได้โบกมือให้หัวหน้าห้องสาวได้วิ่งออกไปจากลุกลี้ลุกลน พร้อมกับเหยียดยิ้มให้แผ่นหลังคู่นั้น
นั่นไง
ความแข็งกระด้างที่พยายามปกปิดไว้ด้วยภาพลักษณ์นิ่งๆ
อารมณ์มากมายที่ถูกกดทับไม่ให้แสดงออกมาทั้งหมดในคราวเดียวกัน...
และอีกสารพัดอย่างที่บ่งบอกว่าเพื่อนสาวของเธอนั้นมีการแสดงออกที่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมเป็นหลัก
น้อยคนจะรู้ว่าไรเป็นสาวแกลเหมือนกับเธอ
หรือรู้ว่าถ้อยคำนั้นมีความหมายอื่นแอบแฝงอยู่— เป็นความซับซ้อนที่ไม่น่าอภิรมย์นัก
เหมือนกับอารมณ์ของหล่อนในเช้าวันนี้
“เดี๋ยวเลี้ยงโซดานะ”
“...หา?”
___
ในบรรดาเพื่อน 4 คนที่อาศัยอยู่ในละแวกบ้านเดียวกัน ไรอาจจะเป็นคนที่เธอสนิทด้วยน้อยสุด และมันก็ไม่ใช่เหตุผลที่นอกเหนือจากทัศนคติกับอุปนิสัย
กระนั้นก็เถอะ
อามิดูออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้เกลียดอะไรเธอ— ต่อให้ตนเองห่างไกลจากวลีที่ว่า ‘ดูคนเป็น’ แค่ไหนก็ตาม
มันก็แค่ความไม่ลงตัวเล็กๆน้อย ยังพอปรับเข้าหากันได้อยู่บ้าง
“ความจริงไม่ต้องเลี้ยงก็ได้”
และเธอก็ดูออกเป็นส่วนใหญ่
ว่าควรจะทำอย่างไรในสถานการณ์ไหน
“ช่วงนี้ไม่มีเหตุอะไรที่ต้องใช้อยู่แล้ว
เลี้ยงคนนั้นคนนี้บ้างก็ไม่ลำบากฉันหรอก”
“ถ้าเงินหมด ฉันไม่ช่วยนะ”
“รับทราบค่า”
แล้วไรที่ได้ยินดังนั้นจึงกระดกเครื่องดื่มตนเองลงคอ
ก่อนใช้มืออีกข้างหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปากที่เลอะเล็กน้อย เหมือนกับทุกครั้งคราที่อยู่นอกบ้าน
อามิเพียงแต่มองหล่อนเงียบๆ
ไม่เอ่ยอะไรออกไปก่อน— แม้จะไม่รู้ว่าไรอยากอยู่แบบนี้ต่อไปหรือมีความคิดจะยกประเด็นสนทนาขึ้นมาก็ตาม
“โทษที”
“ไม่เป็นไร วันนี้คงปลุกมิคุไม่ตื่นล่ะสิท่า?
ถึงได้มาเร็วน่ะ”
แล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ
เมื่อหล่อนจิ๊ปากเป็นคำตอบ
“อ่า”
ดวงตาสีนิลคู่นั้นชำเลืองมองเธอครู่หนึ่ง
ก่อนที่มือจะยกกระป๋องเมล่อนครีมโซดาขึ้นกระดกอีกครั้ง— ฆ่าเวลาระหว่างรอให้ความขบขันนั้นจางลง
ราวกับต้องการจะดื่มมันให้หมด ก่อนเอ่ยเรื่องที่ทำให้ความอยากของตนเองจางหายอย่างไรอย่างนั้น
“อย่างน้อยก็ยังมีเสียงหัวเราะที่ไม่น่ารำคาญมากของเธออยู่”
“ขอบคุณ—”
“แต่หัวหน้าห้องก็เคยบอกว่าเสียงหัวเราะของเธอมันน่าฟังสุดๆไปเลยนี่นะ”
อืม ข้อสันนิษฐานเธอถูกต้อง
ค่อนข้างอ้อมค้อม...
