คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 03 – mutation.
ก่อนหน้าจะเกิดเรื่องแบบนี้ก็เหมือนกัน
เพราะตัวตนมันค่อยๆเปลี่ยนไปทีละนิด
เพราะการทำตัวแบบเดิมมันค่อยๆลำบากขึ้นทีละน้อย...
มันจะมีสักเท่าไหร่ที่สังเกตในรายละเอียดยิบย่อยเกี่ยวกับคนคนหนึ่งกัน? แล้วมันจะใช้เวลานานแค่ไหนหรือใช้ปัจจัยอะไรในการกระตุ้นให้คนนั้นรู้ตัว?
สถานที่ผ่อนคลายถูกจำกัดขึ้นเรื่อยๆ— จากเมืองทั้งเมืองกลายเป็นแค่บ้าน
จากบ้านกลายเป็นแค่ชั้นบนของมัน จากชั้นบนกลายเป็นแค่ห้องส่วนตัว...
ที่แม้แต่จะระบายความเครียดออกมาตอนอยู่ข้างในก็แทบไม่กล้า
ขนาดในตอนที่เค้าโครงใกล้จะสูญเสียความสมดุล
การสบถเสียงดังหรือแม้แต่การฉีกกระดาษรียูสก็ยังคงอยู่เหนือความสามารถของตนเอง
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เริ่มกลัวจนตั้งข้อกำหนดไร้สาระเพิ่มขึ้นมาเองกันนะ?
เมื่อรู้ตัวอีกที... ห้องก็เต็มไปด้วยเศษกระดาษ
และร่างกายซึ่งมีเหงื่อท่วมก็ตะเกียดตะกายขึ้นจากพื้นไปยังหอสมุดเมืองเสียแล้ว
กุก... กัก...
โทปาซ เชีย แอนเดรียอาจจะมีประวัติว่า ‘ใช้เวทมนตร์โจมตีพื้นที่หลังหอสมุดอย่างบ้าคลั่ง
ก่อนจะหมดสติไปชั่วคราวเพราะถูกสาป’ ก็เป็นได้— มันเป็นเรื่องผิดวิสัยที่แม้แต่ผู้เป็นมารดายังไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง และคงเหมือนกับเกมซึ่งกำลังเล่นอยู่ ณ
ตอนนี้ล่ะมั้ง
โครม!
ที่แค่พริบตาเดียวก็ล้มลงมาหมดน่ะ
“ฉันเริ่มรู้สึกว่านอนไม่พอ”
“ทุกคนพลาดได้ในเกมน่า— โดยเฉพาะถ้ามันเป็นเจงก้า”
“ไม่ คือเมื่อกี้นั่งเทียบชีวิตกับตึกไม้นี่อยู่
พอคิดเชิงลึกแล้วก็คือเห็นว่าเหมือนกันพอสมควร”
และตอนนี้ก็มือว่าง เพราะแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว...
“งั้นเอาหมอนป่ะ?”
“ฮะ?”
“เร็นมันเอามากองไว้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้—
ลายแมว นุ่มดี เอาไปกอดระหว่างรอมันแพ้ฉันก็ได้”
___
“ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี... ว่าทำไมการเล่นเจงก้า
5 ตามันดันเป็นวิธีออเข้าชมรมไปได้”
“เล่นไปสัมภาษณ์ไปไง
แถมฉันจะได้ชินกับเวลาแกพูดหยาบด้วย”
“อะไรกันล่ะวะนั่น?” เธอขมวดคิ้ว ถ้อยคำที่เจรัลด์เอ่ยออกมานั้นชวนให้รู้สึกพิลึกอย่างบอกไม่ถูก
“ฉันไม่ได้หยาบทุกคำเสียด้วยซ้ำนะ”
การออดิชั่นเข้าชมรมนั้นเป็นเรื่องปกติสำหรับโรงเรียน
ทว่าวิธีการของชมรมวารสารที่แปรเปลี่ยนไปเพื่อตัวเธอเองนั้นกำลังทำให้รู้สึกว่าห่างจากความปกติที่ต้องการไปเรื่อยๆ
สายตาเลื่อนไปมองเพื่อนตัวแสบที่ยิ้มร่าอยู่กับนิตยสารไอทีในมือ— สมองคาดคะเนเอาไว้ว่ามีโอกาสที่ต้นเหตุจะเป็นเร็นมากกว่าครึ่ง
และขณะเดียวกันก็ได้ข้อสรุปว่าต่อให้บ่นไปก็คงไม่มีผลอะไร ในเมื่อทุกอย่างมันจบลงไปแล้วเรียบร้อย
“ความจริงกฎการออก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆด้วย
แล้วแต่อารมณ์พวกฉันน่ะ... เห็นช่วงนี้แกดูเครียดๆ
ก็เลยเปลี่ยนเป็นอะไรที่ผ่อนคลายลงหน่อย”
“จะเครียดกว่าเดิม เพราะไม่บอกก่อนนี่แหละ”
เธอกลั้วหัวเราะ สมาร์ทโฟนบนโต๊ะถูกหยิบขึ้นมา
ทว่าสีหน้าของเพื่อนสนิทข้างกายก็สะดุดตาเสียจนละวางความคิดที่จะสแกนปลดล็อกหน้าจอชั่วคราว
อ่า—
สิ่งแรกที่โทปาซคิดจะทำคือศอกเข้าที่แขนของเร็นเบาๆ ก่อนจะเบนสายตากลับมามองเจรัลด์
“แต่ก็ขอบคุณ”
และนั่นก็ทำให้สมาร์ทโฟนปลิวออกจากมือ
เพราะแรงของเพื่อนสาวที่โถมเข้ามาหาเธอเต็มๆ— เธอแทบจะล้มลงจากเก้าอี้ หากไม่ติดว่าสัญชาตญาณสั่งให้คว้าขอบโต๊ะไว้ได้ทันท่วงที
“อุ๊ย”
“ไม่ต้องมา ‘อุ๊ย’ เลยยัยตัวแสบ” เธอแค่นหัวเราะ
ส่งสายตาดุเล็กน้อยให้เร็น ขณะที่มือข้างเดิมนั้นพยายามดันน้ำหนักของเก้าอี้ให้กลับไปอยู่สมดุลตามเดิม
เอี๊ยด!
