คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 01 – flicker.
เธอในวัย 17 ปีกำลังเผชิญหน้าอยู่กับโลกที่ ‘เคยคิดเอาเอง’ ว่าไม่ฟังเธอ
มันน่าสมเพช
และโทปาซรู้ดีถึงความจริงที่ตนพยายามหลีกเลี่ยงมานานแสนนานข้อนี้
ดอกพิกุลที่ไม่หลุดร่วงออกจากริมฝีปาก ถ้อยคำที่กล่าวออกมาผ่านช่องว่างของหน้ากากที่ถูกตัดเป็นรอยยิ้ม หินเคลือบกากเพชรที่พยายามเลี่ยงการสบตากับผู้อื่นที่อาจเอะใจถึงตัวตนแท้จริงของมัน
จุดเริ่มต้นของทุกอย่างคือความโง่เง่า
และมันก็จบลงด้วยสาเหตุเดียวกัน
เธอไม่เคยเป็นอัจฉริยะ— มันก็แค่ความหัวดีของตน
ที่ถูกผู้อื่นใส่สีตีไข่และกล่าวยอเสียจนห่างจากความเป็นจริงเรื่อยมา
บางทีเธออาจจะชอบการเอาใจคนอื่น
“โทปาซ มีอะไรจะพูดกับพ่อหรือเปล่า?”
ที่ในขณะเดียวกันก็เป็นการย่ำยีตนเองจนเสียเค้าโครงเดิม
“มีค่ะ”
แต่ต่อให้เหลือเพียงโครงเหล็กกำมะลอที่ไม่แข็งแรง
เธอก็ยังคงเชื่อในความสามารถอันน้อยนิดที่มีอยู่
“มีเยอะ... จนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเลยเสียด้วยซ้ำ”
สักวันหนึ่ง
สิ่งที่ผิดพลาดนั้นจะเป็นประโยชน์ได้ตามที่ปรารถนามาโดยตลอด
ความสัมพันธ์กับบุพการีนั้นห่างเหิน
ทว่าพวกเขาก็หาใช่คนที่ตั้งใจจะปิดปากเธอในทุกครั้งคราที่พยายามเปล่งเสียง— ทุกอย่างมันล้วนเกิดจากความโง่เขลา
“งั้นเริ่มต้นจาก ‘การลดทอนคุณค่าของตนเองด้วยการทำอะไรโง่ๆ’ ก็แล้วกันนะคะ?”
แก้วน้ำถูกยกขึ้นมาจรดริมฝีปาก
เธอดื่มน้ำพั้นช์อย่างเชื่องช้า
สายตาสอดส่องมองผู้ร่วมมื้อค่ำด้วยแววตาที่แข็งกร้าวเล็กน้อย
เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงเป็นช่วงเวลาอันควรที่จะกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง...
ดั่งอสุรีที่ไม่คิดจะกักเก็บความรู้สึกของตนเองอีกต่อไป
หากพลาดพลั้งครั้งนี้ มันก็คงไม่ย่ำแย่เท่าครั้งที่ผ่านมาหรอก— เธอปลอบประโลมตนเองซ้ำไปซ้ำมา
ปัดป้องความเกรงกลัวที่อาจกลืนกินเจตนารมณ์ของตนเองอีกครั้งหนึ่ง
มือประสานกันบนโต๊ะเบื้องหน้าตนเอง
สูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเปล่งเสียงออกมา
“โอเค... พร้อมแล้ว”
โทปาซไม่ได้คาดหวังกับสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของทั้งสองเลย
และการที่ได้รับมันมา ทำให้บ่อน้ำตาตื้นกว่าปกติไปชั่วขณะหนึ่ง
___
“น่าประหลาดใจ”
“คิดไว้แล้วว่าจะพูดแบบนี้”
“ในเชิงเอ่ยชื่นชมน่ะนะ...
ไม่ได้เห็นเธอซื่อตรงแบบนี้มานานแล้ว ร้องไห้ก็เหมือนกัน”
สกายบลูโทปาซที่ส่องสว่างในดวงตาของน้องชายฝาแฝดนั้นเป็นประกาย— มันเป็นเช่นนั้นมาเสมอในมุมมองของคนที่เฝ้าดูมาตลอด
“โอ้ แอนดี้...” เสียงหวานกลั้วหัวเราะ
แอนโธนี่ ออกัสต์ แอนเดรียเป็นคู่ขนานของเธอ
ที่ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันจนเป็นหนึ่งเดียวกัน
แต่ก็หาได้ห่างเหินกันไปกว่าที่เป็นอยู่
เขาอยู่ในโลกที่เสมอต้นเสมอปลายของเขา
ส่วนเธอก็อยู่ในโลกที่ไร้ซึ่งความแน่นอนของเธอ... ที่บัดนี้ก็คงจะถูกเปิดเผยแก่ประชาชีรอบข้างไปเสียแล้ว
หลังจากที่พยายามปกปิดมานานแสนนาน
“มันน่าสมเพชจะตายไป”
“ฉันไม่เคยคิดว่าสิ่งที่พี่สาวของตนเองเป็นหรือทำมันน่าสมเพช”
คนสองคนที่คล้ายคลึงกัน
แต่หากก้าวเข้าไปในแดนดังกล่าว ถลำลึกเข้าไปจนเกือบถึงแกนกลาง ก็จะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจน
ภายใต้หัวโขนนั้นล้วนแต่มีเนื้อในที่ไม่อาจให้ใครคนอื่นล่วงรู้ได้
มันเป็นสิ่งที่ฝาแฝดของบ้านนี้เลือกที่จะกักเก็บมันเอาไว้— เพียงแต่ว่าทุกส่วนของแอนโธนี่นั้นหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
ส่วนของเธอต่างแบ่งออกเป็นชั้นหน้ากากและตัวตนข้างใน ที่ตนเจาะทะลุมันได้เพียงผู้เดียว
อย่างน้อยมันก็เป็นเช่นนั้น... จนกระทั่งวันนี้
“งั้นก็ควรคิดได้แล้ว”
“...”
