คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 02 – abyssal.
แต่ก็หาได้ต่างจากที่คาดคิดไว้นัก— มิตรภาพสิบกว่าปีเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าปฏิกิริยาของพวกหล่อนคงไม่ใช่การร้องเฮหรือโยนทุกอย่างขึ้นฟ้าราวกับกำลังเฉลิมฉลองเหตุการณ์สำคัญในชีวิตหรอก...
มันไม่มีอะไรให้ฉลอง
ก็เป็นเพียงแค่การตัดสินใจที่นำมาซึ่งความไม่เอาแน่เอานอนในอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นก้าวแรกของการเติบโตอีกครั้งหนึ่ง เป็นการตัดสินใจที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากอารมณ์ชั่ววูบของตนเองเหมือนกับครั้งคราอื่น...
“โอเคไหม?”
โทปาซเงยหน้าขึ้นจากข้าวกล่องสำเร็จรูปของตนเอง ริมฝีปากที่แย้มยิ้มบางเบานั่นเป็นคำตอบที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาสำหรับกลุ่มเพื่อน
“สบายมาก... เคยเจอหนักกว่านี้”
ในตอนที่เล่าเรียงเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ จู่ๆก็ตระหนักขึ้นได้ ว่าเวทมนตร์ที่หลอกล่อให้เธอร่ายมันซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้นช่างยั่วยวน— เป็นความรู้สึกที่ดีเกินคาด และเธอคงหลงระเริงกับมันเกินความคาดการณ์ไปชั่วครู่หนึ่ง
“ให้ตายเถอะไอฟ์ ถามอะไรแปลกๆไปได้ ฉันดูท้อแท้ขนาดนั้นเชียว?”
เจ้าของดวงตาสีเหลืองจันทราจ้องเธอเขม็ง และความเกรงกลัวว่าจะคลุ้มคลั่งเหมือนมนุษย์หมาป่าในยามที่ถูกวิจารณ์ผ่านสายตาคมกริบคู่นั้นก็ทำให้โทปาซแค่นหัวเราะออกมา
Fxck...
อิวันน่า ไอสลีย์กำลังทำให้บรรยากาศตึงเครียด— อย่างที่มันควรจะเป็น เมื่อเพื่อนสนิทได้จะตัดสินใจทำเรื่องคอขาดบาดตายไปเมื่อวาน
เร็นและมาริซอลยังคงนั่งนิ่ง ในแววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายปะปนกัน และมันไม่ง่ายเลยที่จะประมวลผลทุกอย่างในคราวเดียวกัน... อย่างน้อยตัวเธอก็รู้สึกแบบนั้น
แม้ว่าข้อความที่พิมพ์คุยกันนั้นจะแลดูไม่มีอะไร แต่ทุกคนย่อมรู้ว่าตัวอักษรไม่กี่ตัวคงไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้พิมพ์หรอก
“ทำไมไม่เคยบอกว่าจะทำอะไรแบบนี้?”
ช้อนส้อมถูกวางลงทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงสั่นเครือของเร็น โทปาซขบริมฝีปากล่าง สิ่งสุดท้ายที่เธอต้องการคืออารมณ์ที่ขุ่นมัว แต่โลกก็ไม่ได้ใจดีกับเธอบ่อยนักหรอก
“เธอขำเล็กขำน้อยกับเรื่องที่ไม่ควรจะมองว่าตลกไปกี่เรื่องแล้ว? คิดจะทำแบบนั้นตลอดไปหรือไง?”
มิตรภาพสิบกว่าปีคือสิ่งที่ค้ำข้อสันนิษฐานของเร็นที่มีต่อตัวเธอ...
การไม่แยแสเป็นเรื่องยาก— อย่างน้อยมันก็เป็นเช่นนั้นสำหรับตัวเธอที่ไม่อยากจะเผชิญหน้ากับทุกอย่างโดยตรง
บางที... สิ่งที่เพื่อนของเธอต้องการก็อาจจะเป็นการร่ำไห้ออกมาสุดเสียง ไม่ใช่การแย้มยิ้มพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินลงมา แม้จะถอดหน้ากากที่ปกปิดสีหน้าของตนเองออกแล้ว
ดอกพิกุลอาจจะร่วงหล่นออกมาก็จริง แต่มันมีกี่ครั้งกันที่เธอได้สังเกตเห็นว่ารูปลักษณ์มันเป็นเช่นไร ก่อนจะหันไปมองสิ่งอื่น
“นานแล้วที่ไม่ได้ถูกต้อนจนมุมแบบนี้”
แต่เมื่อมันเกิดขึ้น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามีเพียงตนที่ยังคงไม่ก้าวไปไหนไกลในทุกครั้งครา
“ขอโทษด้วย...”
รู้สึกสมเพช... แต่ในเชิงดีน่ะนะ
“ทั้งเรื่องที่ไม่คิดจะบอก แล้วก็... อ่า... เรื่องที่ไม่เคยซื่อตรงเลย”
ต่อให้เรื่องครอบครัวจะพอจัดการได้แล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องอื่นที่น่าเป็นกังวล— เธอไม่ใช่ลูกรักของโลกใบนี้เสียหน่อย ไม่ว่ามันจะแตกสลายไปหรือไม่ก็ตาม และการตระหนักรู้ก็ไม่ได้ทำร้ายตนเองนัก
“ให้ตายสิยัยโง่”
“ก็โง่จริงๆแหละนะ ไม่เถียง” เดาะลิ้นตอบกลับไป
ก็คงจะเกินเยียวยา หากยังคงทำพฤติกรรมเช่นเดิมหลังจากที่ลงทุนทุกอย่างไปเพื่อการเติบโตของตนเอง
คำสาปนั่นยังไม่กระทบกระเทือนแนวคิดหรอก
“งั้น... เอ่อ กอดกันไหม?”
เธอเบนไปมองยังมาริซอล— ริมฝีปากซึ่งถูกเคลือบด้วยลิปกลอสนั้นแย้มยิ้มกว้างพอๆกับดวงตาที่เปียกชื้นของหล่อน
“หมายถึงทุกๆคนเลยน่ะนะ...”