รู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่มีนั้นเพิ่มขึ้น...
ทว่ามันก็หาใช่เรื่องที่น่าแปลกใจนักหรอก
“ฟ้องไอฟ์นะ”
“เหอะ! เอะอะก็ฟ้องแต่ไอฟ์ตลอดอ่ะปาซ”
“ก็มาริดุเธอไม่ลง
ส่วนเจรัลด์ก็นั่งขำอยู่ตรงนั้น”
“...”
เร็นเงียบ
จ้องหน้าเธอนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเด้งกลับไปยังเก้าอี้ของตนเองแบบไม่บอกกล่าว
“เออเนอะ เจรัลด์นั่งทำตัวน่าหมั่นไส้อยู่ตรงนี้นี่นา
เปลี่ยนเป้าหมายดีกว่า”
“เฮ้ยๆ”
โทปาซกะพริบตาด้วยความเคลือบแคลงใจ พยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตนเองไว้ให้ได้มากที่สุด— เธอไม่ควรจะหัวเราะ ไม่อย่างนั้นเร็นก็จะใช้มันเป็นหลักฐานมาอ้างว่าโอนอ่อนให้เป็นรอบที่ล้าน
ด้วยรักและหวังดี อย่านิสัยเสียตามกันไปทั้งคู่เลยเถอะ
อีกทั้งยังไม่อยากโดนสองคนที่เหลือเอ็ดเรื่องตามใจแบบเกินความจำเป็นไปอีกรอบด้วย— ตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ไม่อาจปฏิเสธเร็นได้แบบเด็ดขาดเสมอ
สีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของคนที่ไม่มีกรอบใดๆมาจำกัดการกระทำของตนเองนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่เธอแอบอยากจะให้มันคงอยู่ตลอดไป
แม้ว่านั่นจะไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป... หรือเจ้าของรอยยิ้มจะไม่ใช่เธอก็ตาม
ครืน!
สวรรค์มาโปรดในคราวที่เสียงสั่นแจ้งเตือนเบี่ยงเบนความสนใจจากการพยายามควบคุมตนเอง— เธอกล่าว ‘ขออนุญาต’ กับเพื่อนทั้งสอง
ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบสมาร์ทโฟนที่ยังคงอยู่บนพื้นขึ้นมา
‘Anthony A. ส่งข้อความถึงคุณ’
คิ้วเลิกขึ้นทันทีที่เห็นแจ้งเตือนหน้าจอที่ไร้ซึ่งรอยร้าวนั่น— ชัดเจนแจ่มแจ้งว่าผู้ส่งคือใคร
และคำสบถในหัวก็ดังขึ้นอย่างช่วยไม่ได้เมื่อกดเข้าไปดู
:: ยุ่งอยู่หรือเปล่า? พอดีว่ามิสเคนเนดี้มาถามเกี่ยวกับชมรมน่ะ
เหมือนว่าเขาจะเป็นห่วงเธอในเรื่องนั้น
โอ้... ว้าว
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบอาทิตย์ที่เธออยากจะตอบข้อความของใครสักคนอย่างเร็วที่สุด
“มีไรอ่ะ?”
“มิสเคนเนดี้ถึงขั้นไปถามแอนโธนี่เรื่องที่ฉันออกจากชมรม”
“เป็นห่วงล่ะมั้ง บางทีมันก็มีกรณีที่ทะเลาะกันจนเกิดอะไรแบบนี้นี่’
“ก็ใช่... แต่นี่มันมิสโรวีน่า เคนเนดี้”
“...”
หากการที่มีพี่น้องเป็นเหล่าบุคคลที่เรียกได้ว่าอยู่ลำดับต้นๆของ
‘คนเก่ง’ อีกทีจะสอนอะไรกับเธอ มันก็คงเป็นเรื่องที่ว่าความจริงใจจากบุคลากรบางกลุ่มนั้นหายากเสียเหลือเกิน
โทปาซไม่ปฏิเสธว่าตนอคติ— มันก่อเกิดมาจากหนึ่งในสิ่งที่สังเกตเห็นมาตั้งแต่ปีแรกๆ
ความเอาใจใส่ที่ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับนักเรียนคนอื่นๆนั้นค่อนข้างจะแจ่มแจ้ง
และในกรณีของเธอ มันก็อาจจะมากขึ้น...
เนื่องด้วย ‘ความโชคร้าย’ ที่ได้รับมา
ในวันเปิดภาคเรียนก็ลืมนึกในความเป็นไปได้ดังกล่าวเสียสนิท
“ฉันเลิกมองในแง่ลบไม่ได้จริงๆนั่นแหละ— อาจจะไม่ใช่คนแย่ แต่ความห่วงใยมันดูไม่น่าเชื่อถือพอ”
เธอวางสมาร์ทโฟนลงบนโต๊ะ
ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“หรือว่าฉันแค่เชื่อคนยากกันแน่?”
