ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : เสาร์สยอง
เสาร์สยอง
ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่า หน้าของตัวเองมันหนาขึ้นมาหน่อย  ไม่ได้หนาเพราะความด้าน  แต่เป็นหนาเพราะหน้าบวม  นอนเยอะ ๆ ไม่ได้ผลจริง ๆ ด้วย  ผมขยับตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะหงายลงไปนอนท่าเดิม  ไม่ใช่เพราะนึกอยากนอนต่อหรอกนะ  แต่ว่าไอ้รอยช้ำรูปรองเท้าเบอร์ 40 เมื่อวานมันทำพิษกับผมซะแล้ว  พอขยับตัวจะลุกปุบ  มันก็ปวดแปลบปับ จนต้องกลับลงไปนอนใหม่  คราวนี้ผมเลยค่อย ๆ พลิกตัวกระดิ๊บ ๆ ลงจากเตียง (แปลเป็นภาษามนุษย์ได้ว่า  คลานลงจากเตียง) ผมถอดเสื้อออกเพื่อจะดูรอยช้ำ  อย่างที่คิด  เมื่อวานมันเป็นแค่รอยเขียวจาง ๆ มองคล้ายรอยรองเท้า  แต่วันนี้มันไม่ใช่คล้ายแล้ว  มันเป็นรูปรองเท้าชัดเจน  จากสีเขียวจาก ๆ ก็กลายเป็นสีม่วงคล้ำสวยงดงาม  แบบชนิดที่ว่าถ้ารอยนี้ไปโผล่อยู่บนหิน  และเปลี่ยนจากรอยเท้าคนเป็นเท้าไดโนเสาร์แล้วละก็  โลกคงได้ฮือหากับความชัดเจนของมันเป็นแน่  แต่ว่าถ้าที่ท้องผมยังเป็นแบบนี้  แล้วที่หน้าผมล่ะ  ผมเดินเร็ว ๆ เข้าห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอนทันที (อยากจะวิ่งอยู่หรอก  แต่วิ่งไม่ไหว)  กระจกเงาทำหน้าทีของมันอย่างเที่ยงตรงเสมอ  ใบหน้าหวานสยองของผมปูดบวม (แม้จะน้อยกว่าทีรู้สึก)  มีรอยเขียวอมม่วงตรงแก้ม  ตา  และมุมปาก  จะโทษใครดีเนี่ยที่ทำให้ผมกลายเป็นแบบนี้  อย่างนี้ก็ออกไปข้างนอกไม่ได้น่ะสิ  แล้วจะตัดผมยังไงล่ะ  แล้วเดี๋ยวต้องไปเรียนอีก  จะหายทันวันจันทร์มัยเนี่ย  อ๊าคคคคค!  ตายแน่ตรู
ผมคิดจนขี้เกียจจะคิด  สิ่งที่ควรจะทำในตอนนี้คือ อาบน้ำ  ผมค่อย ๆ อาบน้ำอย่างระมัดระวัง  ก่อนจะนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาแต่งตัวหน้าตู้เสื้อผ้าในห้องนอน  เพราะว่าผมเคยจะมาค้างที่นี้บ่อย ๆ เลยมีทั้งห้องส่วนตัวและเสื้อผ้าของผมตุนไว้เต็ม  ผมเลือกเอาเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงยีนสีน้ำเงินที่ดูจะเข้าชุดกันมาใส่ก่อนจะเดินไปห้องข้าง ๆ ทางซ้ายมือของห้องผม  ห้องของวุธ  ผมเคาะประตู 2 3 ที ก่อนจะเปิดเข้าไปโดยไม่รอเสียงตอบรับจากคนในห้องเพราะผมเชื่อว่ามันยังไม่ตื่น  ถึงจะตื่นแล้วก็ไม่เป็นไร  ..ล่ะมั้ง 
“วุธ  วุธ  วุธ  วุธ  วุธ  วุธ  วุธ  ไอ้วุธ!”
มันยังไม่ตื่นจริง ๆ ล่ะ  แถมปลุกยากอีกต่างหาก  สุดท้ายแค่ตะโกนเรียกก็ไม่อาจทำให้มันตื่นได้  ผมเลยตัดสินใจประเคนมันลงจากเตียงด้วยฝ่าเท้าของผมเอง  ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายอะไรมาก  ถ้ามันไม่เอาหน้าลงแบบนี้
“โอ๊ย!  ใครว่ะ  แน่จริงเล่นกันซึ่ง ๆ หน้าสิว่ะ”
“เออ!  ข้าเอง เสร่อปลุกไม่ตื่นเองทำไมล่ะ”
“มาปลุกแต่เช้านี่มีเรื่องอะไร  ถ้าไม่สำคัญ  ตาย!”
