ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ☾ guerilla.

    ลำดับตอนที่ #1 : 00 – prologue.

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ค. 64


     
              กลิ่นของสถานเวทมนตร์มันน่าสะอิดสะเอียนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

             อ้อตั้งแต่ที่เธอถูกสาปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว


              เป็นหนึ่งชั่วโมงกับการฟังคำกระวนกระวายของคนอื่นไปแบบผ่านๆ หนึ่งชั่วโมงกับการตรวจสารพัดนั่นนี่เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายไม่ได้รับผลกระทบที่เสี่ยงต่อชีวิตมาก หนึ่งชั่วโมงกับการพิจารณาเรื่องเดิมๆในหัวตนเอง...


             โทปาซ


              สายตาที่ช้อนมองร่างสูงโปร่งของผู้เป็นพี่นั้นแลดูเฉยเมย ราวกับเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนั้นไม่มีผลกับอารมณ์นัก ไม่มีการเศร้าโศก ไม่มีการกระวนกระวาย ไม่ก็คงมีประเด็นอื่นที่ขบคิดอยู่ในใจ


    สกายบลูโทปาซที่ถูกเจียระไนอย่างละเอียดลออ


    นั่นเป็นสิ่งที่เขาเคยเปรียบกับดวงตาของเธอ เปล่งประกาย สวยงาม และเปี่ยมไปด้วยความสุข


    แต่บางทีมันอาจจะเป็นแค่หินมีสีซึ่งถูกโรยด้วยกากเพชร ที่ถูกมองผ่านสายตาของคนที่ลุ่มหลงอยู่ในจินตนาการจอมปลอมที่สร้างขึ้นเอง


    เธอไม่ได้ไร้ซึ่งอารมณ์ เธอไม่ได้เปลี่ยนไป เธอทำตัวเหมือนกับทุกครั้งครา...


    เพียงแต่คนมองนั้นแค่หลุดออกจากความจอมปลอมที่ครอบครองทัศนียภาพของตนเอง


    โอเค ฟังนะ มันจะเป็นอะไรที่ดีมาก ถ้าพี่เลื่อนการอบรมไปเป็นตอนที่เราอยู่บ้านแทน


    แต่สาวเจ้ารู้ดี... ว่าพี่ชายที่เห็นน้องสาวคนที่สองเติบใหญ่มาเรื่อยๆนั้นพอจะดูออกถึงความเปลี่ยนแปลงที่สะท้อนผ่านแววตาของเธอ


    การเติบโตทำร้ายคนเราได้


    การเติบโตและความเปลี่ยนแปลงสามารถทำให้สิ่งที่เคยเป็นนั้นกลายเป็นอดีตที่รู้สึกว่าจำเป็นจะต้องฝืนให้คงอยู่ต่อไป...


    แล้วทำไมถึงคิดว่าฉันจะมาพูดอะไรแบบนั้น?


    หญิงสาวแค่นหัวเราะ


    เพราะพูดบ่อย... บ่อยเสียจนฉันไม่รู้ว่ามันมีเหตุผลอะไรให้พี่เดินมาตรงนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าต้องการจะอบรมฉัน


    และรู้อะไรไหม? การเติบโตของตัวเธอก็หยุดลงมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว จนกระทั่งถึงวันนี้


    วันที่โทปาซ เชีย แอนเดรียตัดสินใจฝืนธรรมชาติของผู้ที่ไม่มีฤทธิ์ในเวทมนตร์


    ดวงตาคู่สวยหลุบลงมองมือตนเอง


    หรือฉันพูดผิด?


    ก็ไม่เชิง


    ไดแอนธัสนั่งลงข้างเคียงเธอ ตบบ่าเบาๆตามรูปแบบการปลอบประโลมของเขา


    และเมื่อเห็นการมองผ่านหางตาของโทปาซ ก็เอ่ยปากพูดสิ่งหนึ่งที่เจ้าหล่อนไม่คาดคิดว่าจะได้ยินในวันนี้ออกมา


    ไปเดินเล่นเหอะ เดี๋ยวเคลียร์กับแม่ให้เอง


    ฮะ?”