แต่ในขณะเดียวกันก็ชัดเจนพอที่จะรู้ว่าบทสนทนาคงเอนไปทางไหน
รอยยิ้มบางเบายังปรากฏอยู่บนใบหน้าของอามิ— เป็นโป๊กเกอร์เฟซที่ทำในบางโอกาส
และสามารถปกปิดความคิดวุ่นวายภายในหัวได้จากไรประมาณหนึ่ง
“มีเหตุผลอื่นที่ทำให้เธอไม่มั่นใจว่าจะพูดออกมา หรือว่าเพราะว่าไม่ได้พูดออกมาตรงๆกันล่ะ?”
อามิหัวเราะเบาๆ
แต่ก็ทำได้แค่นั้นแหละ
“วันก่อนเพิ่งจะบอกกันว่าเราสนิทกันน้อยสุดในกลุ่มไปเอง
แล้วไหงวันนี้มาจี้จุดฉันได้ล่ะ?”
“ดูออกยากมากมั้ง”
ทั้งๆที่ไม่อยากจะโยนความเครียดเพิ่มให้กับหล่อนแท้ๆ—
ไม่อยากแม้แต่จะยกประเด็นละเอียดอ่อนนี่ขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ แต่อะไรๆมันก็ไม่ได้จัดการง่ายเหมือนกับเรื่องทั่วไปที่ประสบเจอแหละนะ
ไม่ชอบเลย
“ห่วงตนเองในเรื่องนี้บ้างเถอะไร”
“ใจจริงก็ไม่อยากจะเชื่อความคิดในตอนนี้เหมือนกันนั่นแหละ...
ไม่เห็นเข้าใจเลย”
เสียงที่แข็งกร้าวกว่าปกติของสาวเจ้านั้นบ่งบอกถึงอารมณ์ได้เป็นอย่างดี— แรงที่ใช้เขวี้ยงกระป๋องลงถังขยะนั่นก็เช่นกัน
แก๊ง!
ตุบ...
“แต่อย่างไรก็ตาม ต่อให้ไม่มั่นใจในวิธีแก้ปัญหานี้
ก็ใช่ว่ามันจะมีทางอื่นที่เซฟได้ทุกคนสักหน่อย”
ดวงตาสีนิลคู่นั้นยังคงไม่ละออกจากกระป๋องเครื่องดื่มที่พลาดเป้าและตกลงบนพื้นเบื้องหน้าถังขยะ
ราวกับว่าต้องการจะหาจุดวางสายตาที่ไม่ใช่เธอซึ่งยืนพิงกำแพงอยู่ข้างๆ
อย่างน้อยก็โชคดีที่ไม่ค่อยมีใครมาโรงเรียนเช้าขนาดนี้
และเมล่อนครีมโซดาก็ไปอยู่ในท้องของไรเสียหมดแล้ว— การสร้างเรื่องคือสิ่งสุดท้ายที่พวกเธอต้องการ
ถึงมันไม่มีแนวโน้มว่าจะเลยเถิดไปไกลก็ตามเถอะ
แต่คงไม่มีใครอยากให้พื้นเหนียวเหนอะหนะนี่นะ...
“รู้ว่าไม่อยากใจร้าย แต่ที่ทำอยู่ก็เรียกว่า
‘ใจดี’ ไม่ได้หรอก”
อามิเคาะรองเท้ากับพื้นเป็นจังหวะเบาๆ
“นั่นน่ะสินะ...”
เมื่อมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้อง
การปฏิเสธที่ไม่ใช่เรื่องยากอะไรก็กลายมาเป็นสิ่งที่ไม่มั่นใจว่าควรทำหรือไม่— กลายเป็นปัญหาที่ไม่ใช่เธอเพียงคนเดียวต่อไปอย่างช่วยไม่ได้
และเรื่องละเอียดอ่อนนั่นก็ซับซ้อนเสียด้วย
จะทำอะไรแบบไม่คิดหน้าคิดหลังก็ไม่ได้
มันเสี่ยงเป็นอย่างมาก...