“อ่า... ความจริงแล้วชมรมที่ปรึกษาก็ไม่ค่อยชอบมิสแกนะ” เจรัลด์เอ่ย
“ถามจริง?”
“ก็ตามประสบการณ์ส่วนตัวของพวกเขาแหละ ส่วนใหญ่เป็นเพราะการทรีตเด็กที่ไม่เท่ากันของมิส— ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นเหยียดกลุ่มหนึ่ง
เชิดชูกลุ่มหนึ่ง แต่มันก็ดูออกว่าจะใส่ใจเด็กเก่งเป็นพิเศษอ่ะ” เขาไหวไหล่
“แต่ว่าบอกแฝดแกไปแล้วใช่ไหม? ว่าฉันรับเข้าชมรมน่ะ”
“ก็... ประมาณนั้น”
“โอเคๆ งั้นก็สบายใจได้แล้วแหละ”
“อ-อืม”
“ต่อไปก็เล่นเกมเศรษฐีกัน
เดี๋ยวฉันไปเรียกคนอื่นมาแจมด้วย”
บางสิ่งบางอย่างกำลังบอกเธอว่านี่คือการค้นคว้าเล็กๆน้อยๆเพื่อบทความในวารสารรายเดือนของเจรัลด์—หากธีมของเล่มต่อมาเป็นเรื่องของเกม
ก็ถือว่าเป็นการฉีกธีมแนววารสารที่มักจะเต็มไปด้วยบทความเดิมๆอย่างเห็นได้ชัด
“เอาเลย?”
“ยิ่งเร็วยิ่งดี
เผื่อต้องถกกับอาจารย์เรื่องคอนเซ็ปต์อีก— ถ้ามีตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นก็คงรอดนั่นแหละ”
โป๊ะเชะ...
ดังที่คิด
เจรัลด์กับตำแหน่งผู้นำอะไรสักอย่างล้วนมาพร้อมกับเรื่องแปลกใหม่ที่น่าประทับใจทั้งนั้น
สำหรับเธอที่วนเวียนอยู่แต่กับเรื่องเดิมๆเป็นเวลานาน
อะไรแบบนี้มันอภิรมย์พอสมควร
:: ฉันลงทะเบียนเข้าชมรมวารสารไปแล้วล่ะ
เสร็จเมื่อกี้เลย ตอนนี้ชื่อก็คงอยู่ในระบบเรียบร้อย
:: ขอโทษที่ทำให้ต้องมาเจออะไรแบบนี้อีกรอบนะ
ทางเดียวที่จะดันเรื่องเดิมๆที่ไม่สบอารมณ์นั่นออกไปได้ก็คงเป็นการขูดเอากากเพชรบนพื้นผิวของก้อนหินก้อนนั้นออก...
และนี่ก็คือสิ่งที่เธอปักไว้ว่าเป็น ‘จุดเริ่มต้น’ ของมัน
ตึกไม้จะไม่ถล่มลงมาเป็นครั้งที่สอง— มันจะไม่จบในสภาพเดียวกับเค้าโครงอันน่าสมเพชนั่น
และเธอจะประคับประคองมันอย่างระมัดระวังที่สุด
___
“ก็บอกแล้วว่าเจรัลด์ไม่ถามก้าวก่ายหรอก”
“หรือมันเป็นผลบุญจากการแบ่งเวเฟอร์ให้เขาตอนเกรด
2?”
“นั่นมัน— อืม เป็นไปได้อยู่นะ
คือถ้าเป็นฉันก็คงจำบุญคุณเธอไปตลอดชีวิตอ่ะ”
“เกิ๊น...”
“อย่าดูถูกความขลังของเวเฟอร์แสนอร่อยที่แบรนด์ดันเลิกผลิตไปแล้วเด็ดขาด
ฉันยอมบอกความลับทั้งหมดของตนเองเพื่อได้กัดสักคำ”
เร็นเปรียบเสมือนสายลม— บ้างก็มองว่าทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นในวันที่ร้อนระอุ
แต่บ้างก็หาได้พอใจกับการที่มันพัดพาสิ่งของของตนเองปลิวว่อนไปไกล
และสำหรับเธอที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์กับลมร้อนที่พบเจอมานานแสนนาน
ความเย็นสบายที่เริ่มต้นด้วยการเผลอสบตากันนั้นคือช่วงเวลาในชีวิตที่ไม่อาจลืมเลือนได้
ความบังเอิญแปรเปลี่ยนเป็นจุดเริ่มต้นของหนึ่งในสิ่งที่เรียกว่า
‘โชคดี’ ของชีวิตภายในเวลาไม่กี่ปี— แปรเปลี่ยนกลายเป็นหนึ่งในบุคคลอยากจะให้เห็นการเติบโตของเธอมากที่สุด
ในเมื่อหล่อนคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัวเธอกลับมาเดินหน้าอีกครั้ง
“แล้วชมรมเป็นไง?
แปลกใหม่จากที่เคยทำใช่มั้ยล่า? เป็นประสบการณ์ที่แตกต่างกับแบคสเตจพอสมควรเลยนี่นะ”
“อืม
รู้สึกว่าเห็นเครดิตตนเองชัดกว่าด้วย”
“โอ๊ะ... แรงอยู่นะ”
“อืม”
“...”
“...”