มุมปากของเธอยกขึ้น
ยามที่เห็นปฏิกิริยาของผู้เป็นน้อง
“นี่มันมุกตลกรูปแบบไหนกัน?”
“รูปแบบใหม่ที่จะเริ่มใช้ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป”
“พระเจ้าช่วย...
บอกฉันทีว่าเธอจะไม่เข้าสมาคมเล่นมุกไม่ดูสถานการณ์ไปอีกคนหนึ่ง”
เธอรักในความอ่อนโยนของเขา— รักในสิ่งที่ตนไม่มีในตัวเขา
รักในความเหมือนกันที่แตกต่าง และความย้อนแย้งในการเปรียบเปรยนั่น
“ฉันเสียเวลาไปหลายปีไปกับการพยายามกะเทาะหินเคลือบกากเพชรให้เป็นรูปเป็นร่าง
ถ้าจะเสียเวลาไปอีกกับการพูดจาตลกร้ายหรือเล่นมุกเสียดสีก็คงไม่เป็นไรหรอกน่า”
“ที่พูดมานี่คือไม่ได้จริงจังใช่ไหม?”
“ให้ทาย”
และบิสกิตในมือเขาก็ถูกใช้เป็นอาวุธปิดปากเธอเสียได้—
ไอ้น้องเวรนี่
“ตอนเด็กๆเธอชอบปลอบฉันที่ร้องไห้เพราะสอบไม่ได้คะแนนเต็ม
เธอชอบบอกว่าความผิดพลาดคือการเรียนรู้”
“อือ”
“และฉันหวังว่าปาซจะยังคงมีแนวคิดแบบเดิมอยู่”
ความหวานปะแล่มของครีมโฮมเมดนั้นยังคงเป็นสิ่งที่เยียวยาจิตใจได้ดี—
มันเป็นของคู่กับการพูดคุยเรื่องสัพเพเหระของสองแฝดที่พยายามหลีกเลี่ยงการหลับใหล
ค่ำคืนไม่ได้สวยงามเสียจนไม่สามารถปิดเปลือกตาลงได้
เพียงแต่ความคิดที่ว่าพรุ่งนี้จะต้องตื่นขึ้นมาแบกรับความคาดหวังที่รวมทั้งของคนอื่นและตนเองมันน่ากลัว...
“โถๆ แอนดี้ตัวน้อย... พี่สาวฝาแฝดคนนี้ไม่ได้โตขึ้นเลยนะ”
ถ้อยคำกำกวม วาจาติดตลก
ความหมายที่แท้จริงซึ่งพยายามกลบเกลื่อนไว้อย่างแนบเนียน— และนั่นคือองค์ประกอบสุดท้ายของค่ำคืนมืดสนิทที่ไร้ซึ่งดวงดาวนี้
“อย่า outgrow ฉันในสักวันหนึ่งก็แล้วกัน”
“ไม่รับประกันหรอกนะ
ฉันเกิดเร็วกว่าตั้งหลายนาทีด้วย”
ทุกอย่างจบลงด้วยเสียงหัวเราะ บิสกิตที่เข้าปากเพิ่มไปอีกสักสองสามชิ้น
และยาที่ช่วยระงับการกระตุ้นการทำงานของคำสาปในยามหลับใหล
‘เพราะฉันอยากจะฝืนตารางนอนหลับของตนเองเพื่อมาดูดาวระยิบระยับ
โต้รุ่งดูซีรี่ส์แบบมาราธอน หรือพูดคุยข้ามวันกับใครสักคน... เพียงแค่ครั้งหนึ่งก็ยังดี’
___
เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยการปรับการแต่งกายตนเองเล็กน้อย
และที่บอกว่าเล็กน้อย...