“ขอโทษที่ทำไปโดยไม่ได้ถามเธอนะ”
“ฉันสิต้องขอโทษ—
มีส่วนที่ทำให้เรื่องมันลากยาวเหมือนกัน แถมยังปล่อยเบลอ คิดว่ามันจบไปแล้วด้วยตอนแรก”
“ก็นะ รายนั้นไม่ได้เข้าหาฉันมาตั้งแต่ตอนขึ้นปี 3
แล้วนี่... เป็นใครก็คิด”
ทว่าในตอนนี้
ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องยื้อความยุ่งยากเล็กๆน้อยๆนั่นไว้แล้วล่ะ— ความเห็นของไรได้บอกเธอกลายๆแล้ว
ว่าต่อไปควรทำเช่นไร
“แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นล่ะ?”
“ไม่รู้— ไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
“อ่า... ใจดีจังเลยนะ”
คนที่ถูกชมนั้นเดาะลิ้นตอบกลับมา
“ปรับบาร์ให้สูงขึ้นหน่อยก็คงไม่เลวร้ายหรอก”
เธอยิ้ม
ขณะที่สองขานั้นก้าวไปใกล้กระป๋องที่ยังคงอยู่ที่เดิม
แล้วจึงหย่อนมันลงถังขยะให้เรียบร้อย
“ก็แต่เธอใจดีกว่าฉันจริงๆนี่... ในกรณีนี้น่ะ”
“...”
“จะว่าไป เย็นนี้นัดทำขนมบ้านมัจจี้กันไหม?
ฉันจะได้ทำคุกกี้สูตรของหม่าม๊าให้กิน”
และสายตาที่ไรส่งมาก็สามารถตีความได้ว่า
‘ประเด็นสนทนาของหล่อนนี่ไหลง่ายยิ่งกว่าอะไรเสียอีก’
รอยยิ้มบนใบหน้าอามินั้นกว้างขึ้น
ก็ถ้าเครียดบ่อย อะไรๆก็จะไม่ดีตามนี่นะ...
“เป็นการขอบคุณที่บอกเรื่องนั้นกัน
แล้วก็เป็นฉลองเล็กๆน้อยๆด้วย”
แต่โดยปกติก็ใช่ว่าจะเมินเฉยปัญหาทุกอย่างที่พบเจอหรอก
แทบจะจัดการได้หมดเสียด้วยซ้ำ อย่างที่กล่าว เรื่องมันมีประเด็นละเอียดอ่อนเข้ามาเกี่ยวข้อง
ถึงได้ยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน
แต่เดี๋ยวมันก็จบ
“เพราะฉันจะไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสมายุ่งกับพวกเราเกินความจำเป็นแล้วล่ะ”
เหมือนที่มันควรจะเป็นตั้งแต่ตอนอยู่ปี 2...
___
“ห้องน้ำอยู่คนละทางกับที่เดินมา”
แต่ทำไมเสื้อนักเรียนถึงเปียกไปหย่อมหนึ่ง?
ถึงปากจะไม่ได้เอ่ยออกมาตามตรงเสียทีเดียว
แต่อามิอ่านแววตาที่แลดูไม่สบอารมณ์นั่นออก— และรอยยิ้มที่แลดูฝืนทนของไรก็ทำให้เกือบหลุดหัวเราะออกมา
“อามิ ไปไหนมา?”
“ก็... ไหนๆไรถูกอาจารย์เรียกไปคุยแล้ว
เลยคิดว่าจะใช้เวลารอกับการเคลียร์เรื่องนั่นนี่เล็กน้อย” เธอตอบกลับไป ไหวไหล่ราวกับเป็นเรื่องไม่นักหนาอะไร
และริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปทินต์นั้นก็คลี่ยิ้มให้
บ่งบอกกลายๆว่า ‘ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง’
ในเมื่อเธอจัดการมันไปได้แล้ว
หมดเรื่องเครียดสำหรับวันนี้แล้ว...
ความเงียบปกคลุมไปครู่หนึ่ง
เธอเพียงแต่มองไรที่กำลังพินิจบางอย่างอยู่ในใจ
“อ่า...
