คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 00 – prologue.
อ้อ— ตั้งแต่ที่เธอถูกสาปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว
เป็นหนึ่งชั่วโมงกับการฟังคำกระวนกระวายของคนอื่นไปแบบผ่านๆ
หนึ่งชั่วโมงกับการตรวจสารพัดนั่นนี่เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายไม่ได้รับผลกระทบที่เสี่ยงต่อชีวิตมาก
หนึ่งชั่วโมงกับการพิจารณาเรื่องเดิมๆในหัวตนเอง...
“โทปาซ”
สายตาที่ช้อนมองร่างสูงโปร่งของผู้เป็นพี่นั้นแลดูเฉยเมย
ราวกับเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนั้นไม่มีผลกับอารมณ์นัก— ไม่มีการเศร้าโศก ไม่มีการกระวนกระวาย
ไม่ก็คงมีประเด็นอื่นที่ขบคิดอยู่ในใจ
‘สกายบลูโทปาซที่ถูกเจียระไนอย่างละเอียดลออ’
นั่นเป็นสิ่งที่เขาเคยเปรียบกับดวงตาของเธอ— เปล่งประกาย สวยงาม
และเปี่ยมไปด้วยความสุข
แต่บางทีมันอาจจะเป็นแค่หินมีสีซึ่งถูกโรยด้วยกากเพชร
ที่ถูกมองผ่านสายตาของคนที่ลุ่มหลงอยู่ในจินตนาการจอมปลอมที่สร้างขึ้นเอง
เธอไม่ได้ไร้ซึ่งอารมณ์ เธอไม่ได้เปลี่ยนไป เธอทำตัวเหมือนกับทุกครั้งครา...
เพียงแต่คนมองนั้นแค่หลุดออกจากความจอมปลอมที่ครอบครองทัศนียภาพของตนเอง
“โอเค ฟังนะ มันจะเป็นอะไรที่ดีมาก
ถ้าพี่เลื่อนการอบรมไปเป็นตอนที่เราอยู่บ้านแทน”
แต่สาวเจ้ารู้ดี... ว่าพี่ชายที่เห็นน้องสาวคนที่สองเติบใหญ่มาเรื่อยๆนั้นพอจะดูออกถึงความเปลี่ยนแปลงที่สะท้อนผ่านแววตาของเธอ
การเติบโตทำร้ายคนเราได้
การเติบโตและความเปลี่ยนแปลงสามารถทำให้สิ่งที่เคยเป็นนั้นกลายเป็นอดีตที่รู้สึกว่าจำเป็นจะต้องฝืนให้คงอยู่ต่อไป...
“แล้วทำไมถึงคิดว่าฉันจะมาพูดอะไรแบบนั้น?”
หญิงสาวแค่นหัวเราะ
“เพราะพูดบ่อย...
บ่อยเสียจนฉันไม่รู้ว่ามันมีเหตุผลอะไรให้พี่เดินมาตรงนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าต้องการจะอบรมฉัน”
และรู้อะไรไหม? การเติบโตของตัวเธอก็หยุดลงมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
จนกระทั่งถึงวันนี้
วันที่โทปาซ เชีย แอนเดรียตัดสินใจฝืนธรรมชาติของผู้ที่ไม่มีฤทธิ์ในเวทมนตร์
ดวงตาคู่สวยหลุบลงมองมือตนเอง
“หรือฉันพูดผิด?”
“ก็ไม่เชิง”
ไดแอนธัสนั่งลงข้างเคียงเธอ ตบบ่าเบาๆตามรูปแบบการปลอบประโลมของเขา
และเมื่อเห็นการมองผ่านหางตาของโทปาซ
ก็เอ่ยปากพูดสิ่งหนึ่งที่เจ้าหล่อนไม่คาดคิดว่าจะได้ยินในวันนี้ออกมา
“ไปเดินเล่นเหอะ เดี๋ยวเคลียร์กับแม่ให้เอง”
“ฮะ?”
ผู้ไร้อิทธิฤทธิ์ด้านเวทมนตร์เพียงหนึ่งเดียวในบ้านนั้นเดาะลิ้น
ก่อนจะช้อนตามองเขาอย่างเคลือบแคลงใจ
“จะถ่วงเวลาไม่ให้ฉันโดนด่าเหรอ?”
มันผิดวิสัยสำหรับคนแบบเขา— แต่โทปาซก็มั่นใจว่านี่เผ่ากลายพันธุ์ที่ปรับเปลี่ยนรูปร่างให้เหมือนไดแอนธัสเพื่อมาหลอกเธอ
“แม่จะไม่ด่าเธอ”
“ไม่รู้สิ...
ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องด่าไม่ใช่เหรอ? ลูกสาวคนเล็กจงใจทำให้ตนเองโดนสาปแบบนี้น่ะ”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง
“เห็นแม่เป็นคนแบบไหนกัน?”
“ไม่เห็นเป็นแบบไหนทั้งนั้นแหละ
ไม่สนิททั้งแม่ทั้งพ่อ” เธอกล่าว ก่อนจะถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
“งั้นก็ขอรับข้อเสนอจากคุณพี่ชายแสนดีไปนะ
เจอกันในอีกสักพัก”
และเขาก็ปล่อยเธอไปง่ายๆ... เหมือนกับทุกครั้งคราที่เห็นว่าไม่สบอารมณ์
___
มันไม่ใช่ความผิดเขา มันไม่ใช่ความผิดแม่
ไม่ใช่ความผิดของพี่น้องคนอื่นหรือบุคลากรในสถานเวทมนตร์
มันเป็นความผิดเธอ— โทปาซรู้
ในโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์นี้ มีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถฝึกฝนหรือแตะต้องมันได้...
และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ในเมื่อทุกอย่างไม่ได้หมุนเวียนด้วยอิทธิฤทธิ์ของการใช้เวทมนตร์มากเสียขนาดนั้น
เทคโนโลยีก็มี ไหนจะพวกอาวุธอีก ใครที่เหยียดหยามคนอื่นเพียงแค่เพราะลักษณะนี้เพียงอย่างเดียวก็คงไปไหนไม่ได้ไกลหรอก
คนใหญ่คนโตที่เหมือนกับเธอก็มีเยอะจะตายไป— เป็นคนเดียวในครอบครัวที่จะถูกสาปหากลองใช้เวทมนตร์
หรืออะไรทำนองนั้น
แต่ที่แน่นอนคือพวกเขาคงไม่ได้ทำเรื่องโง่เง่าอย่างการลองใช้เวทมนตร์จนโดนสาปเหมือนกับเธอทุกคน
ต้องห้ามก็คือต้องห้าม
ในเมื่อฝ่าฝืนก็ต้องได้รับบทลงโทษตามธรรมชาติ
แต่หากถามว่าอยากใช้เวทมนตร์ได้มากขนาดนั้นเลยเหรอ เธอก็จะตอบว่าไม่
ก็อย่างที่บอกไป— มันโง่เง่าสิ้นดี
เพราะความสมบูรณ์แบบไม่มีจริง
เพราะภาพที่ทุกคนเห็นมันไม่ใช่ความจริง เพราะเงาที่เห็นสะท้อนบนกระจกนั่นเริ่มจะไม่ใช่ตัวเธอ
หินที่แวววาวนั่นถูกเปรียบเปรยว่าสวยงามดังพลอยที่ถูกเจียระไน
แต่หากมีวันหนึ่งที่กากเพชรถูกชะล้างออกไปล่ะ? เธออาจจะไม่มีโอกาสทั้งในการดำรงเป็นภาพจำของตนเองในอดีตและในการเป็นตัวตนที่อิสระเลย
และเพราะแบบนั้น จึงเลือกทำให้ทุกอย่างในชีวิตกลับตาลปัตร
ก่อนที่มันจะพังลงโดยไม่ได้ตั้งตัวในอนาคต
อย่างน้อยตัวเธอที่กลัวความผิดพลาดก็ยังสามารถควบคุมสิ่งที่เกิดได้...
แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ตาม
“แต่มันรู้สึกดีเป็นบ้าเลยในตอนนั้น”
เบื้องหลังภาพลักษณ์อันน่านับถือนั่นคืออัจฉริยะที่โง่บรมคนหนึ่ง
นั่นเป็นสิ่งที่โทปาซตระหนักได้
และเธอคิดว่าคนอื่นควรจะรับรู้มันด้วยเช่นกัน
ดวงตาสีสกายบลูโทปาซหลุบลงมองแขนตนเอง
มันเต็มไปด้วยร่องรอยจากการตรวจสารพัดอย่างในร่างกายที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปเพราะคำสาป
ความจริงแล้วทุกคำสาปมันก็แก้อยู่หรอก— แต่เธอจะกระเสือกกระสนแก้สิ่งที่ตั้งใจเลือกให้ตนเองไปเพื่ออะไร?
มันคือความผิดพลาดที่จงใจให้เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นการทนอยู่กับเรื่องบัดซบนี่ก็คงไม่ทำให้ตายหรอก
ให้มันเป็นจุดเริ่มต้นของการทำผิดอีกครั้งหนึ่ง
ให้มันเป็นเส้นทางบุกเบิกของการผจญภัยที่มีจุดประสงค์เพื่อค้นพบตนเอง
ให้เธอได้เรียนรู้และเติบโตอีกครั้งหนึ่ง
“ขอโทษนะคะ
คือว่าทางนี้เข้าได้หรือเปล่า?”