วุธพูดขณะก้มหน้าก้มตาซุกหัวลงกับกองผ้าห่มที่ตกลงมาพร้อมกับตัวมัน
“แกเงยหน้าขึ้นมาดูฉันก่อน  แล้วจะรู้ว่ามันสำคัญไม่สำคัญ”
วุธเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมก่อนจะก้มหน้าพร้อมยกมือขึ้นมาขยี้ตาตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าผมอีกที
“ทำไมมันบวมอย่างนี้วะ  แล้วยังรอยช้ำพวกนั้นอีก”
“ก็เออสิ  เพราะเรื่องนี้ไง  ฉันถึงได้ลากสังขารอันน่าสมเพชของฉันมาปลุกแก”
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง  ไปบอกแม่ให้จัดการอัดพวกนั้นให้นายแล้วเทคอนกรีตถ่วงน้ำไปเลยดีมัย”
ฟังดูมันพูดประชดยังไงก็ไม่รู้  เอาเถอะก็คนมันง่วง  ผมไม่ถือสาคนพาลหรอก
“ไม่รู้”
“ไม่รู้!  นี่แกมาปลุกฉันเพื่อให้ดูหน้าบวม ๆ บ๊อง ๆ ของแกแล้วบอกว่าไม่รู้งั้นเรอะ”
“เฮ้  บวมอย่างเดียวก็พอ”
“เออ ๆ”
“หน้าฉันบวมอย่างนี้  แล้วฉันจะออกไปข้างนอกได้ยังไง”
“แกจะออกไปไหน”
“ก็ไปตัดผมไง”
“จะไปทำไม  แม่นัดช่างตัดผมมาให้แกตอนบ่าย  วันนี้”
“ด้วยหน้าแบบนี้นี่นะ”
“หน้าแกไปเกี่ยวอะไรกับช่างตัดผม”
“ไอ้บ้า  ฉันหมายถึง  จะให้ฉันโผล่หัวไปให้คนอื่นเห็นทั้ง ๆ ที่หน้าฉันเป็นแบบนี้เนี่ยนะ”
“แล้วมันจะเป็นอะไรล่ะ  เดี๋ยวมันก็ยุบเองแหละ  อาจจะเป็นเพราะแกนอนมากไปหน่อย  หน้ามันเลยบวม  ไอ้ตรงที่ช้ำ ๆ แต่งหน้าทาแป้งกลบก็มองไม่เห็นแล้ว”
เคยได้ยินแต่นอนมาก ๆ แล้วตาจะบวม  นี่นอนมากแล้วหน้าบวม  เหตุผลบ้าอะไรของมันวะ  แต่ก็คงจะจริงของมัน  เพราะพอสาย ๆ หน้าของผมก็ยุบลง (ได้ไง?)  แต่เรื่องจะให้แต่งหน้าทาแป้งนี่ผมไม่ขอบ้าไปกับมันด้วยล่ะ  เพราะอย่างนั้นหน้าของผมตอนนี้เลยเต็มไปด้วยแผ่นยาสีขาวติดเต็มหน้า  ทั้งที่มุมปาก  แก้ม  หน้าผาก  เหลือไว้แต่ที่ตาที่ไม่ติด  ดูตลกพิลึก
ก๊อก  ก๊อก
ผมกับวุธหันไปมองที่ประตูก่อนจะหันมาจ้องหน้ากัน (ทำไม) วุธยักไหล่อย่างรู้หน้าทีแล้วหันหน้าไปทางประตูอีกรอบ
“เข้ามา”
ชายชุดดำ  ผมดำ  สวมแว่นและรองเท้าสีดำ ( - - ) เดินเข้ามาในห้องแบบมาดเข้ม แต่ท่าเดินพี่แกดูแข็ง ไปหน่อยเหมือนเหน็บกินแล้วเดินงอขาไม่ได้  เป็นไปได้ว่าคงยืนเฝ้าอะไรสักอย่างในบ้านนี้จนรากงอกก่อนจะเดินมาเคาะประตูห้อง  ถ้ามองลอดใต้แว่นดำไป  ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่านะ  แต่ผมว่าพี่แกทำหน้าอมทุกข์เหมือนปวดท้องขี้ เอ๋ย  เหมือนพึ่งถูกอะไรสักอย่างทรมารมายังไงก็ไม่รู้
“ขอโทษครับ  มีแขกมาขอพบคุณหนูครับ  บอกว่านัดไว้แล้ว  จะให้เข้ามาพบไหมครับ”
“คงเป็นช่างตัดผมที่นัดไว้  ตอนนี้เขาอยู่ไหน”
“ผมให้คนพาไปรออยู่ที่ห้องรับแขก”
“ขอบใจมาก  นายกลับไปทำหน้าที่ต่อได้แล้ว”
“ครับ”
ชายชุดดำโค้งตัวให้พวกผมแต่ยังคงยืนอยู่ที่เก่าไม่ไปไหน
“มีอะไรเหรอ”
คราวนี้ผมว่าผมไม่ได้รู้สึกไปเองแน่  ชายชุดดำทำท่าสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจกับคำถามผม  จนวุธที่กำลังจะเดินไปห้องรับแขกต้องหันกลับมามองอย่างสงสัย
“พึ่งรู้นะเนี่ย  ว่าคนที่นี่ขวัญอ่อนกันขนาดนี้”
“อย่าพึ่งพูดประชดน่า  มีอะไร”
“คือว่า  ผมว่าพวกคุณหนูอย่าไปพบแขกดีกว่าครับ”
“หือ?”