มิคุสแปมสติกเกอร์หิวข้าวในแชทไม่รู้กี่รอบแล้วเนี่ย”
และเมื่อทุกอย่างดีขึ้นกว่าเดิม
ก็สาวเท้าเข้าไปยืนในระดับเดียวกัน— ประชิดตัวประมาณหนึ่ง
ให้หล่อนสบายใจขึ้นในตอนที่ประเด็นสนทนาแปรเปลี่ยน
“หืม? จะไปกินก่อนก็ได้นี่นา”
“เหงาไง—
มีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้นแหละ สำหรับรายนั้นน่ะ”
อามิหัวเราะ
มือนั้นหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา ก่อนจะพบว่า ‘การสแปมสติกเกอร์’
ดังกล่าวมันรวมไปถึงแชทส่วนตัวและแชทในโซเชียลมีเดียอื่นด้วย
โอ้ ไม่นะ
วันนี้คงได้ฤกษ์ลบแชทเก่าๆที่มีเยอะจนเปลืองเนื้อที่แล้วแหละ...
ความว่างเปล่าที่สบายตากำลังจะกลับมาในไม่ช้า— ซึ่งก็เป็นเรื่องดี
บางทีโชคชะตาอาจจะกำหนดให้เธอได้จัดการความยุ่งยากเล็กๆน้อยๆของชีวิตแบบติดต่อกัน
แต่ถ้าให้สารภาพตามตรง
ต่อให้ความยุ่งยากจะใกล้เคียงกัน
แต่เรื่องนี้มันชวนให้ปวดหัวน้อยกว่าอย่างชัดเจนเลย
“แล้ววันนี้ไปตรงนั้นกันไหม? บันไดทางขึ้นไปดาดฟ้าน่ะ”
“พอบอกว่าไม่เอาดาดฟ้าก็เลยเล่นแบบนี้?”
“มิคุมัดมือชกไว้เมื่อคืนต่างหาก
มันไม่ใช่ความคิดฉันนะ”
ทั้งการพยายามขัดประโยคปฏิเสธของเธอ
ทั้งการโยงไปยังไร ทั้งการทำเหมือนลืมทุกการกระทำของตนเองในอดีต— พิลึกดี ยิ่งร้อนตัวก็เหมือนยิ่งฝังตนเองลงดิน
เรื่องแตะเนื้อต้องตัวแบบไม่ได้รับอนุญาตก็ด้วย
เธอไม่ได้มีป้ายกอดฟรีติดตัวสักหน่อย และอะไรพวกนั้นมันก็ไม่ได้โรแมนติกเลยแม้แต่น้อย
‘ม-มันเป็นเพราะอะไรเหรอคะ!?”
ตอนแรกก็ไม่ได้อยากจะทำตัวใจร้ายใส่ไปมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ
แต่รู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่งก็เผลอใช้อารมณ์มากกว่าที่ควรเสียแล้ว— ยังดีที่ไม่หลุดคำหยาบคายออกไป
แต่พอนึกถึงชักจะหงุดหงิดอีกรอบแฮะ...
แม้ว่ามันจะจบไปเรียบร้อยแล้วก็เถอะ
อามิสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ช่างมัน
“เอาน่า
พอถึงห้องมิคุก็ค่อยกล่อมให้ไปนั่งตรงอื่นก็ได้นี่”
“ก็จริง...
แต่ขืนทำแบบนั้นก็เสียเวลากันพอดี พักเที่ยงมันไม่ได้นานขนาดนั้น
แถมมิคุก็ดื้อยิ่งกว่าอะไรอีก”
“แสดงว่าจะตามใจ?”
ไรเพียงแต่จ้องเธอนิ่งๆ
ก่อนที่จะหันหนีและมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนของเพื่อนอีกคนเสียแทน
ไม่รู้ว่าเพราะไม่อยากขัด
หรือเพราะอยากจะตามใจซาโต้ มิคุกันแน่— บางทีเธอก็เดาไม่ถูก แต่นั่นก็ไม่ได้ความว่ามองการแสดงออกที่ไม่ซื่อตรงนั่นเป็นปัญหาหรอก
เว้นแต่ว่าจะเดินตามไม่ทันน่ะนะ
ตึก ตึก ตึก!