แต่เมื่อความเงียบปกคลุมได้เพียงไม่กี่วินาที
สาวเจ้าก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้— มือนั้นเกาะไหล่เธอไว้แน่น ราวกับต้องการที่พึ่งพิงในคราวที่สองขาอ่อนแรง ทว่าก็เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด
ในเมื่อตัวเธอไม่ได้มีแรงต้านทานต่อกระแสลมมานัก
เลยกลายเป็นว่าแทบทรุดลงไปทั้งคู่
หากอิวันน่ากับมาริซอลอยู่
ป่านนี้ก็คงถูกจับแยกกันจนกว่าความขบขันจะจายหายเสียแล้ว... เหมือนกับทุกครั้งคราที่เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นในเวลาพักกลางวัน
“พ๊อ—”
โทปาซพยายามอดกลั้นมันเอาไว้— การระบายความขบขันลงกับอะไรสักอย่างหนึ่งคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการเอาหัวเราะต่อไปเรื่อยๆ
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รู้ว่ามันจะลากยาวไปนานเพียงใด
ตึง!
ครืด...
และ ‘อะไรสักอย่างหนึ่ง’ ที่ว่าก็คือล็อกเกอร์ของตนเองที่บุบลงเล็กน้อยและมีรอยข่วนประหนึ่งถูกนำออกมาจากกองถ่ายภาพยนตร์เกี่ยวกับไฮสคูลปีศาจสักกอง
ตุบ!
ร่างกายทรุดลงเมื่อความขบขันนั้นถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจ— หน้าผากแนบชิดกับประตูล็อกเกอร์ด้านล่างที่มีฝุ่นเขรอะ
เป็นภาพที่แลดูพิลึกใช้ได้
ราวกับว่าถูกแรงโน้มถ่วงดึงลงมาจนหมดเรี่ยวแรงทันทีอย่างไรอย่างนั้น
เล่นเอาเสียงหัวเราะหายไปในทันทีเลยด้วย
“Fxck” เธอสบถ— มันดังมากพอที่เร็นจะได้ยิน
แต่ใจหาได้แยแสชิ้นส่วนหน้ากากที่ปลิวว่อนไปไกลนั่นแล้ว
ไม่มีทางที่เศษเล็กเศษน้อยนั่นจะบาดใครหรอก... หรือต่อให้บาด
ก็คงไม่สร้างผลงานแจ่มแจ้งเช่นที่เห็นอยู่ ณ ปัจจุบัน
ขนาดเล็บที่ไม่ได้งอกยาวยังค่อนข้างแหลมคมเมื่อใช้ข่วนอะไรสักอย่าง
ส่วนเรี่ยวแรงที่ปกติไม่ได้มีมากนักก็คล้ายกับว่าเพิ่มขึ้นประมาณหนึ่ง— พูดตามตรงคือเธอรู้สึกราวกับกำลังเข้าสู่ช่วงวัยแรกรุ่นอีกครั้งหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
“มันก็น่าจะเบิกใหม่ได้นะ ไม่เป็นไรหรอก”
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ”
“เอาน่าๆ”
“...”
“...”
“...นั่นเสียงสั่นนิดหน่อยป่ะเร็น?”
“แหะ— คือมันเหมือนยังไม่หายขำอ่ะแหละ
แล้วรอยข่วนนี่ก็ทำให้รู้สึกว่าต่อไปต้องกวนตีนแบบไม่แรงมากแล้ว ถ้าป๊าบเข้าหน้านี่คงจบไม่สวยแน่ๆ”
โทปาซเลิกคิ้ว
“อ๊ะ...”
“...”
“เฮ้ยๆ ไม่สิๆๆ ฉันขอโทษ! เมื่อกี้แรงไป ฉันไม่ได้คิด
ขอโทษจริงๆ คือมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนด้วย แล้วมันก็—”
“ไม่เป็นไรๆ” เธอเปลี่ยนท่านั่งมาเป็นการชันเข่าพิงล็อกเกอร์เสียแทน ดวงตาที่ไร้ซึ่งประกายนั้นพิจารณามองใบหน้าของเพื่อนสาวที่ไม่กล้าสบตานานกว่า
3 วินาที— ชาร์โคลสีเข้มที่สะท้อนผ่านดวงตาของเร็นอาจเทียบกับเมฆพายุได้
หากจะเปรียบมันกับอะไรสักอย่างในตอนนี้
“ฉันไม่ค่อยซีอยู่แล้ว ก็คือแอบกลัวอยู่เหมือนกันนั่นแหละ...
ได้แต่หวังว่าคงจะไม่เผลอข่วนใครโดยไม่ได้ตั้งใจ”
ปั่นป่วนกว่าปกติ
และเธอที่ไม่ชอบก็พยายามหลีกเลี่ยงการพบเจออะไรแบบนั้นมานานแสนนาน...
แต่สิ่งที่รับรู้มาเมื่อไม่นานมานี้ก็คือการที่ดอกพิกุลนั้นไม่ได้มีอิทธิพลกับสภาพอากาศมากเท่าปัจจัยอื่นๆอีกหลายอย่าง— หนึ่งในนั้นก็คือสายลมและแรงดันอากาศที่ตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
หรือแม้แต่มีอำนาจในการควบคุมมันดังใจปรารถนา
“แต่เธอก็ควรระวังคำพูดจริงๆนั่นแหละ
บางคนเขาก็ไม่โอเค”
“ขอโทษอีกครั้งนะ
จะระวังให้มากกว่านี้”
“อืม ก็อย่างที่บอก... ไม่เป็นไร”
โทปาซยันตัวลุกขึ้น เธอหัวเราะเล็กน้อย
“ถ้าเข้าคลาสไปด้วยหน้าหงอยๆแบบนี้
เดี๋ยวก็โดนมิกซ์จาซีรีทักหรอก”
“โธ่... ก็มันยังรู้สึกผิดอยู่อ่ะ
ขอเวลาหน่อยสิ”
“หืม? ทีกับมาริเธอเปลี่ยนโหมดไวนี่”
“ก็— ก็มาริตัวเท่านั้นเองอ่ะ! เป็นยัยตัวเล็กตัวน้อย
ถ้าเธอซึมตามฉันก็แย่น่ะสิ!”