ก็คือแค่เพิ่มโชกเกอร์มาในลุคที่แต่งเป็นประจำเท่านั้น
สไตล์เดิมที่ไม่แปรเปลี่ยน การแต่งหน้าที่ไม่ได้เพิ่มอะไรนอกจากมาสคาร่าซื้อใหม่ที่ช่วยทำให้ขนตาสั้นๆของเธอยาวขึ้น
และความมั่นใจที่ดูเหมือนจะพุ่งขึ้นสูงหลังจากที่ได้จัดการเรื่องหนักใจไปพอประมาณ
เพราะเธอไม่เคยรู้สึกว่าใส่ต่างหูผีเสื้อคลิปออนแล้วสวยแบบนี้มาก่อน
เป็นลุคที่อยากจะถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดียเป็นโพสต์ยาว
หากไม่ติดว่าคาบแรกของปีสุดท้ายในชีวิตไฮสคูลดันเป็นสิ่งที่เธอไม่อยากพลาด
ก็แค่แคลคูลัส— แต่เธอชอบอะไรที่มันกระตุ้นให้สมองได้ทำงานสักเล็กน้อยในตอนเช้า
มันทำให้รู้สึกว่าจะไม่เหม่อมองหน้าต่างเป็นแม่นางช่างจินตนาการในคาบถัดๆไป ปลุกให้ตื่นเต็มตา
และทำให้มีประสิทธิภาพขึ้น
สมาร์ทโฟนถูกหยิบมาเก็บไว้ในกระเป๋ากระโปรง
เธอดีดนิ้วเพื่อพิสูจน์บางอย่าง
ก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องไปเมื่อมันเป็นไปตามที่หวัง
ตราบใดที่ใจเย็น เล็บก็จะไม่งอกยาว— และเธอจะพยายามให้มันเป็นเช่นนั้นไปตลอดทั้งวัน...
“จะไปแล้วเหรอ?”
“อืม”
เธอหยุดฝีเท้าลง
สายตาเลื่อนไปมองพี่ชายที่คล้ายกับว่าเพิ่งจะตื่นได้ไม่นานนัก— มันเป็นภาพที่ไม่ได้เห็นมานาน
ตั้งแต่ในวันที่เขาย้ายข้าวของบางส่วนไปยังห้องคอนโดเพื่อความสะดวกในการไป-มามหาวิทยาลัย
แต่ถ้าให้พูดตามตรงแล้ว
การทักทายในช่วงเช้าก็เป็นเรื่องหายากสำหรับบ้านที่พร้อมหน้าพร้อมตากันแค่ตอนร่วมโต๊ะมื้อเย็นกันในบางวัน
โทปาซอมยิ้ม
“รู๊บส์กลับมายัง?”
“อ่า ประมาณตีสองได้”
“สภาพเป็นไง?”
“เหมือนหมา”
โอ้ พระเจ้า— ถ้าแม่เดินเข้ามาเห็นก็คงมีหวังได้ดุเขาด้วยเสียงแข็งอย่างแน่นอน
“เย็นนี้กลับมาฟ้องรูเบียว่านินทาดีไหมนะ?”
“ถ้าอยากทรยศคนที่ชงนมให้ดื่มตั้งแต่เด็กก็เชิญ”
“ทวงบุญคุณเก่งเหลือเกิน
แต่แนะนำนะ... บุญคุณที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของฉันมากสุดในตอนนี้ ก็คือการที่คุณพี่ชายแสนรักให้ยืมบีเอ็มสักหนึ่งวัน” เธอเดาะลิ้น ดวงตาหรี่ลงมองคนตรงหน้าด้วยความคาดหวังอันน้อยนิด
ก็แค่มุกตลกร้าย หาใช่การแบล็กเมล์— คนทั่วไปน่ะไม่รู้หรอก แต่วันที่ไดแอนธัสจะเล่นตามเกมของน้องๆก็คงเป็นวันที่พระเจ้าตัดสินใจกดลบโลกทิ้งแบบถาวร
“นึกไงถึงอยากยืมรถขึ้นมา?”
“ขี้เกียจเรียกอูเบอร์ รถไฟฟ้าคนเยอะ
และฉันยังไม่ได้ตัดสินใจทีว่าจะขอรถอะไรเป็นของขวัญวันเกิดจากป้าแมริเนตต์”
เหตุผลไร้สาระ— องค์ประกอบชั้นดีของการล้อเล่นที่ลงทุนดำเนินการมากกว่าปกติ
และเป็นการเริ่มต้นวันของคนที่เพิ่งจะหักหน้ากากของตนเองได้ดี
การหายใจมันไม่ติดขัดเหมือนกับตอนที่คอยรำพึงกับตนเองว่าจะต้องไม่เอ่ยถ้อยคำหยอกล้อใดๆออกมา— โอ้ สุขสันต์วันเปิดภาคเรียน
“อย่าเลยเคอร์ฟิวก็แล้วกัน”
—ที่เป็นวันโลกแตกด้วย
“...เอาจริงดิ?”
“ขอแค่ยืมขับไปโรงเรียนเองมั๊ยล่ะ? ฉันดูใจร้ายถึงขั้นไม่ให้น้องใช้รถเลยหรือไง?”
เธอไหวไหล่
“ไม่รู้สิ
ฉันคงยังรู้จักพี่ไม่ดีพอมั้ง”
เป็นถ้อยคำที่หาได้จริงจัง— แม้ว่ามันอาจจะดูน่าเศร้าในบางมุมมอง
แต่เชื่อเถอะ เธอไม่ได้คิดมากในประเด็นนั้น เธอกลั้วหัวเราะเสียด้วยซ้ำ
‘ฉันไม่รู้จักฉัน ฉันไม่รู้จักเธอ
และไม่มีใครรู้จักเรา’
นั่นไม่ใช่คำนิยามคนในครอบครัวแอนเดรียแบบเป็นทางการ
ถึงจะควรเป็นก็ตามทีเถอะ
หรือไม่มันก็เป็นเช่นนั้นแค่ในสายตาเธอ— ไม่รู้สิ
“ก็ยังไม่สายนี่”
“หือ?”
