ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    monster – assassination classroom fanfic

    ลำดับตอนที่ #5 : chapter 3 : i cross my own line again.

    • อัปเดตล่าสุด 10 ส.ค. 64


      

    chapter 3


             ความจริงแล้ว มันก็ยังคงดูแปลกตาไปหน่อยภาพของเพื่อนร่วมห้องที่เล็งกระบอกปืนหรือจ่อมีดไปที่ตัวอาจารย์ประจำชั้นน่ะ...


             แต่เธอว่าเธอสามารถทำตัวให้ชินกับมันได้


             ว่าแต่ ให้ฉันนั่งแบบนี้มันจะไม่ลำบากพวกเธอใช่ไหม?


              เพราะว่ามีสมาชิกอยู่ 5 คนในกลุ่ม เธอเลยจำเป็นจะต้องนั่งติดกับฮายามิ รินกะและโอคุดะ มานามิ


              ไม่เป็นไรหรอก สุดท้ายมันก็ต้องมีเศษอยู่ดีฮายามิเอ่ย ส่วนโอคุดะนั้นเพียงแต่พยักหน้าด้วยท่าทีเกร็งๆ


              เธอเท้าคาง


             เจริญไหมล่ะ? การเป็นเศษห้องเนี่ย...


              วอนทางรัฐบาลส่งนักฆ่าสักคนมาทำให้ฉันไม่เป็นเศษของห้องทีเถอะ เวลาทำงานคู่มันลำบากจะตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาจารย์โคโระเสนอเป็นคู่ของเธอ


              ก็เขาเล่นใช้ความเร็วเหนือมนุษย์นั่นทำส่วนของตนเองเสร็จโดยเร็ว จากนั้นก็รอเธอโดยสะบัดปอมปอมเชียร์ระหว่างนั้นน่ะสิ


              แต่นึกก็ปวดหัวแล้วไม่รู้ว่ารายนั้นพยายามจะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีกับเขา เพื่อให้ลืม first impression ระหว่างกันและกันที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นั่นหรือเปล่า


              แต่ถ้าใช่ล่ะแล้วล่ะก็... เธอยอม


             อย่าได้มารบกวนกันอีกเลยค่ะอาจารย์... สึมุกิ เลย์โกะคนนี้ทำงานเองได้


             เหนื่อยหน่อยนะคารุมะกลั้วหัวเราะ


              เธอถอนหายใจ


              ช่วยด้วยรินกัจจิ ฉันมีเจ้ากรรมนายเวร 2 คนเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คล้ายกับว่าเป็นบทในซีรี่ส์ซิทคอมที่มันจะน่าขบขันกว่าเดิม หากไม่แสดงอารมณ์ตอนเอ่ย


              สึมุกิ ฉันว่าอาจารย์โคโระไม่น่านับเป็นคนนะ


              และมันทำให้เธอเงียบไปครู่หนึ่ง...


              เออเนอะ


             แล้วต้องเรียกเป็นตัว เป็นตน หรือเป็นอะไรกันล่ะ?


             “....คิดว่าอาจารย์โคโระจะรู้สึก offend ไหม? ถ้าถูกเรียกเป็น ตัว น่ะ


              . . .


              ...เธอพูดอะไรแบบนี้ได้ด้วยสินะ


              เลย์โกะขมวดคิ้ว


              ฮะ?


              บอกแล้ว ความจริงแม่นี่เป็นที่สุดของความเด๋อ


              คารุมะ อยู่เงียบๆก็ไม่มีใครหาว่าถูกตัดลิ้นหรอกนะ


              เขาไหวไหล่ ทำหน้าทำตาน่ารำคาญใส่เธอ ก่อนจะเอนพิงพนักเก้าอี้ตนเอง แล้วมองไปยังอาจารย์โคโระที่ยังคงจัดแจงอุปกรณ์อยู่หน้าห้อง


              ...แต่ว่าฉันสงสัยจริงๆนะ ไม่อยากพูดอะไรที่มัน offensive สักเท่าไหร่


    ถึงในครั้งแรกจะมองเขาด้วยสายตาที่ไม่ดีนักก็เถอะ...


              แต่ในสถานการณ์แบบนั้นน่ะ มันมีอะไรให้เคารพกันเล่า?


              ถูกเรียกว่าปลาหมึกยังไม่รู้สึกอะไรเลยนะ งั้นก็คงไม่มีปัญหากับการถูกเรียกแบบนั้นหรอก


              อ่า...


    เธอพยักหน้าเห็นด้วยกับฮายามิ ก่อนจะพูดว่า ขอบคุณ เบาๆ แล้วเบนความสนใจของตนเองไปยังอุปกรณ์ที่อาจารย์ประจำชั้นจัดเตรียมไว้ให้สำหรับการทดลองในคาบเรียนที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น


              ทว่าในตอนนั้น ดวงตาสีอเมทิตส์ก็เหลือบเห็นท่าทีของโอคุดะที่ดูประหม่ากว่าเก่า


    ขอสันนิษฐานว่าสาเหตุนั่นคงไม่ได้มาจากเธอ


    ความเป็นไปได้มันต่ำไป... และมันก็ดูไม่เหมือนความประหม่าที่แสดงออกมาเมื่ออยู่ใกล้คนที่แอบกลัว


    มันเหมือนหล่อนกำลังจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่างอยู่มากกว่า


    อ๊ะ! คารุมะคุงครับ อย่าจุดตะเกียงแอลกอฮอล์สิครับ!”


              ถึงจะไม่รู้ว่าวางแผนอะไรอยู่ก็เถอะ แต่ว่านะ


             ขอให้โชคดี

     

              ...

     

              แบบนี้น่าจะเรียกว่าโชคดีได้... ล่ะมั้ง?


              กรดกัดทองสินะครับ


              การที่ใบหน้าของอาจารย์โคโระเปลี่ยนไปหลังจากดื่มหลอดยาพิษของโอคุดะไปแต่ละหลอดน่ะ...


              ไม่สิ เธอกำลังหลอกใครอยู่กัน?


             นี่มันเหนือกว่าโชคดีหรือโชคร้ายไปเรียบร้อยแล้ว


             ทั้งกลายเป็นสีฟ้า มีปีกงอกออกมา และสีหน้าในปัจจุบันที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมาเลย


             ชีวิตนี้คงไม่พบเจออะไรที่เหนือธรรมชาติไปมากกว่าเหตุการณ์ ณ ปัจจุบันแล้วแหละ


              บางทีก็อยากจะไปสืบจริงเชียวว่าจุดกำเนิดของอาจารย์ประจำชั้นคนนี้คืออะไรกันแน่หวังว่าเขาคงจะไม่ใช่สัตว์ประหลาดจากต่างดาวที่ถูกฟักไข่ให้เกิดบนพื้นโลกหรอกนะ


    ถ้ามันเป็นความจริง เธอคงประสาทเสียน่าดู...