น้ำเสียงแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย— การบรรยายความเอ็นดูที่มีเพื่อนสาวอีกคนนั้นทำให้ความสนใจของเร็นบ่ายเบี่ยง
และนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
“เออเนอะ น้ำตานางฟ้าของมาริเป็นของต้องห้ามนี่นา”
“ใช่ไหมล่ะ!?”
“แต่จะว่าไป... เมื่อวานอ่ะ
ตอนที่ฉันเข้าห้องน้ำ มาริได้ร้องตอนเจาะหูให้ปาซป่ะ?”
“...”
“ปาซ?”
“ก็... อืม”
“...”
“ฉันทำนางฟ้าสุดที่รักของพวกเราร้องไห้— น้ำตาคลอเบ้าเลย”
___
หนึ่งสิ่งที่ทำให้ไม่ค่อยพอใจกับการที่โรงเรียนไม่มียูนิฟอร์มพละแบบชัดเจนก็คือใจที่อยากจะแต่งตัวไม่ซ้ำกันในแต่ละรอบ— ความรักที่มีต่อการทำตัวราวกับหลุดออกมาจากซีรี่ส์วัยรุ่นนั้นไม่ได้จำกัดเหมือนกับจำนวนชุดวอร์มที่มี
และโทปาซก็ไม่ปฏิเสธในเรื่องนั้น
การพยายามสะกดจิตตนเองในกระจกห้องน้ำกลายเป็นอะไรที่ไร้สาระและเสียเวลา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนโง่บรมที่มองเงาสะท้อนของตนเองนั้นแตะต้องหรือร่ายเวทมนตร์ไม่ได้สักคาถา
บางทีก็คิดว่าคติเรื่องความสำเร็จที่ได้มาเพราะความพยายามควรจะหายไปได้เสียแล้ว— การทำลายความหวังอันแรงกล้าของคนไร้เดียงสามันโหดร้ายกว่าการขยี้ข้อเท็จจริงที่ว่าเธอนั้นจูนิเบียวเป็นเท่าตัว
“คงต้องช่างมันแล้วสินะ...”
“อย่างน้อยเธอก็ดูดีตอนใส่มัน”
“โอ้— ขอบคุณ” เธอกล่าวตอบไปด้วยรอยยิ้มบางเบา
“ยังดีที่มีคนช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ได้บ้าง”
“แหมๆ ฉันก็แค่พูดความจริงเอง”
“ก็มันช่วยจริงๆ”
หรือว่าควรจะเปลี่ยนเป็นจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวละครแอนิเมชั่นที่มีเพียงคอสตูมเดียวด้วยดีล่ะ?
“มองในแง่ดี
บางทีมันอาจจะจบแค่ทดสอบสมรรถภาพเฉยๆเหมือนทุกรอบก็ได้ ไหนๆระบบจะถือว่าเราลงเรียนก็ต่อเมื่อผลทดสอบออกแล้วนี่นา
เรื่องชุดก็ไม่น่าเป็นห่วงมาก”
สัปดาห์แรกๆคือการเก็บข้อมูลที่จำเป็นต่อระบบการเรียนเวทมนตร์เพิ่มเติม
รวมไปถึงการต่อยอดในทักษะต่างๆสำหรับอนาคตของนักเรียนอันหลากหลายอีกด้วย— ทุกคนถูกบังคับให้ทดสอบอย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ตาม
ข้อมูลสมรรถภาพที่จะถูกระบุไว้ในระบบเมื่อเสร็จสิ้นนั้นจะเป็นตัวตัดสินใจว่ามีทางเลือกปฏิเสธการฝึกซ้อมหรือไม่
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงใช่ล่ะมั้ง”
และสภาพเธอตอนนี้ก็...
“มันต้องเป็นคนไม่เก่งกีฬาตลอดแหละนะ
ที่ต้องเจออะไรแบบนี้น่ะ”
“แต่ตอนนี้เราก็รู้แค่เรื่องเล็บกับเขี้ยวไม่ใช่เหรอ? พวกพละกำลังหรืออะไรเทือกนั้นยังไม่มาเลยสักหน่อย”
“โอ้—
ฉันไม่รู้เธอมองโลกในแง่ดีเกินไป หรือว่าฉันคิดมากเกินไปแล้วตอนนี้”
ส้นรองเท้าพละธรรมดาที่ทำให้ส่วนสูงอยู่คงเดิมนั้นเคาะพื้นเล่นเป็นจังหวะอยู่ครู่หนึ่ง
ขณะที่สองเขาก้าวเดินตามเร็นที่เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
ใจหวังว่ามันจะช่วยให้ใจเย็นลงบ้าง
แต่ความเป็นจริงปฏิเสธเธออย่างโหดร้าย— ยังดีที่การกระทำของตนเองห่างไกลจากการสร้างมลพิษทางเสียงอยู่ระดับหนึ่ง
“สงสัยฉันต้องให้ไอวี่มะเหงกคนคิดแง่ร้ายแล้วมั้ง”
“แต่เคสนี้คือความเห็นฉันมันค่อนข้างจะสมเหตุสมผลกว่านะ”
“ฮึ?