“ต่อให้อายุมากกว่า 17 ปี
มันก็ไม่มีคำว่า ‘สายไป’ สำหรับการสร้างพันธะใหม่ในครอบครัวหรือการเรียนรู้ซึ่งกันและกันหรอก”
โทปาซหลุดหัวเราะออกมา
“โอ้ ให้ตาย—”
“ขอโทษที่ปล่อยให้คิดว่าอยู่ตัวคนเดียวในบ้านหลังนี้มาโดยตลอดนะ”
“...”
“ขอโทษที่ปล่อยให้เราห่างเหินกัน...
ทั้งๆที่เคยสัญญาไว้ว่าจะสนิทกันตลอดไปแท้ๆ”
เป็นครั้งที่สองในรอบเดือนที่อารมณ์เธอแปรเปลี่ยนไปมาจนไม่ทันได้ตั้งตัว...
เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่เธอสวมกอดคนในครอบครัว...
แต่เป็นครั้งที่ล้านของการระลึกในใจว่ามันคงจะดีกว่านี้
หากเธอไม่ตัดสินใจหยุดการเติบโตของตนเองไว้ตั้งแต่แรก
“เสาร์นี้แพลนมูฟวี่ไนท์กันไหม?
สี่คนพี่น้องกับหนังห่วยๆสักสองสามเรื่องและอาหารขยะ”
“อืม... ถ้าได้ก็ดี”
การที่พระเจ้ากดปุ่มลบโลกไปก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่
___
ปัง!
“คุณแอนเดรียคะ”
นี่ไม่ใช่ละครโทรทัศน์วัยรุ่นที่เสกให้มีคนทรงสเน่ห์สักคนมายืนมองเธอที่กำลังหยิบหนังสือออกจากตู้ล็อกเกอร์
เพราะว่าคนคนนั้นคืออาจารย์ผู้ที่มักจะทำงานนอกหน้าที่
มาสอบถามนั่นนี่กับเธอเป็นการส่วนตัว เนื่องด้วยอภิสิทธิ์พิเศษของการเป็นพี่สาวฝาแฝดของประธานคณะกรรมการนักเรียน
ถ้าหินโรยกากเพชรไม่ได้เปล่งประกาย
หล่อนก็คงจะเป็นอาจารย์ที่ช่างใส่ใจเสียเหลือเกิน
“อรุณสวัสดิ์ค่ะมิส ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่าคะ?”
อีก 15 นาทีจะเริ่มคาบเรียนแรก และเธอต้องได้ที่นั่งหน้ากระดานระดับวีไอพีของมิสเวลลิงตันในวันแรกของปีการศึกษาสุดท้าย— มันเป็นตัวช่วยที่เพิ่มความมั่นใจในการทำเกรดเป็นอย่างมาก
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” หล่อนกล่าวทักทายกลับมา
ก่อนจะกระแอมเบาๆ
“พอดีว่าดิฉันทราบถึงการที่คุณแอนเดรียไม่มีชมรมที่สังกัดน่ะค่ะ
เลยอยากจะมาสอบถามว่ามีเหตุผลอะไรที่ทำให้คุณลาออกจากชมรมการละครหรือเปล่าคะ?
ปัญหาภายในหรือว่าเรื่องของกิจกรรมที่เยอะจนเกินไป อะไรทำนองนี้...
เผื่อว่าทางเราจะสามารถช่วยเหลือได้น่ะค่ะ”
การไม่มีชมรมที่สังกัดจะทำให้ไม่มีคะแนนกิจกรรม
“อ้อ...”
และเธอก็เพิ่งจะส่งใบลาออกจากชมรมไปยังอีเมลของคณะกรรมการนักเรียนเมื่อตอน
7 โมงเช้า
“พอดีว่าแค่รู้สึกแบบนั้นน่ะค่ะ”
“คะ?”
