คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : chapter 3 : i cross my own line again.
ความจริงแล้ว มันก็ยังคงดูแปลกตาไปหน่อย— ภาพของเพื่อนร่วมห้องที่เล็งกระบอกปืนหรือจ่อมีดไปที่ตัวอาจารย์ประจำชั้นน่ะ...
แต่เธอว่าเธอสามารถทำตัวให้ชินกับมันได้
“ว่าแต่
ให้ฉันนั่งแบบนี้มันจะไม่ลำบากพวกเธอใช่ไหม?”
เพราะว่ามีสมาชิกอยู่ 5 คนในกลุ่ม
เธอเลยจำเป็นจะต้องนั่งติดกับฮายามิ รินกะและโอคุดะ มานามิ
“ไม่เป็นไรหรอก สุดท้ายมันก็ต้องมีเศษอยู่ดี” ฮายามิเอ่ย
ส่วนโอคุดะนั้นเพียงแต่พยักหน้าด้วยท่าทีเกร็งๆ
เธอเท้าคาง
เจริญไหมล่ะ? การเป็นเศษห้องเนี่ย...
“วอนทางรัฐบาลส่งนักฆ่าสักคนมาทำให้ฉันไม่เป็นเศษของห้องทีเถอะ
เวลาทำงานคู่มันลำบากจะตาย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาจารย์โคโระเสนอเป็นคู่ของเธอ
ก็เขาเล่นใช้ความเร็วเหนือมนุษย์นั่นทำส่วนของตนเองเสร็จโดยเร็ว
จากนั้นก็รอเธอโดยสะบัดปอมปอมเชียร์ระหว่างนั้นน่ะสิ
แต่นึกก็ปวดหัวแล้ว— ไม่รู้ว่ารายนั้นพยายามจะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีกับเขา
เพื่อให้ลืม first
impression ระหว่างกันและกันที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นั่นหรือเปล่า
แต่ถ้าใช่ล่ะแล้วล่ะก็... เธอยอม
อย่าได้มารบกวนกันอีกเลยค่ะอาจารย์...
สึมุกิ เลย์โกะคนนี้ทำงานเองได้
“เหนื่อยหน่อยนะ” คารุมะกลั้วหัวเราะ
เธอถอนหายใจ
“ช่วยด้วยรินกัจจิ
ฉันมีเจ้ากรรมนายเวร 2 คน” เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
คล้ายกับว่าเป็นบทในซีรี่ส์ซิทคอมที่มันจะน่าขบขันกว่าเดิม
หากไม่แสดงอารมณ์ตอนเอ่ย
“สึมุกิ ฉันว่าอาจารย์โคโระไม่น่านับเป็นคนนะ”
และมันทำให้เธอเงียบไปครู่หนึ่ง...
“เออเนอะ”
แล้วต้องเรียกเป็นตัว
เป็นตน หรือเป็นอะไรกันล่ะ?
“....คิดว่าอาจารย์โคโระจะรู้สึก offend ไหม? ถ้าถูกเรียกเป็น ‘ตัว’ น่ะ”
. . .
“...เธอพูดอะไรแบบนี้ได้ด้วยสินะ”
เลย์โกะขมวดคิ้ว
“ฮะ?”
“บอกแล้ว
ความจริงแม่นี่เป็นที่สุดของความเด๋อ”
“คารุมะ
อยู่เงียบๆก็ไม่มีใครหาว่าถูกตัดลิ้นหรอกนะ”
เขาไหวไหล่ ทำหน้าทำตาน่ารำคาญใส่เธอ
ก่อนจะเอนพิงพนักเก้าอี้ตนเอง
แล้วมองไปยังอาจารย์โคโระที่ยังคงจัดแจงอุปกรณ์อยู่หน้าห้อง
“...แต่ว่าฉันสงสัยจริงๆนะ
ไม่อยากพูดอะไรที่มัน offensive
สักเท่าไหร่”
ถึงในครั้งแรกจะมองเขาด้วยสายตาที่ไม่ดีนักก็เถอะ...
แต่ในสถานการณ์แบบนั้นน่ะ มันมีอะไรให้เคารพกันเล่า?
“ถูกเรียกว่าปลาหมึกยังไม่รู้สึกอะไรเลยนะ
งั้นก็คงไม่มีปัญหากับการถูกเรียกแบบนั้นหรอก”
“อ่า...”
เธอพยักหน้าเห็นด้วยกับฮายามิ ก่อนจะพูดว่า ‘ขอบคุณ’ เบาๆ
แล้วเบนความสนใจของตนเองไปยังอุปกรณ์ที่อาจารย์ประจำชั้นจัดเตรียมไว้ให้สำหรับการทดลองในคาบเรียนที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ทว่าในตอนนั้น ดวงตาสีอเมทิตส์ก็เหลือบเห็นท่าทีของโอคุดะที่ดูประหม่ากว่าเก่า
ขอสันนิษฐานว่าสาเหตุนั่นคงไม่ได้มาจากเธอ
ความเป็นไปได้มันต่ำไป...
และมันก็ดูไม่เหมือนความประหม่าที่แสดงออกมาเมื่ออยู่ใกล้คนที่แอบกลัว
มันเหมือนหล่อนกำลังจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่างอยู่มากกว่า
“อ๊ะ! คารุมะคุงครับ
อย่าจุดตะเกียงแอลกอฮอล์สิครับ!”
ถึงจะไม่รู้ว่าวางแผนอะไรอยู่ก็เถอะ
แต่ว่านะ—
ขอให้โชคดี
...
แบบนี้น่าจะเรียกว่าโชคดีได้... ล่ะมั้ง?
“กรดกัดทองสินะครับ”
การที่ใบหน้าของอาจารย์โคโระเปลี่ยนไปหลังจากดื่มหลอดยาพิษของโอคุดะไปแต่ละหลอดน่ะ...
ไม่สิ เธอกำลังหลอกใครอยู่กัน?
นี่มันเหนือกว่าโชคดีหรือโชคร้ายไปเรียบร้อยแล้ว
ทั้งกลายเป็นสีฟ้า มีปีกงอกออกมา
และสีหน้าในปัจจุบันที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมาเลย
ชีวิตนี้คงไม่พบเจออะไรที่เหนือธรรมชาติไปมากกว่าเหตุการณ์
ณ ปัจจุบันแล้วแหละ
บางทีก็อยากจะไปสืบจริงเชียวว่าจุดกำเนิดของอาจารย์ประจำชั้นคนนี้คืออะไรกันแน่— หวังว่าเขาคงจะไม่ใช่สัตว์ประหลาดจากต่างดาวที่ถูกฟักไข่ให้เกิดบนพื้นโลกหรอกนะ
ถ้ามันเป็นความจริง เธอคงประสาทเสียน่าดู...