    ผู้ไร้อิทธิฤทธิ์ด้านเวทมนตร์เพียงหนึ่งเดียวในบ้านนั้นเดาะลิ้น ก่อนจะช้อนตามองเขาอย่างเคลือบแคลงใจ


    จะถ่วงเวลาไม่ให้ฉันโดนด่าเหรอ?


    มันผิดวิสัยสำหรับคนแบบเขาแต่โทปาซก็มั่นใจว่านี่เผ่ากลายพันธุ์ที่ปรับเปลี่ยนรูปร่างให้เหมือนไดแอนธัสเพื่อมาหลอกเธอ


    แม่จะไม่ด่าเธอ


    ไม่รู้สิ... ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องด่าไม่ใช่เหรอ? ลูกสาวคนเล็กจงใจทำให้ตนเองโดนสาปแบบนี้น่ะ


    เขาเงียบไปครู่หนึ่ง


    เห็นแม่เป็นคนแบบไหนกัน?


    ไม่เห็นเป็นแบบไหนทั้งนั้นแหละ ไม่สนิททั้งแม่ทั้งพ่อ เธอกล่าว ก่อนจะถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง


    งั้นก็ขอรับข้อเสนอจากคุณพี่ชายแสนดีไปนะ เจอกันในอีกสักพัก


    และเขาก็ปล่อยเธอไปง่ายๆ... เหมือนกับทุกครั้งคราที่เห็นว่าไม่สบอารมณ์

     


    ___

     


    มันไม่ใช่ความผิดเขา มันไม่ใช่ความผิดแม่ ไม่ใช่ความผิดของพี่น้องคนอื่นหรือบุคลากรในสถานเวทมนตร์


    มันเป็นความผิดเธอโทปาซรู้


    ในโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์นี้ มีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถฝึกฝนหรือแตะต้องมันได้... และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ในเมื่อทุกอย่างไม่ได้หมุนเวียนด้วยอิทธิฤทธิ์ของการใช้เวทมนตร์มากเสียขนาดนั้น


    เทคโนโลยีก็มี ไหนจะพวกอาวุธอีก ใครที่เหยียดหยามคนอื่นเพียงแค่เพราะลักษณะนี้เพียงอย่างเดียวก็คงไปไหนไม่ได้ไกลหรอก


    คนใหญ่คนโตที่เหมือนกับเธอก็มีเยอะจะตายไปเป็นคนเดียวในครอบครัวที่จะถูกสาปหากลองใช้เวทมนตร์ หรืออะไรทำนองนั้น


    แต่ที่แน่นอนคือพวกเขาคงไม่ได้ทำเรื่องโง่เง่าอย่างการลองใช้เวทมนตร์จนโดนสาปเหมือนกับเธอทุกคน


    ต้องห้ามก็คือต้องห้าม ในเมื่อฝ่าฝืนก็ต้องได้รับบทลงโทษตามธรรมชาติ


    แต่หากถามว่าอยากใช้เวทมนตร์ได้มากขนาดนั้นเลยเหรอ เธอก็จะตอบว่าไม่


    ก็อย่างที่บอกไปมันโง่เง่าสิ้นดี


    เพราะความสมบูรณ์แบบไม่มีจริง เพราะภาพที่ทุกคนเห็นมันไม่ใช่ความจริง เพราะเงาที่เห็นสะท้อนบนกระจกนั่นเริ่มจะไม่ใช่ตัวเธอ


    หินที่แวววาวนั่นถูกเปรียบเปรยว่าสวยงามดังพลอยที่ถูกเจียระไน แต่หากมีวันหนึ่งที่กากเพชรถูกชะล้างออกไปล่ะ? เธออาจจะไม่มีโอกาสทั้งในการดำรงเป็นภาพจำของตนเองในอดีตและในการเป็นตัวตนที่อิสระเลย