ตอนนี้คำสาปมันยังมาไม่เต็มที่อีกเหรอ? มันผ่านมาหลายวันหลายชั่วโมงแล้วนะ”
“อ่า— บางเคสก็ปรากฏเต็มที่ตอนผ่านไปเดือนสองเดือน”
“โฮ่...”
มันไม่มีข้อมูลที่ระบุไว้ชัดเจน
หรือมีงานวิจัยที่ทำให้เธอรู้แจ้งถึงทุกมุมของคำสาปตามธรรมชาตินี้— หนึ่งสิ่งที่รู้ ณ
ปัจจุบันคือความรู้สึกกลายๆที่ว่าบางสิ่งบางอย่างในร่างกายยังคงทำงานอยู่เมื่อเปลือกตาปิดลง
ซึ่งก็หาได้แย่นักเมื่อมันไม่ได้รบกวนเวลานอนสักเท่าไหร่
“และฉันก็ยังไม่ได้ศึกษาต้นตระกูลอย่างชัดเจนเลยด้วย
ไม่รู้ว่ามันจะมีอะไรเพิ่มเติมอีกไหม”
ได้แต่หวังว่ามันคงไม่มีหางฟูๆโผล่มาในอนาคต
การมีอวัยวะใหม่ที่ไม่คุ้นชินนั้นคงต้องใช้เวลาปรับตัวนานพอสมควร— และหากมันเป็นลักษณะถาวร
ก็คงทำให้อะไรๆวุ่นวายไปกว่าเดิมหลายเท่า
แม้ว่าจะยอมรับชะตากรรมที่เลือกให้กับตนเองมากเพียงใด
สุดท้ายแล้วตัวเธอก็ไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับทุกความเป็นไปได้ที่อาจแย่กว่าจินตนาการของตนเองเสียหรอก...
อย่างไรก็ตาม ก้อนหินนั่นก็คงไม่คิดจะกลิ้งกลับไปในอยู่ในจุดเดิมอีกรอบ— ความเอาแน่เอานอนของชีวิตอาจจะไม่ใช่สิ่งที่โทปาซควบคุมได้เต็มร้อย
แต่อำนาจเพียงน้อยนิดของตนเองก็ยังคงมีอิทธิพลกับเส้นทางที่เลือกอยู่ดี
และเธอจะไม่เมินเฉยกับข้อเท็จจริงข้อนั้น
“แต่ถ้าตารางฝึกช่วยคุมอะไรพวกนี้ได้ก็คงไม่แย่
เผื่อๆก็คือได้เปรียบในบางด้านด้วย”
“เช่นตีกับคน?”
“ฉันไม่ตีกับคน—
ถึงนั่นจะเป็นสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวก็เถอะ แต่การมีเรื่องกับคนอื่นก็น่ารำคาญอยู่ดี”
เธอแค่นหัวเราะ
“อีกอย่างนะ
ฉันจะไปตีกับใครก่อน?”
“ไม่รู้สิ— แต่ฉันล่ะชอบการที่มันเป็นความคิดแรกๆของเธอเหลือเกิน”
“อ๋อ
พอดีว่าติดมาจากเพื่อนรักน่ะค่ะ หล่อนมีความบ้าดีเดือดในตัวสูงพอสมควรเลย”
“อู้ว...
ขอบคุณสำหรับคำชมค่า”
เธอหัวเราะตอบกลับไป—
เวลาที่เหลือเฟือนั้นบ่งบอกว่าการคุยเล่นระหว่างทางเป็นเรื่องไม่เสียหาย
และประโยชน์อันน้อยนิดในเรื่องของการเบี่ยงเบนความสนใจก็ทำให้เธออารมณ์ดีขึ้น
แม้กระทั่งในคราวที่ดวงตาสบเข้ากับสิ่งหนึ่งซึ่งไม่ต่างอะไรกับเงาสะท้อนของมันเองในกระจก...
“อ่า—”
สกายบลูโทปาซอันเปล่งประกาย— หนึ่งในลักษณะทางกายภาพอันมากมายที่บ่งบอกถึงความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้
และขณะเดียวกันก็เป็นการพบเจอที่หาได้ยากในรั้วโรงเรียน
มุมปากนั้นก็ยังคงยกขึ้นเฉกเช่นเดิม
เธอโบกมือให้เขา
“ไง... แอนดี้”
“ว่าไง”
ท่าทางแบบเดิมที่ได้รับกลับมาทำให้แย้มยิ้มกว้างกว่าเดิม— ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความประหม่าที่ก่อตัวขึ้นในสถานการณ์ซึ่งแลดูสุดแสนจะธรรมดา...
หรือว่าเป็นเพราะความรู้สึกของเด็กตัวเล็กๆที่อ่อนไหวคนนั้นกำลังพรั่งพรูออกมากันแน่
“ชิบ— ปาซ จะสายแล้ว!”
“ฮะ!? ไหนว่าถ้าเดินเร็วก็ทันไง?”
“โอเค ฉันว่าฉันน่าจะคำนวณพลาดไปนิด—”
“เร็น แบบนี้ไม่น่าเรียกว่า ‘นิด’ นะ!”
กากเพชรบนก้อนหินร่วงหล่นไปบางส่วนในตอนที่เร่งฝีเท้าตนเองให้พร้อมเพรียงกับเร็น— ทำลายกฎ ‘ห้ามวิ่งในโถงทางเดิน’ ไปต่อหน้าต่อตาแอนโธนี่และเพื่อนที่เป็นคณะกรรมการนักเรียนเฉกเช่นเดียวกับเขา
ไอ้อยากคุยมากกว่านี้ก็อยากอยู่หรอก...