และข้อเสนอที่ถูกเอ่ยออกมานั้นคงเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆที่พวกเธอต้องการในตอนนี้
“อืม”
ร่างกายโผเข้ากอดเพื่อนสาวอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะถูกทับด้วยใบหน้าซึ่งเปียกชื้นจากน้ำตาของเร็นอีกที
“แต่เธอยังอธิบายไม่เคลียร์หมดนะ อย่าลืม”
“จะไม่ยกโทษให้จนกว่าจะบอกตรงๆว่ารู้สึกอย่างไรกับทุกๆอย่างงั้นเหรอ”
“ใช่ ทั้งฉันและมาริซอลเลย”
เธอได้ยินเสียงถอนหายใจ— นั่นคงเป็นอิวันน่าอย่างไม่ต้องสงสัย
“ค่อยเป็นค่อยไปก็พอ ไม่ได้อยากจะเร่งหรอก ก็รู้ว่ามันยากอยู่”
โทปาซกลั้วหัวเราะ
“แน่ล่ะ”
___
อย่างไรก็ตาม... เธอชักไม่มั่นใจว่าตนเองสมควรได้รับเครปเย็นไถ่โทษจากทั้งสามคน เนื่องในฐานะทีบีบบังคับให้พูดออกมาหรือเปล่า
จะว่าไงดีล่ะ? ประเด็นสนทนาก็ใช่ว่าจะเบาสมองแต่แรกอยู่แล้ว และตัวเธอนั้นเข้าใจเจตนารมณ์ของทุกคน— ในเรื่องมุมมองอีกมุมหนึ่งก็ด้วย
แต่ก่อนจะได้พูด ก็ประสบปัญหาสองสามอย่างที่รุ้มเร้าเข้ามาเสียแทน...
“เป็นทั้งตอนโกรธและเศร้าเลยเหรอ?”
คำถามของมาริซอลทำให้ระลึกได้เป็นรอบที่ล้าน
“ถ้าเขิน อาย หรือรู้สึกอะไรที่มันเอ็กซ์ตรีมก็เป็นเหมือนกัน”
“แล้วยา?”
“ยาก็ช่วยได้อยู่ แต่กินมากๆแล้วมันมึนน่ะ เพราะการตอบสนองตามปกติของร่างกายก็โดนไปด้วย... เล่นหลอมกันเป็นหนึ่งเดียวเหมือนถูกคนจากเบื้องบนโยนเข้าเครื่องปั่น กลายมาเป็นมิลค์เชคในหมวด ‘โตไปก็อย่าทำแบบพี่เขานะลูก’ หรืออะไรเทือกนั้น”
มันมาเยือนเธออีกครั้งหนึ่ง— กรงเล็บที่ควรจะเป็นเครื่องประดับในวันฮาโลวีนเท่านั้น และในคราวนี้ก็ฟันเขี้ยวที่ผิดเผกกับของมนุษย์มาด้วย
มันเสียอารมณ์ที่เธอไม่สามารถเปล่งเสียงได้โดยที่ไม่ต้องมาพะวงเรื่องริมฝีปากที่อาจเป็นแผลได้โดยไม่รู้ตัว หรือขยับมือไปมาได้โดยที่ไร้ซึ่งความกังวลว่าจะไปข่วนใคร
“ฉันดูเหมือนตัวร้ายในหนังวัยรุ่นที่ถูกมนุษย์หมาป่ากัด... และตอนนี้ก็ยังกลายร่างไม่เสร็จ”
“มันก็ใช่ว่าจะแย่ขนาดนั้นนะ”
“ไม่ คือถ้าฉันรู้ว่ามันจะเป็นถึงขั้นนี้ ฉันคงเลือกใส่ชุดที่มีองค์ประกอบแนวๆกรันจ์มากกว่า”
มันไม่ใช่ว่าแนวเพรพพี่หรือสีพาสเทลไม่ดูดีหรอก แต่ประเด็นมันอยู่ที่รสนิยมส่วนตัวมากกว่า— พออยู่ในสภาพที่ห่างจากคอมฟอร์ทโซนตนเองไปก็ย่อมไม่มั่นใจเป็นธรรมดา และมันก็เพิ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งวัน
ปุบ...
ดวงตาที่หม่นหมองประมาณหนึ่งนั้นชำเลืองมองมือของเพื่อนสาวที่ตบลงบนบ่าเธอเบาๆ
“ไหนๆก็ต้องรอไอวี่กับเร็นอยู่แล้ว... ไปแก้ลุคกันเล็กน้อยก็คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ” มาริซอลยิ้ม
ราวกับสายน้ำที่ไหลเวียนกลับมา ณ จุดเดิมเมื่อเวลาผ่านไป— ถ้อยคำที่ธรรมดาที่เคยกล่าวไปในอดีตนั้นวกกลับมาหาเธอในรูปแบบที่สามารถบรรเทาความไม่สบอารมณ์ของเธอได้ และนั่นก็ทำให้เผลอแย้มยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา หลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องการถูกปล่อยผ่าน เธอรั้งทุกอย่างไว้ให้อยู่ที่เดิม ขณะที่ผู้คนรอบข้างเริ่มจะก้าวไปข้างหน้าทีละน้อย
“อืม...”
ที่ตระหนักรู้ได้ก็เพราะผู้คนเคียงข้าง... มาริซอลเป็นหนึ่งกลุ่มคนเหล่านั้น
“ขอบคุณ”
หล่อนหัวเราะตอบกลับมา ก่อนจะคว้ามือเธอแล้วพาไปยังห้องน้ำหญิง
ตุบ!
กระเป๋าถือถูกวางลงอย่างเร่งรีบ และเจ้าของมันก็หยิบทั้งเครื่องสำอางและเครื่องเล็กน้อยออกมา
“เสร็จนี่ก็คงต้องไปกินยาสินะ...”
“ก็ใช่ ไม่งั้นปาซก็จดเลคเชอร์ไม่ได้นี่”
“เออเนอะ วันนี้มีวรรณกรรมด้วย”
ขืนไม่จดก็แย่ ขนาดเหม่อแค่ไม่กี่นาที เนื้อหาก็ไหลไปไกลเสียแล้ว— และมันไม่วกกลับมาจุดเดิมเหมือนกับสายน้ำเสียด้วย... คล้ายคลึงสุดก็อาจจะเป็นน้ำวน และนั่นก็ใช่ว่าจะให้ความรู้สึกผ่อนคลายแต่อย่างใด
โทปาซถอนหายใจ ก่อนจะถอดคาร์ดิแกนครอปที่สวมใส่ออก แล้วรับปลอกแขนจากมาริซอลมาแมทช์กับเสื้อแขนกุดคอวีของตนเองเสียแทน
“เดี๋ยวคืนตอนเย็นนะ” เธอกล่าว
“อ่าฮะ”
กระเป๋าสะพายของตนเองที่หยิบออกจากล็อกเกอร์มาได้ไม่นานนั้นถูกวางลงเคียงข้างกับของมาริซอล และในเวลาไม่ช้าก็ใช้เล็บที่ยาวคมนั่นเกี่ยวเอาเข็มขัดพร้อมกับโซ่ห้อยออกมา
“ว้าว” คนข้างกายกลั้วหัวเราะ และนั่นก็ทำให้เรียกรอยยิ้มจากเธอได้อีกครั้งหนึ่ง
“การมีมอนทาจเปลี่ยนสไตล์หรือเปลี่ยนองค์ประกอบชุดของตนเองนี่คือฝันเลยแหละ”
“Good girl gone bad ฉบับเริ่มต้น อ้างอิงแรงบันดาลใจจากหนังวัยรุ่นสักเรื่อง”
“ในแบบที่ need no influence from anyone ด้วย มีแค่ฉันกับการความใคร่อยากเท่านั้น”
“หืม?”
