ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ☾ guerilla.

    ลำดับตอนที่ #3 : 02 – abyssal.

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ค. 66


                   
       
      

              มื้อเที่ยงไม่เคยเงียบเท่านี้

              แต่ก็หาได้ต่างจากที่คาดคิดไว้นักมิตรภาพสิบกว่าปีเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าปฏิกิริยาของพวกหล่อนคงไม่ใช่การร้องเฮหรือโยนทุกอย่างขึ้นฟ้าราวกับกำลังเฉลิมฉลองเหตุการณ์สำคัญในชีวิตหรอก...


             มันไม่มีอะไรให้ฉลอง


              ก็เป็นเพียงแค่การตัดสินใจที่นำมาซึ่งความไม่เอาแน่เอานอนในอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นก้าวแรกของการเติบโตอีกครั้งหนึ่ง เป็นการตัดสินใจที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากอารมณ์ชั่ววูบของตนเองเหมือนกับครั้งคราอื่น...


              โอเคไหม?


              โทปาซเงยหน้าขึ้นจากข้าวกล่องสำเร็จรูปของตนเอง ริมฝีปากที่แย้มยิ้มบางเบานั่นเป็นคำตอบที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาสำหรับกลุ่มเพื่อน


              สบายมาก... เคยเจอหนักกว่านี้


              ในตอนที่เล่าเรียงเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ จู่ๆก็ตระหนักขึ้นได้ ว่าเวทมนตร์ที่หลอกล่อให้เธอร่ายมันซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้นช่างยั่วยวนเป็นความรู้สึกที่ดีเกินคาด และเธอคงหลงระเริงกับมันเกินความคาดการณ์ไปชั่วครู่หนึ่ง


              ให้ตายเถอะไอฟ์ ถามอะไรแปลกๆไปได้ ฉันดูท้อแท้ขนาดนั้นเชียว?


              เจ้าของดวงตาสีเหลืองจันทราจ้องเธอเขม็ง และความเกรงกลัวว่าจะคลุ้มคลั่งเหมือนมนุษย์หมาป่าในยามที่ถูกวิจารณ์ผ่านสายตาคมกริบคู่นั้นก็ทำให้โทปาซแค่นหัวเราะออกมา


             Fxck...


             อิวันน่า ไอสลีย์กำลังทำให้บรรยากาศตึงเครียดอย่างที่มันควรจะเป็น เมื่อเพื่อนสนิทได้จะตัดสินใจทำเรื่องคอขาดบาดตายไปเมื่อวาน


              เร็นและมาริซอลยังคงนั่งนิ่ง ในแววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายปะปนกัน และมันไม่ง่ายเลยที่จะประมวลผลทุกอย่างในคราวเดียวกัน... อย่างน้อยตัวเธอก็รู้สึกแบบนั้น


              แม้ว่าข้อความที่พิมพ์คุยกันนั้นจะแลดูไม่มีอะไร แต่ทุกคนย่อมรู้ว่าตัวอักษรไม่กี่ตัวคงไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้พิมพ์หรอก


              ทำไมไม่เคยบอกว่าจะทำอะไรแบบนี้?


              ช้อนส้อมถูกวางลงทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงสั่นเครือของเร็น โทปาซขบริมฝีปากล่าง สิ่งสุดท้ายที่เธอต้องการคืออารมณ์ที่ขุ่นมัว แต่โลกก็ไม่ได้ใจดีกับเธอบ่อยนักหรอก


              เธอขำเล็กขำน้อยกับเรื่องที่ไม่ควรจะมองว่าตลกไปกี่เรื่องแล้ว? คิดจะทำแบบนั้นตลอดไปหรือไง?


              มิตรภาพสิบกว่าปีคือสิ่งที่ค้ำข้อสันนิษฐานของเร็นที่มีต่อตัวเธอ...


              การไม่แยแสเป็นเรื่องยากอย่างน้อยมันก็เป็นเช่นนั้นสำหรับตัวเธอที่ไม่อยากจะเผชิญหน้ากับทุกอย่างโดยตรง


              บางที... สิ่งที่เพื่อนของเธอต้องการก็อาจจะเป็นการร่ำไห้ออกมาสุดเสียง ไม่ใช่การแย้มยิ้มพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินลงมา แม้จะถอดหน้ากากที่ปกปิดสีหน้าของตนเองออกแล้ว


              ดอกพิกุลอาจจะร่วงหล่นออกมาก็จริง แต่มันมีกี่ครั้งกันที่เธอได้สังเกตเห็นว่ารูปลักษณ์มันเป็นเช่นไร ก่อนจะหันไปมองสิ่งอื่น


              นานแล้วที่ไม่ได้ถูกต้อนจนมุมแบบนี้


              แต่เมื่อมันเกิดขึ้น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามีเพียงตนที่ยังคงไม่ก้าวไปไหนไกลในทุกครั้งครา


              ขอโทษด้วย...”


              รู้สึกสมเพช... แต่ในเชิงดีน่ะนะ


    ทั้งเรื่องที่ไม่คิดจะบอก แล้วก็... อ่า... เรื่องที่ไม่เคยซื่อตรงเลย


              ต่อให้เรื่องครอบครัวจะพอจัดการได้แล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องอื่นที่น่าเป็นกังวลเธอไม่ใช่ลูกรักของโลกใบนี้เสียหน่อย ไม่ว่ามันจะแตกสลายไปหรือไม่ก็ตาม และการตระหนักรู้ก็ไม่ได้ทำร้ายตนเองนัก


              “ให้ตายสิยัยโง่


              ก็โง่จริงๆแหละนะ ไม่เถียง” เดาะลิ้นตอบกลับไป


              ก็คงจะเกินเยียวยา หากยังคงทำพฤติกรรมเช่นเดิมหลังจากที่ลงทุนทุกอย่างไปเพื่อการเติบโตของตนเอง


             คำสาปนั่นยังไม่กระทบกระเทือนแนวคิดหรอก


              งั้น... เอ่อ กอดกันไหม?


              เธอเบนไปมองยังมาริซอล ริมฝีปากซึ่งถูกเคลือบด้วยลิปกลอสนั้นแย้มยิ้มกว้างพอๆกับดวงตาที่เปียกชื้นของหล่อน


              หมายถึงทุกๆคนเลยน่ะนะ...