              ไม่ว่าอันไหนก็อยู่ในระดับที่เปลี่ยนสีหน้าของอาจารย์ได้นะครับ


              อยากจะถามทางกระทรวงเหลือเกิน ว่าส่งตัวอะไรมาให้เด็กอายุ 15 ปีสังหารกัน


             ถึงจะเกลียดอาจารย์ก็ตาม แต่อย่าได้เกลียดการลอบฆ่าเลยนะครับ


              อยู่ๆก็เป็นอะไรไปฮะ!?


              อืม หลังจากคาบนี้เธอจะต่อสายตรงไปถามเลย


              แล้วก็นะ คุณโอคุดะ... อาจารย์คงมองข้ามความปลอดภัยที่ปล่อยให้นักเรียนทำยาพิษอยู่คนเดียวไม่ได้หรอกนะครับ


              ค่ะ... ขอโทษด้วยนะคะ


              โอคุดะหลุบตาลงมองเท้าของตนเอง


              ถ้ามีเวลาล่ะก็... ไว้เลิกเรียนเรามาวิจัยยาพิษที่จะฆ่าอาจารย์ด้วยกันนะครับ


              -อ๊ะ! ค่ะ!”


              เลย์โกะเผลอถอนหายใจออกมา


              มันดูเป็นอะไรที่ไม่น่าไว้วางใจเลยนี่สิ... อีกทั้งโอคุดะ มานามิก็ดูเป็นคนใสซื่อที่อาจถูกอาจารย์โคโระหลอกให้ปรุงยาแปลกๆได้ง่ายด้วย


              ก็อยากจะลองเตือนดูอยู่หรอกนะ แต่เมื่อต้นคาบตอนที่ทักทายกัน ก็ดูเหมือนว่ารายนั้นจะแอบกลัวๆเธออยู่นี่สิ


              สาเหตุหลักๆก็น่าจะมาจากวีรกรรมอันลือชื่อของเธอและมิตรภาพอันยืนนานกับอาคาบาเนะ คารุมะ ผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนน่ากลัวในสายตาของนักเรียนหลายคน


              แต่ว่านอกจากเรื่องที่ว่าโอคุดะกลัวเธอแล้วเนี่ย


             ก็ยังมีน้ำเสียงที่ฟังดูเริงร่าทันทีที่เห็นว่าอาจารย์โคโระพร้อมช่วยเหลืออีก...


             มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วง เอ็นดูและอิจฉาไปในคราวเดียวกัน...


              เธอจำครั้งล่าสุดที่มีคนใส่ใจเรื่องสิ่งที่เธอชื่นชอบไม่ได้แล้ว และในขณะเดียวกันก็หลงลืมความรักที่มีต่อสิ่งเหล่านั้นไปเสียหมด


              ทุกอย่างถูกเก็บเข้าที่ และไม่ได้ถูกนำออกมาเลย... สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่ไม่เคยมีตัวตนมาก่อนในชีวิตเธอ


              เธอในตอนนี้น่ะ ไม่มีจุดเด่นหรือความสามารถอะไรที่มีประโยชนฺของคนอื่นขนาดนั้นหรอก


    อย่างกับว่าเส้นสายจะช่วยคนได้มาก


              ไม่มีอะไรที่ถนัดเป็นพิเศษ ไม่มีอะไรที่นำไปต่อยอดได้ ไม่มีแม้แต่สิ่งที่ทำให้คิดว่าตนเองมีค่า...


             เธอล่ะเกลียดความรู้สึกนี้ชะมัดยาด


              เพราะฉะนั้นถึงต้องการที่จะหนีไปให้พ้น...


              กึก!


              และเนื่องจากว่ากำลังอยู่ในห้วงภวังค์จนไม่ได้สังเกตสิ่งรอบข้าง จึงทำให้ศอกเผลอไปชนตะเกียงแอลกอออล์จนมันตกลงพื้น


              มันคือตะเกียงแอลกอฮอล์ที่วางอยู่ริมโต๊ะ...


              ตะเกียงแอลกอฮอล์ที่คารุมะดันจุดไฟเพื่อกวนประสาทอาจารย์โคโระเล่นตอนต้นคาบ...


             ตะเกียงแอลกอฮอล์... ที่ยังไม่ดับที


              ตุบ!


              เฮ้ย!!”


              ไอ้คุณหนูเวร!!!”


              คุณสึมุกิ๊!!!!”


             ชิบ

     

    ________

     

              อาจารย์คะ... ขอโทษนะคะ


              ไม่เป็นไรครับคุณสึมุกิ อาจารย์เองก็ไม่ได้ดับตะเกียงด้วย ก็ถือว่ามีส่วนผิดเหมือนกัน


              เรื่องค่าเสียหาย—”


              แค่เงินเล็กน้อยครับ... ที่จะถูกหักจากเงินเดือนของอาจารย์ก็เท่านั้น...


             ไม่ว่าเปล่า เขาน้ำตาไหลด้วย


              ถึงจะไม่รู้ว่าแต่ละเดือนเขาใช้จ่ายอะไรไปบ้างและเหลือเงินเท่าไหร่เก็บไว้บ้างก็เถอะ... แต่ว่านั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญในตอนนี้เสียหน่อย


              ไม่ใช่ค่ะ คือว่า...เธอเปิดแกลเลอรี่ในสมาร์ทโฟนของตนเอง ก่อนจะกดซูมเข้าดูรูปล่าสุดในคลัง ก่อนจะแสดงหน้าจอในอาจารย์ประจำชั้นดู


              เรื่องค่าเสียหาย ฉันโอนไปให้แล้วนะคะ ต้องขอโทษจริงเลยค่ะ


              ไม่เป็นไรครับ อาจาโอนมาแล้วเหรอครับ!? ฟ้ามาโปรด! ไม่สิ คุณสึมุกิครับ อาจารย์รับผิดชอบได้นะครับ! ถึงแม้ว่าเงินเดือนจะเหลือไม่เยอะและอาจไม่พอจนต้องกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตอนปลายเดือนก็ตาม!”


              งั้นก็รับค่าเสียหายไปเถอะค่ะ!”


              ต้นเหตุของปัญหามันคือเธอด้วย... และเธออยากจะชดใช้ปัญหาที่ตนเองก่อ


              และต่อให้ไม่ได้คิดสานสัมพันธ์กับใครก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากฟังใครพร่ำเพื่อเรื่องถูกหักเงินเดือนเพราะตัวเธอหรอกนะ!