    และเพราะแบบนั้น จึงเลือกทำให้ทุกอย่างในชีวิตกลับตาลปัตร ก่อนที่มันจะพังลงโดยไม่ได้ตั้งตัวในอนาคต


    อย่างน้อยตัวเธอที่กลัวความผิดพลาดก็ยังสามารถควบคุมสิ่งที่เกิดได้... แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ตาม


    แต่มันรู้สึกดีเป็นบ้าเลยในตอนนั้น


    เบื้องหลังภาพลักษณ์อันน่านับถือนั่นคืออัจฉริยะที่โง่บรมคนหนึ่ง


    นั่นเป็นสิ่งที่โทปาซตระหนักได้ และเธอคิดว่าคนอื่นควรจะรับรู้มันด้วยเช่นกัน


    ดวงตาสีสกายบลูโทปาซหลุบลงมองแขนตนเอง มันเต็มไปด้วยร่องรอยจากการตรวจสารพัดอย่างในร่างกายที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปเพราะคำสาป


    ความจริงแล้วทุกคำสาปมันก็แก้อยู่หรอกแต่เธอจะกระเสือกกระสนแก้สิ่งที่ตั้งใจเลือกให้ตนเองไปเพื่ออะไร?


    มันคือความผิดพลาดที่จงใจให้เกิดขึ้น


    เพราะฉะนั้นการทนอยู่กับเรื่องบัดซบนี่ก็คงไม่ทำให้ตายหรอก


    ให้มันเป็นจุดเริ่มต้นของการทำผิดอีกครั้งหนึ่ง ให้มันเป็นเส้นทางบุกเบิกของการผจญภัยที่มีจุดประสงค์เพื่อค้นพบตนเอง


    ให้เธอได้เรียนรู้และเติบโตอีกครั้งหนึ่ง


    ขอโทษนะคะ คือว่าทางนี้เข้าได้หรือเปล่า?


    เข้าได้ค่ะ เป็นสวนที่ปลอดพลังงานเวทมนตร์ แต่ก็เข้าได้ทุกคน ทั้งใช้เวทย์ได้และไม่ได้


    เธอยิ้มให้บุคลากร ก่อนจะกล่าวขอบคุณและผลักประตูเข้าไปยังสวนดังกล่าว


    ในที่สุดกลิ่นอายของเวทมนตร์ที่ปกคลุมนั้นก็ค่อยๆจางหาย และการหายใจก็ไม่ได้ลำบากเท่าเดิมอีกต่อไป


    ร่างเพรียวของเธอพิงประตูในยามที่ก้าวเท้าเข้ามาในสวน...


    จมูกสูดดมกลิ่นของธรรมชาติที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ตาหลับพริ้ม ดื่มด่ำกับบรรยากาศชั่วคราวนั่นอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะผละออกมาจากการขวางทางคนอื่น แล้วเดินไปหยิบอมยิ้มที่วางไว้ ณ โต๊ะบริเวณใกล้เคียงมาถือไว้ในมือ


    มันเป็นของฟรีอยู่แล้วป้ายเล็กๆนั่นก็ระบุไว้ เธอไม่ฉวยหยิบข้าวของชาวบ้านมากินหรอก


    แต่แล้วอารมณ์ดีๆที่มีอยู่ก็ดับวูบไปทันที เมื่อพบเล็บมือที่สั้นกุดของเธอไม่สามารถแกะมันออกได้ ดวงตาคู่นั้นหรี่มองของหวานในมือตนเอง ขณะที่เคาะซ้ำๆตรงเปลือกห่อ ณ จุดเดิมไปเรื่อยๆ


    โอ้ให้ตายเถอะโทปาซ


    หากนิ้วเธอไม่ทะลุเข้าไป อมยิ้มข้างในก็คงแตกละเอียดในไม่ช้าอย่างแน่นอน


    ฉึก!