             และข้อเสนอที่ถูกเอ่ยออกมานั้นคงเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆที่พวกเธอต้องการในตอนนี้


              อืม


              ร่างกายโผเข้ากอดเพื่อนสาวอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะถูกทับด้วยใบหน้าซึ่งเปียกชื้นจากน้ำตาของเร็นอีกที


              แต่เธอยังอธิบายไม่เคลียร์หมดนะ อย่าลืม


              จะไม่ยกโทษให้จนกว่าจะบอกตรงๆว่ารู้สึกอย่างไรกับทุกๆอย่างงั้นเหรอ


              ใช่ ทั้งฉันและมาริซอลเลย”


              เธอได้ยินเสียงถอนหายใจนั่นคงเป็นอิวันน่าอย่างไม่ต้องสงสัย


              ค่อยเป็นค่อยไปก็พอ ไม่ได้อยากจะเร่งหรอก ก็รู้ว่ามันยากอยู่


              โทปาซกลั้วหัวเราะ


             แน่ล่ะ

     


    ___


     

              อย่างไรก็ตาม... เธอชักไม่มั่นใจว่าตนเองสมควรได้รับเครปเย็นไถ่โทษจากทั้งสามคน เนื่องในฐานะทีบีบบังคับให้พูดออกมาหรือเปล่า


              จะว่าไงดีล่ะ? ประเด็นสนทนาก็ใช่ว่าจะเบาสมองแต่แรกอยู่แล้ว และตัวเธอนั้นเข้าใจเจตนารมณ์ของทุกคน— ในเรื่องมุมมองอีกมุมหนึ่งก็ด้วย


             แต่ก่อนจะได้พูด ก็ประสบปัญหาสองสามอย่างที่รุ้มเร้าเข้ามาเสียแทน...


              เป็นทั้งตอนโกรธและเศร้าเลยเหรอ?


              คำถามของมาริซอลทำให้ระลึกได้เป็นรอบที่ล้าน


              ถ้าเขิน อาย หรือรู้สึกอะไรที่มันเอ็กซ์ตรีมก็เป็นเหมือนกัน


              แล้วยา?


    ยาก็ช่วยได้อยู่ แต่กินมากๆแล้วมันมึนน่ะ เพราะการตอบสนองตามปกติของร่างกายก็โดนไปด้วย... เล่นหลอมกันเป็นหนึ่งเดียวเหมือนถูกคนจากเบื้องบนโยนเข้าเครื่องปั่น กลายมาเป็นมิลค์เชคในหมวด โตไปก็อย่าทำแบบพี่เขานะลูก หรืออะไรเทือกนั้น


              มันมาเยือนเธออีกครั้งหนึ่งกรงเล็บที่ควรจะเป็นเครื่องประดับในวันฮาโลวีนเท่านั้น และในคราวนี้ก็ฟันเขี้ยวที่ผิดเผกกับของมนุษย์มาด้วย


              มันเสียอารมณ์ที่เธอไม่สามารถเปล่งเสียงได้โดยที่ไม่ต้องมาพะวงเรื่องริมฝีปากที่อาจเป็นแผลได้โดยไม่รู้ตัว หรือขยับมือไปมาได้โดยที่ไร้ซึ่งความกังวลว่าจะไปข่วนใคร


              ฉันดูเหมือนตัวร้ายในหนังวัยรุ่นที่ถูกมนุษย์หมาป่ากัด... และตอนนี้ก็ยังกลายร่างไม่เสร็จ


              มันก็ใช่ว่าจะแย่ขนาดนั้นนะ


              ไม่ คือถ้าฉันรู้ว่ามันจะเป็นถึงขั้นนี้ ฉันคงเลือกใส่ชุดที่มีองค์ประกอบแนวๆกรันจ์มากกว่า


              มันไม่ใช่ว่าแนวเพรพพี่หรือสีพาสเทลไม่ดูดีหรอก แต่ประเด็นมันอยู่ที่รสนิยมส่วนตัวมากกว่าพออยู่ในสภาพที่ห่างจากคอมฟอร์ทโซนตนเองไปก็ย่อมไม่มั่นใจเป็นธรรมดา และมันก็เพิ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งวัน


    ปุบ...


              ดวงตาที่หม่นหมองประมาณหนึ่งนั้นชำเลืองมองมือของเพื่อนสาวที่ตบลงบนบ่าเธอเบาๆ


              ไหนๆก็ต้องรอไอวี่กับเร็นอยู่แล้ว... ไปแก้ลุคกันเล็กน้อยก็คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ มาริซอลยิ้ม


              ราวกับสายน้ำที่ไหลเวียนกลับมา ณ จุดเดิมเมื่อเวลาผ่านไปถ้อยคำที่ธรรมดาที่เคยกล่าวไปในอดีตนั้นวกกลับมาหาเธอในรูปแบบที่สามารถบรรเทาความไม่สบอารมณ์ของเธอได้ และนั่นก็ทำให้เผลอแย้มยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว


              ในช่วงเวลาที่ผ่านมา หลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องการถูกปล่อยผ่าน เธอรั้งทุกอย่างไว้ให้อยู่ที่เดิม ขณะที่ผู้คนรอบข้างเริ่มจะก้าวไปข้างหน้าทีละน้อย


             อืม...


    ที่ตระหนักรู้ได้ก็เพราะผู้คนเคียงข้าง... มาริซอลเป็นหนึ่งกลุ่มคนเหล่านั้น


              “ขอบคุณ


              หล่อนหัวเราะตอบกลับมา ก่อนจะคว้ามือเธอแล้วพาไปยังห้องน้ำหญิง


              ตุบ!


              กระเป๋าถือถูกวางลงอย่างเร่งรีบ และเจ้าของมันก็หยิบทั้งเครื่องสำอางและเครื่องเล็กน้อยออกมา


              เสร็จนี่ก็คงต้องไปกินยาสินะ...


              ก็ใช่ ไม่งั้นปาซก็จดเลคเชอร์ไม่ได้นี่


              เออเนอะ วันนี้มีวรรณกรรมด้วย


    ขืนไม่จดก็แย่ ขนาดเหม่อแค่ไม่กี่นาที เนื้อหาก็ไหลไปไกลเสียแล้วและมันไม่วกกลับมาจุดเดิมเหมือนกับสายน้ำเสียด้วย... คล้ายคลึงสุดก็อาจจะเป็นน้ำวน และนั่นก็ใช่ว่าจะให้ความรู้สึกผ่อนคลายแต่อย่างใด


              โทปาซถอนหายใจ ก่อนจะถอดคาร์ดิแกนครอปที่สวมใส่ออก แล้วรับปลอกแขนจากมาริซอลมาแมทช์กับเสื้อแขนกุดคอวีของตนเองเสียแทน


              เดี๋ยวคืนตอนเย็นนะ เธอกล่าว


              อ่าฮะ


              กระเป๋าสะพายของตนเองที่หยิบออกจากล็อกเกอร์มาได้ไม่นานนั้นถูกวางลงเคียงข้างกับของมาริซอล และในเวลาไม่ช้าก็ใช้เล็บที่ยาวคมนั่นเกี่ยวเอาเข็มขัดพร้อมกับโซ่ห้อยออกมา


              ว้าวคนข้างกายกลั้วหัวเราะ และนั่นก็ทำให้เรียกรอยยิ้มจากเธอได้อีกครั้งหนึ่ง


              การมีมอนทาจเปลี่ยนสไตล์หรือเปลี่ยนองค์ประกอบชุดของตนเองนี่คือฝันเลยแหละ


              Good girl gone bad ฉบับเริ่มต้น อ้างอิงแรงบันดาลใจจากหนังวัยรุ่นสักเรื่อง


              ในแบบที่ need no influence from anyone ด้วย มีแค่ฉันกับการความใคร่อยากเท่านั้น”


              “หืม?”