              เธอได้ยินเสียงคาราสึมะถอนหายใจ


              เรื่องค่าใช้จ่ายให้พวกฉันจัดการเองคุณสึมุกิ


              เธอหันขวับไปทางครูฝึกของห้อง


              ไม่เอาค่ะ ไหนๆก็โอนไปแล้ว ให้อาจารย์โคโระโอนกลับมันลำบากฉันนะคะ


              ทุกคำที่เอ่ยก็ออกไปตามความรู้สึก ขั้นตอนมันไม่ได้ยากลำบากเสียขนาดนั้น แต่มันก็ลำบากสำหรับเธอที่ปกติโอนแล้วโอนเลยแบบไม่รับคืนพอสมควรนั่นแหละ


              ไม่เคยเด๋อด๋าถึงขั้นโอนผิด และก็ไม่เคยรู้สึกจะตัดสินใจผิดในเรื่องของการใช้เงิน


              ความจริงก็ไม่ได้รวยขนาดนั้น... ส่วนใหญ่ในบัญชีมันก็ไม่ใช่เงินของเธอเสียด้วยซ้ำ


             แต่ต่อให้ทำอะไรกับมันไปก็คงไม่มีใครว่าหรอก...


             ต่อให้ทำอะไรไปก็ไม่มีใครแยแสหรอก


             เธอจะใช้มากแค่ไหนก็ได้ หากมันไม่ทำให้เงินในบัญชีไม่เพียงพอแก่การใช้วันถัดๆไปน่ะ


              อีกอย่างหนึ่ง... จะให้มาเปลืองงบประมาณกับเรื่องเล็กน้อยมันก็เกินไปค่ะ ในอนาคตอาคารอาจจะพังก็ได้นะคะ เก็บไว้สำหรับตอนนั้นเถอะ


              อ้างอะไรได้ก็อ้างหมดแล้วตอนนี้... เรื่องนี้มันเป็นความผิดของเธอจริงๆ และเธอก็อยากจะชดใช้ความผิดของตนเองเท่าที่จะทำได้


              บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปโดยที่เธอยังคงไม่ยอมแพ้คาราสึมะ มันนานเสียจนอีรีน่าต้องเอ่ยขัดและโชคก็เข้าข้างเธอในคราวนี้


              ให้จ่ายไปเหอะ ปกติแล้วยัยนี่หัวดื้อเป็นบ้า


              สุดท้ายรายนั้นก็ยอม อาจารย์โคโระแทบจะร้องไห้ด้วยความปลาบปลื้มที่ตนเองไม่ต้องกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปท้ายเดือน ส่วนเธอก็พยายามปลอบเขาตามประสาของคนที่ทำตัวไม่ถูก


              นอกจากรูปร่างหน้าตายังแปลกแล้ว นิสัยก็แปลกด้วยสินะ...


             คงต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำตัวให้ชินกับคน(?)นิสัยสุดโต่งแบบนี้


              อาจารย์ประจำชั้นหยิบขนมที่เอามาจากนักเรียนในคาบก่อนหน้ามาให้เธอกล่องหนึ่ง มันคือป๊อกกี้รสสตรอว์เบอร์รี่


             ที่ไม่ใช่แบบโฮมเมดสูตรคารุมะเหมือนของวันก่อนอย่างแน่นอน


              เขาบอกว่าแทนคำขอบคุณ ซึ่งเธอที่ไม่เข้าใจว่าขอบคุณทำไมก็รับมาแบบงวยงง


              ในตอนนั้นเองที่ดวงตาสีอเมทิตส์สบเข้ากับดวงตาคู่สวยของนักฆ่าสาวพอดิบพอดี...


    เลย์โกะอาศัยจังหวะนั้นในการอ้าปากพูดไม่มีเสียงเพื่อสื่อสารกับอีรีน่า


              ขอบคุณค่า เดี๋ยวเลี้ยงคาเฟ่ตอบแทนนะ


              หล่อนเลิกคิ้ว ก่อนจะตอบกลับมาด้วยวิธีเดียวกัน


              อะไรยะ? ปกติแกไม่ใช่สายเปย์ขนาดนี้นี่’


    เธอยิ้มตอบ


    ก็แค่อยากใช้เงินเฉยๆ...


    บวกกับมีเรื่องที่อยากคุยเป็นการส่วนตัวด้วยเรื่องหนึ่งก็เท่านั้น


    ว่าแต่ว่า ทำไมคุณสึมุกิถึงรู้เลขบัญชีธนาคารของอาจารย์ได้ล่ะครับ?


    อ๋อ... มีคนบอกมาน่ะค่ะ


    ครับ?


    ...หล่อนนี่มันทั้งน่ารำคาญและน่ากลัวไปในคราวเดียวกันเลยนะยะ

     

    ________

     

    ความจริงแล้ว ก็ไม่ได้อยากจะโดดเรียนหรอก


    มันแค่รู้สึกผิดจากเหตุการณ์ในคาบก่อนหน้านี้ เลยไม่มีกะจิตกะใจจะเข้าคาบต่อไปก็เท่านั้น...


    แล้วก็กลายเป็นว่าเธอพลาดเหตุการณ์ที่ epic ไปเสียอย่างนั้น


    “กลายเป็นของเหลวหนืดๆต่อหน้าต่อมา... น่าขนลุกจนประทับใจเลยล่ะ” ฮาซามะ คิราระเอ่ย น้ำเสียงของหล่อนสื่ออารมณ์พึงพอใจออกมาเล็กน้อย


    ถามจริงเหอะเลย์โกะแค่นหัวเราะ เธอนึกภาพดังกล่าวไม่ออกเสียด้วยซ้ำ และดูเหมือนว่าตนเองจะตัดสินใจผิดพลาดไปจริงๆนั่นแหละ


    แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงขั้นอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขก็ตามทีเถอะ


    พลาดแล้วล่ะสึมุกิ


    พลาดไปก็ดีแล้วมั้ง ฉันยังขนลุกไม่หายเลย


    เธอเหล่มองมุรามัตสึและโยชิดะที่ออกความเห็นกันเรื่องคาบเรียนก่อนหน้า พวกเขาทำเหมือนมันเป็นประสบการณ์แปลกๆที่พบเจอมา ส่วนเทราซากะนั้นแค่เดินเงียบๆ ไม่พูดอะไรมากนัก แค่เหล่คนอื่นๆเป็นระยะ


    วันนี้พวกเขามีประชุมและจำเป็นจะต้องเดินลงมายังโรงยิมหลักสำหรับนักเรียนที่อาคารหลักแล้วก็คงไม่ใช่ปัญหามากนัก แต่กับนักเรียนห้อง 3-E ที่ระหว่างทางต้องประสบเจอกับความยากลำบากนั้น มันก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการนัก


    และวันนี้คารุมะโดดประชุม เธอเลยมาแท็กทีมกับกลุ่มของเทราซากะ ด้วยเหตุผลเรียบง่ายที่ว่าเธอกับฮาซามะคุยกันถูกคอมากขึ้นหลังจากคาบเรียนตะเกียงแอลกอฮอล์ในครั้งนั้น