    หรือไม่ก็เกิดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันทั้งคู่


    สมองเธอประมวลผลช้าไปเสียหน่อยต้องโทษคำสาปที่เพิ่งจะได้รับมา ซึ่งร่างกายที่ชินชาก็ต้องใช้เวลาปรับตัวกับมันอยู่พอสมควร


    โทปาซเหม่อมองเล็บนิ้วชี้ข้างขวาที่เคยสั้นกุดของตนเอง บัดนี้มันงอกยาวเสียจนน่าผวา คล้ายกับกรงเล็บที่ระบบประมวลผลผิดพลาด จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแค่กับนิ้วเดียว


    ดวงตาหรี่ลง ขณะที่พลิกมือเพื่อดูชิ้นอมยิ้มที่แตกละเอียดใต้เล็บของเธอ มันให้ความรู้สึกเหนอะหนะและอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก


    ส่วนในมือซ้ายนั้นเหลือเพียงก้านพลาสติก... ของควรจะบริโภคนั้นได้ตกลงไปยังพื้นพร้อมเพรียงกับเปลือกห่อที่เธอต้องการจะแกะออกเสียแล้ว และหากเธอเป็นคนที่เสียดายอาหาร ก็คงแทบจะร่ำไห้ออกมาในตอนนั้น


    โอ้บัดซบ


    แต่เธอดันเป็นคนที่ไม่สบอารมณ์และไม่ชินชากับการเปลี่ยนแปลงใหม่ของร่างกายนี่สิ


    จันทร์ยังไม่ขึ้นเสียด้วยซ้ำ แล้วเหตุไฉนมันจึงเป็นแบบนี้กัน? คงมีเพียงผู้เชี่ยวชาญที่ล่วงรู้


    โทปาซพ่นลมหายใจออกมา เธอรู้ว่ามันชักจะโง่เง่าไปเรื่อยๆ แต่ความระแคะระคายที่เกิดขึ้นในหัวและบริเวณฟันอย่างฉับพลันนั้นทำให้ตัดสินใจคาบก้านลูกอมไว้ในปาก


    ถ้าเล็บเธอหักขึ้นมา ก็คงจะต้องลากสังขารไปสูดดมกลิ่นอายเวทมนตร์หน้าห้องตรวจอีกครั้งหนึ่ง แล้วทำหน้าใสพลางบอกกับบุคลากรว่า ฉันเหมือนกลายพันธ์ไปบางส่วนเลยล่ะค่ะ คงเป็นคำสาปทำให้เป็นกึ่งอสูรที่ยังแสดงผลไม่เสร็จสมบูรณ์’


    รองเท้าแมรี่เจนแพลตฟอร์มพยายามหลีกเลี่ยงการเหยียบลูกอมที่ตกให้แตกซ้ำซ้อนเธอคงต้องไปขอที่โกยขยะมาจากแม่บ้านสักคน ไม่ก็หาทิชชู่มาสักแผ่นสองแผ่นเพื่อทำความสะอาดมันพร้อมกับน้ำที่ขจัดความเหนียวเหนอะหนะ


    เสียงฟันกระทบกับก้านอมยิ้มดังขึ้นในตอนที่ครุ่นคิด มือข้างที่ยังคงปกตินั้นพยายามเขี่ยสิ่งไม่พึงประสงค์ออกจากเล็บอีกข้างของเธออย่างลำบากลำบน


              และเมื่อพบว่ามันไม่เป็นประโยชน์มากนัก จึงหันซ้ายหันขวา มองหากระดาษทิชชู่ในบริเวณดังกล่าว เผื่อว่าจะมีบริการไว้บ้างสำหรับผู้ใช้สถานที่


              พระเจ้า...