“คืออย่างนี้ครับ  ผมว่าเขาดูแปลก ๆ  อาจจะไม่ใช่แขกที่นัดไว้วันนี้”
“คงไม่มีอะไรหรอกน่า  คิดมากไปได้”
“แต่ผมว่า...”
“เรื่องมาก  งั้นนายก็เดินนำหน้าไปก่อนเลยไป  มีอะไรจะได้โดนก่อน  โอเคมัย”
วุธตัดบทอย่างรำคาญแต่ชายชุดดำถึงกับทำหน้าซีดก่อนจะเดินนำพวกเราไปที่ห้องรับแขกด้วยท่าทางที่ดูแย่กว่าตอนขามา
“ว้าย~  กลับมาแล้วหรือคะมาดแมน  ให้แซนดี้รอตั้งนานแนะ  ไปตามกันถึงไหนคะเนี่ย  ให้แซนดี้อยู่คนเดียวตั้งนาน  แซนดี้เหงานะค้า”
เสียงห้าวแตกพร่าประหลาดยากเกินจะบรรยายเพราะคนพูดพยายามใส่จริตความเป็นหญิงที่ตัวเองไม่มีลงไปอย่างเต็มที่ดังขึ้นแทบจะพร้อมกับประตูที่เปิดออก  สีหน้าของชายชุดดำซีดมากจนถึงซีดที่สุด  ร่างใหญ่หงายหลังลงไปนอนกับพื้นเพราะถูกคนที่อยู่ในห้องพุ่งเข้าใส่แบบไม่ทันตั้งตัวและเจ้าตัวก็ดูจะไม่คิดจะตั้งตัวด้วย  สาวประเพศสองร่างบึกบึนในชุดสายเดี่ยวเอวลอยสีชมพูกับกระโปรงยาวทรงระฆังชายลูกไม้สีขาวเงยหน้าขึ้นมามองพวกเรา 2 คนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ อาจเป็นสัญชาตญาณ  แต่ที่แน่ ๆ พวกเรา 2 คนถอยหลังไปหลายก้าวแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวพร้อมกับตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะวิ่ง
“แน่ใจนะว่าไอ้ที่อยู่ตรงหน้าเรานี่เป็นช่างตัดผม  ไม่ใช่ช่างเชือด...”
ผมหันไปกระซิบเบา ๆ กับวุธที่ทำท่าสยดสยองเต็มที่เนื่องจากดันสบตาเข้ากับกระเทยแมนตรงหน้าเต็ม ๆ
“ต๊าย~  หล่อจัง”
แซนดี้กระพริบตาที่เปร่งประกายไปด้วยกากเพชรสีชมพูแปร๋นระยิบระยับที่เจ้าตัวบรรจงโป๊ะลงไปเต็มที่  เล่นเอาวุธแทบจะเป็นลมหนีความจริงตรงหน้า  ความจริงที่ช่างสยดสยอง และ โหดร้าย
“ว่าไงจ๊ะสุดหล่อ  จะให้แซนดี้ตัดทรงไหนจ๊ะ”
เขาหรือเธอลุกขึ้นมาหาเหยื่อผู้โชคร้ายรายใหม่ (?)  ปล่อยร่างใหญ่ที่สลบไสลอันเนื่องจากสาเหตุหลายประการ (โดยมีนักล่าเหยื่อเป็นตัวการ) กองไว้กับพื้น  วุธผงะถอยหลังอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางที่ทำให้ผมนึกถึงแมลงสาปตามท่อ  ถ้าเป็นเวลาอื่นผมคงจะโกรธมากที่ถูกเมินเหมือนไม่มีตัวตนแบบนี้  แต่เวลานี้ผมว่าผมนี่เป็นคนที่โชคดีจริง ๆ ที่ถูกเมิน
“ไม่  ไม่ใช่ผม  นั่น”
ดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายจากกากเพชรตวัดกลับมาจ้องหน้าผม  ในที่สุดก็รู้ว่าผมยืนอยู่ (แต่ไม่อยากจะให้รู้เลย)  ดวงตาที่โตอยู่แล้วโตขึ้นไปอีกได้อย่างไม่น่าเชื่อ  เขาหรือเธอยกมือขึ้นมาทาบอกทำท่าตกอกตกใจที่เห็นผมจนผมนึกหมั่นไส้  ไม่ใช่หมั่นไส้ที่เขาหรือเธอทำท่าตกใจที่เห็นผมหรอกนะ  แต่หมั่นไส้ตรงท่าตกใจนี่แหละ  แอคติ้งซะ  ดูไม่ได้  ถ้าเป็นสาว ๆ สวย ๆ คงน่ามองอยู่หรอก  แต่เป็นยัยกระเทยคว ายแบบนี้ก็ไม่ไหว  มองแล้วชวนไปเกิดใหม่ซะมากกว่าชวนมอง
“ตายแล้ว  ทำไมหน้าเป็นอย่างนั้นละคะ”
แซนดี้ถลาเข้ามาคว้าตัวผมที่ทำท่าจะวิ่งหนีมาเขย่าก่อนจะจับหน้าผมหันไปหันมา
“ตาย  ตาย  ตาย  มีแต่รอยช้ำเต็มไปหมด”
ถ้าผมจะตาย  ก็คงจะตายเพราะยัยกระเทยนี่แน่ ๆ แรงช้างสารชัด ๆ
“เป็นผู้หญิงต้องรู้จักรักษาหน้าตาตัวเองรู้บ้างมัย”
“โว๊ย  ปล่อย  ฉันเป็นผู้ชายต่างหากล่ะ”
ผมสะบัดตัวออก (ก่อนจะได้ตายจริง ๆ )
“ตายจริง  แซนดี้นี่มีตาหามีแววไม่”
ผมคิดผิดรึเปล่าที่พูดไปแบบนั้น  เขาหรือเธอยกมือขึ้นประสานกันตรงหน้าอกเหมือนท่าขอพรกับพระเจ้าพร้อมกับสงสายตาหวานเยิ้ม (สยดสยอง) ชวนฝัน (ไปเกิดใหม่) ที่เต็มไปด้วยประกายระยิบระยับจากกากเพชรสีแสบตามายังผม  มือข้างหนึ่งของเขาหรือเธอยกขึ้นมาลูบที่แก้มที่เต็มไปด้วยแผ่นยาของผม  ผมรู้สึกได้เลยว่าขนที่แขนตัวเองพร้อมใจกันขึ้นมาตั้งตรงกันหมด
“แหม  นี้ถ้าไม่มีของพวกนี้ล่ะก็..”
แซนดี้ทำท่าเหมือนเสียดายอะไรสักอย่าง
“แต่ขนาดมีของพวกนี้อยู่ยังดูดีเลย  นี่ปกติหน้านี่คงจะสวยมากสินะคะ  ดูเหมือนผู้หญิงเลย  ผู้ชายหน้าหวานนี่น่ารักจัง”
“อ๊าคคคคคค!  ไอ้วุธ  ช่วยกูด้วย~”
ผมตะโกนออกมาพร้อมกับถอยหลังท่าเดียวกับไอ้วุธก่อนหน้านี้  กระเทยแมนตรงหน้าทำท่าเสียดายระคนขัดใจขณะที่ผมกับวุธถอยไปอยู่รวมกันห่างจะเขาหรือเธอไปเกือบ 5 เมตร  ตอนนี้ผมยังรู้สึกได้โดยไม่ต้องก้มมองแขนตัวเอง  ขนแขนของผมตั้งตรงแบบไม่มีท่าทีว่าจะยอมลง
“แกแน่ใจจริง ๆ นะว่าแม่แกนัดยัยกระเทยนี่มา”
“น่าจะใช่  คนรู้จักของแม่หาคนปกติยาก  ยัยนี้คงเป็นหนึ่งในนั้น”
“ยกเลิกแล้วออกไปตัดที่ร้านตอนนี้ทันมันว่ะ”
ผมกับวุธหันมากระซิบกระซาบเบา ๆ แบบได้ยินกัน 2 คนขณะที่ตายังคงมองคนใกล้ ๆ อย่างระแวดระวังกลัวว่าเขาหรือเธอจะเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย
“เอาล่ะจ๊ะ  เสียเวลากันมามากแล้ว  ใครจะให้แซนดี้ตัดผมให้ก่อนเอ่ย?”