    เจ้าหล่อนชื่นชอบเรื่องราวสยองขวัญ และเหตุการณ์ดังกล่าวก็คล้ายกับฉากหนึ่งในนวนิยายที่อ่านมา ซึ่งมันก็กลายเป็นการผูกมิตรไปโดยสิ้นเชิงเมื่อตัวเธอเองก็พอจะคุยเรื่องนี้ได้แบบถูกคอกัน


              ก่อเกิดเป็นมิตรภาพที่ไม่มีการยึดติด คุยกันแค่บางเรื่อง และไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันและกัน


              มันไม่ขัดกับสิ่งที่เธอต้องการ เลย์โกะจึงไม่ได้คิดว่าตนเองกำลังก้าวข้ามเส้นแบ่งแยกที่ตนเองได้ขีดเอาไว้


             ...คิดว่านะ


    น่าเสียดายแฮะ ฉันน่าจะได้เก็บภาพไว้สักสองสามรูปแท้


    ถ้าแกไม่หนีเรียนก็ได้เห็นแล้วไหมล่ะ?


    และถ้อยคำที่แรกที่เทราซากะเอ่ยออกมาคือคำเสียดสีเธอ...


    มันทำให้เด็กสาวอยากจะหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น


    พูดจาอย่างกับอยากให้ไฟไหม้อาคาร


    พอแล้วเว้ย! สรุปว่ารอบที่แล้วแกตั้งใจหรือแค่บังเอิญกันแน่วะ!?


    เลย์โกะเมินเขา แล้วจึงหยิบสมาร์ทโฟนออกมาจากกระเป๋ากระโปรงเพื่อเช็คแจ้งเตือน ทิ้งให้คนอารมณ์ร้อนโวยวายอยู่คนเดียว


    อย่าเมินฉันนะเว้ย! แกมันก็เหมือนกับคารุมะนั่นแหละ! กวนประสาทและน่ารำคาญเป็นบ้า!!”


    เสียมารยาทจังเลยนะ... เธอมั่นใจว่าตนเองแตกต่างกับคารุมะอยู่พอสมควรนะนั่น


    โอ๊ะ


    หนังสือใหม่ของนักเขียนคนนั้นถูกวางขายแล้วนี่นา


    เธอกระตุกแขนเบลเซอร์ของฮาซามะ ก่อนจะพลิกหน้าจอสมาร์ทโฟนให้อีกฝ่ายให้เห็นรูปปกหนังสืออันสวยงามนั่น


    คิรารัจจิ เห็นนี่ยังๆ?


    ยัยคุณหนูเวร อย่าเมินฉัน!!”


    ปกเล่มนี้ดูคล้ายเล่มเดบิวต์ของอาจารย์สึกิโมโตะเลย ชื่อก็เหมือนกัน... เป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นการรีไรท์ใหม่”


    นั่นน่ะสินะ


    อาจารย์สึกิโมโตะเคยพูดเอาไว้ในแอคทวิตเตอร์ว่าทุกครั้งที่เขาตื่นขึ้นก็จะมีความรู้สึกอยากรีไรท์เรื่องราวนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า... ราวกับต้องคำสาป


    ดูเหมือนว่าเขาจะพ่ายแพ้ต่อมันแล้วสินะ


    ฮาซามะหัวเราะ มันเป็นเสียงหัวเราะที่ค่อนข้างจะน่ากลัวและน่าขนลุกไปในคราวเดียวกัน และพบได้ตามตัวละครแนวสยองขวัญในซีรี่ส์สักเรื่อง


    ซึ่งเธอก็ไม่ได้รู้สึกหวาดระแวงใดๆหรอก แค่พยักหน้าเห็นด้วยเงียบๆ


    ความจริงก็แอบเชื่อว่าพวกคำสาป ลัทธิ และเวทมนตร์มีจริงอยู่เหมือนกัน ถึงจะรู้ว่าที่อาจารย์สึกิโมโตะพูดนั้นเป็นแค่มุกตลกที่ไม่ค่อยจะน่าขบขำก็ตามเถอะ


    ไม่รู้สิ... มันเป็นอะไรที่พิศวงและน่าสนใจดี


    และเธอก็ชอบอ่านอะไรที่ส่วนใหญ่จบแบบ Bad End อยู่แล้วด้วย


    โชคดีที่เงินเก็บฉันคงซื้อได้เล่มหนึ่งพอดี


    หนังสือเล่มแรกของอาจารย์สึกิโมโตะก็จบลงด้วยเหตุการณ์ร้ายที่เต็มไปด้วยปริศนา...


    ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าคนที่ตามเข่นฆ่าผู้คนในหมู่บ้านเป็นใครนอกจากตัวเอก... ผู้ซึ่งได้เสียสติและติดอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช


    มันจึงน่าสนใจเป็นอย่างมากเมื่อฮาซามะสันนิษฐานว่าหนังสือเล่มใหม่นี้จะเป็นการรีไรท์เนื้อหาในเรื่องแรกให้การดำเนินเรื่องและจุดจบเปลี่ยนไป... แต่เธอก็แอบหวังว่ามันคงจะไม่ได้จบแบบ Happy End ชนิดที่ว่าดูไร้เหตุผล


    แนวโน้มที่จะมีจุดจบอันเลวร้าย เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการเลือกอ่านหนังสือของเธอ... แต่บางครั้งเลย์โกะก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนั้น หากตัวพล็อตเรื่องมีความหม่นในตัวอยู่แล้ว


    ส่วนสาเหตุที่ชอบอะไรแบบนี้ก็ไม่ใช่เหตุผลที่อธิบายยากนัก


    มันก็แค่ทำให้เธอตระหนักได้ว่าจุดจบที่เลวร้ายนั้นมีความเป็นไปได้มากกว่าจุดจบที่ทุกคนมีความสุข...


    แค่นั้นเองจริงๆ


    เธอไม่เชื่อในความสุขนิรันดรอยู่แล้วแต่มันก็อดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงมันเป็นครั้งคราว


    มันจึงเป็นการดึงตัวเธอออกจากจินตนาการเพ้อฝันของตนเองในทุกครั้งที่อ่านหนังสือและเจอ Bad End...


    เดี๋ยวนะ


    อะไรเหรอสึมุกิ?


    ...มีใครได้ยินเสียงอะไรไหมเมื่อกี้?


    หา? หมายความว่าอะ— เฮ้ย!”


    หินยักษ์!!”


    ไม่ทันได้พูดให้จบก็ต้องอุทานออกมาเสียงดังลั่น เมื่อวัตถุขนาดใหญ่นั้นกำลังกลิ้งมายังพวกเธอด้วยความเร็วสูง


    และที่วิ่งหนีนำหน้าหินยักษ์ไปนั้น... คือเพื่อนร่วมห้องของพวกเธอ


    -โอคาจิมะ!”