“ไม่ว่าอันไหนก็อยู่ในระดับที่เปลี่ยนสีหน้าของอาจารย์ได้นะครับ”
อยากจะถามทางกระทรวงเหลือเกิน ว่าส่งตัวอะไรมาให้เด็กอายุ
15 ปีสังหารกัน
“ถึงจะเกลียดอาจารย์ก็ตาม
แต่อย่าได้เกลียดการลอบฆ่าเลยนะครับ”
“อยู่ๆก็เป็นอะไรไปฮะ!?
อืม หลังจากคาบนี้เธอจะต่อสายตรงไปถามเลย
“แล้วก็นะ คุณโอคุดะ...
อาจารย์คงมองข้ามความปลอดภัยที่ปล่อยให้นักเรียนทำยาพิษอยู่คนเดียวไม่ได้หรอกนะครับ”
“ค่ะ... ขอโทษด้วยนะคะ”
โอคุดะหลุบตาลงมองเท้าของตนเอง
“ถ้ามีเวลาล่ะก็...
ไว้เลิกเรียนเรามาวิจัยยาพิษที่จะฆ่าอาจารย์ด้วยกันนะครับ”
“อ-อ๊ะ! ค่ะ!”
เลย์โกะเผลอถอนหายใจออกมา
มันดูเป็นอะไรที่ไม่น่าไว้วางใจเลยนี่สิ...
อีกทั้งโอคุดะ
มานามิก็ดูเป็นคนใสซื่อที่อาจถูกอาจารย์โคโระหลอกให้ปรุงยาแปลกๆได้ง่ายด้วย
ก็อยากจะลองเตือนดูอยู่หรอกนะ
แต่เมื่อต้นคาบตอนที่ทักทายกัน ก็ดูเหมือนว่ารายนั้นจะแอบกลัวๆเธออยู่นี่สิ
สาเหตุหลักๆก็น่าจะมาจากวีรกรรมอันลือชื่อของเธอและมิตรภาพอันยืนนานกับอาคาบาเนะ
คารุมะ ผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนน่ากลัวในสายตาของนักเรียนหลายคน
แต่ว่านอกจากเรื่องที่ว่าโอคุดะกลัวเธอแล้วเนี่ย—
ก็ยังมีน้ำเสียงที่ฟังดูเริงร่าทันทีที่เห็นว่าอาจารย์โคโระพร้อมช่วยเหลืออีก...
มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วง เอ็นดูและอิจฉาไปในคราวเดียวกัน...
เธอจำครั้งล่าสุดที่มีคนใส่ใจเรื่องสิ่งที่เธอชื่นชอบไม่ได้แล้ว
และในขณะเดียวกันก็หลงลืมความรักที่มีต่อสิ่งเหล่านั้นไปเสียหมด
ทุกอย่างถูกเก็บเข้าที่ และไม่ได้ถูกนำออกมาเลย...
สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่ไม่เคยมีตัวตนมาก่อนในชีวิตเธอ
เธอในตอนนี้น่ะ
ไม่มีจุดเด่นหรือความสามารถอะไรที่มีประโยชนฺของคนอื่นขนาดนั้นหรอก
อย่างกับว่าเส้นสายจะช่วยคนได้มาก—
ไม่มีอะไรที่ถนัดเป็นพิเศษ
ไม่มีอะไรที่นำไปต่อยอดได้ ไม่มีแม้แต่สิ่งที่ทำให้คิดว่าตนเองมีค่า...
เธอล่ะเกลียดความรู้สึกนี้ชะมัดยาด
เพราะฉะนั้นถึงต้องการที่จะหนีไปให้พ้น...
กึก!
และเนื่องจากว่ากำลังอยู่ในห้วงภวังค์จนไม่ได้สังเกตสิ่งรอบข้าง
จึงทำให้ศอกเผลอไปชนตะเกียงแอลกอออล์จนมันตกลงพื้น
มันคือตะเกียงแอลกอฮอล์ที่วางอยู่ริมโต๊ะ...
ตะเกียงแอลกอฮอล์ที่คารุมะดันจุดไฟเพื่อกวนประสาทอาจารย์โคโระเล่นตอนต้นคาบ...
ตะเกียงแอลกอฮอล์... ที่ยังไม่ดับที
ตุบ!
“เฮ้ย!!”
“ไอ้คุณหนูเวร!!!”
“คุณสึมุกิ๊!!!!”
ชิบ—
________
“อาจารย์คะ... ขอโทษนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับคุณสึมุกิ อาจารย์เองก็ไม่ได้ดับตะเกียงด้วย
ก็ถือว่ามีส่วนผิดเหมือนกัน”
“เรื่องค่าเสียหาย—”
“แค่เงินเล็กน้อยครับ... ที่จะถูกหักจากเงินเดือนของอาจารย์ก็เท่านั้น...”
ไม่ว่าเปล่า
เขาน้ำตาไหลด้วย
ถึงจะไม่รู้ว่าแต่ละเดือนเขาใช้จ่ายอะไรไปบ้างและเหลือเงินเท่าไหร่เก็บไว้บ้างก็เถอะ...
แต่ว่านั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญในตอนนี้เสียหน่อย
“ไม่ใช่ค่ะ คือว่า...” เธอเปิดแกลเลอรี่ในสมาร์ทโฟนของตนเอง
ก่อนจะกดซูมเข้าดูรูปล่าสุดในคลัง ก่อนจะแสดงหน้าจอในอาจารย์ประจำชั้นดู
“เรื่องค่าเสียหาย
ฉันโอนไปให้แล้วนะคะ ต้องขอโทษจริงเลยค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ อาจา— โอนมาแล้วเหรอครับ!? ฟ้ามาโปรด! ไม่สิ— คุณสึมุกิครับ อาจารย์รับผิดชอบได้นะครับ!
ถึงแม้ว่าเงินเดือนจะเหลือไม่เยอะและอาจไม่พอจนต้องกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตอนปลายเดือนก็ตาม!”
“งั้นก็รับค่าเสียหายไปเถอะค่ะ!”
ต้นเหตุของปัญหามันคือเธอด้วย...