“แค่อยากลาออกเฉยๆค่ะ แต่เดี๋ยวก็จะสมัครเข้าชมรมใหม่
ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะมิส”
อีกฝ่ายตอบรับมาด้วยสีหน้าเคลือบแคลงใจ
แต่สุดท้ายก็ขอตัวไปสะสางธุระอื่นของตนต่อในเวลาไม่ช้า
นี่เพิ่งจะเป็นวันแรกของการปีการศึกษาสุดท้าย
และโดยปกติจะมีชี้แจงแก่นักเรียนที่ยังไม่มีชมรมสังกัดเมื่อผ่านไปประมาณหนึ่งอาทิตย์
เป็นการให้เวลานักศึกษา
ถึงได้บอกว่ามันเป็นอภิสิทธิ์จากแอนโธนี่
หากไม่ติดว่าเขาเป็นที่ชื่นชอบของคนจำนวนมาก เธอที่ลืมตาดูโลกก่อนเขาแค่ไม่กี่นาทีคงไม่ได้รับการใส่ใจที่ดูจะมากเกินไปแบบนี้หรอก— คนที่ลาออกจากชมรมก่อนหน้าของตนเองน่ะมีเป็นสิบๆคน
โทปาซ เชีย แอนเดรียเป็นเพียงแค่นักเรียนระดับดีที่ได้เกรด
A แทบทุกวิชา
เต็มที่กับกิจกรรมชมรมเสมอ และการประพฤติที่ดี ไร้ซึ่งข้อบกพร่องตลอดมา
ซึ่งทั้งหมดนั้นก็กลายเป็นเพียงเรื่องธรรมดา
เมื่อถูกเทียบกับพัฒนาการที่ไม่จบสิ้นของแอนโธนี่
บางคนก็คงอยากให้เธอมีสมญานามเป็นนักเรียนดีเด่นไปอีกคน
ให้เธอพัฒนาตามๆเขาไป ให้มีการจารึกประวัติศาสตร์ของฝาแฝดที่เป็นนักเรียนดีเด่นไว้
รู้สึกเสียใจแทนอยู่หรอก ที่มันจะไม่มีวันเกิดขึ้น— แต่หากมีคนนำหินโง่ๆไปขายที่ร้านเครื่องประดับอย่างผิดที่ผิดทาง
มันก็คงไม่ได้หรอก
ให้สร้อยคอที่มีจี้อัญมณีซึ่งเปล่งประกายกว่าเฉิดฉายอยู่หน้าร้านเถอะ
:: ล็อกเกอร์ เช็ค
เธอกดส่งข้อวามไปในแชทกลุ่ม
เอนพิงกับตู้ล็อกเกอร์ของตนเอง กะจะเดินไปยังห้องเรียนเมื่อได้รับการตอบกลับจากใครสักคนมาสักข้อความ
และเป็นไปตามที่คิด— การตอบกลับนั้นรวดเร็วเสียจนอยากติ๊ต่างไปเองว่าพวกหล่อนคงกำลังรอจังหวะพิมพ์ตอบอยู่
Nishi-Nishi :: ห้องชมรม เช็ค
Sunset at the Sea :: แท็กซี่ เช็ค
IV :: เตียง เช็ค
มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่สมาร์ทโฟนจะถูกเก็บเข้ากระเป๋ากระโปรงตามเดิม
คงได้ทักทายกันต่อหน้าอีกทีตอนพักเที่ยง
และนั่นก็หมายความว่าเธอมีเวลาเล่าเหตุการณ์เมื่อวานเหลือเฟือ— เธออดใจรอไม่ไหว
แม้ว่าเรื่องราวที่ด่างพร้อยจะไม่ใช่สิ่งที่ควรจะตื่นเต้นในตอนที่ให้คนอื่นรับรู้ก็ตามทีเถอะ
“อีก 15 นาที...”
ได้แต่หวังว่าบ่อน้ำตาที่ตื้นเขินชั่วคราวนั่นกลับมาลึกดังเช่นเดิมอีกครั้งหนึ่ง— มาสคาร่าเธอไม่ได้กันน้ำ อีกทั้งวันนี้ก็ไม่ได้มีอารมณ์จะสรรสร้างผลงานศิลปะบนใบหน้าตนเองเป็นครั้งที่สอง
ตุบ!
“อ้าว ไอ้—”
หนังสือและสมุดเลคเชอร์ในมือเพียงอย่างละหนึ่งเล่มไม่ได้ทำให้ลำบากแต่อย่างใด
ทว่าเธอที่อาจจะกลายพันธุ์เป็นปลาหมึกในไม่ช้าดันทำมันตกเสียเฉย อีกทั้งยังกระเด็นไปไกลพอสมควร
ราวกับว่าเป็นหนึ่งในระบบแนะนำการเล่นของเกม RPG ที่ปรากฏขึ้นเพื่อบอกเส้นทาง
“อืม... อืม!”
อยากจะทุบ WASD บนคีย์บอร์ดในมโนจิตตนเองเป็นบ้า
หากไม่ติดปัญหาเรื่องคำสาปที่ทำให้ต้องควบคุมอารมณ์
โทปาซถอนหายใจ
เธอก้มลงหยิบสมุดเลคเชอร์ใกล้เท้าตนเอง ก่อนจะรีบสาวเท้าไปยังหนังสือที่ทำตัวเป็นประโยชน์เหนือความจำเป็นนั่น
“โทษที” เธอเอ่ย ในยามที่เห็นว่ามีคนคนหนึ่งหยิบมันขึ้นมาให้
สายตาที่จดจ้องไปยังสมุดในมือนั่นช้อนมองขึ้น—
เธอเตรียมคำกล่าวขอบคุณไว้ในหัวเรียบร้อย ทว่ามันดันลื่นและตกลงลำคอไปเสียเรียบร้อยแล้ว
ไม่รู้ว่าจะต้องโทษอะไรดี... ระหว่างความสามารถอันน้อยนิดในการคุมสติหรือดวงตาคู่สวยนั่นที่ไม่คิดว่าจะสบกันเป็นครั้งที่สอง
“ไง”
หรือไม่ก็ทั้งคู่
“แคลคูลัสคาบแรกเหรอ?”
“อืม”
แม่ง...
“อ่า ขอบคุณ...”