“เข้าได้ค่ะ เป็นสวนที่ปลอดพลังงานเวทมนตร์
แต่ก็เข้าได้ทุกคน ทั้งใช้เวทย์ได้และไม่ได้”
เธอยิ้มให้บุคลากร
ก่อนจะกล่าวขอบคุณและผลักประตูเข้าไปยังสวนดังกล่าว
ในที่สุดกลิ่นอายของเวทมนตร์ที่ปกคลุมนั้นก็ค่อยๆจางหาย
และการหายใจก็ไม่ได้ลำบากเท่าเดิมอีกต่อไป
ร่างเพรียวของเธอพิงประตูในยามที่ก้าวเท้าเข้ามาในสวน...
จมูกสูดดมกลิ่นของธรรมชาติที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
ตาหลับพริ้ม ดื่มด่ำกับบรรยากาศชั่วคราวนั่นอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะผละออกมาจากการขวางทางคนอื่น
แล้วเดินไปหยิบอมยิ้มที่วางไว้ ณ โต๊ะบริเวณใกล้เคียงมาถือไว้ในมือ
มันเป็นของฟรีอยู่แล้ว— ป้ายเล็กๆนั่นก็ระบุไว้
เธอไม่ฉวยหยิบข้าวของชาวบ้านมากินหรอก
แต่แล้วอารมณ์ดีๆที่มีอยู่ก็ดับวูบไปทันที เมื่อพบเล็บมือที่สั้นกุดของเธอไม่สามารถแกะมันออกได้ ดวงตาคู่นั้นหรี่มองของหวานในมือตนเอง
ขณะที่เคาะซ้ำๆตรงเปลือกห่อ ณ จุดเดิมไปเรื่อยๆ
โอ้— ให้ตายเถอะโทปาซ
หากนิ้วเธอไม่ทะลุเข้าไป อมยิ้มข้างในก็คงแตกละเอียดในไม่ช้าอย่างแน่นอน
ฉึก!
หรือไม่ก็เกิดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันทั้งคู่
สมองเธอประมวลผลช้าไปเสียหน่อย— ต้องโทษคำสาปที่เพิ่งจะได้รับมา
ซึ่งร่างกายที่ชินชาก็ต้องใช้เวลาปรับตัวกับมันอยู่พอสมควร
โทปาซเหม่อมองเล็บนิ้วชี้ข้างขวาที่เคยสั้นกุดของตนเอง
บัดนี้มันงอกยาวเสียจนน่าผวา คล้ายกับกรงเล็บที่ระบบประมวลผลผิดพลาด
จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแค่กับนิ้วเดียว
ดวงตาหรี่ลง ขณะที่พลิกมือเพื่อดูชิ้นอมยิ้มที่แตกละเอียดใต้เล็บของเธอ
มันให้ความรู้สึกเหนอะหนะและอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
ส่วนในมือซ้ายนั้นเหลือเพียงก้านพลาสติก... ของควรจะบริโภคนั้นได้ตกลงไปยังพื้นพร้อมเพรียงกับเปลือกห่อที่เธอต้องการจะแกะออกเสียแล้ว
และหากเธอเป็นคนที่เสียดายอาหาร ก็คงแทบจะร่ำไห้ออกมาในตอนนั้น
“โอ้” บัดซบ
แต่เธอดันเป็นคนที่ไม่สบอารมณ์และไม่ชินชากับการเปลี่ยนแปลงใหม่ของร่างกายนี่สิ
จันทร์ยังไม่ขึ้นเสียด้วยซ้ำ
แล้วเหตุไฉนมันจึงเป็นแบบนี้กัน? คงมีเพียงผู้เชี่ยวชาญที่ล่วงรู้
โทปาซพ่นลมหายใจออกมา— เธอรู้ว่ามันชักจะโง่เง่าไปเรื่อยๆ
แต่ความระแคะระคายที่เกิดขึ้นในหัวและบริเวณฟันอย่างฉับพลันนั้นทำให้ตัดสินใจคาบก้านลูกอมไว้ในปาก
ถ้าเล็บเธอหักขึ้นมา
ก็คงจะต้องลากสังขารไปสูดดมกลิ่นอายเวทมนตร์หน้าห้องตรวจอีกครั้งหนึ่ง
แล้วทำหน้าใสพลางบอกกับบุคลากรว่า ‘ฉันเหมือนกลายพันธ์ไปบางส่วนเลยล่ะค่ะ
คงเป็นคำสาปทำให้เป็นกึ่งอสูรที่ยังแสดงผลไม่เสร็จสมบูรณ์’
รองเท้าแมรี่เจนแพลตฟอร์มพยายามหลีกเลี่ยงการเหยียบลูกอมที่ตกให้แตกซ้ำซ้อน— เธอคงต้องไปขอที่โกยขยะมาจากแม่บ้านสักคน
ไม่ก็หาทิชชู่มาสักแผ่นสองแผ่นเพื่อทำความสะอาดมันพร้อมกับน้ำที่ขจัดความเหนียวเหนอะหนะ
เสียงฟันกระทบกับก้านอมยิ้มดังขึ้นในตอนที่ครุ่นคิด
มือข้างที่ยังคงปกตินั้นพยายามเขี่ยสิ่งไม่พึงประสงค์ออกจากเล็บอีกข้างของเธออย่างลำบากลำบน
และเมื่อพบว่ามันไม่เป็นประโยชน์มากนัก
จึงหันซ้ายหันขวา มองหากระดาษทิชชู่ในบริเวณดังกล่าว
เผื่อว่าจะมีบริการไว้บ้างสำหรับผู้ใช้สถานที่
“พระเจ้า...”