แต่ความต้องการจะให้คลาสพลศึกษาเริ่มไวและจบไวมันดันไม่ได้เกี่ยวข้องกับแค่ตัวเธอคนเดียวเหมือนเรื่องนี้น่ะสิ
___
เสียงรองเท้าผ้าใบที่เสียดสีกับพื้นของโรงยิมก็คือหลักฐานของการมาทันคาบเริ่มพอดิบพอดี— เธอพิงผนัง กอบโกยออกซิเจนเข้าปอด
ขณะที่เร็นผู้ซึ่งตามมาติดๆนั้นแทบจะทรุดลงบนพื้น เตรียมพร้อมกลิ้งเข้าไปหาอาจารย์เรียบร้อย
“เรามาทันใช่ไหมคะมิกซ์?
“ก็ฉิวเฉียด...
แต่แนะนำว่าควรเผื่อเวลาไว้มากกว่านี้อีกนิด ยิมใหม่มันไกลกว่ายิมเก่าเยอะอยู่”
“ค่ะ”
“นั่งพักกับคนอื่นไปก่อนนะ
ยังมีบางคนที่มาไม่ถึงที— นิชิมิยะ ฉันบอกว่านั่งพัก ไม่ใช่นอนราบลงไปกับพื้น”
“แง มิกซ์ขา...”
“เดี๋ยวก็โดนใครสักคนเหยียบหรอก
ใกล้ประตูแบบนั้นน่ะ”
วินาทีหนึ่งยังหัวเราะอยู่กับบทสนทนาของเร็นและมิกซ์จาซีรีอยู่เลย— เธอไม่คาดคิดว่าช่วงเวลาก่อนเตรียมพร้อมรับมือกับความหนักอึ้งในอกอีกครั้งมันจะผ่านไปรวดเร็วเสียจนทำตัวไม่ถูก
“พร้อมไหม?”
“อ่า...”
อยากย้อนกลับไปคุยกับแอนโธนี่ต่อขึ้นมาทันทีเลย—
ดอกพิกุลถูกกลืนกลับลงคออย่างช่วยไม่ได้
สถานการณ์นี้มันไม่สะดวกแก่การพูดความเห็นออกมาจากใจจริง— เพื่อนร่วมคลาสมากมาย สายตาที่จดจ้องมายังเธอ และสิ่งตรงหน้าที่เธอจำเป็นจะต้องเตะเพื่อทดสอบแรงกายตนเอง
หารู้ไม่ถึงสาเหตุที่ทำให้รู้สึกชั่งใจ ณ
ปัจจุบัน... จะว่าประหม่า เพราะไม่เคยมีประสบการณ์กับมันมาก่อน
ก็คงจะไม่ถูกเสียหมด
“พยายามใส่แรงให้มากที่สุด แต่อย่าเกินขีดจำกัดที่มี”
“ค่ะ”
“ไม่ต้องกลัวว่ามันจะพัง
ยังมีสำรองอีกเหลือเฟือ”
โอ้—
ความเป็นไปได้ในนี้ถือว่ามีเปอร์เซ็นต์ที่ค่อนข้างชัดเจน— โอกาสมากกว่าครึ่งของการทำลายข้าวของตรงหน้านั้นถูกสันนิษฐานโดยมิกซ์จาซีรีไปแล้วด้วย
เดิมทีมนุษย์ก็มีความทนทานต่อสิ่งต่างๆมากอยู่พอควร
หากเทียบกับพวกสัตว์เลี้ยงหรือสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ... กระนั้นก็ไม่มีอะไรมายืนยันได้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอจะรับมือพละกำลังอันเนื่องมาจากคำสาปนี่ได้
และมันก็ไม่มีอะไรมายืนยันว่าพละกำลังที่แลดูจะเพิ่มขึ้นของเธอนั้นอยู่ในระดับไหนกันแน่— ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ใช้แรงกายเต็มที่แบบนับครั้งต่อปีได้เสียด้วยซ้ำ
“คิดเสียว่าโกรธอะไรอยู่ก็ได้
แบบนั้นอาจจะช่วยได้ประมาณหนึ่ง”
“ค่ะมิกซ์... งั้นขอเวลาสักแป๊บนะคะ”
สองขาก้าวไปยังมันเพื่อตรวจสอบอย่างคร่าวๆ เคาะมันเบาๆเพื่อสังเกตดูเลขที่ขึ้นบนหน้าจอใกล้เคียงนั่น
แล้วดวงตาก็ตวัดกลับมามองมือของตนเองอีกครั้งหนึ่ง— รูปลักษณ์แลดูปกติ
ตัวเลขนั้นก็เป็นไปตามมาตรฐาน ทว่าความรู้สึกไม่คุ้นชินดันกลบข้อเท็จจริงเหล่านั้นเสียหมด
“ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องทำหรอก
บอกมิกซ์จาซีรีไปดิ”
แต่แล้วทุกอย่างก็ชะงักงัน
“เฮ้! เดี๋ยวสิ นายจะพูดแบบนั้น—”
“ทำไมเล่า?
ฉันแค่บอกว่าแอนเดรียยังมีทางเลือก ไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่มันขยี้เรื่องความโชคร้ายของตนเองเลย”
“ร-เรื่องนั้นมัน...”
“แอนเดรียควรได้ใช้ชีวิตแบบปกติไม่ใช่หรือไง?”
ผัวะ!!
โสตประสาทเธอทำงานผิดวิสัยไปชั่วครู่หนึ่ง— หากให้พูดตามความเป็นจริงก็ทำงานผิดวิสัยกับทุกประสาทสัมผัส
รู้ตัวอีกทีก็เห็นผลงานของตนเองอยู่เบื้องหน้า....