              “โอเคอาจจะมีคอสตูมของบางเรื่องที่มีอิทธิพลต่อของในตู้เสื้อผ้าฉัน แต่ถ้าพูดแบบนั้นมันก็ไม่ดูดีเท่านี่นา


              มือพยายามจะสวมใส่มันขณะพูดคุย ทว่าอุปสรรคของการทำตัวประหนึ่งอยู่ในภาพยนตร์วัยรุ่นนั้นก็มาเยือนในท้ายที่สุด...


              โอ้...


    ความยาวของเล็บที่คมกริบทำให้ทุกอย่างลำบากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว และโทปาซก็ชักจะอยากหยิบที่ตัดเล็บในกระเป๋ามาจัดการมันให้รู้แล้วรู้รอด


             จนกระทั่งนึกขึ้นได้ว่าหากอารมณ์เสียมากๆ มันก็คงจะงอกขึ้นมาใหม่...


    ไอ้สั


    และแล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยการขอความกรุณาคุณเพื่อนในการป้อนยาให้ เพราะว่าไม่มีมือข้างไหนหลุดพ้นจากการควบคุมของคำสาป


    จ๋อม...


    มันเป็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ที่ยังไม่ชินชา และเพราะแบบนั้นจึงได้ถอนหายใจออกมา ขณะที่แช่มือลงในอ่างล้างหน้าที่ใกล้จะเจิ่งนองเผื่อว่าจะทำให้รู้สึกดีขึ้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


    หรือไม่ก็ดึงเธอเข้าสู่ห้วงภวังค์เหมือนกับคราวก่อนๆ... และทำให้ตระหนักรู้ถึงสถานะว่าเป็นเพียงหินที่จะจมลงสู่ก้นบึ้งมหาสมุทร กลายเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่น้อยคนจะสังเกต


    ในช่วงที่เศร้าก็คงจะเห็นพ้องต้องกับมัน โดยที่หลงลืมไปว่าอัญมณีก็หาได้ลอยอยู่เหนือผิวน้ำแต่อย่างใดและเพราะแบบนั้นถึงได้คิดทำอะไรโง่ๆอย่างการสร้างเรื่องราวด่างพร้อยไว้ในชีวประวัติของตนเอง


    แต่เหมือนถูกปรับชีวิตให้ยากขึ้นเลยแฮะ...


    หากแปลไปในรูปแบบที่ค่อนข้างอคติ ก็คงจะได้เนื้อความของคติที่ให้มาว่า จงสำเหนียกเสีย ว่าไม่มีอำนาจเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นหรอก ซึ่งก็คงเป็นเรื่องตลกร้ายที่ทำให้เธอหัวเราะได้ประมาณหนึ่ง


    พอลองคิดดูแล้ว... ถ้าเกิดฉันอยากใช้เวทมนตร์ได้จริงๆ ก็คงใจสลายในตอนที่รู้ว่าแตะต้องมันไม่ได้แน่ๆ


    โทปาซเหล่มองมาริซอล ก่อนจะแค่นหัวเราะ


    มันดับฝันไง และต่อให้แก้คำสาปสำเร็จก็ใช่ว่าจะแตะมันได้ด้วยซ้ำเป็นจุดจบที่สวยดีไหมล่ะ?


    ผิวหนังบริเวณนิ้วที่เริ่มเปื่อยเป็นสัญญาณที่ดีของการยกมันขึ้นมา กระนั้นคนที่ขยับก็หาใช่ตัวเธอเอง แต่เป็นเพื่อนสาวที่ถึงแยกมือเธอออกมาสัมผัสกับอากาศเหนือผิวน้ำเสียแทน


    เย็น...


    ว่าแต่ว่า ไม่คิดจะแก้จริงๆเหรอ? ก็ปาซไม่ได้ต้องการมันโดยตรงนี่นา


    อ่า...” เธอเดาะลิ้น


    ก็ตัดสินใจไปแล้ว แถมถ้าจะให้ไปกระเสือกกระสนหาทางแก้ก็เหมือนเป็นการทำลายทุกความพยายามในตอนแรกด้วย


    ...


    ก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไร... แต่ไม่อยากทำให้ถูกสาป วิ่งวุ่นหาทางแก้ แล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิม เพียงเพื่อจะให้คนรอบข้างกลับเข้าใจกันว่า แอนเดรียกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว หรอก ยอมเป็นมิลค์เชคของพระเจ้ายังจะดีกว่า


    แต่อย่างน้อยเล็บที่เริ่มจะสั้นลงกว่าที่เคยเป็นประมาณหนึ่งก็ไม่ได้ต่อต้านตัวยา และเธอก็สามารถกรีดอายไลเนอร์ในรูปแบบใหม่ได้โดยที่ไม่ต้องกังวล


    นี่ไง ปลอดภัยขึ้นแล้ว” เอ่ยกล่าวเปลี่ยนประเด็น แล้วจึงแต่งแต้มเครื่องสำอางลงบนใบหน้าเพิ่มสักประมาณหนึ่ง


    แค่ใจเย็น ใช้ยา และพยายามปรับมันไปกับชีวิตประจำวันอาจจะยากหน่อย ทว่าเธอก็สามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์และคำแนะนำของคนคนหนึ่งนี่นะ


    ไม่ต้องห่วงหรอกมาริ ตอนนี้เรารีบไปตามไอฟ์ที่พยายามหนีคนคุยเก่าอยู่กับเร็นดีกว่า


              อ่า... ก็ได้


              เชื่อเถอะ รอบนี้ฉันไม่ได้บ่ายเบี่ยง ทางจัดการมันก็มีอยู่แค่นี้จริงๆ ว่าแล้วก็เก็บข้าวของของตนเองกลับไปในกระเป๋าตามเดิม


              และฉันก็มีแนวโน้มที่สามารถอยู่กับคำสาปนี้ได้โดยที่ไม่ต้องหัวเสียทุกวันด้วย


              ในอดีตนั้นเกรงกลัวการถลำลึกไปยังดินแดนที่รู้สึกได้เพียงแต่ความเศร้าสร้อยและแรงดันมหาศาลได้พื้นน้ำ...


    ทว่ามหาสมุทรที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของคนคนหนึ่งกลับทำให้รู้สึกว่าตนเองจะไม่มีวันจมลงสู่ก้นบึ้งที่ไร้ซึ่งแสงสาดส่อง


    แรงดึงดูดของผู้ถูกสาปด้วยกันมันช่างน่ากลัวแต่คนที่ถูกกล่าวถึงน่ะไม่


    เหมือนว่าโลกจะเหวี่ยง คนที่ไม่เคยคิดว่าอยากรู้จัก จนสบตากันครั้งแรก มาหาฉันน่ะ


    ให้ความรู้สึกคล้ายกับมหาสมุทรจริงๆ แต่พอมองในอีกมุมหนึ่งก็ต่างกันเป็นการเปรียบเทียบที่ย้อนแย้งชะมัดยาด


    พรหมลิขิตสินะ


    พรหมลิขิต?”