“โอเค— อาจจะมีคอสตูมของบางเรื่องที่มีอิทธิพลต่อของในตู้เสื้อผ้าฉัน แต่ถ้าพูดแบบนั้นมันก็ไม่ดูดีเท่านี่นา”
มือพยายามจะสวมใส่มันขณะพูดคุย ทว่าอุปสรรคของการทำตัวประหนึ่งอยู่ในภาพยนตร์วัยรุ่นนั้นก็มาเยือนในท้ายที่สุด...
“โอ้...”
ความยาวของเล็บที่คมกริบทำให้ทุกอย่างลำบากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว และโทปาซก็ชักจะอยากหยิบที่ตัดเล็บในกระเป๋ามาจัดการมันให้รู้แล้วรู้รอด
จนกระทั่งนึกขึ้นได้ว่าหากอารมณ์เสียมากๆ มันก็คงจะงอกขึ้นมาใหม่...
“ไอ้สั— ”
และแล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยการขอความกรุณาคุณเพื่อนในการป้อนยาให้ เพราะว่าไม่มีมือข้างไหนหลุดพ้นจากการควบคุมของคำสาป
จ๋อม...
มันเป็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ที่ยังไม่ชินชา และเพราะแบบนั้นจึงได้ถอนหายใจออกมา ขณะที่แช่มือลงในอ่างล้างหน้าที่ใกล้จะเจิ่งนอง— เผื่อว่าจะทำให้รู้สึกดีขึ้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
หรือไม่ก็ดึงเธอเข้าสู่ห้วงภวังค์เหมือนกับคราวก่อนๆ... และทำให้ตระหนักรู้ถึงสถานะว่าเป็นเพียงหินที่จะจมลงสู่ก้นบึ้งมหาสมุทร กลายเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่น้อยคนจะสังเกต
ในช่วงที่เศร้าก็คงจะเห็นพ้องต้องกับมัน โดยที่หลงลืมไปว่าอัญมณีก็หาได้ลอยอยู่เหนือผิวน้ำแต่อย่างใด— และเพราะแบบนั้นถึงได้คิดทำอะไรโง่ๆอย่างการสร้างเรื่องราวด่างพร้อยไว้ในชีวประวัติของตนเอง
“แต่เหมือนถูกปรับชีวิตให้ยากขึ้นเลยแฮะ...”
หากแปลไปในรูปแบบที่ค่อนข้างอคติ ก็คงจะได้เนื้อความของคติที่ให้มาว่า ‘จงสำเหนียกเสีย ว่าไม่มีอำนาจเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นหรอก’ ซึ่งก็คงเป็นเรื่องตลกร้ายที่ทำให้เธอหัวเราะได้ประมาณหนึ่ง
“พอลองคิดดูแล้ว... ถ้าเกิดฉันอยากใช้เวทมนตร์ได้จริงๆ ก็คงใจสลายในตอนที่รู้ว่าแตะต้องมันไม่ได้แน่ๆ”
โทปาซเหล่มองมาริซอล ก่อนจะแค่นหัวเราะ
“มันดับฝันไง และต่อให้แก้คำสาปสำเร็จก็ใช่ว่าจะแตะมันได้ด้วยซ้ำ— เป็นจุดจบที่สวยดีไหมล่ะ?”
ผิวหนังบริเวณนิ้วที่เริ่มเปื่อยเป็นสัญญาณที่ดีของการยกมันขึ้นมา กระนั้นคนที่ขยับก็หาใช่ตัวเธอเอง แต่เป็นเพื่อนสาวที่ถึงแยกมือเธอออกมาสัมผัสกับอากาศเหนือผิวน้ำเสียแทน
เย็น...
“ว่าแต่ว่า ไม่คิดจะแก้จริงๆเหรอ? ก็ปาซไม่ได้ต้องการมันโดยตรงนี่นา”
“อ่า...” เธอเดาะลิ้น
“ก็ตัดสินใจไปแล้ว แถมถ้าจะให้ไปกระเสือกกระสนหาทางแก้ก็เหมือนเป็นการทำลายทุกความพยายามในตอนแรกด้วย”
“...”
“ก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไร... แต่ไม่อยากทำให้ถูกสาป วิ่งวุ่นหาทางแก้ แล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิม เพียงเพื่อจะให้คนรอบข้างกลับเข้าใจกันว่า ‘แอนเดรียกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว หรอก ยอมเป็นมิลค์เชคของพระเจ้ายังจะดีกว่า”
แต่อย่างน้อยเล็บที่เริ่มจะสั้นลงกว่าที่เคยเป็นประมาณหนึ่งก็ไม่ได้ต่อต้านตัวยา และเธอก็สามารถกรีดอายไลเนอร์ในรูปแบบใหม่ได้โดยที่ไม่ต้องกังวล
“นี่ไง ปลอดภัยขึ้นแล้ว” เอ่ยกล่าวเปลี่ยนประเด็น แล้วจึงแต่งแต้มเครื่องสำอางลงบนใบหน้าเพิ่มสักประมาณหนึ่ง
แค่ใจเย็น ใช้ยา และพยายามปรับมันไปกับชีวิตประจำวัน— อาจจะยากหน่อย ทว่าเธอก็สามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์และคำแนะนำของคนคนหนึ่งนี่นะ
“ไม่ต้องห่วงหรอกมาริ ตอนนี้เรารีบไปตามไอฟ์ที่พยายามหนีคนคุยเก่าอยู่กับเร็นดีกว่า”
“อ่า... ก็ได้”
“เชื่อเถอะ รอบนี้ฉันไม่ได้บ่ายเบี่ยง ทางจัดการมันก็มีอยู่แค่นี้จริงๆ” ว่าแล้วก็เก็บข้าวของของตนเองกลับไปในกระเป๋าตามเดิม
“และฉันก็มีแนวโน้มที่สามารถอยู่กับคำสาปนี้ได้โดยที่ไม่ต้องหัวเสียทุกวันด้วย”
ในอดีตนั้นเกรงกลัวการถลำลึกไปยังดินแดนที่รู้สึกได้เพียงแต่ความเศร้าสร้อยและแรงดันมหาศาลได้พื้นน้ำ...