    ซึ่งนอกจากตัวจะเปียกโชกแล้ว ก็ยังมีงูจำนวนมากเลื้อยเกาะอยู่ตามตัวจนดูน่าเป็นห่วง


    เลย์โกะรีบขยับร่างกายไปหลบหลังฮาซามะ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจุดที่เดินอยู่ในคราแรกนั้นเสี่ยงต่อการถูกชน และอีกส่วนหนึ่งมาจากความรู้สึกหวาดระแวงเมื่อเผลอสบตาเข้ากับสัตว์เลื้อยคลานบนบ่าเพื่อนร่วมห้อง


    ทว่าทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว


    เร็วเสียจนเธอไม่อยากจะเชื่อว่าเพิ่งเกิดเหตุการณ์แบบนั้นไป


    และนั่นยิ่งทำให้เธอเป็นห่วงโอคาจิมะ ไทกะมากกว่าเดิมอีก...


    จะไหวไหมนั่น?เธอมองไปยังทิศทางที่เขาวิ่งผ่านไป หากจำไม่ผิด คนที่อยู่


    หมอนั่นมันโชคร้ายชะมัดเลย


    บอกฉันทีว่าโอคาจิมะไม่ได้โดนฮาซามะสาป...


    จะบ้าเรอะ? ถ้าฉันจะสาปใคร คนแรกก็ต้องเป็นเจ้าหมึกนั่นอยู่แล้ว


    แต่เพราะมีเวลาที่ค่อนข้างกระชั้นชิด พวกเธอจึงไม่ได้พูดคุยกันมากกว่านั้น และเริ่มมุ่งหน้าเดินทางต่อ เพื่อไม่ให้ไปประชุมสายและโดนลงโทษ


    ...


    ซึ่งเมื่อมาถึง สภาพของขาทั้งสองก็อ่อนแรงเสียจนแทบทรุดลงไปทันที


    นักเรียนห้อง 3-E ต่างก็หอบหายใจ กอบโกยเวลาพักผ่อนอันน้อยนิดของตนเอง ก่อนจะถูกเรียกไปตั้งแถวให้คุ้มค่าที่สุด


    เลย์โกะได้ถอดเบลเซอร์มาคลุมศีรษะระหว่างที่นั่งพักอยู่


    เธอไม่เคยถูกกับกิจกรรมที่ต้องใช้กำลังหรือต้องใช้ความอดทนสูง ขนาดในแต่ละวันที่ต้องเดินไปยังอาคารเรียนก็ยังต้องใช้เวลานานกว่าจะไปถึงเลย แถมตอนที่ถึงตัวอาคารก็นั่งพักหายใจอยู่ประมาณหนึ่ง


    นับประสาอะไรกับการเดินลงมายังอาคารหลักในเวลาที่จำกัดกันล่ะ? ไหนจะอุปสรรคที่พบเจอระหว่างทางนั่นอีก


    ไม่สลบไป ณ ตอนนี้ก็บุญแล้ว...


    คิรารัจจิ... สาปฉันเหอะ... สาปฉันที


    สึมุกิ สติโว้ย! สติ!”


    หุบปากน่าเทราซากะ... สติสะเตอะอะไรกัน? ตอนนี้มีแต่ความเหนื่อย


    เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะดึงเบลเซอร์ลงจากศีรษะของตนเอง แล้วจัดแจงแต่งกายให้เรียบร้อยกว่าเดิม


    รวมไปถึงการมัดหางม้าใหม่ด้วย ผมเธอมันเสียทรงมาพักใหญ่แล้ว


    เอาล่ะทุกคน รีบไปตั้งแถวกันเถอะ!”


    และเวลาพักอันน้อยนิดนั้นก็จบลง...


    เลย์โกะถอนหายใจ


    เธอยังไม่ทันได้นวดขาตนเองเลยเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าอาคารไปเสียแล้ว


    ครืน...


    ก็คิดแบบนั้นแหละจนกระทั่งสมาร์ทโฟนในกระเป๋ากระโปรงสั่นน่ะ


    พอหยิบขึ้นมาดูว่าเป็นโทรศัพท์จากใคร ก็ทำให้รู้สึกสองจิตสองใจเป็นอย่างยิ่ง


    สึมุกิ โคเฮย์


    เธอไม่อยากรับ... ไม่อยากคุย...


    ไม่อยากแม้แต่จะเห็นรายชื่อนี้ขึ้นมาบนหน้าจอสมาร์ทโฟนเลยเสียด้วยซ้ำ


    แต่หากไม่รับตอนนี้ ก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่าอีกฝ่ายจะโทรศัพท์เข้ามาอีกรอบหรือเปล่า... และเธอคงไม่อยากจะต่อสายไปหาในภายหลังอย่างแน่นอน


    ถ้าทำเป็นไม่เห็น ก็ไม่รู้ว่าจะก่อปัญหาอะไรหรือเปล่า เธอเองก็สร้างปัญหาให้คนอื่นมามากพอสมควรแล้วด้วย...


    เลย์โกะยืนนิ่ง ปลายนิ้วเธอเตรียมกดปุ่มบนหน้าจอ ทว่าปัญหาก็คือกำลังชั่งใจอยู่ว่าควรจะกดปุ่มไหนดี


    แต่ปกติแล้วจะไม่มีสายโทรศัพท์เข้ามา หากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆนี่นา...


    เฮ้สึมุกิ! ยืนทำอะไรอยู่?


    ปิ๊บ!


    เธอหันไปทางโยชิดะ ก่อนจะชี้ไปที่สมาร์ทโฟนที่เพิ่งจะยกขึ้นมาแนบหู หลังกดรับสาย


    เขาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินเข้าโรงยิมไป


    แล้วสองขาของเธอก็ก้าวเดินไปยังบริเวณข้างโรงยิมเพื่อคุยโทรศัพท์อย่างสงบๆ...


    โดยใจไม่สงบตามน่ะนะ


    เธอเอนตัวพิงผนัง มือที่ว่างอยู่นั้นจับศอกอีกข้าง พยายามอย่างมากที่จะทำตัวให้เป็นธรรมชาติ แม้ว่าตอนนี้จะรู้สึกประหม่ามากก็ตาม


    [เงินโอนไปแล้ว]


    ...และเชื่อไหมล่ะ? นั่นคือสิ่งแรกที่เขาเอ่ย


    ไม่มีการทักทาย ไม่มีการเรียกชื่อ ไม่มีแม้แต่คำพูดที่บ่งบอกถึงสถานะความสัมพันธ์...


    แต่แบบนี้ก็คงดีแล้วล่ะมั้ง?


    อืมตอนเธอเดินลงมาก็เห็นอยู่ว่ามีเงินถูกโอนเข้าบัญชี...