“ถ้าจะไม่ทันแล้วว่ะ”
ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่า หน้าของตัวเองมันหนาขึ้นมาหน่อย  ไม่ได้หนาเพราะความด้าน  แต่เป็นหนาเพราะหน้าบวม  นอนเยอะ ๆ ไม่ได้ผลจริง ๆ ด้วย  ผมขยับตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะหงายลงไปนอนท่าเดิม  ไม่ใช่เพราะนึกอยากนอนต่อหรอกนะ  แต่ว่าไอ้รอยช้ำรูปรองเท้าเบอร์ 40 เมื่อวานมันทำพิษกับผมซะแล้ว  พอขยับตัวจะลุกปุบ  มันก็ปวดแปลบปับ จนต้องกลับลงไปนอนใหม่  คราวนี้ผมเลยค่อย ๆ พลิกตัวกระดิ๊บ ๆ ลงจากเตียง (แปลเป็นภาษามนุษย์ได้ว่า  คลานลงจากเตียง) ผมถอดเสื้อออกเพื่อจะดูรอยช้ำ  อย่างที่คิด  เมื่อวานมันเป็นแค่รอยเขียวจาง ๆ มองคล้ายรอยรองเท้า  แต่วันนี้มันไม่ใช่คล้ายแล้ว  มันเป็นรูปรองเท้าชัดเจน  จากสีเขียวจาก ๆ ก็กลายเป็นสีม่วงคล้ำสวยงดงาม  แบบชนิดที่ว่าถ้ารอยนี้ไปโผล่อยู่บนหิน  และเปลี่ยนจากรอยเท้าคนเป็นเท้าไดโนเสาร์แล้วละก็  โลกคงได้ฮือหากับความชัดเจนของมันเป็นแน่  แต่ว่าถ้าที่ท้องผมยังเป็นแบบนี้  แล้วที่หน้าผมล่ะ  ผมเดินเร็ว ๆ เข้าห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอนทันที (อยากจะวิ่งอยู่หรอก  แต่วิ่งไม่ไหว)  กระจกเงาทำหน้าทีของมันอย่างเที่ยงตรงเสมอ  ใบหน้าหวานสยองของผมปูดบวม (แม้จะน้อยกว่าทีรู้สึก)  มีรอยเขียวอมม่วงตรงแก้ม  ตา  และมุมปาก  จะโทษใครดีเนี่ยที่ทำให้ผมกลายเป็นแบบนี้  อย่างนี้ก็ออกไปข้างนอกไม่ได้น่ะสิ  แล้วจะตัดผมยังไงล่ะ  แล้วเดี๋ยวต้องไปเรียนอีก  จะหายทันวันจันทร์มัยเนี่ย  อ๊าคคคคค!  ตายแน่ตรู
ผมคิดจนขี้เกียจจะคิด  สิ่งที่ควรจะทำในตอนนี้คือ อาบน้ำ  ผมค่อย ๆ อาบน้ำอย่างระมัดระวัง  ก่อนจะนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาแต่งตัวหน้าตู้เสื้อผ้าในห้องนอน  เพราะว่าผมเคยจะมาค้างที่นี้บ่อย ๆ เลยมีทั้งห้องส่วนตัวและเสื้อผ้าของผมตุนไว้เต็ม  ผมเลือกเอาเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงยีนสีน้ำเงินที่ดูจะเข้าชุดกันมาใส่ก่อนจะเดินไปห้องข้าง ๆ ทางซ้ายมือของห้องผม  ห้องของวุธ  ผมเคาะประตู 2 3 ที ก่อนจะเปิดเข้าไปโดยไม่รอเสียงตอบรับจากคนในห้องเพราะผมเชื่อว่ามันยังไม่ตื่น  ถึงจะตื่นแล้วก็ไม่เป็นไร  ..ล่ะมั้ง 
“วุธ  วุธ  วุธ  วุธ  วุธ  วุธ  วุธ  ไอ้วุธ!”
มันยังไม่ตื่นจริง ๆ ล่ะ  แถมปลุกยากอีกต่างหาก  สุดท้ายแค่ตะโกนเรียกก็ไม่อาจทำให้มันตื่นได้  ผมเลยตัดสินใจประเคนมันลงจากเตียงด้วยฝ่าเท้าของผมเอง  ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายอะไรมาก  ถ้ามันไม่เอาหน้าลงแบบนี้
“โอ๊ย!  ใครว่ะ  แน่จริงเล่นกันซึ่ง ๆ หน้าสิว่ะ”
“เออ!  ข้าเอง เสร่อปลุกไม่ตื่นเองทำไมล่ะ”
“มาปลุกแต่เช้านี่มีเรื่องอะไร  ถ้าไม่สำคัญ  ตาย!”