ทว่ามหาสมุทรที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของคนคนหนึ่งกลับทำให้รู้สึกว่าตนเองจะไม่มีวันจมลงสู่ก้นบึ้งที่ไร้ซึ่งแสงสาดส่อง
แรงดึงดูดของผู้ถูกสาปด้วยกันมันช่างน่ากลัว— แต่คนที่ถูกกล่าวถึงน่ะไม่
“เหมือนว่าโลกจะเหวี่ยง ‘คนที่ไม่เคยคิดว่าอยากรู้จัก จนสบตากันครั้งแรก’ มาหาฉันน่ะ”
ให้ความรู้สึกคล้ายกับมหาสมุทรจริงๆ แต่พอมองในอีกมุมหนึ่งก็ต่างกัน— เป็นการเปรียบเทียบที่ย้อนแย้งชะมัดยาด
“พรหมลิขิตสินะ”
“พรหมลิขิต?”
“อืม ไม่คิดงั้นเหรอ?”
“ไม่รู้สิ...” มันฟังดูห่างไกลกับความเป็นจริงชอบกล
___
“ซ้ายมือนาย ข้างตู้น้ำ”
หินก้อนนั้นชักจะจองหองขึ้นมาในวันนี้ มันคงกำลังคิดว่าตนเองได้กลายเป็นอัญมณีที่เปล่งประกายขึ้นมาเสียจริง— ไม่ก็สะท้อนประกายระยิบระยับเพียงแค่แค่ในคราวที่สบกับดวงตาคู่สวยของเขา
“เฮ้”
สายที่ยังคงค้างไว้ เสียงที่ได้ยินสะท้อน และรอยยิ้มบนใบหน้าเขาที่เห็นว่าเธอยังไม่วางสาย จนกว่าจะหยุดลงเบื้องหน้าในระยะประชิด...
ได้แต่หวังว่าฤทธิ์ของยาก็ยังคงไม่หมดไปเสียก่อน— แต่นั่นก็คงเป็นไปได้น้อย หากเทียบกับระยะเวลาที่ห่างกันประมาณ 3 ชั่วโมงได้
“เป็นไงบ้าง?”
โชคดีไป ที่คำทักทายแรกๆนั้นชวนให้ฉงนมากกว่าเขินอายเสียมากกว่า
“หมายถึงเรื่องเรียน?”
“นั่นก็ด้วย แต่หลักๆคือจะถามเรื่องวันที่สองของการมีอะไรแบบนี้ติดตัว”
“อ่า... จะว่าไงดีล่ะ?”
สมาร์ทโฟนถูกหย่อนลงกระเป๋ากระโปรงอีกครั้งหนึ่ง โทปาซกลอกตาพลางยิ้มเหยเก
“ล่าสุดมีเขี้ยวแล้ว”
“โอ้...”
สีหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้แลดูตกใจเสียขนาดนั้น แต่ก็หาใช่เรื่องประหลาด— คำสาปอาจจะไม่ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายเธอเสียที มันอาจจะค่อยๆปรับเปลี่ยนไปทีละน้อย และนั่นคงเป็นสาเหตุที่สติสัมปชัญญะยังพอมีอยู่บ้าง หลังจากที่โดนมาหมาดๆ
“เหนื่อยหน่อยนะ”
“เดี๋ยวก็คงชินแหละ... มั้งนะ”
“น่าๆ” เขากลั้วหัวเราะ น้ำเสียงฟังดูผ่อนคลายมากกว่าขบขันกับความเห็นของเธอ และนั่นก็กระตุ้นหัวใจให้อุ่นวาบกว่าเดิม
ปลอกแขนก็คืนเจ้าของไปแล้ว— ให้ตายเถอะ
เธอคงต้องหยิบยามากินอีกเม็ดในตอนที่ไปถึงคาเฟ่ ไม่อย่างนั้นก็คงเผลอข่วนทุกอย่างแน่นอน
“ว่าแต่... มีเคล็ดลับไหม? เผื่อว่าใช้ได้... ถึงเราอาจจะไม่ได้เจอคำสาปรูปแบบเดียวกันก็ตามทีเถอะ”
“หือ?”
มันเป็นการพูดเบี่ยงเบนความสนใจตนเองที่พิลึกไม่น้อย— ก็แหงล่ะ เธอยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าคำสาปของเขาเหมือนกับเธอหรือเปล่า ไหนจะเรื่องที่ถ้อยคำเหล่านั้นไม่สมเหตุสมผลเอาเสียอีก
บางทีการห่างหายกับคลาสเรียนอาจจะส่งผลต่อความคิดหลังผ่านคลาสเรียนอันหนักหน่วงมาทั้งวัน
“โอเค— นั่นเป็นคำถามที่... แปลก”
ใจนึกอยากจะฟ้องร้องส่วนหนึ่งของสมองที่ดันอนุมัติให้มันออกจากปากไป— มากสุดคงจะได้ค่าเสียหายเป็นคำปลอบประโลมว่า ‘ดีที่ฉุดคิดได้หลังพูด ดีกว่าปล่อยไปหลายปี แล้วค่อยนึกถึงมันอีกทีในตอนที่กำลังจะหลับตานอน’ แต่นั่นก็ยังไม่แย่นัก
“ก็นิดหน่อย”
แต่เรื่องที่ดีที่สุดก็คงจะไม่พ้นปฏิกิริยาของเขา ที่ไม่ได้ทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนไปมากกว่าเดิม
โชคดีอีกแล้ว...
“อันนี้คือรักษาน้ำใจฉันหรืออะไร?” เธอเอ่ยถาม ไม่ได้แสดงสีหน้าออกไปในเชิงไม่พอใจ เอนไปทางหยอกล้อต่อจากความเห็นเรื่อง ‘ใจดีเกินไป’ ที่เคยกล่าวไปเมื่อเช้าเสียมากกว่า
“เปล่า ก็พูดตามที่คิดนั่นแหละ— ถ้าอารมณ์และความรู้สึกเป็นปัจจัยสำคัญที่ปลุกผลของคำสาปออกมา เราก็คงมีวิธีป้องกันที่ไม่น่าต่างกันมาก”
และแอรีสก็เหมือนจะรู้ทัน
“ฉันแค่ใจเย็นกว่าเอง จะใส่ฟิลเตอร์คนดีให้ก็ดูเกินไปล่ะมั้ง”
“เฮ้ๆๆ มั่นใจได้ไงว่าฉันใจร้อนกว่า?”