เธอรับหนังสือของตนเองคืนมา
ความขุ่นมัวในใจเมื่อก่อนหน้าแปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด—
โทปาซรู้ดีว่ามันคืออะไร อย่างน้อยสมองเธอก็เติบโตมาพอที่จะเข้าใจตนเองประมาณหนึ่ง
“ไม่ยักรู้ว่าเรียนที่เดียวกัน”
และหนังสือในเขาถืออยู่ตั้งแต่แรกก็กลายมาเป็นหลักฐานสำคัญที่ประกอบกับทฤษฎีเรื่อง
‘บังเอิญซ้ำซ้อนกับคนคนเดียวกัน’ ของเธอได้เป็นอย่างดี
“แต่ขอถามตรงๆเลยนะ เราไม่เคยเดินสวนกันสักครั้งเลย?”
“อาจจะเคย... แต่ที่ได้ทักกันก็มีแค่เมื่อวานนี่แหละ”
มุมปากกระตุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“งั้นก็ยินดีที่ได้รู้จักกันสักทีนะ”
“ครับ ยินดีเหมือนกัน”
แต่ไม่นานนัก มันก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นรอยยิ้มโง่ๆที่ประดับบนใบหน้าเสียแทน
ในขณะที่สองขาย่างก้าวไปพร้อมเพรียงกับเขา
ถ้อยคำต่างๆนานาก็ปรากฏขึ้นภายในหัว— มันไม่เกี่ยวข้องกับคาบแคลคูลัสที่กำลังจะเข้าเรียนด้วยกันแต่อย่างใด
แต่ความสำคัญนั้นก็เทียบเท่ากันได้
“แล้วชื่อนี่...”
อีกฝ่ายชูข้อมือซ้ายขึ้น— รอยสัก ‘ARIES’ เล็กๆนั่นคงเป็นนามของเขา
“แอรีส โจนาห์ อ่านแบบบริติชน่ะ”
“เพราะดีนะ... ฉันโทปาซ”
“นึกว่าตอนแรกจะแนะนำตัวก่อนเสียอีก”
“น่า... มันก็มีลนกันบ้างแหละ
นานๆทีจะได้เมคเฟรนกับคนเขา— ขอเวลาทำใจสักประเดี๋ยวก่อนชวนคุยต่อนะ” เธอกล่าว
ชำเลืองมองไปยังใบหน้าของเขาครู่หนึ่ง แล้วจึงรู้ว่ารอยยิ้มของพ่อหนุ่มตาสวยนั้นกว้างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
อยู่ๆมันก็ไม่อยากก้มลงดูเล็บตนเองเสียเฉย
“อืม”
โทปาซไม่อาจปฏิเสธได้ว่าโถงทางเดินมันฟุ้งไปด้วยความเขินอายที่ทำให้เธออยากจะข่วนล็อกเกอร์ใครสักคนเพื่อระบายอารมณ์— ยอมรับแบบเต็มปากเต็มคำเลยว่าชอบคนตาสวย และความประทับใจแรกพบนี่ก็มีแนวโน้มที่พัฒนาเป็นอย่างอื่นในอนาคต
“แล้ว...
ทำไมถึงเลือกเรียนแคลคูลัสคาบแรกล่ะ?”
“เพื่อนแนะนำมา
บอกว่าปลุกสมองยามเช้าน่ะ... แต่ปีนี้มันดันไปลงคลาสบ่ายแทน”
“โถ...”
“ก็ยังดีที่เจอเธอ ไม่งั้นคงอารมณ์เสียตั้งแต่เช้าจริงๆ”
“ขอเตือนไว้ว่าอย่าคาดหวังกับฉันเยอะ
บางทีฉันอาจจะเป็นฝันร้ายในรูปแบบของคนที่เรียนด้วยกันก็เป็นได้”
“แค่ไม่ทิ้งให้เรียนแคลคูลัสตอนเช้าคนเดียวก็พอแล้ว”
แค่กะจะพูดอะไรแนวจูนิเบียวเล่นๆเพื่อดูปฏิกิริยาเขา
ทว่าสุดท้ายกลับเป็นคนที่สรรหาคำตอบไม่ได้เสียอย่างนั้น— ไม่ใช่เพราะว่าอึ้งกิมกี่
แต่เพราะว่าเป็นนิสัยโดยพื้นฐานคือชอบหลุดหัวเราะออกมาเวลารู้สึกเอ็นดูคนอื่น
“เฮ้...”
ถึงคิ้วคู่นั้นจะขมวดเข้ากัน
แต่แอรีสก็ดันหัวเราะไปกับเธอในไม่กี่วินาทีถัดมา
จะว่าขอโทษที่หัวเราะไหม ก็ขอโทษแหละ
ซื้อน้ำอัดลมที่ตู้กดให้ไปกระป๋องหนึ่งด้วย— แค่ใช้เวลานานหน่อย
เพราะโลกดันเหวี่ยงคนสองคนที่หัวเราะติดลมมาเจอกัน และกว่าจะหยุดได้ก็เป็นตอนที่แม่บ้านตะโกนเตือนจากอีกฟากของโถงทางเดิน
ดูเหมือนว่าเควสต์แรกของเกมใกล้จะล่มแล้วสิ
“ไม่ยักคิดว่าจะเลี้ยงน้ำอัดลมจริง”
“ฉันแก้ตัวได้นะ
แต่ตอนนี้ในตู้กดมันมีแค่ไอ้ที่อยู่ในมือนายกับน้ำแร่ที่ไม่น่าจะเวิร์ก”
“ฉันอาจจะรับน้ำแร่เป็นคำขอโทษก็ได้
ใครจะรู้”
“แบบนั้นมันใจดีเกินไปหรือเปล่า?” เธอขมวดคิ้ว
“ถ้าเป็นแค่กับกรณีเธอก็ไม่น่าจะเรียกว่า
‘ใจดีเกินไป’ หรอก”
“เออเนอะ ก็แค่ทำให้หัวเราะติดลมหลายนาทีจนตัวแทบเซ”
เขาหัวเราะเล็กน้อย— และนั่นทำให้โทปาซรู้สึกเคลือบแคลงกับการตีความของตนเอง
___
มันเป็นโชคที่สะสมมาสิบกว่าปี
ที่ทำให้เธอยังคงครองที่นั่งประจำตรงนี้ได้— หรือไม่ก็เป็นที่จำนวนคนเลือกเรียนแคลคูลัสเป็นคาบแรกที่น้อยกว่าปีก่อนๆ ที่ทำให้ค่าความศักดิ์สิทธิ์ดิ่งลงทันที
แต่อย่างน้อยเควสต์แรกของเกม
RPG ที่เริ่มจากการทำหนังสือหลุดจากมือก็สำเร็จลุล่วงแหละนะ...