    [เท่านี้คงจะพอสำหรับเดือนนี้นะ]


    มันก็เหมือนทุกเดือน... และทุกครั้งมันก็เหลือ ไม่เคยหมดจนต้องขอใหม่จากใคร


    [อืม]


    อืม


    ทุกอย่างเงียบลง... ไม่มีใครเอ่ยอะไรต่อ และนั่นทำให้เลย์โกะฉงน


    ปกติแล้วเขาไม่แม้แต่จะโทรศัพท์มาหาเรื่องเงินเสียด้วยซ้ำ โคเฮย์ตั้งระบบให้โอนอัตโนมัติและไม่มีแม้แต่การทักมาถามไถ่ว่าได้หรือยัง


    รอบนี้มาแปลก...


    และเธอหวังว่ามันจะไม่ใช่เพราะว่าเขามีอะไรจะวานเธอ


    แต่ก็อย่างว่า ทุกครั้งที่โทรศัพท์มาหาก็เป็นแต่เรื่องสำคัญ


    มันคงไม่มีทางที่ซีทีโอของบริษัทเครื่องสำอางอันโด่งดังนั้นจะโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบกับลูกสาวของตนเองหรอก


    มีอะไรอีกหรือเปล่าคะ? เธอเอ่ยถามไปในท้ายที่สุด พยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้แววตาจะเริ่มสั่นไหวจากอารมณ์มากมายที่เริ่มล้นทะลักออกมา


    เธอฟุ้งซ่านได้ง่าย...


    และนี่ก็เป็นอีกครั้งคราที่ความคิดมากมายตีกันภายในหัว


    ส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่เป็นคำถาม


    บางสิ่งบางอย่างกำลังพยายามยุยงให้เธอคิดว่าพ่อโทรมาถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย และเธอที่รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็กำลังถกเถียงกับมัน


    ทว่าตอนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรสำคัญที่เขาต้องการจะวานให้เธอช่วยเหลือเลยนี่...


    [ความจริงก็ไม่มี]


    ...ก็นั่นน่ะสินะ


    เธอไม่อยากเป็นแบบนี้เอาเสียเลย แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถห้ามความคิดของตนเองไม่ให้คิดไปไกลได้


    อืม


    [ไม่สิ...]


    อะไร?


    มีอะไรกัน?


    เขาต้องการจะพูดอะไรเขาต้องการอะไร?


    ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง เธอได้ยินเสียงหายใจอย่างสม่ำเสมอของเขา... มันเป็นการหายใจที่เร็วกว่าปกติเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ฟังดูผิดสังเกตขนาดนั้น


    เลย์โกะเม้มริมฝีปาก เล็บที่คมนั้นเผลอจิกเขาที่ศอกตนเองขณะรอฟังคำต่อไปของผู้เป็นพ่อ


    [เปล่า ไม่มีอะไรแล้ว]


    ...


    อ่า... อะไรมันจะน่าสมเพชขนาดนี้


    เธอเกลียดทุกครั้งคราที่ตนเองหวังอย่างลมๆแล้งๆว่ามันจะเป็นไปได้


    เธอเกลียดทุกครั้งคราที่ไม่สามารถหักห้ามใจไม่ได้มีปฏิกิริยากับทุกการกระทำของพวกเขา


    เธอเกลียด...


    เกลียดที่ตนเองเป็นแบบนี้


    อืม


    นั่นเป็นเสียงสิ่งเดียวที่สามารถเปล่งออกมาได้


    และมันก็เป็นเสียงสุดท้ายในการโทรศัพท์ครั้งนี้


              เขาวางสายไป แล้วเธอทรุดตัวลงด้วยความเหนื่อยล้าจากก่อนหน้า


              กอดเข่าตนเองตามประสาคนที่รู้ตัวว่าการประชุมได้เริ่มไปแล้ว


              น่าจะไม่รับสายนั่นตั้งแต่แรก เธอถ่อมาที่นี่เพื่อมานั่งข้างๆโรงยิมหลักเสียเฉย คารุมะที่โดดไปนั่งเล่น ณ อาคารเรียนเก่าๆก็คงจะภูมิใจตาย


             แต่ช่างเถอะ


    ไม่มีกะจิตกะใจจะสนเรื่องอะไรทั้งนั้นแหละตอนนี้...


    อาจจะลุกไปหาอะไรดื่มที่ตู้ขายน้ำอัตโนมัติ เผื่อว่ามันจะช่วยให้อารมณ์เธอดีขึ้นได้บ้าง


    น้ำส้มไหมครับ?


    แต่แล้วเสียงเสียงหนึ่งก็ทำให้เธอหลุดออกจากห้วงความคิดของตนเอง


    ใบหน้าเริงร่าของเพื่อนสมัยเด็กเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธออยากจะเห็นในตอนนี้และหากไม่ติดว่าทั้งห้องจะถูกทำโทษ เพราะมีคนมาสาย เธอคงวิ่งเข้าโรงยิมหลักไปแล้ว


    ว่าไง? กำลังเย็นดีเลยนะ


    เฮย์ ฉันถามจริงเหอะ


    เด็กหนุ่มยู่หน้า


    อะไรกัน? เมื่อก่อนก็เรียกผมว่า เฮย์จัง แท้ๆ ไหงห่างเหินกันแล้วล่ะ?เขาบ่นอุบอิบ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างเคียงเธอ


    ผมมาเดินดูโรงเรียนน่ะ จะเข้าเรียนในภาคเรียนหน้า


    อ๋อ... จังหวะของทุกอย่างนี่มันประจวบเหมาะกับเสียเหลือเกิน...


    เธอพยายามปรับเสียงและสีหน้าให้ดูปกติ เพื่อให้เขาไม่สงสัยและนั่นทำให้รู้สึกสมเพชตนเองยิ่งกว่าเดิม


    ไม่ยักคิดเลยว่าจะได้เจอเลย์ตันด้วย ถ้ารู้ผมคงแต่งตัวมาดีกว่านี้อ่ะ


    เธอเหล่มองคาราสึมะ เฮย์


    เขาอยู่ในลุคสบายตัวสเวตเตอร์โอเวอร์ไซส์ลายน่ารักกับกางเกงเลกกิ้งและรองเท้าผ้าใบ ส่วนเรือนผมสั้นประบ่าสีชมพูหมากฝรั่งก็ถูกมัดเป็นผมบันครึ่งหัว ดูรวมๆแล้วก็ไม่ได้แย่เสียขนาดนั้น... อาจจะเพราะหน้าตาที่ค่อนข้างดีของเขาด้วย


    มันคงจะโชคดี ถ้าเกิดเป็นเขา


    แน่ะ มองใหญ่เลยนะ


    อืม


    โหย! เล่นกับผมหน่อยก็ได้ อย่าทำหน้าตายใส่กันสิ”


    ถ้าปรับอารมณ์ได้เร็วขนาดนั้น เธอก็คงเป็นเหนือมนุษย์ที่ไม่มีพื้นฐานของความเป็นธรรมชาติแล้วล่ะ...