“โอเคๆ
งั้นเดี๋ยวฉันทักให้มิคุออกมา—”
“ไม่ต้อง”
ไรเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์
“กะอีแค่คนหันมามองไม่กี่นาที
ไม่ช้าหรือเร็ว สุดท้ายก็ต้องชินกับมันอยู่ดี”
“นั่นน่ะสินะ...”
แม้ว่าจะรู้สึกติดขัดเล็กน้อยกับการที่หล่อนพยายามรีบเร่งในประเด็นละเอียดอ่อน
แต่สิ่งที่ทำได้อย่างมากก็แค่เตือนประมาณหนึ่ง— หากไรมั่นใจในตนเอง
เธอเองก็มั่นใจในตัวหล่อนด้วย
ริมฝีปากนั้นคลี่ยิ้มให้เพื่อนสาวที่พยักหน้ารับกลับมา
เอี๊ยด!
ทว่ามันก็หุบไปเพียงชั่วครู่หนึ่งด้วยความตกใจ
ในคราวที่เผลอสบตากับอีกคนซึ่งสวนกันผ่านทางเดิน
ไรเหลือบมองเบื้องหลังตนเองด้วยหางตา—
แน่นอนว่าหล่อนไม่เห็น แต่หากเห็นก็คงเบนกลับมามองทางเดิมโดยเร็วอย่างแน่นอน
จะว่าอย่างไรดีล่ะ? หล่อนไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนคนอื่นของเธอสักเท่าไหร่...
“ไง อามิจัง คุณอิโนะอุเอะ”
โทรุโบกมือให้เธอ
ส่วนอิวาอิสึมินั้นเพียงแต่ทักทายผ่านสายตา
“มาหามิคุจังเหรอ?”
“อืม”
มุมปากเธอยกขึ้น
เช่นเดียวกับมือที่ทักทายตอบกลับไป
วันนี้คงเป็นอีกวันที่ทักทายกันในโรงเรียน—
จากความเป็นไปได้อันน้อยนิดซึ่งเนื่องมาจากความเกี่ยวข้องกับซาโต้ มิคุกันทั้งคู่
ปกติก็ใช่ว่าจะทักกันมากมายนัก
และเรื่องที่รู้จักกันก่อนเข้าเรียนที่เซย์โจก็มีเพียงน้อยคนที่ทราบ
ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะแวดวงที่แตกต่างกัน...
และอีกส่วนหนึ่งก็มาความเป็นที่นิยมของกัปตันทีมวอลเลย์บอลคนนั้น
“การเป็นเธอนี่เหนื่อยน่าดู”
“ก็ไม่ค่อยนะ
ค่อนข้างจะสบายใจกับทุกอย่างรอบตัวเสียด้วยซ้ำ”
“...แปลกดี”
อามิหัวเราะ
___
“ฉันกรี๊ดได้ไหม?”
“เดี๋ยวคนเขาตกใจนะ”
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละ”
ไรขัด แล้วจึงอาศัยจังหวะที่มิคุเผลอในการแย่งโคร็อกเกะของตนเองที่ถูกขโมยคืนกลับไป
“อย่าดูถูกโอกาสของการสุ่มฟรีได้
SSR เชียว... แต่ต่อให้ฉันอธิบายจนปากเปื่อย เธอก็ไม่สนหรอก”
ตะเกียบของมิคุเข้าไปใกล้กล่องข้าวของเพื่อนสาวคนเดิมอีกครั้งหนึ่ง
และมันก็ถูกตะเกียบของไรปัดออกเหมือนครั้งก่อนๆ— กลายเป็นว่าแผนแย่งโคร็อกเกะที่สำเร็จนั่นแลดูเหมือนฟลุคเสียมากกว่า
“แต่จะกรี๊ดตรงนี้เนี่ยนะ?”
“ทำไมเล่า? ถ้าฉันไม่กรี๊ดนี่จะได้โคร็อกเกะคืนเหรอ?”