“ตอนเจอกันครั้งแรก เล็บเธอกลายเป็นแบบนั้น เพราะว่าแกะเปลือกอมยิ้มไม่ได้”
“หืมมมม?” หรี่ตามองอีกฝ่ายในเชิงหยอกล้อ แต่แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาเมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่ชวนอารมณ์เสียนั่น
พรหมลิขิตก็มาริซอลนั้นดูสวยหรูและเกินจริงไปอย่างเห็นได้ชัด การที่ผีเสื้อนับล้านบินว่อนอยู่ในท้องทั้งๆที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็เช่นเดียวกัน— กระนั้นบางคนก็บอกว่าความงุ่มง่ามของวัยรุ่นนั้นถือเป็นไฮไลท์ของชีวิต
“ขอร้อง เธอจะไม่หัวเราะจนเซอีกรอบใช่ไหม?” เสียงที่คล้ายกับกำลังข่มใจไม่ให้หัวเราะนั้นเอ่ย และเธอก็เพียงแต่ไหวไหล่ตอบกลับ
“ไม่การันตีนะ”
ใช้เวลาพักหายใจไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากโถงทางเดินที่ไร้ซึ่งผู้คนไปกับเขาในท้ายที่สุด
“อืม”
การบรรจงสวมใส่ถุงมือหนังอย่างระมัดระวัง ริมฝีปากที่เม้มเล็กน้อย และใบหูที่ขึ้นสีชัดเจนพอประมาณ— ทุกอย่างเผอิญอยู่ในสายตาเธอพอดิบพอดี ในคราวที่ตั้งใจจะหันไปเอ่ยถามเรื่องอื่น
ตอนนั้นเองที่ก้อนหินก้อนนั้นถูกซัดเข้าชายฝั่ง ราวกับว่าโชคชะตาต้องการให้มันตั้งหลัก ก่อนจะเผชิญกับมหาสมุทรอันกว้างขวางที่สวยงามนั่นอีกครั้งหนึ่ง
สายตาเบนไปมองเบื้องหน้าเสียแทน ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำในความคิดออกไป
“ฉันเลี้ยงนะ”
“ไถ่โทษเรื่องเมื่อเช้าเหรอ?”
“อ่าฮะ”
“เป็นคนดีจังเลยนะ”
โอเค— เขาจงใจแซวเธอแน่ๆ
___
“ขอถามตรงๆอีกข้อนะ เราเมคเฟรนกัน เพราะเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับคำสาปหรือเปล่า?”
“คิดไงถึงถามแบบนั้น?”
ยาที่ลงคอไปพร้อมกับชาพีชรสหวานนั้นออกฤทธิ์เสียแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เธอไม่รู้สึกประหม่า
“กันความเข้าใจผิดในอนาคตน่ะ... แบบว่าเวลารู้จักใครใหม่ๆก็อยากจะรู้ว่าเข้าใจตรงกันในส่วนนี้หรือเปล่า บางทีก็กลัวคนคิดไปเรื่อยว่ามีเจตนาอื่นน่ะ”
การปิ๊งรักหรือสนใจใครสักคนในเชิงโรแมนติกนั้นไม่ได้หมายความว่าจะหลงลืมปัจจัยอื่นๆ และโทปาซที่กำลังใช้หลอดคนน้ำแข็งในแก้วตนเองไปมานั้นก็เข้าใจดี— เธอย้ำเตือนกับตนเองซ้ำไปซ้ำมาประมาณพักหนึ่งแล้ว เป็นการเบี่ยงเบนความคิดจากเรื่องปั่นป่วนหัวใจที่ดีพอควร
“ไม่อยากจะทำตัว... ล้ำเส้นเกินไป... กับคนอื่นด้วยน่ะ”
สกายบลูโทปาซคู่นั้นชำเลืองมองคนข้างกายที่นั่งตรงเคาน์เตอร์ด้วยกัน ความสงสัยที่ไม่แม้แต่จะพยายามกักเก็บไว้นั้นสะท้อนผ่านแววตาอย่างชัดเจน และเขาก็คงสังเกตเห็นมัน ถึงได้หลุดยิ้มออกมา
“ก็ก้ำกึ่งนะ”
“โอ้...”
แรงดึงดูดตั้งแต่คราแรกที่พบกันนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย และในครานี้ก็ไม่แตกต่างกัน— ดวงตาของเขางดงาม รอยยิ้มและเสียงของเขาให้ความรู้สึกผ่อนคลาย และทุกการกระทำเล็กๆน้อยๆนั้นกลับดูน่าสนใจพิลึก
Shxt...
จังหวะที่แอรีส โจนาห์ก้มลงมองเครื่องดื่มของตนเองพร้อมกับรอยยิ้มที่กว้างขึ้นนั้นคือตัวกระตุ้นให้ริมฝีปากเม้มอัตโนมัติ ทั้งๆที่ไม่รู้สึกถึงดอกพิกุลที่กำลังจะร่วงหล่นลงมาแต่อย่างใด
ไร้ซึ่งถ้อยคำชัดเจน ไร้ซึ่งความคิดที่เข้าใจได้— ในหัวเธอปั่นป่วน
การเห็นอิริยาบถของเขาในระยะที่ประชิดกว่าตอนยืนคุยกันเป็นอันตรายอย่างแท้จริง
“แบบว่า เรื่องอยากจะช่วยก็อยากจะช่วยนั่นแหละ ในฐานะของคนที่พอจะรู้นั่นนี่มาบ้าง... แต่นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุหลักหรอก” แอรีสเอ่ย
“จะว่าไงดีล่ะ? อ่า...”
เธอเห็นเขา— เห็นใบหูที่ขึ้นสีระเรื่อ เห็นใบหน้าที่เห่อร้อน เห็นภาษากายที่แลดูประหม่าเล็กน้อยของเขา
“พอโดนถามตรงๆ มันก็ทำตัวไม่ค่อยถูกแฮะ”
อย่าว่าแต่เขาเลยเถอะ เธอเองก็ชักอยากกินยาให้การรับรู้ของตนเองน้อยลง เพราะบรรยากาศที่ห่างไกลจากความผ่อนคลายไปเรื่อยๆนี่ หากไม่กลัวว่ามันจะส่งผลเสียต่อร่างกาย
“ถ้าไม่สะดวกตอบก็—”
“ประมาณว่า ‘สนใจ’ น่ะ”
“...”
“...”