และริมฝีปากก็กำลังแย้มรอยยิ้มที่กว้างที่สุดของรอบวันโดยไม่ทันได้สังเกตเอง
อะดรีนาลีนกำลังหลั่ง หัวใจเต้นแรงเสียจนรู้สึกว่ามันอาจจะหลุดออกจากอกได้
ความไม่คุ้นชินนั้นแปรเปลี่ยนเป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกดีเกินคาด— ราวกับกำลังย้อนเวลากลับไปในคราวก่อนถูกสาป
ตอนที่สิ่งซึ่งเคยเหนี่ยวรั้งตนเองไว้ถูกทำลายอีกครั้งหนึ่ง
และบางอย่างที่อยู่ข้างในนั้นถูกปลุกขึ้นมา...
“โอ้—” ก็ควรได้ใช้ชีวิตแบบปกติอย่างนี้จริงๆนั่นแหละ
ผัวะ!
ขานั้นเหวี่ยงแรงใส่สิ่งตรงหน้าอีกครั้ง ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสียจนก่อเกิดเป็นชิ้นงานศิลปะที่เละเทะที่สุดเท่าที่เคยสร้างสรรค์มา— ทั้งรูปทรงที่บิดเบี้ยวไปจากเดิม
ชิ้นส่วนเล็กๆน้อยๆที่หลุดออกมา และตัวเลขบนหน้าจอที่หายไปตั้งแต่ครั้งที่สอง
“ผลลัพธ์เป็นที่พึงพอใจนะ ได้โบนัสมาอีกสองสามรอบด้วย” น้ำเสียงที่ฟังดูอารมณ์ดีของมิกซ์จาซีรีทำให้เธอเอ่ยขอบคุณกลับไปด้วยความกระตือรือร้น— ความสดชื่นที่ขัดกับสภาพร่างกาย
ณ ปัจจุบันคือสิ่งที่โทปาซไม่เข้าใจ กระนั้นก็หมางเมินมันไปชั่วคราว
“ที่ทดสอบแยกก็มีแค่นี้แหละ เหลือแต่แบบรวมสักสามสี่อย่างแล้ว”
“อ้อ...”
“จะไปกินยาก่อนก็ได้นะแอนเดรีย มันกันแค่รูปลักษณ์เปลี่ยน
ไม่มีผลอะไรกับสมรรถภาพทางกายอยู่แล้ว”
เธอเหลือบลงมองมือตนเอง
“โอเคค่ะมิกซ์จาซีรี ขอบคุณนะคะ”
“ยินดี— แล้วก็อย่าลืมเช็คอีเมลล่ะ
ตารางฝึกน่าจะมาประมาณอาทิตย์หน้า”
“รับทราบค่ะ”
แล้วจึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังเร็นอยู่ สายตาเพียงแต่จดจ้องไปยังตำแหน่งที่ว่างเคียงข้างเพื่อนสาวตรงอัฒจันทร์เล็กๆนั่น— ใช้เวลาช่วงที่มิกซ์จาซีรีพักเพื่อพูดคุยกับนักเรียนคนอื่นเรื่องการฝึกซ้อมอย่างคุ้มค่า
พยายามไม่แยแสสายตาหลายคู่ที่จดจ้องมายังตนเอง
“สรุปก็คือได้ตารางฝึก?”
“อืม
ความจริงมันชัดตั้งแต่แรกแล้วด้วยแหละ”
“แต่มิกซ์ไม่ถามเรื่องข้อมูลยิบย่อยเหรอ?”
“เหมือนว่าทางสถานเวทย์จะส่งข้อมูลมาให้โรงเรียนแล้วน่ะ
ก็เลยไม่ต้องเล่าอะไรมาก บวกกับพื้นฐานความรู้ความเข้าใจของมิกซ์แกแล้วด้วย”
นิ้วนั้นเกี่ยวสายคล้องเพื่อดึงกระบอกน้ำออกมาจากกระเป๋า— การดื่มเพื่อดับความกระหายคือสิ่งแรกที่ทำ
ก่อนจะกินยาแล้วดื่มน้ำตามอีกครั้งหนึ่ง
ความเคยชินในเรื่องที่ทำซ้ำมาหลายต่อหลายครั้งทำให้พอจะจับทางได้ว่าควรถือในองศาไหน
ไม่ให้สร้างร่องรอยอันน่าจดจำเหล่านั้นไหว...
แม้ว่ากับเรื่องอื่นๆจะยังไม่เชี่ยวชาญเท่าก็ตาม
‘ค่อยๆเป็นค่อยๆไป’
คงได้กลายมาเป็นคติประจำตัวของเธอในไม่ช้า
ต้องขอบคุณพี่สาวแสนรักที่เอ่ยเตือนสติในวันนั้น
“ตอนแรกนึกว่าปาซจะอารมณ์ไม่ดีนะเนี่ย...
ก็ไม่ชอบกีฬาหรือการออกแรงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“นั่นน่ะสินะ...”
“ฮึ?”
“เมื่อกี้รู้สึกเหมือนทำเควสต์พิเศษในเกมสำเร็จอย่างไรอย่างนั้นเลยล่ะ”
กากเพชรรอบๆเครื่องทดสอบนั้นเป็นเพียงสิ่งที่เธอเห็นในมโนธรรมแต่เพียงผู้เดียว...
และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้แสบตาจนน่ารำคาญ
“แอนเดรีย!
อย่าลืมมาช่วยเก็บกวาดตอนท้ายคลาสนะ!”
“ค่า!”
ความคิดเห็น