    เลย์โกะไหวไหล่ ความรู้สึกของตนเองที่เกิดจากเหตุการณ์เมื่อครู่ยังคงอยู่ แต่มันก็ผ่อนปรนลง เมื่อได้พูดคุยในเรื่องอื่นบ้างแล้ว


    ทว่าก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่คุยเล่นได้อย่างสบายใจหรอกเฮย์ขอมากไป


    เธอเปิดขวดน้ำส้มที่เฮย์ยื่นมาให้ ก่อนจะยกมันขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว


    รสเปรี้ยวๆหวานๆน่าจะพอช่วยเธอได้... ไม่มากก็น้อย


    ค่อยๆดื่มสิ


    เออน่าเธอกลอกตา ในตอนนั้นเองที่สังเกตเห็นว่าอีรีน่าซึ่งนั่งพักอยู่ในตอนแรกนั้นกำลังเดินเข้าไปในโรงยิมแล้ว


    พวกเธอสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง และเพียงเสี้ยววินาทีเดียว... ที่เลย์โกะเห็นสีหน้าประหลาดใจบนใบหน้าของนักฆ่าสาว


    เธอกระดกน้ำส้มไปอีกครั้งหนึ่ง


    อาจจะแปลกใจที่เห็นเฮย์ล่ะมั้ง? อีรีน่าไม่รู้ว่าคาราสึมะมีหลานที่หน้าตาต่างกันราวกับมนุษย์ชาเย็นและมนุษย์ดี๊ด๊าเลยนี่...


    ผมคิดว่าน่าจะได้อยู่ห้อง A แหละ


    อ่า...


    ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจขนาดนั้น แต่การที่จู่ๆเขาก็พูดมันขึ้นมา ก็ทำให้เธอเกือบจะสำลักน้ำอยู่เหมือนกัน


    ได้ยินมาว่าลูกชายของผู้อำนวยการอยู่ห้องนี้ด้วย...”


    เธอพยักหน้า


    อืม ชื่ออาซาโนะ กาคุชู


    อยากจะเติมข้อมูลเพิ่มเติมไปเหลือเกินว่า หมอนี่มันน่ารำคาญ หรือ ขี้เก๊กและสองหน้าอย่างกับพระเอกโชโจพล็อตน้ำเน่า เป็นบ้า แต่เธอไม่อยากจะตอบคำถามต่อๆไปที่เฮย์อาจจะยิ่งมาให้รัวๆ


    เลย์ตันสนิทมั๊ย


    ไม่


    ไม่คิดจะสนิทด้วยตั้งแต่แรกพบ...


    คุณสึมุกิเนี่ย อยู่คนเดียวตลอดเลยสินะครับ


    ค่ะ พอดีว่ายิ่งสูงมันก็ยิ่งหนาวน่ะ


    และไม่เคยแม้แต่จะพูดดีๆด้วยกันสักครั้ง


    ทางที่ดีก็อย่าไปยุ่งด้วยมาก แต่เอาจริงๆแล้ว ฉันก็ได้แค่พูด จะเลือกทำตามหรือไม่ทำตามก็แล้วแต่ ฉันบอสชีวิตนายไม่ได้


    เฮย์หัวเราะขึ้นมา... มันดูคล้ายเสียงหัวเราะเอ็นดูของเขาที่เธอมักจะได้ยินบ่อยตอนเล่นด้วยเมื่อหลายปีก่อน


    และมันก็ทำให้เธอแอบรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย


    ขอร้องเถอะ


    ไม่เอาน่า เห็นผมเป็นคนหัวรั้นขนาดนั้นเชียว?


    คนเรามันก็เปลี่ยนกันได้ ยิ่งผ่านมาหลายปีแล้วด้วยเธอกล่าว พลางเปิดเข้าแอพพลิเคชั่นนกฟ้าเพื่อหาเธรดน่าสนใจอ่าน


    เหมือนกับที่เลย์ตันเปลี่ยนไปน่ะเหรอ?


    . . .


    เลย์โกะชะงักงัน


    ก่อนจะหันกลับมาสบตากับเขาทันที


    ง่ะ อย่าทำหน้าตกใจแบบนั้นสิ ผมก็แค่หาเรื่องคุยไปเรื่อย


    ไม่หรอก


    แอ๊บใสซื่อหน้าตาย ดูออก


    เปล่าสักหน่อย! เลย์ตันนี่นะ อ่อนโยนกับผมสักนิดก็ได้”


    เขารู้บางอย่างมาแน่นอน...


    มากไปค่ะ


    ผมจะฟ้องคารุจัง!”


    เธอหัวเราะเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มงอแง


    บทสนทนาหลังจากนั้นก็เป็นเพียงแค่สารพัดเรื่องไร้สาระที่เขายกมาคุยเรื่อยๆเพื่อฆ่าเวลา หลังจากที่เธอบอกว่าตนเองเพิ่งจะโดดประชุมมาอย่างสดๆร้อนๆ


    การพูดคุยกับใครสักคนให้สภาพจิตใจเธอดีขึ้น และเลย์โกะก็รู้สึกขอบคุณเขา...


    ปุบ!


    เลย์ตัน


    ดวงตาเหลือบขึ้นมองมือของเขาที่ยกขึ้นมาลูบเส้นผมเธอ


    ไม่ว่าอย่างไร เลย์ตันก็ยังมีผมนะ


    ...


    แล้วก็คารุจังด้วย... อย่าลืมล่ะ


    ทว่ามันก็เป็นเพียงความรู้สึกขอบคุณในเรื่องเล็กน้อย


    เธอปัดมือของเขาออก ด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่ได้มากนัก แต่ก็ได้ผล


    จะวางแผนป่วนอะไรก็เชิญลงเรือกันไปสองคนเถอะ ฉันไม่เอาด้วย


    มันเป็นเรื่องเล็กน้อย หากเทียบกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น...


    หากเทียบกับทุกสิ่งทุกอย่างที่กระทบเธอ... ในวันที่ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง


    เธอเคยบอกกับอาซาโนะว่า ยิ่งสูงมันก็ยิ่งหนาว แต่นั่นเป็นเพียงถ้อยคำที่เอ่ยเพื่อเสียดสีที่ด้นสดขึ้นมาได้ หาใช่ความจริงไม่


    เพราะเธอตกลงจากจุดที่สูงนั้นเมื่อนานมาแล้ว...