และเธออยากจะชดใช้ปัญหาที่ตนเองก่อ
และต่อให้ไม่ได้คิดสานสัมพันธ์กับใครก็ตาม
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากฟังใครพร่ำเพื่อเรื่องถูกหักเงินเดือนเพราะตัวเธอหรอกนะ!
เธอได้ยินเสียงคาราสึมะถอนหายใจ
“เรื่องค่าใช้จ่ายให้พวกฉันจัดการเองคุณสึมุกิ”
เธอหันขวับไปทางครูฝึกของห้อง
“ไม่เอาค่ะ ไหนๆก็โอนไปแล้ว ให้อาจารย์โคโระโอนกลับมันลำบากฉันนะคะ”
ทุกคำที่เอ่ยก็ออกไปตามความรู้สึก
ขั้นตอนมันไม่ได้ยากลำบากเสียขนาดนั้น
แต่มันก็ลำบากสำหรับเธอที่ปกติโอนแล้วโอนเลยแบบไม่รับคืนพอสมควรนั่นแหละ
ไม่เคยเด๋อด๋าถึงขั้นโอนผิด และก็ไม่เคยรู้สึกจะตัดสินใจผิดในเรื่องของการใช้เงิน
ความจริงก็ไม่ได้รวยขนาดนั้น...
ส่วนใหญ่ในบัญชีมันก็ไม่ใช่เงินของเธอเสียด้วยซ้ำ
แต่ต่อให้ทำอะไรกับมันไปก็คงไม่มีใครว่าหรอก...
ต่อให้ทำอะไรไปก็ไม่มีใครแยแสหรอก
เธอจะใช้มากแค่ไหนก็ได้
หากมันไม่ทำให้เงินในบัญชีไม่เพียงพอแก่การใช้วันถัดๆไปน่ะ
“อีกอย่างหนึ่ง...
จะให้มาเปลืองงบประมาณกับเรื่องเล็กน้อยมันก็เกินไปค่ะ ในอนาคตอาคารอาจจะพังก็ได้นะคะ
เก็บไว้สำหรับตอนนั้นเถอะ”
อ้างอะไรได้ก็อ้างหมดแล้วตอนนี้... เรื่องนี้มันเป็นความผิดของเธอจริงๆ
และเธอก็อยากจะชดใช้ความผิดของตนเองเท่าที่จะทำได้
บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปโดยที่เธอยังคงไม่ยอมแพ้คาราสึมะ
มันนานเสียจนอีรีน่าต้องเอ่ยขัด— และโชคก็เข้าข้างเธอในคราวนี้
“ให้จ่ายไปเหอะ
ปกติแล้วยัยนี่หัวดื้อเป็นบ้า”
สุดท้ายรายนั้นก็ยอม
อาจารย์โคโระแทบจะร้องไห้ด้วยความปลาบปลื้มที่ตนเองไม่ต้องกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปท้ายเดือน
ส่วนเธอก็พยายามปลอบเขาตามประสาของคนที่ทำตัวไม่ถูก
นอกจากรูปร่างหน้าตายังแปลกแล้ว
นิสัยก็แปลกด้วยสินะ...
คงต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำตัวให้ชินกับคน(?)นิสัยสุดโต่งแบบนี้
อาจารย์ประจำชั้นหยิบขนมที่เอามาจากนักเรียนในคาบก่อนหน้ามาให้เธอกล่องหนึ่ง
มันคือป๊อกกี้รสสตรอว์เบอร์รี่
—ที่ไม่ใช่แบบโฮมเมดสูตรคารุมะเหมือนของวันก่อนอย่างแน่นอน
เขาบอกว่าแทนคำขอบคุณ ซึ่งเธอที่ไม่เข้าใจว่าขอบคุณทำไมก็รับมาแบบงวยงง
ในตอนนั้นเองที่ดวงตาสีอเมทิตส์สบเข้ากับดวงตาคู่สวยของนักฆ่าสาวพอดิบพอดี...
เลย์โกะอาศัยจังหวะนั้นในการอ้าปากพูดไม่มีเสียงเพื่อสื่อสารกับอีรีน่า
‘ขอบคุณค่า
เดี๋ยวเลี้ยงคาเฟ่ตอบแทนนะ’
หล่อนเลิกคิ้ว ก่อนจะตอบกลับมาด้วยวิธีเดียวกัน
‘อะไรยะ?
ปกติแกไม่ใช่สายเปย์ขนาดนี้นี่’
เธอยิ้มตอบ
ก็แค่อยากใช้เงินเฉยๆ...
บวกกับมีเรื่องที่อยากคุยเป็นการส่วนตัวด้วยเรื่องหนึ่งก็เท่านั้น
“ว่าแต่ว่า
ทำไมคุณสึมุกิถึงรู้เลขบัญชีธนาคารของอาจารย์ได้ล่ะครับ?”
“อ๋อ... มีคนบอกมาน่ะค่ะ”
“ครับ?”
“...หล่อนนี่มันทั้งน่ารำคาญและน่ากลัวไปในคราวเดียวกันเลยนะยะ”
________
ความจริงแล้ว ก็ไม่ได้อยากจะโดดเรียนหรอก
มันแค่รู้สึกผิดจากเหตุการณ์ในคาบก่อนหน้านี้
เลยไม่มีกะจิตกะใจจะเข้าคาบต่อไปก็เท่านั้น...
แล้วก็กลายเป็นว่าเธอพลาดเหตุการณ์ที่ epic ไปเสียอย่างนั้น
“กลายเป็นของเหลวหนืดๆต่อหน้าต่อมา...