วุธพูดขณะก้มหน้าก้มตาซุกหัวลงกับกองผ้าห่มที่ตกลงมาพร้อมกับตัวมัน
“แกเงยหน้าขึ้นมาดูฉันก่อน  แล้วจะรู้ว่ามันสำคัญไม่สำคัญ”
วุธเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมก่อนจะก้มหน้าพร้อมยกมือขึ้นมาขยี้ตาตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าผมอีกที
“ทำไมมันบวมอย่างนี้วะ  แล้วยังรอยช้ำพวกนั้นอีก”
“ก็เออสิ  เพราะเรื่องนี้ไง  ฉันถึงได้ลากสังขารอันน่าสมเพชของฉันมาปลุกแก”
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง  ไปบอกแม่ให้จัดการอัดพวกนั้นให้นายแล้วเทคอนกรีตถ่วงน้ำไปเลยดีมัย”
ฟังดูมันพูดประชดยังไงก็ไม่รู้  เอาเถอะก็คนมันง่วง  ผมไม่ถือสาคนพาลหรอก
“ไม่รู้”
“ไม่รู้!  นี่แกมาปลุกฉันเพื่อให้ดูหน้าบวม ๆ บ๊อง ๆ ของแกแล้วบอกว่าไม่รู้งั้นเรอะ”
“เฮ้  บวมอย่างเดียวก็พอ”
“เออ ๆ”
“หน้าฉันบวมอย่างนี้  แล้วฉันจะออกไปข้างนอกได้ยังไง”
“แกจะออกไปไหน”
“ก็ไปตัดผมไง”
“จะไปทำไม  แม่นัดช่างตัดผมมาให้แกตอนบ่าย  วันนี้”
“ด้วยหน้าแบบนี้นี่นะ”
“หน้าแกไปเกี่ยวอะไรกับช่างตัดผม”
“ไอ้บ้า  ฉันหมายถึง  จะให้ฉันโผล่หัวไปให้คนอื่นเห็นทั้ง ๆ ที่หน้าฉันเป็นแบบนี้เนี่ยนะ”
“แล้วมันจะเป็นอะไรล่ะ  เดี๋ยวมันก็ยุบเองแหละ  อาจจะเป็นเพราะแกนอนมากไปหน่อย  หน้ามันเลยบวม  ไอ้ตรงที่ช้ำ ๆ แต่งหน้าทาแป้งกลบก็มองไม่เห็นแล้ว”
เคยได้ยินแต่นอนมาก ๆ แล้วตาจะบวม  นี่นอนมากแล้วหน้าบวม  เหตุผลบ้าอะไรของมันวะ  แต่ก็คงจะจริงของมัน  เพราะพอสาย ๆ หน้าของผมก็ยุบลง (ได้ไง?)  แต่เรื่องจะให้แต่งหน้าทาแป้งนี่ผมไม่ขอบ้าไปกับมันด้วยล่ะ  เพราะอย่างนั้นหน้าของผมตอนนี้เลยเต็มไปด้วยแผ่นยาสีขาวติดเต็มหน้า  ทั้งที่มุมปาก  แก้ม  หน้าผาก  เหลือไว้แต่ที่ตาที่ไม่ติด  ดูตลกพิลึก
ก๊อก  ก๊อก
ผมกับวุธหันไปมองที่ประตูก่อนจะหันมาจ้องหน้ากัน (ทำไม) วุธยักไหล่อย่างรู้หน้าทีแล้วหันหน้าไปทางประตูอีกรอบ
“เข้ามา”
ชายชุดดำ  ผมดำ  สวมแว่นและรองเท้าสีดำ ( - - ) เดินเข้ามาในห้องแบบมาดเข้ม แต่ท่าเดินพี่แกดูแข็ง ไปหน่อยเหมือนเหน็บกินแล้วเดินงอขาไม่ได้  เป็นไปได้ว่าคงยืนเฝ้าอะไรสักอย่างในบ้านนี้จนรากงอกก่อนจะเดินมาเคาะประตูห้อง  ถ้ามองลอดใต้แว่นดำไป  ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่านะ  แต่ผมว่าพี่แกทำหน้าอมทุกข์เหมือนปวดท้องขี้ เอ๋ย  เหมือนพึ่งถูกอะไรสักอย่างทรมารมายังไงก็ไม่รู้
“ขอโทษครับ  มีแขกมาขอพบคุณหนูครับ  บอกว่านัดไว้แล้ว  จะให้เข้ามาพบไหมครับ”
“คงเป็นช่างตัดผมที่นัดไว้  ตอนนี้เขาอยู่ไหน”
“ผมให้คนพาไปรออยู่ที่ห้องรับแขก”
“ขอบใจมาก  นายกลับไปทำหน้าที่ต่อได้แล้ว”
“ครับ”
ชายชุดดำโค้งตัวให้พวกผมแต่ยังคงยืนอยู่ที่เก่าไม่ไปไหน
“มีอะไรเหรอ”
คราวนี้ผมว่าผมไม่ได้รู้สึกไปเองแน่  ชายชุดดำทำท่าสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจกับคำถามผม  จนวุธที่กำลังจะเดินไปห้องรับแขกต้องหันกลับมามองอย่างสงสัย
“พึ่งรู้นะเนี่ย  ว่าคนที่นี่ขวัญอ่อนกันขนาดนี้”
“อย่าพึ่งพูดประชดน่า  มีอะไร”
“คือว่า  ผมว่าพวกคุณหนูอย่าไปพบแขกดีกว่าครับ”
“หือ?”