เหี้—
ริมฝีปากที่หุบลงทันที ดวงตาที่เบิกกว้าง ร่างกายที่แข็งทื่อขึ้นมาทันทีในตอนที่สมองประมวลสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อได้— พอคิดดูแล้ว สภาพของเธอเองก็ไม่ต่างกับเขา อีกทั้งด้วยการตอบสนองที่ช้ากว่าปกติเล็กน้อย จังหวะที่เผลอสบตากันอีกครั้งก็ยาวนานกว่าที่ควรเป็น
อยู่ๆร่างกายก็ต้องการความเย็นจากชาพีชขึ้นมาชั่วขณะ... และเธอก็ไม่ลังเลที่จะเบนสายตากลับมาหาสิ่งที่ทำให้รู้สึกวุ่นวายน้อยกว่า
“อ่า...”
ผีเสื้อนับล้านในท้องที่ไร้ซึ่งดอกพิกุล— นั่นเป็นสิ่งที่ยาไม่สามารถทำลายล้างไปได้หมด อีกทั้งยังไม่มีประสิทธิภาพพอจะหยุดยั้งการเติบโตของมันที่มากขึ้นเรื่อยๆ
และในเมื่อความต้องการนั้นเกินกว่าความเป็นจริง ตัวเธอก็คงทำได้แต่เพียงยอมรับมัน
“ดูเหมือนว่าเจตนาจะเหมือนกันอย่างน่าประหลาดเลยล่ะนะ...”
“อาจจะเป็นแรงดึงดูดของคนต้องสาปล่ะมั้ง”
“หรืออะไรที่คล้ายกับพรหมลิขิต แค่ไม่ได้สวยงามขนาดนั้น— ถ้ามันมีคำบัญญัติน่ะนะ”
สิ่งเดียวที่รับรู้ได้คือความเห่อร้อนบริเวณใบหน้าประมาณหนึ่ง เสียงหัวใจที่ดังเสียจนรู้สึกว่าวุ่นกว่าเดิม สายตาที่คล้ายกับว่าจะไม่ละไปมองอย่างอื่นของแอรีส และอมยิ้มที่ถูกสไลด์มาวางเคียงข้างเครื่องดื่ม...
สมองเธอสั่งการให้ตอบสนองทันที
“สินบน?”
“อืม เผื่อว่าจะพิจารณาเรื่องการคุยเกี่ยวกับคำสาปกัน แล้วค่อยกลับไปประเด็นนี้ทีหลัง”
“หืม?”
“เพื่อความปลอดภัยของสิ่งรอบข้างและตัวพวกเราเองน่ะ... แถมการยัดหลายๆเรื่องในหัวภายในคราวเดียวกันก็คงจะไม่ดีต่อตัวเธอ”
เธอหลุดหัวเราะออกมา คนตาสวยที่นั่งอยู่เคียงข้างก็เช่นเดียวกัน
หัวใจนั้นผ่อนคลายอีกครั้งหนึ่ง
___
“เพราะว่าเดิมทีมนุษย์ก็วิวัฒนาการมาจากสัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผลจากคำสาปก็เลยสามารถคาดเดาได้จากต้นตระกูล... แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดที่ผ่านการวินิจฉัยว่าคำสาปจะส่งผลอย่างไรต่อร่างกายบ้างหรอก มากสุดก็รู้แค่ว่าต้องใช้ยาระงับและบางคนก็มีลักษณะทางกายภาพที่เปลี่ยนไปถาวร”
“นั่นน่ะสินะ...”
หลุบตาลงมองเล็บมือตนเองในคราวที่ตอบรับไป ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเล่นๆ— โทปาซหาได้แปลกใจนัก มันก็คงจะมีคำอธิบายสำหรับรูปแบบของคำสาปที่ส่งผลต่างกันออกไปสำหรับแต่ละคนอยู่แล้ว
และมันอาจจะเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ ที่กรงเล็บกับเขี้ยวแหลมคมนี่ไม่ได้มาจากคำพิจารณาของธรรมชาติว่าเหมาะสมกับตัวเธอมากที่สุด
ไม่รู้สิ... ถ้าเป็นจริงก็คงให้ความรู้สึกเหมือนกับถูกด่าจากคนเหนือชั้นบรรยากาศล่ะมั้ง
“ของเธอน่าจะเป็นพันธุ์คล้ายกับอสูรหรืออะไรเทือกนั้น” แอรีสเอ่ย มือที่สวมใส่ถุงมือนั้นเอื้อมมายังเธอ และจิ้มลงกลางฝ่ามือ ราวกับว่าเป็นการเรียกร้องความสนใจให้มามองตนเอง
โทปาซชำเลืองมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะใช้มืออีกข้างจิ้มกลับ
นี่แน่ะ
“ของนายล่ะ? เห็นว่าขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจเหมือนของฉันนี่”
“อ๋อ นั้น...” แอรีสหลุบตาลงครู่หนึ่ง แล้วจึงช้อนมองเธออีกครั้ง
“เวลารู้สึกอะไรมากเกินไป บางสิ่งที่ฉันแตะก็จะปั่นป่วนขึ้นมา”
“ฮะ?”
“จะกดเปิดไฟก็ดันทำหลอดระเบิด จับเครื่องอะไรก็พังทันที ล้างมือเฉยๆก็เจอแรงดันน้ำมหาศาลกระแทกหน้า และอีกสารพัดอย่างที่เหมือนจะไม่มีขอบเขตหรือข้อกำหนดเป็นพิเศษ... เอาแน่เอานอนไม่ได้ และก็น่ารำคาญเกินทน”
“...โทษที”
“ไม่ต้องหรอก ฉันชินแล้ว” เขาไหวไหล่ สีหน้าที่แลดูผ่อนคลายนั้นกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ส่วนนิ้วชี้เขี่ยเคาน์เตอร์เรียบๆนั่นเล่น— ซึ่งเธอก็ไม่มั่นใจว่าเขารู้สึกถึงพื้นผิวของมันหรือสัมผัสได้เพียงแต่ถุงมือหนังที่แลดูหนาของตนเอง
อยากได้อุปกรณ์ที่ป้องกันไม่ให้เผลอข่วนนั่นนี่ไปทั่วชะมัดยาด...