สภาพเธอดูแย่ที่สุดในรอบอาทิตย์เลยก็ว่าได้...
ทั้งผมเพ้าที่ปล่อยสยายและเริ่มพันกันตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ
ลิปทินต์ที่ไม่รู้ว่าคงติดทนอยู่บนริมฝีปากมากเพียงใด
เล็บนิ้วชี้ข้างซ้ายที่คอนทราสต์กับของนิ้วอื่นอย่างชัดเจน
ทั้งในเรื่องของความยาวและองค์ประกอบที่เป็นอมยิ้มอันหอมหวานนั่น
และที่น่าขำคือเธอไม่แม้แต่จะรู้ตัว
กระจกเงาก็ไปอยู่ในห้องน้ำเสียหมด กว่าจะตระหนักได้ก็คงเป็นในตอนที่เข้าไปใช้บริการ
“ทำไมมันถึงได้หายาก—”
โทปาซคิดว่ามันคงเป็นผลส่วนหนึ่งของคำสาป
ที่ทำให้ตัวเธอแสดงออกถึงอารมณ์น้อยกว่าปกติและมีการตอบสนองที่ค่อนข้างช้า
โดยปกติแล้วเธอจะหงุดหงิดมากกว่าและเร็วกว่านี้
ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่หรอก แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ดูเหมือนกับมึนงงทุกวินาทีอย่างที่เป็นอยู่
ณ ปัจจุบัน...
เธอต้องกะพริบตาสองถึงสามครั้ง
ถึงจะรู้ตัวว่ากำลังสบตากับคนคนหนึ่งอยู่
“ไง”
ดวงตาที่คล้ายกับมหาสมุทร กว้างใหญ่ไพศาลและสวยงามเสียจนยากที่จะเบนสายตาออก— คำเปรียบเปรยดังกล่าวนั้นอยู่ในนวนิยายของพี่สาวที่หล่อนเคยอ่านให้ฟัง
และมันก็ไม่เคยสมเหตุสมผลในความคิดของเธอมากเท่าในวันนี้
คนที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา
แต่มีบางอย่างที่ดึงดูดซึ่งกันและกันอย่างน่าประหลาด
คิ้วเรียวที่เลิกขึ้นเมื่อได้ยินคำทักทายจากคนที่ไม่รู้จัก
ดวงตาที่ยังคงไม่ละไปมองสิ่งอื่น มุมปากที่กระตุกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเราสบตากันมากกว่า
8 วินาที
“อือ... ไง”
และหัวใจเธอที่ไม่มีสัญญาณไปชั่วขณะหนึ่ง
ทุกอย่างมันควรจะเป็นอดีตไปตั้งแต่วินาทีที่
10 จบลง— อาจจะถูกยกขึ้นมาพูดเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบสำคัญอะไรกับชีวิต
มันเป็นเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวันที่จะสบตากับคนคนหนึ่งและรู้สึกถูกใจ
เธอน่าจะเหตุการณ์แบบนี้เป็นสิบๆครั้งแล้ว แม้ว่าในแต่ละคราว คนดังกล่าวที่เผลอสบตากันจะไม่ได้มีดวงตาที่สวยงามดังเช่นเขาก็ตาม
ทว่ามันก็ไม่ใช่ทุกครั้งครา... ที่โลกจะเหวี่ยงมาเจอกันเป็นครั้งที่สองในเวลาต่อมา
โอ้— ถ้าจะให้เรียกว่า ‘พรหมลิขิต’
ก็ดูเป็นการกล่าวแบบสวยหรูที่เกินจริงไปหน่อยนะ
เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้คนปกติทั่วไปมายังโซนนี้ของสถานเวทมนตร์
ความคิดเห็น