              สภาพเธอดูแย่ที่สุดในรอบอาทิตย์เลยก็ว่าได้... ทั้งผมเพ้าที่ปล่อยสยายและเริ่มพันกันตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ ลิปทินต์ที่ไม่รู้ว่าคงติดทนอยู่บนริมฝีปากมากเพียงใด เล็บนิ้วชี้ข้างซ้ายที่คอนทราสต์กับของนิ้วอื่นอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของความยาวและองค์ประกอบที่เป็นอมยิ้มอันหอมหวานนั่น


              และที่น่าขำคือเธอไม่แม้แต่จะรู้ตัว กระจกเงาก็ไปอยู่ในห้องน้ำเสียหมด กว่าจะตระหนักได้ก็คงเป็นในตอนที่เข้าไปใช้บริการ


              ทำไมมันถึงได้หายาก—”


    โทปาซคิดว่ามันคงเป็นผลส่วนหนึ่งของคำสาป ที่ทำให้ตัวเธอแสดงออกถึงอารมณ์น้อยกว่าปกติและมีการตอบสนองที่ค่อนข้างช้า โดยปกติแล้วเธอจะหงุดหงิดมากกว่าและเร็วกว่านี้


    ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่หรอก แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ดูเหมือนกับมึนงงทุกวินาทีอย่างที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน...


    เธอต้องกะพริบตาสองถึงสามครั้ง ถึงจะรู้ตัวว่ากำลังสบตากับคนคนหนึ่งอยู่


     “ไง


    ดวงตาที่คล้ายกับมหาสมุทร กว้างใหญ่ไพศาลและสวยงามเสียจนยากที่จะเบนสายตาออกคำเปรียบเปรยดังกล่าวนั้นอยู่ในนวนิยายของพี่สาวที่หล่อนเคยอ่านให้ฟัง และมันก็ไม่เคยสมเหตุสมผลในความคิดของเธอมากเท่าในวันนี้


    คนที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา แต่มีบางอย่างที่ดึงดูดซึ่งกันและกันอย่างน่าประหลาด


    คิ้วเรียวที่เลิกขึ้นเมื่อได้ยินคำทักทายจากคนที่ไม่รู้จัก ดวงตาที่ยังคงไม่ละไปมองสิ่งอื่น มุมปากที่กระตุกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเราสบตากันมากกว่า 8 วินาที


     “อือ... ไง


    และหัวใจเธอที่ไม่มีสัญญาณไปชั่วขณะหนึ่ง


              ทุกอย่างมันควรจะเป็นอดีตไปตั้งแต่วินาทีที่ 10 จบลงอาจจะถูกยกขึ้นมาพูดเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบสำคัญอะไรกับชีวิต


    มันเป็นเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวันที่จะสบตากับคนคนหนึ่งและรู้สึกถูกใจ เธอน่าจะเหตุการณ์แบบนี้เป็นสิบๆครั้งแล้ว แม้ว่าในแต่ละคราว คนดังกล่าวที่เผลอสบตากันจะไม่ได้มีดวงตาที่สวยงามดังเช่นเขาก็ตาม


    ทว่ามันก็ไม่ใช่ทุกครั้งครา... ที่โลกจะเหวี่ยงมาเจอกันเป็นครั้งที่สองในเวลาต่อมา


              โอ้ถ้าจะให้เรียกว่า พรหมลิขิต ก็ดูเป็นการกล่าวแบบสวยหรูที่เกินจริงไปหน่อยนะ


             เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้คนปกติทั่วไปมายังโซนนี้ของสถานเวทมนตร์

                       

              

     


    แต่งทีหลังไม่มีจริงค่ะ555555555555555
    บอกงี้ แต่ก็คือมากับบทนำในเวลาไล่เลี่ยทุกที
    แต่ก็อาจจะมาแค่บทนำแหละค่ะ เพราะว่าไทม์ไลน์เรื่องยังไม่ได้ตัดสินใจจริงจัง คือก่อนหน้านี้คิดไว้แค่ซีนในบทนำเท่านั้น
    เป็นเรื่องแรกที่พระ-นางเจอกันตั้งแต่บทนำด้วยค่ะ ทักทายกันแบบงงๆ แต่สปาร์กกันไวอยู่