น่าขนลุกจนประทับใจเลยล่ะ” ฮาซามะ คิราระเอ่ย น้ำเสียงของหล่อนสื่ออารมณ์พึงพอใจออกมาเล็กน้อย
“ถามจริงเหอะ” เลย์โกะแค่นหัวเราะ
เธอนึกภาพดังกล่าวไม่ออกเสียด้วยซ้ำ
และดูเหมือนว่าตนเองจะตัดสินใจผิดพลาดไปจริงๆนั่นแหละ
แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงขั้นอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขก็ตามทีเถอะ
“พลาดแล้วล่ะสึมุกิ”
“พลาดไปก็ดีแล้วมั้ง
ฉันยังขนลุกไม่หายเลย”
เธอเหล่มองมุรามัตสึและโยชิดะที่ออกความเห็นกันเรื่องคาบเรียนก่อนหน้า
พวกเขาทำเหมือนมันเป็นประสบการณ์แปลกๆที่พบเจอมา ส่วนเทราซากะนั้นแค่เดินเงียบๆ ไม่พูดอะไรมากนัก
แค่เหล่คนอื่นๆเป็นระยะ
วันนี้พวกเขามีประชุมและจำเป็นจะต้องเดินลงมายังโรงยิมหลัก— สำหรับนักเรียนที่อาคารหลักแล้วก็คงไม่ใช่ปัญหามากนัก
แต่กับนักเรียนห้อง 3-E
ที่ระหว่างทางต้องประสบเจอกับความยากลำบากนั้น มันก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการนัก
และวันนี้คารุมะโดดประชุม
เธอเลยมาแท็กทีมกับกลุ่มของเทราซากะ
ด้วยเหตุผลเรียบง่ายที่ว่าเธอกับฮาซามะคุยกันถูกคอมากขึ้นหลังจากคาบเรียนตะเกียงแอลกอฮอล์ในครั้งนั้น
เจ้าหล่อนชื่นชอบเรื่องราวสยองขวัญ
และเหตุการณ์ดังกล่าวก็คล้ายกับฉากหนึ่งในนวนิยายที่อ่านมา
ซึ่งมันก็กลายเป็นการผูกมิตรไปโดยสิ้นเชิงเมื่อตัวเธอเองก็พอจะคุยเรื่องนี้ได้แบบถูกคอกัน
ก่อเกิดเป็นมิตรภาพที่ไม่มีการยึดติด
คุยกันแค่บางเรื่อง และไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันและกัน
มันไม่ขัดกับสิ่งที่เธอต้องการ
เลย์โกะจึงไม่ได้คิดว่าตนเองกำลังก้าวข้ามเส้นแบ่งแยกที่ตนเองได้ขีดเอาไว้
...คิดว่านะ
“น่าเสียดายแฮะ ฉันน่าจะได้เก็บภาพไว้สักสองสามรูปแท้”
“ถ้าแกไม่หนีเรียนก็ได้เห็นแล้วไหมล่ะ?”
และถ้อยคำที่แรกที่เทราซากะเอ่ยออกมาคือคำเสียดสีเธอ...
มันทำให้เด็กสาวอยากจะหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
“พูดจาอย่างกับอยากให้ไฟไหม้อาคาร”
“พอแล้วเว้ย!
สรุปว่ารอบที่แล้วแกตั้งใจหรือแค่บังเอิญกันแน่วะ!?”
เลย์โกะเมินเขา
แล้วจึงหยิบสมาร์ทโฟนออกมาจากกระเป๋ากระโปรงเพื่อเช็คแจ้งเตือน
ทิ้งให้คนอารมณ์ร้อนโวยวายอยู่คนเดียว
“อย่าเมินฉันนะเว้ย! แกมันก็เหมือนกับคารุมะนั่นแหละ! กวนประสาทและน่ารำคาญเป็นบ้า!!”
เสียมารยาทจังเลยนะ... เธอมั่นใจว่าตนเองแตกต่างกับคารุมะอยู่พอสมควรนะนั่น
โอ๊ะ
หนังสือใหม่ของนักเขียนคนนั้นถูกวางขายแล้วนี่นา
เธอกระตุกแขนเบลเซอร์ของฮาซามะ
ก่อนจะพลิกหน้าจอสมาร์ทโฟนให้อีกฝ่ายให้เห็นรูปปกหนังสืออันสวยงามนั่น
“คิรารัจจิ เห็นนี่ยังๆ?”
“ยัยคุณหนูเวร อย่าเมินฉัน!!”
“ปกเล่มนี้ดูคล้ายเล่มเดบิวต์ของอาจารย์สึกิโมโตะเลย
ชื่อก็เหมือนกัน... เป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นการรีไรท์ใหม่”
“นั่นน่ะสินะ”
“อาจารย์สึกิโมโตะเคยพูดเอาไว้ในแอคทวิตเตอร์ว่าทุกครั้งที่เขาตื่นขึ้นก็จะมีความรู้สึกอยากรีไรท์เรื่องราวนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
ราวกับต้องคำสาป”
“ดูเหมือนว่าเขาจะพ่ายแพ้ต่อมันแล้วสินะ”
ฮาซามะหัวเราะ— มันเป็นเสียงหัวเราะที่ค่อนข้างจะน่ากลัวและน่าขนลุกไปในคราวเดียวกัน
และพบได้ตามตัวละครแนวสยองขวัญในซีรี่ส์สักเรื่อง
ซึ่งเธอก็ไม่ได้รู้สึกหวาดระแวงใดๆหรอก แค่พยักหน้าเห็นด้วยเงียบๆ
ความจริงก็แอบเชื่อว่าพวกคำสาป ลัทธิ
และเวทมนตร์มีจริงอยู่เหมือนกัน ถึงจะรู้ว่าที่อาจารย์สึกิโมโตะพูดนั้นเป็นแค่มุกตลกที่ไม่ค่อยจะน่าขบขำก็ตามเถอะ
ไม่รู้สิ... มันเป็นอะไรที่พิศวงและน่าสนใจดี
และเธอก็ชอบอ่านอะไรที่ส่วนใหญ่จบแบบ
Bad End อยู่แล้วด้วย
“โชคดีที่เงินเก็บฉันคงซื้อได้เล่มหนึ่งพอดี”
หนังสือเล่มแรกของอาจารย์สึกิโมโตะก็จบลงด้วยเหตุการณ์ร้ายที่เต็มไปด้วยปริศนา...
ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าคนที่ตามเข่นฆ่าผู้คนในหมู่บ้านเป็นใครนอกจากตัวเอก...
ผู้ซึ่งได้เสียสติและติดอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช
มันจึงน่าสนใจเป็นอย่างมากเมื่อฮาซามะสันนิษฐานว่าหนังสือเล่มใหม่นี้จะเป็นการรีไรท์เนื้อหาในเรื่องแรกให้การดำเนินเรื่องและจุดจบเปลี่ยนไป... แต่เธอก็แอบหวังว่ามันคงจะไม่ได้จบแบบ
Happy End ชนิดที่ว่าดูไร้เหตุผล
‘แนวโน้มที่จะมีจุดจบอันเลวร้าย’ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการเลือกอ่านหนังสือของเธอ...
แต่บางครั้งเลย์โกะก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนั้น
หากตัวพล็อตเรื่องมีความหม่นในตัวอยู่แล้ว
ส่วนสาเหตุที่ชอบอะไรแบบนี้ก็ไม่ใช่เหตุผลที่อธิบายยากนัก
มันก็แค่ทำให้เธอตระหนักได้ว่าจุดจบที่เลวร้ายนั้นมีความเป็นไปได้มากกว่าจุดจบที่ทุกคนมีความสุข...