และในทันทีที่เอ่ยจบ
เป้าหมายของมิคุก็เข้าปากคนอารมณ์เสียไปเรียบร้อย เรียกเสียงหัวเราะให้กับอามิที่นั่งมองอยู่เงียบๆได้เป็นอย่างดี
“หาเรื่อง?”
มือไม้อ่อนเสียจนแทบถือซองขนมแท่งธัญพืชไว้ไม่ได้
ในคราวที่เห็นเจ้าหล่อนตอบโต้มิคุไปด้วยการกลอกตาเพียงอย่างเดียว— สงครามประสาทเล่นๆระหว่างสองเพื่อนคือหนึ่งสิ่งในชีวิตประจำวันที่ทำให้วันวันหนึ่งไม่น่าเบื่อเกินไป
และมันก็เป็นผลของความสนิทสนมที่เพิ่มพูนขึ้นด้วย
หากเป็นอาหาร
ก็คงจะอร่อยกว่าของที่เพิ่งกินไป
“ดีใจกับเพื่อนบ้างก็ดีนะไร”
อามิกลั้วหัวเราะ พลางเปิดขวดน้ำแร่ของตนเอง เตรียมดื่มคลายความกระหาย
“ถึงจะเป็นสุ่มฟรีก็เถอะ
แต่ได้ซ้ำมันก็ไม่ต่างกับเกลือไม่ใช่หรือไง? คุ้มที่จะกรี๊ดตรงไหน?”
“จำได้ด้วยเหรอ? ว่ามันซ้ำน่ะ”
“...”
“โอเค ความลับเธอจะอยู่กับฉัน”
กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนยกขวดขึ้นดื่ม
“แล้วไหงวันนี้มีกล่องนมตั้งอยู่บนโต๊ะมิคุได้กัน?”
แล้วจึงเอ่ยฉีกบทสนทนาที่ไรแลดูต้องการให้จบแต่โดยเร็ว
ก็นะ... พอให้ความสำคัญกับใครสักคน
ต่อให้เป็นในฐานะใดก็ตาม
มันก็ทำให้สังเกตเห็นเรื่องเล็กๆน้อยที่คนทั่วไปไม่ได้สนใจแหละนะ
แต่มันคงจะน่าอายสำหรับไรไปหน่อย
ดูออกได้จากสีหน้าและการพยายามเลี่ยงสบตาคนอื่นของเจ้าหล่อน
“ถ้าจำไม่ผิดนะ
ไม่อิวาอิสึมิก็โออิคาวะ”
“ก็คือเธอหลับอยู่?”
“เปล่า...
แค่เพิ่งตื่นตอนนั้นพอดี เบลอๆหน่อย แต่จำได้ว่าพูดขอบคุณไปแล้ว”
กล่องนมรสช็อกโกแลตในมืออีกฝ่ายถูกเจาะดื่ม—
เหมือนว่ามิคุจะไม่ได้แยแสถึงตัวตนของผู้ให้สักเท่าไหร่นัก ตราบใดที่มันเป็นของฟรี
ต่างจากไร
“ไม่ใช่ว่าโออิคาวะคุงฝากให้อามินะ”
อามิเลิกคิ้ว
ความสงสัยนั้นทำให้เผลอเอียงคอเล็กน้อยไปด้วย
“ซีเรียส?”
“ไม่รู้สิ
มันอาจจะเป็นอิวาอิสึมิ... แต่ถ้าเป็นโออิคาวะก็คงไม่เอาของอะไรให้คนที่ไม่ใช่แฟนคลับหรือไม่สนิทด้วยมาก”
“โทรุอาจจะอยากสนิทกับมิคุก็ได้”
เธอกลั้วหัวเราะ
“เพราะฉันมั่นใจว่าไม่ชอบดื่มนมช็อกโกแลต”
ส่วนสูงที่มีคือผลจากพันธุกรรมล้วนๆ
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เกิน 160 เซนติเมตรหรอก— ใจที่ต่อต้านกลิ่นของมันทำงานแบบต่อเนื่องมาหลายต่อหลายปีแล้ว
และมันก็น่าจะไม่หยุดยั้งอยู่แค่นี้ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่คิดจะดื่มอะไรที่มีกลิ่นนมชัดเจนหรอก
ข้อสันนิษฐานของเธอมีความเป็นไปได้มากกว่า
ทว่ามันก็ไม่มีอะไรที่สามารถยืนยันได้ว่าโทรุจดจำสิ่งที่เธอชอบหรือไม่ชอบได้...