    อืม ไม่คิดงั้นเหรอ?”


    ไม่รู้สิ...มันฟังดูห่างไกลกับความเป็นจริงชอบกล

     


    ___

     


              ซ้ายมือนาย ข้างตู้น้ำ


              หินก้อนนั้นชักจะจองหองขึ้นมาในวันนี้ มันคงกำลังคิดว่าตนเองได้กลายเป็นอัญมณีที่เปล่งประกายขึ้นมาเสียจริง ไม่ก็สะท้อนประกายระยิบระยับเพียงแค่แค่ในคราวที่สบกับดวงตาคู่สวยของเขา


              เฮ้


              สายที่ยังคงค้างไว้ เสียงที่ได้ยินสะท้อน และรอยยิ้มบนใบหน้าเขาที่เห็นว่าเธอยังไม่วางสาย จนกว่าจะหยุดลงเบื้องหน้าในระยะประชิด...


              ได้แต่หวังว่าฤทธิ์ของยาก็ยังคงไม่หมดไปเสียก่อนแต่นั่นก็คงเป็นไปได้น้อย หากเทียบกับระยะเวลาที่ห่างกันประมาณ 3 ชั่วโมงได้


              เป็นไงบ้าง?


             โชคดีไป ที่คำทักทายแรกๆนั้นชวนให้ฉงนมากกว่าเขินอายเสียมากกว่า


              หมายถึงเรื่องเรียน?


              นั่นก็ด้วย แต่หลักๆคือจะถามเรื่องวันที่สองของการมีอะไรแบบนี้ติดตัว


              อ่า... จะว่าไงดีล่ะ?


              สมาร์ทโฟนถูกหย่อนลงกระเป๋ากระโปรงอีกครั้งหนึ่ง โทปาซกลอกตาพลางยิ้มเหยเก


              ล่าสุดมีเขี้ยวแล้ว


              โอ้...


    สีหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้แลดูตกใจเสียขนาดนั้น แต่ก็หาใช่เรื่องประหลาดคำสาปอาจจะไม่ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายเธอเสียที มันอาจจะค่อยๆปรับเปลี่ยนไปทีละน้อย และนั่นคงเป็นสาเหตุที่สติสัมปชัญญะยังพอมีอยู่บ้าง หลังจากที่โดนมาหมาดๆ


    เหนื่อยหน่อยนะ


    เดี๋ยวก็คงชินแหละ... มั้งนะ


    น่าๆ เขากลั้วหัวเราะ น้ำเสียงฟังดูผ่อนคลายมากกว่าขบขันกับความเห็นของเธอ และนั่นก็กระตุ้นหัวใจให้อุ่นวาบกว่าเดิม


    ปลอกแขนก็คืนเจ้าของไปแล้ว ให้ตายเถอะ


    เธอคงต้องหยิบยามากินอีกเม็ดในตอนที่ไปถึงคาเฟ่ ไม่อย่างนั้นก็คงเผลอข่วนทุกอย่างแน่นอน


    ว่าแต่... มีเคล็ดลับไหม? เผื่อว่าใช้ได้... ถึงเราอาจจะไม่ได้เจอคำสาปรูปแบบเดียวกันก็ตามทีเถอะ


    หือ?


    มันเป็นการพูดเบี่ยงเบนความสนใจตนเองที่พิลึกไม่น้อยก็แหงล่ะ เธอยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าคำสาปของเขาเหมือนกับเธอหรือเปล่า ไหนจะเรื่องที่ถ้อยคำเหล่านั้นไม่สมเหตุสมผลเอาเสียอีก


    บางทีการห่างหายกับคลาสเรียนอาจจะส่งผลต่อความคิดหลังผ่านคลาสเรียนอันหนักหน่วงมาทั้งวัน


    โอเค นั่นเป็นคำถามที่... แปลก


    ใจนึกอยากจะฟ้องร้องส่วนหนึ่งของสมองที่ดันอนุมัติให้มันออกจากปากไป มากสุดคงจะได้ค่าเสียหายเป็นคำปลอบประโลมว่า ดีที่ฉุดคิดได้หลังพูด ดีกว่าปล่อยไปหลายปี แล้วค่อยนึกถึงมันอีกทีในตอนที่กำลังจะหลับตานอน แต่นั่นก็ยังไม่แย่นัก


    ก็นิดหน่อย


    แต่เรื่องที่ดีที่สุดก็คงจะไม่พ้นปฏิกิริยาของเขา ที่ไม่ได้ทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนไปมากกว่าเดิม


    โชคดีอีกแล้ว...


    อันนี้คือรักษาน้ำใจฉันหรืออะไร? เธอเอ่ยถาม ไม่ได้แสดงสีหน้าออกไปในเชิงไม่พอใจ เอนไปทางหยอกล้อต่อจากความเห็นเรื่อง ใจดีเกินไป ที่เคยกล่าวไปเมื่อเช้าเสียมากกว่า


    เปล่า ก็พูดตามที่คิดนั่นแหละถ้าอารมณ์และความรู้สึกเป็นปัจจัยสำคัญที่ปลุกผลของคำสาปออกมา เราก็คงมีวิธีป้องกันที่ไม่น่าต่างกันมาก


    และแอรีสก็เหมือนจะรู้ทัน


    ฉันแค่ใจเย็นกว่าเอง จะใส่ฟิลเตอร์คนดีให้ก็ดูเกินไปล่ะมั้ง


    เฮ้ๆๆ มั่นใจได้ไงว่าฉันใจร้อนกว่า?


    ตอนเจอกันครั้งแรก เล็บเธอกลายเป็นแบบนั้น เพราะว่าแกะเปลือกอมยิ้มไม่ได้


    หืมมมม?หรี่ตามองอีกฝ่ายในเชิงหยอกล้อ แต่แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาเมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่ชวนอารมณ์เสียนั่น


    พรหมลิขิตก็มาริซอลนั้นดูสวยหรูและเกินจริงไปอย่างเห็นได้ชัด การที่ผีเสื้อนับล้านบินว่อนอยู่ในท้องทั้งๆที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็เช่นเดียวกันกระนั้นบางคนก็บอกว่าความงุ่มง่ามของวัยรุ่นนั้นถือเป็นไฮไลท์ของชีวิต


    ขอร้อง เธอจะไม่หัวเราะจนเซอีกรอบใช่ไหม? เสียงที่คล้ายกับกำลังข่มใจไม่ให้หัวเราะนั้นเอ่ย และเธอก็เพียงแต่ไหวไหล่ตอบกลับ


    ไม่การันตีนะ


    ใช้เวลาพักหายใจไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากโถงทางเดินที่ไร้ซึ่งผู้คนไปกับเขาในท้ายที่สุด


    อืม


    การบรรจงสวมใส่ถุงมือหนังอย่างระมัดระวัง ริมฝีปากที่เม้มเล็กน้อย และใบหูที่ขึ้นสีชัดเจนพอประมาณทุกอย่างเผอิญอยู่ในสายตาเธอพอดิบพอดี ในคราวที่ตั้งใจจะหันไปเอ่ยถามเรื่องอื่น


    ตอนนั้นเองที่ก้อนหินก้อนนั้นถูกซัดเข้าชายฝั่ง ราวกับว่าโชคชะตาต้องการให้มันตั้งหลัก ก่อนจะเผชิญกับมหาสมุทรอันกว้างขวางที่สวยงามนั่นอีกครั้งหนึ่ง


    สายตาเบนไปมองเบื้องหน้าเสียแทน ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำในความคิดออกไป


    ฉันเลี้ยงนะ


    ไถ่โทษเรื่องเมื่อเช้าเหรอ?