แค่นั้นเองจริงๆ
เธอไม่เชื่อในความสุขนิรันดรอยู่แล้ว— แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงมันเป็นครั้งคราว
มันจึงเป็นการดึงตัวเธอออกจากจินตนาการเพ้อฝันของตนเองในทุกครั้งที่อ่านหนังสือและเจอ
Bad End...
“เดี๋ยวนะ—”
“อะไรเหรอสึมุกิ?”
“...มีใครได้ยินเสียงอะไรไหมเมื่อกี้?”
“หา? หมายความว่าอะ— เฮ้ย!”
“หินยักษ์!!”
ไม่ทันได้พูดให้จบก็ต้องอุทานออกมาเสียงดังลั่น
เมื่อวัตถุขนาดใหญ่นั้นกำลังกลิ้งมายังพวกเธอด้วยความเร็วสูง
และที่วิ่งหนีนำหน้าหินยักษ์ไปนั้น...
คือเพื่อนร่วมห้องของพวกเธอ
“อ-โอคาจิมะ!”
ซึ่งนอกจากตัวจะเปียกโชกแล้ว ก็ยังมีงูจำนวนมากเลื้อยเกาะอยู่ตามตัวจนดูน่าเป็นห่วง
เลย์โกะรีบขยับร่างกายไปหลบหลังฮาซามะ
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจุดที่เดินอยู่ในคราแรกนั้นเสี่ยงต่อการถูกชน
และอีกส่วนหนึ่งมาจากความรู้สึกหวาดระแวงเมื่อเผลอสบตาเข้ากับสัตว์เลื้อยคลานบนบ่าเพื่อนร่วมห้อง
ทว่าทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เร็วเสียจนเธอไม่อยากจะเชื่อว่าเพิ่งเกิดเหตุการณ์แบบนั้นไป
และนั่นยิ่งทำให้เธอเป็นห่วงโอคาจิมะ
ไทกะมากกว่าเดิมอีก...
“จะไหวไหมนั่น?” เธอมองไปยังทิศทางที่เขาวิ่งผ่านไป
หากจำไม่ผิด คนที่อยู่
“หมอนั่นมันโชคร้ายชะมัดเลย”
“บอกฉันทีว่าโอคาจิมะไม่ได้โดนฮาซามะสาป...”
“จะบ้าเรอะ? ถ้าฉันจะสาปใคร
คนแรกก็ต้องเป็นเจ้าหมึกนั่นอยู่แล้ว”
แต่เพราะมีเวลาที่ค่อนข้างกระชั้นชิด
พวกเธอจึงไม่ได้พูดคุยกันมากกว่านั้น และเริ่มมุ่งหน้าเดินทางต่อ เพื่อไม่ให้ไปประชุมสายและโดนลงโทษ
...
ซึ่งเมื่อมาถึง สภาพของขาทั้งสองก็อ่อนแรงเสียจนแทบทรุดลงไปทันที
นักเรียนห้อง 3-E ต่างก็หอบหายใจ กอบโกยเวลาพักผ่อนอันน้อยนิดของตนเอง ก่อนจะถูกเรียกไปตั้งแถวให้คุ้มค่าที่สุด
เลย์โกะได้ถอดเบลเซอร์มาคลุมศีรษะระหว่างที่นั่งพักอยู่
เธอไม่เคยถูกกับกิจกรรมที่ต้องใช้กำลังหรือต้องใช้ความอดทนสูง
ขนาดในแต่ละวันที่ต้องเดินไปยังอาคารเรียนก็ยังต้องใช้เวลานานกว่าจะไปถึงเลย
แถมตอนที่ถึงตัวอาคารก็นั่งพักหายใจอยู่ประมาณหนึ่ง
นับประสาอะไรกับการเดินลงมายังอาคารหลักในเวลาที่จำกัดกันล่ะ?
ไหนจะอุปสรรคที่พบเจอระหว่างทางนั่นอีก
ไม่สลบไป ณ ตอนนี้ก็บุญแล้ว...
“คิรารัจจิ... สาปฉันเหอะ...
สาปฉันที”
“สึมุกิ สติโว้ย! สติ!”
“หุบปากน่าเทราซากะ...
สติสะเตอะอะไรกัน?” ตอนนี้มีแต่ความเหนื่อย
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ก่อนจะดึงเบลเซอร์ลงจากศีรษะของตนเอง แล้วจัดแจงแต่งกายให้เรียบร้อยกว่าเดิม
รวมไปถึงการมัดหางม้าใหม่ด้วย— ผมเธอมันเสียทรงมาพักใหญ่แล้ว
“เอาล่ะทุกคน รีบไปตั้งแถวกันเถอะ!”
และเวลาพักอันน้อยนิดนั้นก็จบลง...
เลย์โกะถอนหายใจ
เธอยังไม่ทันได้นวดขาตนเองเลยเสียด้วยซ้ำ
แต่ก็ต้องลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าอาคารไปเสียแล้ว
ครืน...
ก็คิดแบบนั้นแหละ— จนกระทั่งสมาร์ทโฟนในกระเป๋ากระโปรงสั่นน่ะ
พอหยิบขึ้นมาดูว่าเป็นโทรศัพท์จากใคร
ก็ทำให้รู้สึกสองจิตสองใจเป็นอย่างยิ่ง
‘สึมุกิ โคเฮย์’
เธอไม่อยากรับ... ไม่อยากคุย...
ไม่อยากแม้แต่จะเห็นรายชื่อนี้ขึ้นมาบนหน้าจอสมาร์ทโฟนเลยเสียด้วยซ้ำ
แต่หากไม่รับตอนนี้
ก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่าอีกฝ่ายจะโทรศัพท์เข้ามาอีกรอบหรือเปล่า...
และเธอคงไม่อยากจะต่อสายไปหาในภายหลังอย่างแน่นอน
ถ้าทำเป็นไม่เห็น ก็ไม่รู้ว่าจะก่อปัญหาอะไรหรือเปล่า
เธอเองก็สร้างปัญหาให้คนอื่นมามากพอสมควรแล้วด้วย...
เลย์โกะยืนนิ่ง ปลายนิ้วเธอเตรียมกดปุ่มบนหน้าจอ
ทว่าปัญหาก็คือกำลังชั่งใจอยู่ว่าควรจะกดปุ่มไหนดี
แต่ปกติแล้วจะไม่มีสายโทรศัพท์เข้ามา
หากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆนี่นา...