อืม— ไม่รู้สิ
“แต่ถ้าดื่มไปแล้วก็ช่างเถอะ
ค่อยถามเจ้าตัวทีหลังก็ได้”
“เนอะ”
อามิกล่าว ก่อนจะดื่มน้ำอีกครา
ในตอนนั้นเองที่มิคุเอ่ยถามบางอย่างออกมา
และดึงพวกเธอเข้าสู่บทสนทนาเดิมที่เกือบจะจบไปแล้วนั่น
“แล้วทำไมถึงคิดว่าโออิคาวะคงฝากมาให้อามิกันล่ะ? แบบ... ทำไมต้องอามิ? ฉันก็รู้จักคนที่รู้จักกับเขาเยอะอยู่นะ”
ดวงตาสีมหาสมุทรคู่นั้นชำเลืองมองปฏิกิริยาของไร
และสิ่งที่ได้รับกลับมาคือแววตานิ่งๆที่ทำให้แอบหวั่นใจประมาณหนึ่ง
“ก็เพราะสนิทกันมั้ง...
อาจจะแกล้งเอาของที่ไม่ชอบมาให้ แล้วพอเจอหน้าอีกทีก็ ‘แบร่ๆ’ ใส่”
แต่มันก็หายไปในคราวที่ได้ยินคำตอบนั่นพอดิบพอดี—
สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการเกือบสำลักดื่มที่อยู่ในปากเสียแทน
“รู้เลยว่ามองด้วยฟิลเตอร์อะไร”
และถ้อยคำที่มิคุเอ่ยออกมาก็ไม่ช่วย
ก็เพื่อนของเพื่อน— ความสนิทสนมไม่มากเท่า บางครั้งก็ไม่เคยพูดคุยกันมากกว่าแค่ ‘สวัสดี’ เสียด้วยซ้ำ
ทว่าภาพจำที่เกิดจากการฟังเรื่องราวต่างๆผ่านมุมมองของเธอก็มี และนั่นคือสิ่งที่เพื่อนทั้งสองรู้เกี่ยวกับโออิคาวะ
โทรุ
ต่างกับฮานะบุสะ
โจหรือ ‘มัจจี้’ ที่อยู่คาราสึโนะและได้มีโอกาสทำความรู้จักกับเขาในมุมมองของตนเอง
ผ่านแมทช์วอลเลย์บอลและการแข่งขันของชมรมที่เต็มไปด้วยผองเพื่อนของหล่อน
มันเป็นความรู้สึกขบขันมากกว่าไม่สบอารมณ์
โทรุในมุมมองของเธอและคนอื่นๆก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียวอยู่แล้ว— แฟนคลับของเขาก็มองไปอีกมุมหนึ่ง
และมันก็ไม่มีข้อกำหนดว่าอะไรถูกหรือผิดในเรื่องนี้
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าจะโดนสักที”
“พอเลย
มันใช่เรื่องที่ต้องทำตัวห้าวด่องๆเสียที่ไหนกันล่ะ?”
“แหม...
ฉันล้อเล่นน่า”
“ล้อเล่นที่แปลว่า
‘ถ้าได้ก็ดี’ อ่ะนะ?”
และเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอีกคราหนึ่ง
กับการที่ใบหน้าจิ้มลิ้มนั่นมุ่ยตอบกลับมา— มันดูออกง่ายอยู่พอควร
จริงๆแล้วมิคุเป็นคนที่จะค่อนข้างโปร่งใส แสดงออกผ่านสีหน้าและแววตาอย่างชัดเจน
“โทรุก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น...