    อ่าฮะ


    เป็นคนดีจังเลยนะ


    โอเคเขาจงใจแซวเธอแน่ๆ


     

    ___

     


    ขอถามตรงๆอีกข้อนะ เราเมคเฟรนกัน เพราะเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับคำสาปหรือเปล่า?


    คิดไงถึงถามแบบนั้น?


    ยาที่ลงคอไปพร้อมกับชาพีชรสหวานนั้นออกฤทธิ์เสียแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เธอไม่รู้สึกประหม่า


    กันความเข้าใจผิดในอนาคตน่ะ... แบบว่าเวลารู้จักใครใหม่ๆก็อยากจะรู้ว่าเข้าใจตรงกันในส่วนนี้หรือเปล่า บางทีก็กลัวคนคิดไปเรื่อยว่ามีเจตนาอื่นน่ะ


    การปิ๊งรักหรือสนใจใครสักคนในเชิงโรแมนติกนั้นไม่ได้หมายความว่าจะหลงลืมปัจจัยอื่นๆ และโทปาซที่กำลังใช้หลอดคนน้ำแข็งในแก้วตนเองไปมานั้นก็เข้าใจดีเธอย้ำเตือนกับตนเองซ้ำไปซ้ำมาประมาณพักหนึ่งแล้ว เป็นการเบี่ยงเบนความคิดจากเรื่องปั่นป่วนหัวใจที่ดีพอควร


    ไม่อยากจะทำตัว... ล้ำเส้นเกินไป... กับคนอื่นด้วยน่ะ


    สกายบลูโทปาซคู่นั้นชำเลืองมองคนข้างกายที่นั่งตรงเคาน์เตอร์ด้วยกัน ความสงสัยที่ไม่แม้แต่จะพยายามกักเก็บไว้นั้นสะท้อนผ่านแววตาอย่างชัดเจน และเขาก็คงสังเกตเห็นมัน ถึงได้หลุดยิ้มออกมา


    “ก็ก้ำกึ่งนะ


    โอ้...


              แรงดึงดูดตั้งแต่คราแรกที่พบกันนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย และในครานี้ก็ไม่แตกต่างกันดวงตาของเขางดงาม รอยยิ้มและเสียงของเขาให้ความรู้สึกผ่อนคลาย และทุกการกระทำเล็กๆน้อยๆนั้นกลับดูน่าสนใจพิลึก


             Shxt...


              จังหวะที่แอรีส โจนาห์ก้มลงมองเครื่องดื่มของตนเองพร้อมกับรอยยิ้มที่กว้างขึ้นนั้นคือตัวกระตุ้นให้ริมฝีปากเม้มอัตโนมัติ ทั้งๆที่ไม่รู้สึกถึงดอกพิกุลที่กำลังจะร่วงหล่นลงมาแต่อย่างใด


              ไร้ซึ่งถ้อยคำชัดเจน ไร้ซึ่งความคิดที่เข้าใจได้ ในหัวเธอปั่นป่วน


    การเห็นอิริยาบถของเขาในระยะที่ประชิดกว่าตอนยืนคุยกันเป็นอันตรายอย่างแท้จริง


              แบบว่า เรื่องอยากจะช่วยก็อยากจะช่วยนั่นแหละ ในฐานะของคนที่พอจะรู้นั่นนี่มาบ้าง... แต่นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุหลักหรอก แอรีสเอ่ย


              จะว่าไงดีล่ะ? อ่า...


              เธอเห็นเขาเห็นใบหูที่ขึ้นสีระเรื่อ เห็นใบหน้าที่เห่อร้อน เห็นภาษากายที่แลดูประหม่าเล็กน้อยของเขา


              พอโดนถามตรงๆ มันก็ทำตัวไม่ค่อยถูกแฮะ


              อย่าว่าแต่เขาเลยเถอะ เธอเองก็ชักอยากกินยาให้การรับรู้ของตนเองน้อยลง เพราะบรรยากาศที่ห่างไกลจากความผ่อนคลายไปเรื่อยๆนี่ หากไม่กลัวว่ามันจะส่งผลเสียต่อร่างกาย


              ถ้าไม่สะดวกตอบก็—”


             ประมาณว่า สนใจน่ะ


              “...


              “...


             เหี้


             ริมฝีปากที่หุบลงทันที ดวงตาที่เบิกกว้าง ร่างกายที่แข็งทื่อขึ้นมาทันทีในตอนที่สมองประมวลสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อได้พอคิดดูแล้ว สภาพของเธอเองก็ไม่ต่างกับเขา อีกทั้งด้วยการตอบสนองที่ช้ากว่าปกติเล็กน้อย จังหวะที่เผลอสบตากันอีกครั้งก็ยาวนานกว่าที่ควรเป็น


              อยู่ๆร่างกายก็ต้องการความเย็นจากชาพีชขึ้นมาชั่วขณะ... และเธอก็ไม่ลังเลที่จะเบนสายตากลับมาหาสิ่งที่ทำให้รู้สึกวุ่นวายน้อยกว่า


              อ่า...


              ผีเสื้อนับล้านในท้องที่ไร้ซึ่งดอกพิกุลนั่นเป็นสิ่งที่ยาไม่สามารถทำลายล้างไปได้หมด อีกทั้งยังไม่มีประสิทธิภาพพอจะหยุดยั้งการเติบโตของมันที่มากขึ้นเรื่อยๆ


              และในเมื่อความต้องการนั้นเกินกว่าความเป็นจริง ตัวเธอก็คงทำได้แต่เพียงยอมรับมัน


              ดูเหมือนว่าเจตนาจะเหมือนกันอย่างน่าประหลาดเลยล่ะนะ...


              อาจจะเป็นแรงดึงดูดของคนต้องสาปล่ะมั้ง


              หรืออะไรที่คล้ายกับพรหมลิขิต แค่ไม่ได้สวยงามขนาดนั้นถ้ามันมีคำบัญญัติน่ะนะ


              สิ่งเดียวที่รับรู้ได้คือความเห่อร้อนบริเวณใบหน้าประมาณหนึ่ง เสียงหัวใจที่ดังเสียจนรู้สึกว่าวุ่นกว่าเดิม สายตาที่คล้ายกับว่าจะไม่ละไปมองอย่างอื่นของแอรีส และอมยิ้มที่ถูกสไลด์มาวางเคียงข้างเครื่องดื่ม...