“เฮ้สึมุกิ! ยืนทำอะไรอยู่?”
ปิ๊บ!
เธอหันไปทางโยชิดะ ก่อนจะชี้ไปที่สมาร์ทโฟนที่เพิ่งจะยกขึ้นมาแนบหู หลังกดรับสาย
เขาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินเข้าโรงยิมไป
แล้วสองขาของเธอก็ก้าวเดินไปยังบริเวณข้างโรงยิมเพื่อคุยโทรศัพท์อย่างสงบๆ...
โดยใจไม่สงบตามน่ะนะ
เธอเอนตัวพิงผนัง มือที่ว่างอยู่นั้นจับศอกอีกข้าง
พยายามอย่างมากที่จะทำตัวให้เป็นธรรมชาติ แม้ว่าตอนนี้จะรู้สึกประหม่ามากก็ตาม
[เงินโอนไปแล้ว]
...และเชื่อไหมล่ะ?
นั่นคือสิ่งแรกที่เขาเอ่ย
ไม่มีการทักทาย ไม่มีการเรียกชื่อ
ไม่มีแม้แต่คำพูดที่บ่งบอกถึงสถานะความสัมพันธ์...
แต่แบบนี้ก็คงดีแล้วล่ะมั้ง?
“อืม” ตอนเธอเดินลงมาก็เห็นอยู่ว่ามีเงินถูกโอนเข้าบัญชี...
[เท่านี้คงจะพอสำหรับเดือนนี้นะ]
“มันก็เหมือนทุกเดือน...
และทุกครั้งมันก็เหลือ ไม่เคยหมดจนต้องขอใหม่จากใคร”
[อืม]
“อืม”
ทุกอย่างเงียบลง... ไม่มีใครเอ่ยอะไรต่อ
และนั่นทำให้เลย์โกะฉงน
ปกติแล้วเขาไม่แม้แต่จะโทรศัพท์มาหาเรื่องเงินเสียด้วยซ้ำ
โคเฮย์ตั้งระบบให้โอนอัตโนมัติและไม่มีแม้แต่การทักมาถามไถ่ว่าได้หรือยัง
รอบนี้มาแปลก...
และเธอหวังว่ามันจะไม่ใช่เพราะว่าเขามีอะไรจะวานเธอ
แต่ก็อย่างว่า—
ทุกครั้งที่โทรศัพท์มาหาก็เป็นแต่เรื่องสำคัญ
มันคงไม่มีทางที่ซีทีโอของบริษัทเครื่องสำอางอันโด่งดังนั้นจะโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบกับลูกสาวของตนเองหรอก
“มีอะไรอีกหรือเปล่าคะ?” เธอเอ่ยถามไปในท้ายที่สุด
พยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้แววตาจะเริ่มสั่นไหวจากอารมณ์มากมายที่เริ่มล้นทะลักออกมา
เธอฟุ้งซ่านได้ง่าย...
และนี่ก็เป็นอีกครั้งคราที่ความคิดมากมายตีกันภายในหัว
ส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่เป็นคำถาม
บางสิ่งบางอย่างกำลังพยายามยุยงให้เธอคิดว่าพ่อโทรมาถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
และเธอที่รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็กำลังถกเถียงกับมัน
ทว่าตอนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรสำคัญที่เขาต้องการจะวานให้เธอช่วยเหลือเลยนี่...
[ความจริงก็ไม่มี]
...ก็นั่นน่ะสินะ
เธอไม่อยากเป็นแบบนี้เอาเสียเลย
แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถห้ามความคิดของตนเองไม่ให้คิดไปไกลได้
“อืม”
[ไม่สิ...]
อะไร?
มีอะไรกัน?
เขาต้องการจะพูดอะไร— เขาต้องการอะไร?
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง
เธอได้ยินเสียงหายใจอย่างสม่ำเสมอของเขา... มันเป็นการหายใจที่เร็วกว่าปกติเล็กน้อย
แต่ก็ไม่ได้ฟังดูผิดสังเกตขนาดนั้น
เลย์โกะเม้มริมฝีปาก
เล็บที่คมนั้นเผลอจิกเขาที่ศอกตนเองขณะรอฟังคำต่อไปของผู้เป็นพ่อ
[เปล่า ไม่มีอะไรแล้ว]
“...”
อ่า... อะไรมันจะน่าสมเพชขนาดนี้
เธอเกลียดทุกครั้งคราที่ตนเองหวังอย่างลมๆแล้งๆว่ามันจะเป็นไปได้
เธอเกลียดทุกครั้งคราที่ไม่สามารถหักห้ามใจไม่ได้มีปฏิกิริยากับทุกการกระทำของพวกเขา
เธอเกลียด...
เกลียดที่ตนเองเป็นแบบนี้
“อืม”
นั่นเป็นเสียงสิ่งเดียวที่สามารถเปล่งออกมาได้
และมันก็เป็นเสียงสุดท้ายในการโทรศัพท์ครั้งนี้
เขาวางสายไป— แล้วเธอทรุดตัวลงด้วยความเหนื่อยล้าจากก่อนหน้า
กอดเข่าตนเองตามประสาคนที่รู้ตัวว่าการประชุมได้เริ่มไปแล้ว
น่าจะไม่รับสายนั่นตั้งแต่แรก
เธอถ่อมาที่นี่เพื่อมานั่งข้างๆโรงยิมหลักเสียเฉย คารุมะที่โดดไปนั่งเล่น ณ
อาคารเรียนเก่าๆก็คงจะภูมิใจตาย
แต่ช่างเถอะ
ไม่มีกะจิตกะใจจะสนเรื่องอะไรทั้งนั้นแหละตอนนี้...
อาจจะลุกไปหาอะไรดื่มที่ตู้ขายน้ำอัตโนมัติ
เผื่อว่ามันจะช่วยให้อารมณ์เธอดีขึ้นได้บ้าง
น้ำส้มไหมครับ?”