“ให้ฉันนอนโง่ๆอยู่บนเตียงทั้งวันยังโอเคกว่าเสียเวลาไปตามหาวิธีทำลายคำสาป— อย่างไรก็ตาม นั่นแค่ความคิดของฉันคนเดียว”
สกายบลูโทปาซคู่นั้นมองมือข้างนั้นสลับกับใบหน้าของเขาด้วยความสนอกสนใจ
“เอาจริงๆนะ ฉันคิดว่านายจะค่อนไปทางจำใจยอมรับชะตากรรมหรืออะไรทำนองนั้นเสียอีก”
“อืม ก็พอเก็ทในมุมมองเธออยู่— หลายคนก็เคยบอกแบบเดียวกัน และฉันเองก็ดูเป็นคนแบบนั้น ถ้ามองจากภายนอกจริงๆ” แอรีสอมยิ้ม
“แต่ถ้าให้พูดตามตรง ก็ไม่เคยจำนนกับเรื่องทุกเรื่องหรอกนะ... คนเขาแค่ไม่สังเกตกัน”
โทปาซขมวดคิ้ว ก่อนจะผลิรอยยิ้มน้อยๆในทันทีที่ได้รับข้อมูลใหม่เกี่ยวกับเจ้าตัวมา
ดูเหมือนว่าอาจจะแซวความเป็น ‘คนดี’ ของเขาได้บ่อยๆแล้วแหละ
“ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอวดหรอก คำสาปนี่ควบคุมยาก ชนิดที่ว่าฉันแทบจะไม่อยากใช้มันเพื่อผลประโยชน์อะไรเลยเสียด้วยซ้ำ”
โกโก้มินต์ที่สั่งมาถูกดื่มไปครึ่งแก้ว ก่อนแอรีสจะเอ่ยความเห็นของตนเองเสริม
“แต่ของเธออาจไม่เหมือนกัน”
โอ้...
เธอไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายตั้งแต่แรก ทว่าก็ไขว้เขวเมื่อได้ยินดังนั้น— ราวกับกำลังไหลไปพร้อมเพรียงกับกระแสนั้นเสียเฉย
ซึ่งก็ใช่จะมีความคิดขัดขืนหรอก...
มันเย็นสบายดี— ช่วงเวลาที่อยู่กับเขามันไม่ทำให้รู้สึกระแวงน้ำลึกแต่อย่างใด
“เห็นความสว่างไสวในอนาคตเลยแฮะ”
“บางที ‘การอยู่กับมัน’ ก็ไม่ได้หมายความว่า ‘จะต้องปล่อยไว้เฉยๆ’ เสมอไป”
“แต่ถ้าจะให้ฉันเป็นฮีโร่พิทักษ์อะไรก็เกินไปนะ”
“ประวัติเธอไม่ผ่านตั้งแต่รับสินบนแล้วด้วยแหละปาซ”
สกายบลูโทปาซคู่นั้นหรี่ลง มองเขาราวกับกำลังจับผิด ทว่าความระยิบระยับที่สะท้อนผ่านดวงตาก็ยังไม่สลายไป
“แผนสูงเนอะ...”
“หนังสือการ์ตูนสอนมาว่าวงการฮีโร่มันเน่าเฟะและท็อกซิกน่ะ จะปล่อยให้คนที่สนใจไปอยู่ในจุดนั้นก็คงไม่ได้หรอก”
“แล้วถ้าเป็นวายร้าย—”
“มาเข้าดาร์กไซด์ด้วยกันสิ มีลูกอมสารพัดรสและชาพีชที่เติมได้ไม่อั้นนะ”
ไหล่เธอสั่น
พนักงานร้านนี้ใจดีเกินไปที่ไปเดินมาปรามลูกค้าสองคนที่หัวเราะจนแทบจะตกจากเก้าอี้— หรือไม่ก็พินิจดีแล้วว่าการที่หนึ่งในมลพิษทางเสียงเลือกสั่งขนมหวานในตู้อย่างละชิ้นนั้นสามารถหักล้างกันได้
___
“กลับมาแล้ว”
หลังจากที่ใช้เวลาไปกับเรื่องที่ทำให้หลงลืมความเป็นจริงไปได้ เธอก็กลับมาสู่จุดเดิมอีกครั้งหนึ่ง— บ้านที่คล้ายกับสถานที่พักอาศัยมากกว่า อีกทั้งยังมีแนวโน้มจะถูกทิ้งร้างได้ทุกเมื่อด้วย
ต่อให้พูดความในใจออกไปหมด ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะคลี่คลายทันทีนี่นะ...
หญิงสาวอยากจะคิดมุกตลกในเชิงเสียดสีขึ้นมา ทว่าก็นึกขึ้นได้ว่ามันไม่น่าช่วยอะไร
ความดักดานนี่ช่างเป็นปัญหาเสียจริง— เธอรู้เรื่องนี้ดี กระนั้นมันก็ไม่เคยหยุดความพยายามในการกระตุกอารมณ์
“พลอยเล็ก!”
แต่หากมองในแง่ดี... ตอนนี้เธอก็เห็นพี่สาวที่นานๆครั้งจะกลับบ้านกำลังโบกมือทักทายจากโซฟา
“ว่าไง!”
ใบหน้าอันคล้ายคลึงทว่าคมคายกว่านั้นกำลังแสดงออกซึ่งอารมณ์อย่างเต็มที่...
รูเบียดีใจที่ได้เจอเธอ— เหมือนกับทุกครั้งคราที่เจ้าหล่อนเลือกจะกลับมาทักทายคนในครอบครัว
“ไง...”
ความเคร่งเครียดจางหายไปประมาณหนึ่ง สองฝีเท้าย่างกรายไปหาพี่สาว และในยามที่สังเกตเห็นเอียร์โฟนแสนรักที่เสียบหูอีกฝ่ายอยู่ ก็เอ่ยถามถึงมัน
“ฟัง Hellspawn อีกแล้วเหรอ?”
“ใช่ๆ มีแววว่าจะเปลี่ยนวงโปรดแล้วแหละ ที่ตามอยู่ดันไม่คัมแบคสักที”
“ระวังโดนหาว่านอกใจนะ”
“ถ้าเกิดจริงนี่เตรียมตัวเป็นน้องสาวของเจ้าหนี้ค่าเหล้าเลยนะ ไม่อยากยกนี้ให้แม่งแล้ว สปอยล์เยอะเกิน” หล่อนแค่นหัวเราะ กดปิดเพลงในสมาร์ทโฟนตนเอง แล้วจึงถอดหูฟังวางไว้ข้างๆ— เปลี่ยนกิจกรรมที่ทำอยู่ราวกับจะให้ความสนใจกับเธอเต็มที่อย่างไรอย่างนั้น
โทปาซเพียงแต่มองการกระทำของคนที่คาดว่าน่าจะเพิ่งหายแฮงค์ เธอไม่มีความคิดที่จะนั่งลงบนโซฟาหรือพูดคุยนั่นนี่ด้วย... ความจริงก็กะจะไปจัดการเรื่องอื่นของตนเองต่อทันทีเลยเสียด้วยซ้ำ
พี่สาวอาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่ความสัมพันธ์ไม่เปลี่ยนแปลงนัก— อย่างน้อยก็เป็นเช่นนั้น เมื่อเทียบกับพี่ชายและน้องฝาแฝดที่อยู่ใกล้ตัวกว่า
รูเบีย แอนเดรียเป็นประเภทที่ชอบฉายเดี่ยว รักอิสระ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ห่างเหินกับคนในครอบครัว
ทุกบทสนทนาด้วยกันก็หาได้มีการปกปิดอะไรจากกันและกันมาก เนื่องด้วยประเด็นพูดคุยที่แทบจะไม่วกไปเรื่องที่ทำให้ลำบากใจ...