“ปาซ”
“หืม?”
“นอกจากแคลคูลัสก็ไม่ตรงกันสักวิชาเลยเหรอ?”
โทปาซเหล่มองคนตาสวยที่นั่งเท้าคางอยู่
ณ โต๊ะเคียงข้าง— ช่วงเวลาพักระหว่างคาบมีเพียง 10 นาทีเท่านั้น
และตอนนี้ก็เหลือเพียงคนสองคนอยู่ในห้องเรียนแคลคูลัส... ที่ไม่มีความคิดจะเก็บข้าวของแล้วออกไปเสียที
“ก็ประมาณนั้นแหละ”
“ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ดันจัดตารางตรงกันแค่วิชาเดียวเลยแฮะ...”
เพราะว่าโรงเรียนนี้มีระบบการจัดตารางการเรียนการสอนที่ค่อนข้างจะแตกต่างและเสรีมากกว่าที่อื่น
นักเรียนสามารถจัดได้ว่าอยากจะเรียนวิชาไหนในคาบไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับอาจารย์แต่ละคนด้วยว่าจะให้อิสระแก่นักเรียนมากเพียงใด— ทุกอย่างถูกระบุไว้ในเว็บไซต์โรงเรียนเรียบร้อย
ไม่มีการแสกนตารางที่นักเรียนเลือกอีกครั้ง
แต่เป็นการกำหนดตัวเลือกสำหรับบางวิชาไว้ตั้งแต่แรก
หากเจออาจารย์ที่ไม่มีตัวเลือกให้ก็อาจจะโชคร้ายหน่อย
ส่วนเรื่องความวุ่นวาย— แน่นอนว่ามันก็มีบ้าง แต่ปัญหาส่วนใหญ่ที่ถูกเรียกร้องก็ได้รับการปรับแก้มาโดยตลอด
และในอนาคตอาจจะมีการปรับเพิ่มเติมก็เป็นได้
และใช่—
โอกาสที่จะลงเรียนคาบเดียวกันในวิชาหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้สำหรับคนสองคนที่ไม่เคยรู้จักหรือพูดคุยกันมาก่อน
“ก็ยังมีภาคเรียนหน้า...
ถ้าอยากจะวางแผนกันน่ะนะ”
เธอปิดสมุดเลคเชอร์ลง
“อืม”
ในตอนนี้อาจจะเหลือเวลาไม่มากในการเดินไปหยิบหนังสือวิชาฝรั่งเศสสำหรับคาบเรียนต่อไป
แต่จู่ๆคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว— โทปาซก็ระลึกได้ว่ามันเป็นประเด็นสำคัญที่ควรจะถูกยกมาพูดตั้งแต่แรก
ทว่ากลับไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มกล่าวถึงมัน
เธอค่อนข้างจะชั่งใจ
และเพราะแบบนั้นจึงเผลอพูดวกวน
“จะว่าไปแล้ว... มีเรื่องหนึ่งที่ฉันสงสัยน่ะ— แบบว่านายจะตอบหรือไม่ตอบก็ได้นะ
มันค่อนข้างส่วนตัว และฉันก็แค่รู้สึกสงสัยเฉยๆ”
อยู่ๆก็อยากให้เขี้ยวงอกมาแทงลิ้นตนเองชอบกล
“อืม ลองถามมา”
“อ่า...”
“...”
“รีส เมื่อวานนี้ที่เจอกันน่ะ... นายไม่ได้ไปหาใครใช่ไหม?”