แต่แล้วเสียงเสียงหนึ่งก็ทำให้เธอหลุดออกจากห้วงความคิดของตนเอง
ใบหน้าเริงร่าของเพื่อนสมัยเด็กเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธออยากจะเห็นในตอนนี้— และหากไม่ติดว่าทั้งห้องจะถูกทำโทษ
เพราะมีคนมาสาย เธอคงวิ่งเข้าโรงยิมหลักไปแล้ว
“ว่าไง? กำลังเย็นดีเลยนะ”
“เฮย์ ฉันถามจริงเหอะ”
เด็กหนุ่มยู่หน้า
“อะไรกัน? เมื่อก่อนก็เรียกผมว่า
‘เฮย์จัง’ แท้ๆ ไหงห่างเหินกันแล้วล่ะ?” เขาบ่นอุบอิบ
ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างเคียงเธอ
“ผมมาเดินดูโรงเรียนน่ะ
จะเข้าเรียนในภาคเรียนหน้า”
“อ๋อ...” จังหวะของทุกอย่างนี่มันประจวบเหมาะกับเสียเหลือเกิน...
เธอพยายามปรับเสียงและสีหน้าให้ดูปกติ
เพื่อให้เขาไม่สงสัย— และนั่นทำให้รู้สึกสมเพชตนเองยิ่งกว่าเดิม
“ไม่ยักคิดเลยว่าจะได้เจอเลย์ตันด้วย ถ้ารู้ผมคงแต่งตัวมาดีกว่านี้อ่ะ”
เธอเหล่มองคาราสึมะ เฮย์
เขาอยู่ในลุคสบายตัว— สเวตเตอร์โอเวอร์ไซส์ลายน่ารักกับกางเกงเลกกิ้งและรองเท้าผ้าใบ
ส่วนเรือนผมสั้นประบ่าสีชมพูหมากฝรั่งก็ถูกมัดเป็นผมบันครึ่งหัว
ดูรวมๆแล้วก็ไม่ได้แย่เสียขนาดนั้น... อาจจะเพราะหน้าตาที่ค่อนข้างดีของเขาด้วย
มันคงจะโชคดี ถ้าเกิดเป็นเขา
“แน่ะ มองใหญ่เลยนะ”
“อืม”
“โหย! เล่นกับผมหน่อยก็ได้
อย่าทำหน้าตายใส่กันสิ”
ถ้าปรับอารมณ์ได้เร็วขนาดนั้น
เธอก็คงเป็นเหนือมนุษย์ที่ไม่มีพื้นฐานของความเป็นธรรมชาติแล้วล่ะ...
เลย์โกะไหวไหล่
ความรู้สึกของตนเองที่เกิดจากเหตุการณ์เมื่อครู่ยังคงอยู่ แต่มันก็ผ่อนปรนลง
เมื่อได้พูดคุยในเรื่องอื่นบ้างแล้ว
ทว่าก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่คุยเล่นได้อย่างสบายใจหรอก— เฮย์ขอมากไป
เธอเปิดขวดน้ำส้มที่เฮย์ยื่นมาให้
ก่อนจะยกมันขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว
รสเปรี้ยวๆหวานๆน่าจะพอช่วยเธอได้... ไม่มากก็น้อย
“ค่อยๆดื่มสิ”
“เออน่า” เธอกลอกตา
ในตอนนั้นเองที่สังเกตเห็นว่าอีรีน่าซึ่งนั่งพักอยู่ในตอนแรกนั้นกำลังเดินเข้าไปในโรงยิมแล้ว
พวกเธอสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง
และเพียงเสี้ยววินาทีเดียว... ที่เลย์โกะเห็นสีหน้าประหลาดใจบนใบหน้าของนักฆ่าสาว
เธอกระดกน้ำส้มไปอีกครั้งหนึ่ง
อาจจะแปลกใจที่เห็นเฮย์ล่ะมั้ง?
อีรีน่าไม่รู้ว่าคาราสึมะมีหลานที่หน้าตาต่างกันราวกับมนุษย์ชาเย็นและมนุษย์ดี๊ด๊าเลยนี่...
“ผมคิดว่าน่าจะได้อยู่ห้อง A แหละ”
อ่า...
ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจขนาดนั้น แต่การที่จู่ๆเขาก็พูดมันขึ้นมา
ก็ทำให้เธอเกือบจะสำลักน้ำอยู่เหมือนกัน
“ได้ยินมาว่าลูกชายของผู้อำนวยการอยู่ห้องนี้ด้วย...”
เธอพยักหน้า
“อืม ชื่ออาซาโนะ กาคุชู”
อยากจะเติมข้อมูลเพิ่มเติมไปเหลือเกินว่า ‘หมอนี่มันน่ารำคาญ’ หรือ ‘ขี้เก๊กและสองหน้าอย่างกับพระเอกโชโจพล็อตน้ำเน่า’ เป็นบ้า แต่เธอไม่อยากจะตอบคำถามต่อๆไปที่เฮย์อาจจะยิ่งมาให้รัวๆ
“เลย์ตันสนิทมั๊ย—”
“ไม่”
ไม่คิดจะสนิทด้วยตั้งแต่แรกพบ...
‘คุณสึมุกิเนี่ย
อยู่คนเดียวตลอดเลยสินะครับ’
‘ค่ะ พอดีว่ายิ่งสูงมันก็ยิ่งหนาวน่ะ’
และไม่เคยแม้แต่จะพูดดีๆด้วยกันสักครั้ง
“ทางที่ดีก็อย่าไปยุ่งด้วยมาก— แต่เอาจริงๆแล้ว ฉันก็ได้แค่พูด
จะเลือกทำตามหรือไม่ทำตามก็แล้วแต่ ฉันบอสชีวิตนายไม่ได้”
เฮย์หัวเราะขึ้นมา...
มันดูคล้ายเสียงหัวเราะเอ็นดูของเขาที่เธอมักจะได้ยินบ่อยตอนเล่นด้วยเมื่อหลายปีก่อน
และมันก็ทำให้เธอแอบรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ขอร้องเถอะ
“ไม่เอาน่า
เห็นผมเป็นคนหัวรั้นขนาดนั้นเชียว?”
“คนเรามันก็เปลี่ยนกันได้
ยิ่งผ่านมาหลายปีแล้วด้วย” เธอกล่าว พลางเปิดเข้าแอพพลิเคชั่นนกฟ้าเพื่อหาเธรดน่าสนใจอ่าน
“เหมือนกับที่เลย์ตันเปลี่ยนไปน่ะเหรอ?”
. . .
เลย์โกะชะงักงัน
ก่อนจะหันกลับมาสบตากับเขาทันที
“ง่ะ อย่าทำหน้าตกใจแบบนั้นสิ ผมก็แค่หาเรื่องคุยไปเรื่อย”
ไม่หรอก—
“แอ๊บใสซื่อหน้าตาย ดูออก”
“เปล่าสักหน่อย! เลย์ตันนี่นะ
อ่อนโยนกับผมสักนิดก็ได้”
เขารู้บางอย่างมาแน่นอน...