หากจะสันนิษฐานว่าเป็นคนที่มองสถานการณ์ออกก็ไม่ผิดนัก วันที่หล่อนอยู่บ้านก็ล้วนแต่เป็นวันที่เธอค่อนข้างจะสบายใจมากกว่าวันอื่นๆ
“แล้วนั่นจะไปหาแอนดี้เหรอ?”
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของโลกที่แตกด้วยน้ำมือไดแอนธัสก็คงส่งผลให้ทุกอย่างกลับตาลปัตร
ไม่ก็เป็นเพราะการที่หล่อนล่วงรู้ว่าก้อนหินโง่บรมก่อนนั้นได้เลิกคลุกตนกับกากเพชรเสียแล้ว...
ดวงตาคู่นั้นหาได้เปล่งประกาย สายตาที่จริงจังไม่ละออกจากเธอ— ผิดเผกกับรอยยิ้มเล็กๆที่เหมือนจะประดับไว้บนใบหน้าเพียงแค่เพื่อทำให้คู่สนทนาไม่ลนลานโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม ริมฝีปากแห้งผากที่เม้มแน่นของโทปาซนั้นเห็นต่าง
เพราะพี่น้องทุกคนรู้เห็นผ่านมุมมองที่ค่อนข้างจะใกล้ชิดของพวกเขา มันจึงเป็นเรื่องไม่แปลกนักที่จะคาดเดาการกระทำหลังจากที่ถูกสาปของเธอได้พอประมาณ— อาจจะไม่ถึงขั้นที่ละเอียดมาก แต่ก็คงรู้ว่ามีแนวโน้มสูงที่เธอจะพยายามแก้ไขให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการ
การจ้องตากันไม่เป็นผลตั้งแต่ 3 วินาทีแรก— เธอกะพริบมัน บ่อยเสียจนชักจะไม่มั่นใจว่าต้องการจะหลอกตนให้เชื่อว่านี่คือความฝันหรืออย่างไร
ตอนนี้เธอรู้อะไรบ้าง นอกจากเสียงสารพัดที่ตีกันในหัวน่ะ?
“เวลาที่เร็วที่สุดของการปรับเปลี่ยนหลายอย่างรอบตัวนี่คือเท่าไหร่เหรอ?”
และเนื่องจากรู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้ ถึงได้สบถในใจกับความอลหม่านดังกล่าวไม่หยุด...
แม้แต่เสียงที่เปล่งออกมาเพี้ยนไปบางพยางค์ เพราะฉะนั้นก็อย่าได้หวังว่าใจความสำคัญจะถูกเรียบเรียงออกมาเป็นถ้อยคำดีๆได้
“ที่รู้ๆคือไม่ใช่ภายในวันสองวัน... การเรียบเรียงความทุกข์ใจแต่ละอย่างก็เหมือนกัน”
‘ค่อยเป็นค่อยไปก็พอ’
มันค่อนข้างน่าขัน ที่ตัวเธอก็ไม่อาจแน่ใจนักว่าจะไปพูดอะไรกับแอนโธนี่— ราวกับว่าบทสนทนาเมื่อเช้ากับไดแอนธัสและการถูกจี้จุดเรื่องที่พยายามหลีกเลี่ยงนั้นสร้างแรงฮึดประหลาดขึ้นมา
พอเห็นว่าทุกอย่างดีกว่าเดิมได้ ก็มีความคิดอยากจะให้มันกลายเป็นเช่นนั้นโดยเร็ว
“อยากพูดถึงมันไหม? แบบละเอียดๆน่ะ... ที่เธอสามารถสบถความในใจและทิ้งความสุภาพได้... ไม่มีพ่อ แม่ หรือไดแอนที่คอยดุเรื่องการพูดจา”
บวกกับการตระหนักว่าเธออาจจะรู้สึกสบายใจเวลาคุยกับทุกคนในครอบครัวมากกว่าเดิมได้... เผื่อๆก็เทียบเท่ากับแอรีสที่รู้จักกันหลังจากเริ่มทำลายภาพจำของตนเอง...
‘การยัดหลายๆเรื่องในหัวภายในคราวเดียวกันก็คงจะไม่ดีต่อตัวเธอ’
“อย่างฟังผ่านปากโทปาซที่เป็นยัยพลอยเล็กของบ้านตรงๆน่ะ เพราะว่าเมื่อวานดันนัดตี้หลังปิดกอง เลยแทบจะไม่รู้อะไรแบบเรียลไทม์เลย”
“...”
“หรือว่าจะไปหาแอนดี้เหมือนเดิม? ถ้าต้องการแบบนั้นก็จะไม่ตื๊อหรอกนะ ขอแค่บอ—”
น้ำหนักตัวที่ถูกทิ้งลงบนโซฟาทำให้ดวงตาสีทับทิมของผู้เป็นพี่เบิกกว้าง และรอยยิ้มก็แปรเปลี่ยนในยามที่เห็นว่าน้ำส้มในกล่องซึ่งถูกวางไว้เฉยๆเป็นเวลานานนั้นถูกรินลงแก้วข้างเคียง ณ โต๊ะขนาดเล็กเบื้องหน้า— คำว่า ‘งงงวย’ แปะอยู่บนใบหน้าอย่างชัดเจน
“น้ำส้มดีกว่า”
‘เธอยังไม่รู้จักตนเอง เธอยังไม่รู้จักพี่น้อง และทุกคนก็ยังไม่รู้จักเช่นเดียวกัน’
มันเป็นความหดหู่ที่ค่อนข้างร้ายแรงในมุมมองของตนเอง ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็ไม่มีเสียงหัวเราะตามท้ายอีกต่อไปแล้ว
และหากการเติบโตเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ... ก็คงไม่มีแม้แต่เสียงถกเถียงในท้ายที่สุด
ความคิดเห็น