“คืออย่างนี้ครับ  ผมว่าเขาดูแปลก ๆ  อาจจะไม่ใช่แขกที่นัดไว้วันนี้”
“คงไม่มีอะไรหรอกน่า  คิดมากไปได้”
“แต่ผมว่า...”
“เรื่องมาก  งั้นนายก็เดินนำหน้าไปก่อนเลยไป  มีอะไรจะได้โดนก่อน  โอเคมัย”
วุธตัดบทอย่างรำคาญแต่ชายชุดดำถึงกับทำหน้าซีดก่อนจะเดินนำพวกเราไปที่ห้องรับแขกด้วยท่าทางที่ดูแย่กว่าตอนขามา
“ว้าย~  กลับมาแล้วหรือคะมาดแมน  ให้แซนดี้รอตั้งนานแนะ  ไปตามกันถึงไหนคะเนี่ย  ให้แซนดี้อยู่คนเดียวตั้งนาน  แซนดี้เหงานะค้า”
เสียงห้าวแตกพร่าประหลาดยากเกินจะบรรยายเพราะคนพูดพยายามใส่จริตความเป็นหญิงที่ตัวเองไม่มีลงไปอย่างเต็มที่ดังขึ้นแทบจะพร้อมกับประตูที่เปิดออก  สีหน้าของชายชุดดำซีดมากจนถึงซีดที่สุด  ร่างใหญ่หงายหลังลงไปนอนกับพื้นเพราะถูกคนที่อยู่ในห้องพุ่งเข้าใส่แบบไม่ทันตั้งตัวและเจ้าตัวก็ดูจะไม่คิดจะตั้งตัวด้วย  สาวประเพศสองร่างบึกบึนในชุดสายเดี่ยวเอวลอยสีชมพูกับกระโปรงยาวทรงระฆังชายลูกไม้สีขาวเงยหน้าขึ้นมามองพวกเรา 2 คนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ อาจเป็นสัญชาตญาณ  แต่ที่แน่ ๆ พวกเรา 2 คนถอยหลังไปหลายก้าวแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวพร้อมกับตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะวิ่ง
“แน่ใจนะว่าไอ้ที่อยู่ตรงหน้าเรานี่เป็นช่างตัดผม  ไม่ใช่ช่างเชือด...”
ผมหันไปกระซิบเบา ๆ กับวุธที่ทำท่าสยดสยองเต็มที่เนื่องจากดันสบตาเข้ากับกระเทยแมนตรงหน้าเต็ม ๆ
“ต๊าย~  หล่อจัง”
แซนดี้กระพริบตาที่เปร่งประกายไปด้วยกากเพชรสีชมพูแปร๋นระยิบระยับที่เจ้าตัวบรรจงโป๊ะลงไปเต็มที่  เล่นเอาวุธแทบจะเป็นลมหนีความจริงตรงหน้า  ความจริงที่ช่างสยดสยอง และ โหดร้าย
“ว่าไงจ๊ะสุดหล่อ  จะให้แซนดี้ตัดทรงไหนจ๊ะ”
เขาหรือเธอลุกขึ้นมาหาเหยื่อผู้โชคร้ายรายใหม่ (?)  ปล่อยร่างใหญ่ที่สลบไสลอันเนื่องจากสาเหตุหลายประการ (โดยมีนักล่าเหยื่อเป็นตัวการ) กองไว้กับพื้น  วุธผงะถอยหลังอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางที่ทำให้ผมนึกถึงแมลงสาปตามท่อ  ถ้าเป็นเวลาอื่นผมคงจะโกรธมากที่ถูกเมินเหมือนไม่มีตัวตนแบบนี้  แต่เวลานี้ผมว่าผมนี่เป็นคนที่โชคดีจริง ๆ ที่ถูกเมิน
“ไม่  ไม่ใช่ผม  นั่น”
ดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายจากกากเพชรตวัดกลับมาจ้องหน้าผม  ในที่สุดก็รู้ว่าผมยืนอยู่ (แต่ไม่อยากจะให้รู้เลย)  ดวงตาที่โตอยู่แล้วโตขึ้นไปอีกได้อย่างไม่น่าเชื่อ  เขาหรือเธอยกมือขึ้นมาทาบอกทำท่าตกอกตกใจที่เห็นผมจนผมนึกหมั่นไส้  ไม่ใช่หมั่นไส้ที่เขาหรือเธอทำท่าตกใจที่เห็นผมหรอกนะ  แต่หมั่นไส้ตรงท่าตกใจนี่แหละ  แอคติ้งซะ  ดูไม่ได้  ถ้าเป็นสาว ๆ สวย ๆ คงน่ามองอยู่หรอก  แต่เป็นยัยกระเทยคว ายแบบนี้ก็ไม่ไหว  มองแล้วชวนไปเกิดใหม่ซะมากกว่าชวนมอง
“ตายแล้ว  ทำไมหน้าเป็นอย่างนั้นละคะ”
แซนดี้ถลาเข้ามาคว้าตัวผมที่ทำท่าจะวิ่งหนีมาเขย่าก่อนจะจับหน้าผมหันไปหันมา
“ตาย  ตาย  ตาย  มีแต่รอยช้ำเต็มไปหมด”
ถ้าผมจะตาย  ก็คงจะตายเพราะยัยกระเทยนี่แน่ ๆ แรงช้างสารชัด ๆ
“เป็นผู้หญิงต้องรู้จักรักษาหน้าตาตัวเองรู้บ้างมัย”
“โว๊ย  ปล่อย  ฉันเป็นผู้ชายต่างหากล่ะ”
ผมสะบัดตัวออก (ก่อนจะได้ตายจริง ๆ )
“ตายจริง  แซนดี้นี่มีตาหามีแววไม่”
ผมคิดผิดรึเปล่าที่พูดไปแบบนั้น  เขาหรือเธอยกมือขึ้นประสานกันตรงหน้าอกเหมือนท่าขอพรกับพระเจ้าพร้อมกับสงสายตาหวานเยิ้ม (สยดสยอง) ชวนฝัน (ไปเกิดใหม่) ที่เต็มไปด้วยประกายระยิบระยับจากกากเพชรสีแสบตามายังผม  มือข้างหนึ่งของเขาหรือเธอยกขึ้นมาลูบที่แก้มที่เต็มไปด้วยแผ่นยาของผม  ผมรู้สึกได้เลยว่าขนที่แขนตัวเองพร้อมใจกันขึ้นมาตั้งตรงกันหมด
“แหม  นี้ถ้าไม่มีของพวกนี้ล่ะก็..”
แซนดี้ทำท่าเหมือนเสียดายอะไรสักอย่าง
“แต่ขนาดมีของพวกนี้อยู่ยังดูดีเลย  นี่ปกติหน้านี่คงจะสวยมากสินะคะ  ดูเหมือนผู้หญิงเลย  ผู้ชายหน้าหวานนี่น่ารักจัง”
“อ๊าคคคคคค!  ไอ้วุธ  ช่วยกูด้วย~”
ผมตะโกนออกมาพร้อมกับถอยหลังท่าเดียวกับไอ้วุธก่อนหน้านี้  กระเทยแมนตรงหน้าทำท่าเสียดายระคนขัดใจขณะที่ผมกับวุธถอยไปอยู่รวมกันห่างจะเขาหรือเธอไปเกือบ 5 เมตร  ตอนนี้ผมยังรู้สึกได้โดยไม่ต้องก้มมองแขนตัวเอง  ขนแขนของผมตั้งตรงแบบไม่มีท่าทีว่าจะยอมลง
“แกแน่ใจจริง ๆ นะว่าแม่แกนัดยัยกระเทยนี่มา”
“น่าจะใช่  คนรู้จักของแม่หาคนปกติยาก  ยัยนี้คงเป็นหนึ่งในนั้น”
“ยกเลิกแล้วออกไปตัดที่ร้านตอนนี้ทันมันว่ะ”
ผมกับวุธหันมากระซิบกระซาบเบา ๆ แบบได้ยินกัน 2 คนขณะที่ตายังคงมองคนใกล้ ๆ อย่างระแวดระวังกลัวว่าเขาหรือเธอจะเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย
“เอาล่ะจ๊ะ  เสียเวลากันมามากแล้ว  ใครจะให้แซนดี้ตัดผมให้ก่อนเอ่ย?”
“ถ้าจะไม่ทันแล้วว่ะ”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น