“มากไปค่ะ”
“ผมจะฟ้องคารุจัง!”
เธอหัวเราะเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มงอแง
บทสนทนาหลังจากนั้นก็เป็นเพียงแค่สารพัดเรื่องไร้สาระที่เขายกมาคุยเรื่อยๆเพื่อฆ่าเวลา
หลังจากที่เธอบอกว่าตนเองเพิ่งจะโดดประชุมมาอย่างสดๆร้อนๆ
การพูดคุยกับใครสักคนให้สภาพจิตใจเธอดีขึ้น
และเลย์โกะก็รู้สึกขอบคุณเขา...
ปุบ!
“เลย์ตัน”
ดวงตาเหลือบขึ้นมองมือของเขาที่ยกขึ้นมาลูบเส้นผมเธอ
“ไม่ว่าอย่างไร เลย์ตันก็ยังมีผมนะ”
“...”
“แล้วก็คารุจังด้วย... อย่าลืมล่ะ”
ทว่ามันก็เป็นเพียงความรู้สึกขอบคุณในเรื่องเล็กน้อย
เธอปัดมือของเขาออก ด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่ได้มากนัก
แต่ก็ได้ผล
“จะวางแผนป่วนอะไรก็เชิญลงเรือกันไปสองคนเถอะ
ฉันไม่เอาด้วย”
มันเป็นเรื่องเล็กน้อย—
หากเทียบกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น...
หากเทียบกับทุกสิ่งทุกอย่างที่กระทบเธอ... ในวันที่ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง
เธอเคยบอกกับอาซาโนะว่า ‘ยิ่งสูงมันก็ยิ่งหนาว’ แต่นั่นเป็นเพียงถ้อยคำที่เอ่ยเพื่อเสียดสีที่ด้นสดขึ้นมาได้
หาใช่ความจริงไม่
เพราะเธอตกลงจากจุดที่สูงนั้นเมื่อนานมาแล้ว...
และบัดนี้ก็เป็นเพียงเศษซากที่ถูกอดีตกัดเซาะจนไม่เหลือชิ้นดีเท่านั้น
________
วันนี้เป็นอีกวันที่อารมณ์เธอสวิงไปมาพอๆกับชิงช้าในสวนสาธารณะที่เดินผ่าน
ก่อนมาถึงสถานีรถไฟ...
ทั้งอารมณ์ดี แล้วหม่นหมอง แล้วดีขึ้นในระดับหนึ่ง
ก่อนจบลงด้วยความรู้สึกโหวงในใจ— วนไปมาแบบนี้แทบทุกวันจนเธอเริ่มจะชินชาไปแล้ว
เลย์โกะขึ้นรถไฟฟ้าไปด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
คิ้วเธอขมวดเป็นปม ในขณะที่ริมฝีปากเม้มแน่น
เหมือนว่าวันนี้เธอจะสานสัมพันธ์กับคนอื่นได้มากขึ้น...
ทว่าก็ไม่รู้ว่าตนเองจะต้องรู้สึกอย่างไรกับมันดี
จะดีใจก็ดีใจไม่สุด
จะเสียใจกับการกระทำของตนเองก็ไม่เชิง
ระหว่างทางกลับบ้านจึงมีแต่ความคิดที่ตีกันไปมาจนทำให้ไม่สามารถโฟกัสกับเรื่องอะไรได้เป็นพิเศษ— รู้ตัวอีกทีก็นึกขึ้นได้ว่าเธอลืมทักไปหาจิฮิโระเรื่องมื้อเย็น
แต่ช่างเถอะ...
ถ้าไม่มีอะไรกินก็ค่อยออกไปซื้อที่มินิมาร์ทก็ได้
เธอนั่งลง ณ
ที่นั่งที่ว่างอยู่บนรถไฟฟ้า ตรงริมประตูโดยที่ข้างเคียงนั้นมีนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งกำลังนั่งฟังเพลงกับเพื่อนของหล่อนอยู่
เธอเปิดสมาร์ทโฟนของตนเอง
แล้วเชื่อมต่อมันกับหูฟังไร้สายที่หยิบขึ้นมาจากกระเป๋า
มหาวิทยาลัย... งั้นเหรอ?
ก็เคยคิดอยากเรียนมนุษยศาสตร์อยู่เหมือนกัน...
แต่มันคงไม่มีตอนนั้นหรอก
เลย์โกะไม่ได้เปิดเพลงอะไร เธอแค่เสียบหูฟังไวเฉยๆ
ก็กะจะฟังเพลงอยู่หรอก...
แต่มันดันนึกไม่ออกว่าฟังอะไรดีนี่สิ
ปลายนิ้วกำลังจะกดเข้าแอพพลิเคชั่นไปสุ่มฟังสักเพลง
ทว่าป๊อปอัพแจ้งเตือนที่แสดงขึ้นมาบนหน้าจอดันเร็วกว่า
จิฮิโระจัง : ดิฉันใกล้ถึงแล้วค่ะคุณหนู มื้อเย็นนี้ร่วมกินกับดิฉัน
ทาคามิ และมาโคโตะนะคะ
เธอกดเข้าไปอ่านให้อีกฝ่ายรู้ว่ารับสารแล้ว
ใจรู้สึกพองโตขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยมื้อเย็นนี้ก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวหรือต้องพึ่งพามินิมาร์ทกับอาหารเดิมๆที่เธอชอบซื้อกิน
นานๆครั้งจะได้เจอหน้าพวกเขาสามคนพร้อมเพรียงกัน...
มันคงจะเป็นมื้อที่คลายความรู้สึกหม่นหมองนี้ได้พอสมควร
ดีไม่ดี ทาคามิอาจจะชวนเธอเล่นอีแก่กินน้ำด้วยก็เป็นได้
ถ้าไม่ถูกอีกสองคนห้ามก่อนน่ะนะ...
เลย์โกะถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
และในตอนนั้นเองที่สายตาสบเข้ากับแจ้งเตือนอีเมลที่ส่งมาจากคนที่ไม่คุ้นเคย
เธอกดเข้าไปดู— และในตอนนั้นเองที่ความรู้สึกอบอุ่นในใจก็สลายหายไปในพริบตา
‘สวัสดีครับ, คุณหนูแอล’
ประโยคเปิดนั้นทำให้รู้สึกหวาดระแวงขึ้นมาทันที...
และอย่าให้พูดถึงเนื้อหาในเมลนั่นเลย
ความคิดเห็น