              สมองเธอสั่งการให้ตอบสนองทันที


              สินบน?


              อืม เผื่อว่าจะพิจารณาเรื่องการคุยเกี่ยวกับคำสาปกัน แล้วค่อยกลับไปประเด็นนี้ทีหลัง


              หืม?


              เพื่อความปลอดภัยของสิ่งรอบข้างและตัวพวกเราเองน่ะ... แถมการยัดหลายๆเรื่องในหัวภายในคราวเดียวกันก็คงจะไม่ดีต่อตัวเธอ”


    เธอหลุดหัวเราะออกมา คนตาสวยที่นั่งอยู่เคียงข้างก็เช่นเดียวกัน


    หัวใจนั้นผ่อนคลายอีกครั้งหนึ่ง

     


    ___

     


              เพราะว่าเดิมทีมนุษย์ก็วิวัฒนาการมาจากสัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผลจากคำสาปก็เลยสามารถคาดเดาได้จากต้นตระกูล... แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดที่ผ่านการวินิจฉัยว่าคำสาปจะส่งผลอย่างไรต่อร่างกายบ้างหรอก มากสุดก็รู้แค่ว่าต้องใช้ยาระงับและบางคนก็มีลักษณะทางกายภาพที่เปลี่ยนไปถาวร


              นั่นน่ะสินะ...


              หลุบตาลงมองเล็บมือตนเองในคราวที่ตอบรับไป ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเล่นๆ— โทปาซหาได้แปลกใจนัก มันก็คงจะมีคำอธิบายสำหรับรูปแบบของคำสาปที่ส่งผลต่างกันออกไปสำหรับแต่ละคนอยู่แล้ว


    และมันอาจจะเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ ที่กรงเล็บกับเขี้ยวแหลมคมนี่ไม่ได้มาจากคำพิจารณาของธรรมชาติว่าเหมาะสมกับตัวเธอมากที่สุด


              ไม่รู้สิ... ถ้าเป็นจริงก็คงให้ความรู้สึกเหมือนกับถูกด่าจากคนเหนือชั้นบรรยากาศล่ะมั้ง


              ของเธอน่าจะเป็นพันธุ์คล้ายกับอสูรหรืออะไรเทือกนั้นแอรีสเอ่ย มือที่สวมใส่ถุงมือนั้นเอื้อมมายังเธอ และจิ้มลงกลางฝ่ามือ ราวกับว่าเป็นการเรียกร้องความสนใจให้มามองตนเอง


              โทปาซชำเลืองมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะใช้มืออีกข้างจิ้มกลับ


             นี่แน่ะ


              ของนายล่ะ? เห็นว่าขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจเหมือนของฉันนี่


              อ๋อ นั้น...แอรีสหลุบตาลงครู่หนึ่ง แล้วจึงช้อนมองเธออีกครั้ง


              เวลารู้สึกอะไรมากเกินไป บางสิ่งที่ฉันแตะก็จะปั่นป่วนขึ้นมา


              ฮะ?


              “จะกดเปิดไฟก็ดันทำหลอดระเบิด จับเครื่องอะไรก็พังทันที ล้างมือเฉยๆก็เจอแรงดันน้ำมหาศาลกระแทกหน้า และอีกสารพัดอย่างที่เหมือนจะไม่มีขอบเขตหรือข้อกำหนดเป็นพิเศษ... เอาแน่เอานอนไม่ได้ และก็น่ารำคาญเกินทน


              ...โทษที


              ไม่ต้องหรอก ฉันชินแล้วเขาไหวไหล่ สีหน้าที่แลดูผ่อนคลายนั้นกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ส่วนนิ้วชี้เขี่ยเคาน์เตอร์เรียบๆนั่นเล่น ซึ่งเธอก็ไม่มั่นใจว่าเขารู้สึกถึงพื้นผิวของมันหรือสัมผัสได้เพียงแต่ถุงมือหนังที่แลดูหนาของตนเอง


             อยากได้อุปกรณ์ที่ป้องกันไม่ให้เผลอข่วนนั่นนี่ไปทั่วชะมัดยาด...


              ให้ฉันนอนโง่ๆอยู่บนเตียงทั้งวันยังโอเคกว่าเสียเวลาไปตามหาวิธีทำลายคำสาปอย่างไรก็ตาม นั่นแค่ความคิดของฉันคนเดียว


              สกายบลูโทปาซคู่นั้นมองมือข้างนั้นสลับกับใบหน้าของเขาด้วยความสนอกสนใจ


              เอาจริงๆนะ ฉันคิดว่านายจะค่อนไปทางจำใจยอมรับชะตากรรมหรืออะไรทำนองนั้นเสียอีก


              อืม ก็พอเก็ทในมุมมองเธออยู่ หลายคนก็เคยบอกแบบเดียวกัน และฉันเองก็ดูเป็นคนแบบนั้น ถ้ามองจากภายนอกจริงๆแอรีสอมยิ้ม


              แต่ถ้าให้พูดตามตรง ก็ไม่เคยจำนนกับเรื่องทุกเรื่องหรอกนะ... คนเขาแค่ไม่สังเกตกัน


              โทปาซขมวดคิ้ว ก่อนจะผลิรอยยิ้มน้อยๆในทันทีที่ได้รับข้อมูลใหม่เกี่ยวกับเจ้าตัวมา


             ดูเหมือนว่าอาจจะแซวความเป็นคนดี ของเขาได้บ่อยๆแล้วแหละ


              ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอวดหรอก คำสาปนี่ควบคุมยาก ชนิดที่ว่าฉันแทบจะไม่อยากใช้มันเพื่อผลประโยชน์อะไรเลยเสียด้วยซ้ำ


              โกโก้มินต์ที่สั่งมาถูกดื่มไปครึ่งแก้ว ก่อนแอรีสจะเอ่ยความเห็นของตนเองเสริม


              แต่ของเธออาจไม่เหมือนกัน


             โอ้...   


              เธอไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายตั้งแต่แรก ทว่าก็ไขว้เขวเมื่อได้ยินดังนั้นราวกับกำลังไหลไปพร้อมเพรียงกับกระแสนั้นเสียเฉย


    ซึ่งก็ใช่จะมีความคิดขัดขืนหรอก...


    มันเย็นสบายดีช่วงเวลาที่อยู่กับเขามันไม่ทำให้รู้สึกระแวงน้ำลึกแต่อย่างใด


    เห็นความสว่างไสวในอนาคตเลยแฮะ


              บางที การอยู่กับมัน ก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องปล่อยไว้เฉยๆ เสมอไป


              แต่ถ้าจะให้ฉันเป็นฮีโร่พิทักษ์อะไรก็เกินไปนะ


              ประวัติเธอไม่ผ่านตั้งแต่รับสินบนแล้วด้วยแหละปาซ


              สกายบลูโทปาซคู่นั้นหรี่ลง มองเขาราวกับกำลังจับผิด ทว่าความระยิบระยับที่สะท้อนผ่านดวงตาก็ยังไม่สลายไป


              แผนสูงเนอะ...