    และบัดนี้ก็เป็นเพียงเศษซากที่ถูกอดีตกัดเซาะจนไม่เหลือชิ้นดีเท่านั้น

     

    ________

     

              วันนี้เป็นอีกวันที่อารมณ์เธอสวิงไปมาพอๆกับชิงช้าในสวนสาธารณะที่เดินผ่าน ก่อนมาถึงสถานีรถไฟ...


              ทั้งอารมณ์ดี แล้วหม่นหมอง แล้วดีขึ้นในระดับหนึ่ง ก่อนจบลงด้วยความรู้สึกโหวงในใจวนไปมาแบบนี้แทบทุกวันจนเธอเริ่มจะชินชาไปแล้ว


              เลย์โกะขึ้นรถไฟฟ้าไปด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด คิ้วเธอขมวดเป็นปม ในขณะที่ริมฝีปากเม้มแน่น


              เหมือนว่าวันนี้เธอจะสานสัมพันธ์กับคนอื่นได้มากขึ้น... ทว่าก็ไม่รู้ว่าตนเองจะต้องรู้สึกอย่างไรกับมันดี


              จะดีใจก็ดีใจไม่สุด จะเสียใจกับการกระทำของตนเองก็ไม่เชิง


              ระหว่างทางกลับบ้านจึงมีแต่ความคิดที่ตีกันไปมาจนทำให้ไม่สามารถโฟกัสกับเรื่องอะไรได้เป็นพิเศษรู้ตัวอีกทีก็นึกขึ้นได้ว่าเธอลืมทักไปหาจิฮิโระเรื่องมื้อเย็น


              แต่ช่างเถอะ... ถ้าไม่มีอะไรกินก็ค่อยออกไปซื้อที่มินิมาร์ทก็ได้


              เธอนั่งลง ณ ที่นั่งที่ว่างอยู่บนรถไฟฟ้า ตรงริมประตูโดยที่ข้างเคียงนั้นมีนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งกำลังนั่งฟังเพลงกับเพื่อนของหล่อนอยู่


              เธอเปิดสมาร์ทโฟนของตนเอง แล้วเชื่อมต่อมันกับหูฟังไร้สายที่หยิบขึ้นมาจากกระเป๋า


              มหาวิทยาลัย... งั้นเหรอ?


              ก็เคยคิดอยากเรียนมนุษยศาสตร์อยู่เหมือนกัน...


    แต่มันคงไม่มีตอนนั้นหรอก


             เลย์โกะไม่ได้เปิดเพลงอะไร เธอแค่เสียบหูฟังไวเฉยๆ


              ก็กะจะฟังเพลงอยู่หรอก... แต่มันดันนึกไม่ออกว่าฟังอะไรดีนี่สิ


              ปลายนิ้วกำลังจะกดเข้าแอพพลิเคชั่นไปสุ่มฟังสักเพลง ทว่าป๊อปอัพแจ้งเตือนที่แสดงขึ้นมาบนหน้าจอดันเร็วกว่า


             จิฮิโระจัง : ดิฉันใกล้ถึงแล้วค่ะคุณหนู มื้อเย็นนี้ร่วมกินกับดิฉัน ทาคามิ และมาโคโตะนะคะ


             เธอกดเข้าไปอ่านให้อีกฝ่ายรู้ว่ารับสารแล้ว ใจรู้สึกพองโตขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยมื้อเย็นนี้ก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวหรือต้องพึ่งพามินิมาร์ทกับอาหารเดิมๆที่เธอชอบซื้อกิน


              นานๆครั้งจะได้เจอหน้าพวกเขาสามคนพร้อมเพรียงกัน... มันคงจะเป็นมื้อที่คลายความรู้สึกหม่นหมองนี้ได้พอสมควร


    ดีไม่ดี ทาคามิอาจจะชวนเธอเล่นอีแก่กินน้ำด้วยก็เป็นได้


    ถ้าไม่ถูกอีกสองคนห้ามก่อนน่ะนะ...


              เลย์โกะถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา และในตอนนั้นเองที่สายตาสบเข้ากับแจ้งเตือนอีเมลที่ส่งมาจากคนที่ไม่คุ้นเคย


              เธอกดเข้าไปดูและในตอนนั้นเองที่ความรู้สึกอบอุ่นในใจก็สลายหายไปในพริบตา


             สวัสดีครับ, คุณหนูแอล


             ประโยคเปิดนั้นทำให้รู้สึกหวาดระแวงขึ้นมาทันที...


              และอย่าให้พูดถึงเนื้อหาในเมลนั่นเลย






    _ _ _ _
     มู้ดยังไม่หายค่ะ เลยได้แต่งอีกตอนก่อนจะหายไปหลายเดือน55555555
    แบบว่าฉลองวันสุดท้ายของปิดเทอมเพราะพรุ่งนี้ก็ต้องกลับไปเจอมรสุมการเรียนอีกรอบ
    ขอพูดเลยว่าขี้เกียจมาก กิจกรรมเอย เกรดเอย โครงงานเอย ไหนจะเวลาเรียนแค่สี่เดือนกว่าๆอีก
    บวกกับไปเรียนทีไรก็เจอแรงกดดันเยอะจนไม่มีมู้ดทำอะไรด้วยแหละค่ะ ก็อาจจะได้เขียนอีกทีพักใหญ่เลย

    สำหรับตอนนี้ก็มีใบ้นั่นใบ้นี่พอกรุบกริบ ที่เน้นเป็นพิเศษคือคสพ.กับคนในห้องที่เริ่มจะมากขึ้นทีละนิดนะคะ
    ในแก๊งเทราซากะนี่ยัยเลย์สนิทกับฮาซามะมากสุด แต่นั่นไม่ใช่คสพ.ที่มีอิทธิพลกับอนาคตขนาดนั้นค่ะ
    อาจจะงงนิดๆ แต่เดี๋ยวพอขึ้นซีซั่นสองก็จะรู้เอง รอหน่อยนะคะ รอเครสกัลสกิลเขียนเทียบเท่าเต่าหน่อย5555555

    แอบใบ้คู่รอง(ที่หลายคนน่าจะพอรู้แล้วจากเวอร์เก่า)แบบเนียนๆค่ะ ความจริงคือต้องมองด้วยฟิลเตอร์ชิปเปอร์ถึงจะรู้ว่าคู่รอง
    ส่วนคู่หลักนี่เดี๋ยวก็มาแล้วค่ะ มาแป๊บเดียว แล้วก็หาย ฟิคนี้เน้นซีนนางเอกมากกว่าซีนพระเอกอย่างเห็นได้ชัด55555555

    ในการรีไรท์ครั้งนี้ เครสได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ของเลย์โกะกับโคเฮย์นิดนึงด้วยแหละค่ะ ตอนแรกอาจจะเห็นได้ไม่ชัด
    แต่ว่ามันต่างกับเวอร์ชั่นเก่าๆที่ตึงใส่กันตลอดเวลาแน่นอน เป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อความเมกเซ้นส์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×