ถ้อยคำที่ไร้ซึ่งน้ำเสียงหยอกล้อ
แววตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย แรงดึงดูดบางอย่างที่ไม่เคยจางหายไป— ทุกสิ่งที่กล่าวมานั้นอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เธอเห็นรอยยิ้มของเขาอีกคราหนึ่ง
มันไม่มีเหตุผลอะไรที่สนับสนุนความคิดที่ว่า
‘เขาเองก็โดนสาปเหมือนกับเธอ’ นอกเสียจากความรู้สึก
โซนที่มีไว้ศึกษาเกี่ยวกับคำสาปโดยเฉพาะนั้นไม่ได้จำกัดกลุ่มคนที่เข้าไป ลักษณะภายนอกของผู้ถูกสาปก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่มีธุระที่นั่น
และมันก็ไม่มีหลักฐานหรือข้อสันนิษฐานในตำราที่ว่าด้วยเรื่องแรงดึงดูดระหว่างผู้ถูกสาป
“เรื่องนี้ถามได้อยู่แล้ว
ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก” เขากลั้วหัวเราะ
โอ้—
“อืม พอดีว่ามีนัดตรวจสุขภาพน่ะ”
โลกก็ช่างเหวี่ยงคนมาเจอกันเหลือกัน
“ถ้าควบคุมคำสาปของตนเองได้
มันก็ไม่ได้เลวร้ายหรอก... แต่กว่าฉันจะเรียนรู้ได้ก็นานอยู่เหมือนกัน”
“...”
“ปาซ?”
“พระเจ้าช่วย นี่นายโอเคจริงๆใช่ไหม? ฉันรู้สึกเหมือนไปเค้นให้นายตอบเลย”
“โอเค ฟังฉันนะ... เธอถามแค่ครั้งเดียว
แถมไม่ได้ใช้สายตากดดันด้วย— เรื่องหัวเราะก็เหมือนกัน ฉันไม่ได้ไม่พอใจเธอตั้งแต่แรกเสียด้วยซ้ำ”
“แน่ใจนะ?”
“แน่ใจครับ”
เธอรู้— มันไม่ใช่ปกติของโทปาซ เชีย
แอนเดรียที่จะดูกระวนกระวายกว่าปกติ
แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะไม่อยากทำให้ใครก็ตามรู้สึกลำบากใจกับความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่รู้กาลเทศะของเธอ
“อ่า... อีก 3 นาทีเริ่มคาบต่อไป”
“ก็คงเจอกันอีกทีวันพุธ
ถ้าไม่ได้นัดกันนอกรอบแหละนะ” เขากล่าว
ไม่มีการแสดงปฏิกิริยามากมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนประเด็นสนทนาของเธอ— และโทปาซก็ไม่ยักรู้ว่าตนเองจะลนลานได้มากขนาดนี้จนกระทั่งได้มองหน้าเขานานๆ
แค่ 8 วินาทีครั้งนั้นก็เกินพอแล้ว...
“แต่จะแลกคอนแทคไว้ก่อนก็ได้นะ”
หรืออาจจะไม่ใช่— ใจที่รวนตามส่วนอื่นๆของร่างกายที่ได้รับผลกระทบจากคำสาปนั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้หรอก
แอรีสตอบรับข้อเสนอของเธอแต่โดยดี
ดวงตาคู่นั้นสบกับตาในอีกครั้งหนึ่งในยามที่ยื่นสมาร์ทโฟนให้
และมันก็หลุบลงมองหน้าจอที่ถูกปลดล็อก ในขณะที่สกายบลูโทปาซอันเป็นประกายคู่นั้นยังไม่ละไปมองสิ่งอื่น
ดอกพิกุลเหล่านั้นร่วงหล่นออกมาหมดแล้ว ทว่าผีเสื้อนานาชนิดยังคงบินว่อนอยู่ในท้องเธอ...
การทำความรู้จักกับคนใหม่ๆในชีวิตทำให้โทปาซรู้สึกว่าหน้ากากที่เธอสวมใส่มาตลอดนั้นไร้ค่าเสียยิ่งกว่าเดิม
เธอในตอนนี้ไม่ได้กำลังทำลายภาพจำเก่าๆของตนเองในสายตาคนอื่นอยู่
ไม่ได้เผชิญหน้ากับความผิดหวังที่ถูกแสดงออกผ่านแววตาที่อ่านได้ง่ายหลายคู่— นั่นเป็นการเริ่มภาคเรียนที่ดี
จะเป็นเพราะพรหมลิขิต โชคชะตา หรือการหมุนรอบตนเองของโลกก็แล้วแต่... เธอรู้สึกขอบคุณสำหรับความใจดีที่ถูกมอบให้ในครั้งนี้จากใจจริง
“แล้วก็นะ ขอถามอะไรเธอสักข้อหน่อย”
“หืม? ว่ามา”
“เย็นนี้ว่างหรือเปล่า?”
ในวันแรกของการไฮสคูลปีสุดท้าย
เธอขับรถสุดที่รักของพี่ชายมาเรียน พบผู้ชายตาสวยที่เคยทักทายกันแบบงงๆ
ทำเขาหัวเราะติดลมจนซื้อน้ำอัดลมให้เป็นการไถ่โทษ และเปิดประสบการณ์เข้าเรียนโดยไม่มีหนังสือเป็นครั้งแรก
เพราะมัวแต่แลกเบอร์โทรศัพท์กับคนตาสวยคนนั้นอยู่
แต่ไม่เป็นไรหรอก
แอรีสที่ส่งข้อความมาบ่นเรื่องไฟล์ PDF ที่มีคำผิดเยอะกว่าในรูปเล่มตีพิมพ์ของหนังสือก็คงจะประสบปัญหาเดียวกัน
ถ้าคราวนี้ไถ่โทษด้วยการเลี้ยงเครื่องดื่มที่คาเฟ่ก็คงจะได้อยู่...
ความคิดเห็น