              หนังสือการ์ตูนสอนมาว่าวงการฮีโร่มันเน่าเฟะและท็อกซิกน่ะ จะปล่อยให้คนที่สนใจไปอยู่ในจุดนั้นก็คงไม่ได้หรอก


              แล้วถ้าเป็นวายร้าย—”


              มาเข้าดาร์กไซด์ด้วยกันสิ มีลูกอมสารพัดรสและชาพีชที่เติมได้ไม่อั้นนะ


             ไหล่เธอสั่น


              พนักงานร้านนี้ใจดีเกินไปที่ไปเดินมาปรามลูกค้าสองคนที่หัวเราะจนแทบจะตกจากเก้าอี้หรือไม่ก็พินิจดีแล้วว่าการที่หนึ่งในมลพิษทางเสียงเลือกสั่งขนมหวานในตู้อย่างละชิ้นนั้นสามารถหักล้างกันได้


     

    ___

     


              กลับมาแล้ว


              หลังจากที่ใช้เวลาไปกับเรื่องที่ทำให้หลงลืมความเป็นจริงไปได้ เธอก็กลับมาสู่จุดเดิมอีกครั้งหนึ่งบ้านที่คล้ายกับสถานที่พักอาศัยมากกว่า อีกทั้งยังมีแนวโน้มจะถูกทิ้งร้างได้ทุกเมื่อด้วย


             ต่อให้พูดความในใจออกไปหมด ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะคลี่คลายทันทีนี่นะ...


              หญิงสาวอยากจะคิดมุกตลกในเชิงเสียดสีขึ้นมา ทว่าก็นึกขึ้นได้ว่ามันไม่น่าช่วยอะไร


              ความดักดานนี่ช่างเป็นปัญหาเสียจริงเธอรู้เรื่องนี้ดี กระนั้นมันก็ไม่เคยหยุดความพยายามในการกระตุกอารมณ์


    พลอยเล็ก!”


              แต่หากมองในแง่ดี... ตอนนี้เธอก็เห็นพี่สาวที่นานๆครั้งจะกลับบ้านกำลังโบกมือทักทายจากโซฟา


              ว่าไง!”


    ใบหน้าอันคล้ายคลึงทว่าคมคายกว่านั้นกำลังแสดงออกซึ่งอารมณ์อย่างเต็มที่...


    รูเบียดีใจที่ได้เจอเธอเหมือนกับทุกครั้งคราที่เจ้าหล่อนเลือกจะกลับมาทักทายคนในครอบครัว


              ไง...


    ความเคร่งเครียดจางหายไปประมาณหนึ่ง สองฝีเท้าย่างกรายไปหาพี่สาว และในยามที่สังเกตเห็นเอียร์โฟนแสนรักที่เสียบหูอีกฝ่ายอยู่ ก็เอ่ยถามถึงมัน


              ฟัง Hellspawn อีกแล้วเหรอ?


              ใช่ๆ มีแววว่าจะเปลี่ยนวงโปรดแล้วแหละ ที่ตามอยู่ดันไม่คัมแบคสักที


              ระวังโดนหาว่านอกใจนะ”


              ถ้าเกิดจริงนี่เตรียมตัวเป็นน้องสาวของเจ้าหนี้ค่าเหล้าเลยนะ ไม่อยากยกนี้ให้แม่งแล้ว สปอยล์เยอะเกิน หล่อนแค่นหัวเราะ กดปิดเพลงในสมาร์ทโฟนตนเอง แล้วจึงถอดหูฟังวางไว้ข้างๆเปลี่ยนกิจกรรมที่ทำอยู่ราวกับจะให้ความสนใจกับเธอเต็มที่อย่างไรอย่างนั้น


              โทปาซเพียงแต่มองการกระทำของคนที่คาดว่าน่าจะเพิ่งหายแฮงค์ เธอไม่มีความคิดที่จะนั่งลงบนโซฟาหรือพูดคุยนั่นนี่ด้วย... ความจริงก็กะจะไปจัดการเรื่องอื่นของตนเองต่อทันทีเลยเสียด้วยซ้ำ


              พี่สาวอาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่ความสัมพันธ์ไม่เปลี่ยนแปลงนักอย่างน้อยก็เป็นเช่นนั้น เมื่อเทียบกับพี่ชายและน้องฝาแฝดที่อยู่ใกล้ตัวกว่า


              รูเบีย แอนเดรียเป็นประเภทที่ชอบฉายเดี่ยว รักอิสระ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ห่างเหินกับคนในครอบครัว


    ทุกบทสนทนาด้วยกันก็หาได้มีการปกปิดอะไรจากกันและกันมาก เนื่องด้วยประเด็นพูดคุยที่แทบจะไม่วกไปเรื่องที่ทำให้ลำบากใจ...


              หากจะสันนิษฐานว่าเป็นคนที่มองสถานการณ์ออกก็ไม่ผิดนัก วันที่หล่อนอยู่บ้านก็ล้วนแต่เป็นวันที่เธอค่อนข้างจะสบายใจมากกว่าวันอื่นๆ


              แล้วนั่นจะไปหาแอนดี้เหรอ?


             อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของโลกที่แตกด้วยน้ำมือไดแอนธัสก็คงส่งผลให้ทุกอย่างกลับตาลปัตร


              ไม่ก็เป็นเพราะการที่หล่อนล่วงรู้ว่าก้อนหินโง่บรมก่อนนั้นได้เลิกคลุกตนกับกากเพชรเสียแล้ว...


              ดวงตาคู่นั้นหาได้เปล่งประกาย สายตาที่จริงจังไม่ละออกจากเธอผิดเผกกับรอยยิ้มเล็กๆที่เหมือนจะประดับไว้บนใบหน้าเพียงแค่เพื่อทำให้คู่สนทนาไม่ลนลานโดยสิ้นเชิง


             อย่างไรก็ตาม ริมฝีปากแห้งผากที่เม้มแน่นของโทปาซนั้นเห็นต่าง


              เพราะพี่น้องทุกคนรู้เห็นผ่านมุมมองที่ค่อนข้างจะใกล้ชิดของพวกเขา มันจึงเป็นเรื่องไม่แปลกนักที่จะคาดเดาการกระทำหลังจากที่ถูกสาปของเธอได้พอประมาณอาจจะไม่ถึงขั้นที่ละเอียดมาก แต่ก็คงรู้ว่ามีแนวโน้มสูงที่เธอจะพยายามแก้ไขให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการ


              การจ้องตากันไม่เป็นผลตั้งแต่ 3 วินาทีแรกเธอกะพริบมัน บ่อยเสียจนชักจะไม่มั่นใจว่าต้องการจะหลอกตนให้เชื่อว่านี่คือความฝันหรืออย่างไร


             ตอนนี้เธอรู้อะไรบ้าง นอกจากเสียงสารพัดที่ตีกันในหัวน่ะ?