    สำหรับบทนำนี้ ขอขอบคุณมู้ดตอนดึกสำหรับสองสามวันที่ผ่านมา (และตลคในซีรี่ส์กับเพลง) ที่ทำให้แต่งสามารถแต่งจนจบได้นะคะ
    แบบว่าไม่รู้จะทำอะไร เพราะมู้ดมันไม่ใช่มู้ดแต่งฟิค/นิยายเรื่องอื่น หวยก็เลยลงที่เรื่องนี้
    เหนื่อยด้วยแหละค่ะ อยากพัก อีกนิดคือปิดเทอมแล้ว แต่ต้องมาคิดเรื่องโครงงานเดี่ยวปีหน้าอีก กี้ด
    จบป้ายนี้ก็ต่อที่วอร์แฟร์ค่ะ แต่ไม่รู้ว่าเดือนนี้จะทันรึเปล่า ไม่รู้ด้วยว่าเดือนหน้าจะเลทมั๊ยเพราะว่าไฟนอล 6-16

    นิยายเรื่องเดียว แต่บ่นทุกเรื่องในทอล์กค่ะ ลามไปเรื่องอื่นด้วย ใช้พื้นที่ตรงนี้อย่างเต็มที่
    ยังไงก็ฝากยัยปาซไว้ในอ้อมอกทุกคนด้วยนะคะ ตอนนี้เพิ่งโดนสาปใหม่ๆ มันก็เลยดู numb นิดๆ มึนหน่อยๆ แต่เดี๋ยวตอนหน้าก็หายแล้วล่ะค่ะ

    แล้วก็บ้านนี้มีพี่น้องสี่คนนะคะ แต่ค่าตัวแพง ตอนนี้เลยออกแค่ปาซกับพี่ไดแอน

    อธิบายเสริมเล็กน้อยแบบสปอยล์ไม่มาก;
    ก็คือการเติบโตมันก็ทำให้คนคนนึงเปลี่ยนไปใช่มั๊ยคะ?
    แต่กรณีปาซก็คือยังพยายามทำตัวให้เหมือนกับภาพจำที่คนอื่นวางไว้ ด้วยสาเหตุบางอย่าง ซึ่งจะเฉลยทีหลัง
    ทำให้ความเป็นอยู่ ณ ปัจจุบันมันค่อนข้างฝืน เหมือนกับว่าตัวเองหยุดนิ่งอยู่กับที่
    เกรดก็ดีเหมือนเดิม ความสามารถก็ยังมีเหมือนเดิม แต่ก็กลัวว่าสักวันหนึ่งจะพลาดและทำภาพจำทุกอย่างพังค่ะ
    เพราะว่าไม่ชอบความผิดพลาด และคิดว่าถ้าพลาดไป สายตาของคนรอบข้างก็จะเปลี่ยนไป
    อีกทั้งตนเองคงไม่สามารถ turn 180 ไปเป็นอีกคนได้ทันที คงจะพยายามทำตัวให้เหมือนเดิมทุกอย่าง แต่มันก็พลาดไปแล้ว
    ก็เลยบอกว่าถ้าพลาดไปก็ไม่มีโอกาสในการเป็นสองสิ่งที่กล่าวมาน่ะค่ะ
    และเพราะว่าไม่อยากอีกต่อไปแล้วด้วย ก็เลยตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป อย่างน้อยมันก็เกิดจากความตั้งใจของตนเอง
    ง่ายๆก็คือปาซคิดแนวๆว่า 'ถ้ามันจะพังลง ก็ขอพังมันด้วยตนเองดีกว่า' และผลที่ออกมาก็ต่างกับอีกกรณีแหละค่ะ

    เครสอธิบายตรงนี้เป็นคำพูดไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ ขอโทษด้วยนะคะ มันค่อนข้างจะซับซ้อนนิดนึง แงงง


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×