ถึงจะน่าหมั่นไส้ในหลายๆกรณีก็เถอะ”
และในคราวนี้
หล่อนกำลังรู้สึกเคลือบแคลงใจ
“ถ้าไม่ติดว่าเป็นอามิ ฉันจะตีความคำพูดเมื่อกี้ไปอีกทางหนึ่งเลยนะ”
“พูดเป็นเล่น” เธอกลั้วหัวเราะ
“ไม่ เอาจริงๆอ่ะ... เธอไม่ได้แอบเป็นแฟนคลับเขาใช่ไหม? มีเรื่องอะไรที่พวกฉันยังไม่รู้อีกเหรอ!?”
ข้อสันนิษฐานที่ได้ยินนั้นชวนให้ฉงน
แม้แต่ไรที่นั่งเงียบๆอยู่พักหนึ่งก็ส่งเสียง ‘ฮะ’ ออกมาเบาๆ
บางทีมิคุก็คิดเยอะจนเละเทะไปหน่อย
เธอไม่ปฏิเสธ...
แต่ในครั้งนี้มันก็ไม่ได้ไม่สมเหตุสมผลเสียทีเดียว
“เปล่าสักหน่อย ฉันดูกีฬาไม่ค่อยเป็น
แถมทุกวันนี้ก็ไม่ได้อยากแบ่งความสนใจไปกับเรื่องอื่นมากด้วย”
มันมีแค่บางกรณีที่พอจะโอนอ่อนได้บ้าง
แต่นั่นหาใช่เรื่องสำคัญ— ประเด็นก็คือเรื่องแฟนคลับแลดูไม่ใช่สิ่งที่ควรค่าแก่การเก็บเป็นความลับจากคนอื่นๆ
“แล้วเมื่อไหร่จะกินข้าวหมดสักทีน่ะมิคุ? เวลาพักมันไม่รอใครหรอกนะ”
“บางทีฉันก็ไม่รู้ว่าเธออยากแซะหรือเป็นห่วงกันแน่นะไร”
“เหอะ...”
“เฮอะ!”
“โอ๊ย!!”
อย่างไรก็ตาม...
ตอนนี้มันดันกลายเป็นสงครามเสียงระหว่างสองเพื่อนของเธอไปเสียแล้ว และเธอก็เสียโอกาสในการเอ่ยเรื่องนั้นออกไป
มือจึงหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเช็คดูแจ้งเตือนที่ยังค้างไว้เสียแทน— นอกจากการสแปมสติกเกอร์ของมิคุที่ทำห้องสนทนาล้นแล้ว
มันก็ยังมีบางข้อความที่หลงเหลืออยู่
แล้วก็มีข้อความใหม่ด้วย
อามิกดเข้าไปอ่านมัน
‘ฝากขอบคุณมิคุจังเรื่องปากกาที่ให้ยืมเมื่อวันก่อนด้วยน้า
ถึงฉันจะให้นมช็อกโกแลตไปแล้วก็เถอะ... แต่ดันโดนอิวะจังลากออกไปก่อนที่จะได้คุยกันนี่สิ
ಥ_ಥ ’
ที่น่าตลกก็คือคนส่งดันถูกกล่าวถึงในบทสนทนาก่อนหน้านี่แหละ— จังหวะมันจะเหมาะเหม็งเกินไปแล้วล่ะมั้ง
แถมคำตอบที่ได้รับกลับมา
หลังจากลองถามรายละเอียดเพิ่มเติมดู ก็ดันทำให้เผลอหลุดหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น
‘ทำไมถึงให้นมช็อกโกแลตไปด้วยงั้นเหรอ?
ก็เพราะว่ามิคุจังเป็นเพื่อนอามิจังไง’
‘ผูกมิตรไว้สักหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรเลย
เผื่อๆฉันอาจจะได้คนเข้าข้างด้วย ไม่ต้องทำเป็นยอมอิวะจังกับเธอแล้ว (¬‿¬)’
“อามิ?”
“อุ๊บ—”
น่าหมั่นไส้
เป็นแค่โออิคาวะ โทรุแท้ๆ... แต่กลับทำให้วันธรรมดาวันหนึ่งเปลี่ยนไปได้เสียเฉย
ความคิดเห็น