              เวลาที่เร็วที่สุดของการปรับเปลี่ยนหลายอย่างรอบตัวนี่คือเท่าไหร่เหรอ?


              และเนื่องจากรู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้ ถึงได้สบถในใจกับความอลหม่านดังกล่าวไม่หยุด...


              แม้แต่เสียงที่เปล่งออกมาเพี้ยนไปบางพยางค์ เพราะฉะนั้นก็อย่าได้หวังว่าใจความสำคัญจะถูกเรียบเรียงออกมาเป็นถ้อยคำดีๆได้


              ที่รู้ๆคือไม่ใช่ภายในวันสองวัน... การเรียบเรียงความทุกข์ใจแต่ละอย่างก็เหมือนกัน


              ค่อยเป็นค่อยไปก็พอ


    มันค่อนข้างน่าขัน ที่ตัวเธอก็ไม่อาจแน่ใจนักว่าจะไปพูดอะไรกับแอนโธนี่ ราวกับว่าบทสนทนาเมื่อเช้ากับไดแอนธัสและการถูกจี้จุดเรื่องที่พยายามหลีกเลี่ยงนั้นสร้างแรงฮึดประหลาดขึ้นมา


    พอเห็นว่าทุกอย่างดีกว่าเดิมได้ ก็มีความคิดอยากจะให้มันกลายเป็นเช่นนั้นโดยเร็ว


    อยากพูดถึงมันไหม? แบบละเอียดๆน่ะ... ที่เธอสามารถสบถความในใจและทิ้งความสุภาพได้... ไม่มีพ่อ แม่ หรือไดแอนที่คอยดุเรื่องการพูดจา


    บวกกับการตระหนักว่าเธออาจจะรู้สึกสบายใจเวลาคุยกับทุกคนในครอบครัวมากกว่าเดิมได้... เผื่อๆก็เทียบเท่ากับแอรีสที่รู้จักกันหลังจากเริ่มทำลายภาพจำของตนเอง...


             ‘การยัดหลายๆเรื่องในหัวภายในคราวเดียวกันก็คงจะไม่ดีต่อตัวเธอ’


              อย่างฟังผ่านปากโทปาซที่เป็นยัยพลอยเล็กของบ้านตรงๆน่ะ เพราะว่าเมื่อวานดันนัดตี้หลังปิดกอง เลยแทบจะไม่รู้อะไรแบบเรียลไทม์เลย


              “...


              หรือว่าจะไปหาแอนดี้เหมือนเดิม? ถ้าต้องการแบบนั้นก็จะไม่ตื๊อหรอกนะ ขอแค่บอ


              น้ำหนักตัวที่ถูกทิ้งลงบนโซฟาทำให้ดวงตาสีทับทิมของผู้เป็นพี่เบิกกว้าง และรอยยิ้มก็แปรเปลี่ยนในยามที่เห็นว่าน้ำส้มในกล่องซึ่งถูกวางไว้เฉยๆเป็นเวลานานนั้นถูกรินลงแก้วข้างเคียง ณ โต๊ะขนาดเล็กเบื้องหน้าคำว่า งงงวย แปะอยู่บนใบหน้าอย่างชัดเจน


              น้ำส้มดีกว่า


             เธอยังไม่รู้จักตนเอง เธอยังไม่รู้จักพี่น้อง และทุกคนก็ยังไม่รู้จักเช่นเดียวกัน


    มันเป็นความหดหู่ที่ค่อนข้างร้ายแรงในมุมมองของตนเอง ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็ไม่มีเสียงหัวเราะตามท้ายอีกต่อไปแล้ว


    และหากการเติบโตเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ... ก็คงไม่มีแม้แต่เสียงถกเถียงในท้ายที่สุด

                     

              

     


    เหมือนตอนแรกๆจะจัดการปัญหาในชีวิตหมดแล้ว แต่ หึ ไม่ค่ะ ที่จัดการมันแค่ส่วนที่เป็นปัญหา ผลกระทบที่ยังอยู่ก็ไม่หายหรอก
    แถมบวกชีวิตแบบ new normal กับคำสาปด้วยแหละค่ะ ค่อยๆเป็นค่อยๆไปกันนะคะ เนื้อเรื่องช่วงสองตอนก็เหมือนกัน--
    เพราะเป็นวันแรกเลยโฟกัสหน่อย แต่ตอนหน้าก็มีพวกไทม์สคิปเล็กน้อยแล้วล่ะค่ะ เรียงวันไม่ไหว น่าจะเหนื่อยเกิน55555555555

    ความจริงคือไม่มีมู้ดแต่งวอร์แฟร์ก็เลยโผล่มาเรื่องนี้ แต่เดี๋ยวลากสังขารกลับไปแล้วล่ะค่ะ แหะ ;;
    ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นไง แต่เครสมือหงิกตอนแต่งอีกแล้วล่ะค่ะ เรื่องนี้คือใส่ tension เข้าไปเยอะมากเพราะชอบ
    แล้วก็ดิ้นอยู่บนเก้าอี้คนเดียว ไม่เป็นอันทำอะไร บ่นในแชทเพื่อนว่าอยากมีแฟน ทั้งๆที่ความจริงก็ไม่ได้อยาก (งง)
    ส่วนซีนที่ต้องดีลกับอารมณ์ซับซ้อนนี่ก็กุมหัวค่ะ คั้นสมองออกมาเป็นน้ำเลย คิดว่าปัจจุบันดีแล้ว แต่มันก็ยังแอบไม่พอใจอยู่นิดนึง
    ชอบหาเรื่องใส่ตัวแหละค่ะ เพราะแบบนี้เลยไม่เคยสบายหัวกับฟิคและนิยายสักเรื่องเลย แต่ถามว่าเลิกมั้ย ก็ไม่เลิกค่ะ--
    คือถ้าไม่มีตรงจุดนี้ก็รู้สึกว่ากิมมิคงานเขียนตัวเองหายไปเลย5555555555

    ใดๆก็ตาม รู้สึกว่าพวกนังกวนกันไปมามากเลยค่ะ ทั้งคนดี ทั้งสินบน ศีลเสมอกันดีนะ ขนาดนี่เพิ่งรู้จัก--
    เห็นแววหายนะในอนาคตมั้ยคะทุกคน55555555555 กลิ่นอายความ chaotic ของพระเอกคือมาแต่ไกล

    ไม่แน่ใจว่ามีใครอยากรู้เป็นพิเศษหรือเปล่า แต่คู่รองของบ้านนี้มีสองคู่นะคะ 
    แต่ยังไงบทพี่แกก็ไม่น้อยนะคะ ต่อให้งานเยอะแค่ไหนก็มาแจมตลอด555555
    แล้วก็มีคู่รองแยกมาอีกคู่นะคะ ไม่ใช่คนบ้านนี้ แต่การันตีความ bittersweet ที่อร่อยมากเลยค่ะ กรี๊ดเงียบๆในทวิตเตอร์มาแล้ว--
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×