ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : สีสันของชีวิต (รึเปล่า?)
สีสันของชีวิต (รึเปล่า?)
“ซองผ้าป่า?”
โป๊ก
เสียงกำปั้นกระแทกเข้ากับหัวผมแบบไม่มีการออมแรง  ผมยกมือขึ้นมาคลำหัวตัวเองในขณะที่คนเขกสะบัดมือไปมา
“ซองผ้าป่าบ้านแกสิ  บัตรเชิญโว้ย”
วุธพูดทั้ง ๆ ที่ยังสะบัดมือที่เริ่มจะแดง
“บัตรเชิญ?  เชิญไปไหน  เมื่อไหร่  งานใคร”
“อ่านหนังสือออกก็แกะออกมาอ่านสิวะ  จะถามไปทำไม  บัตรเชิญก็อยู่ในมือแล้วแท้ ๆ “
ผมแกะซองสีขาวในมือด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ เพราะกลัวเดี๋ยวฉีกไม่สวยจนคนให้กระชากเอามันไปแกะเอง  วุธฉีกซองจดหมายอย่างไม่ใยดี  ไอ้บ้า  คนเขาอุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจแกะ  กลัวซองจะเสียรูป  แกมาฉีกเป็นชิ้น ๆ แบบนี้ได้ไงวะ
“เอ้า”
วุธยื่นกระดาษที่เคยอยู่ในอดีตซองจดหมายซึ่งบัดนี้กลายเป็นเศษกระดาษอยู่ในมือวุธเรียบร้อยแล้ว มาให้ผม (ยังดีที่มันไม่ฉีกกระดาษจดหมายไปด้วย) ผมรับกระดาษสีครีมอ่อน  อ่อนจนกลายเป็นสีขาวคลีออกมาอ่าน
“อ่านไม่ออกง่ะ”
เปิดออกมาตัวอักษรบรรทัดแรกก็เป็นภาษาจีนแล้ว  ลายเส้นสีทองอร่ามตวัดไปมาตามสไตล์จีน ๆ โชว์เด่นหลาอยู่กลางหน้ากระดาษ  อย่าว่าแต่อ่านเลย  ดูยังดูไม่ออกเลยว่ามันมีกี่ขีด    ( *ตัวอักษรภาษาจีนจะแบ่งระดับตามจำนวนเส้นที่ใช้ประกอบตัวอักษร* )
โป๊ก
อย่าถามนะว่าเสียงอะไร  ผมบอกเองได้  ก็มือไอ้วุธกับหัวผมน่ะสิ  มันเขกหัวผมอีกแล้ว
“ไอ้โง่  นั่นมันลายกระดาษ  ข้อความมันอยู่อีกด้านเฟ้ย”
“อ้าว เหรอ”
ผมพลิกกระดาษอีกด้านขึ้นมาอ่านออกเสียงดัง ๆ แบบเด็กอนุบาลอ่านหนังสือ (ลากเสียงยาว ๆ  ใครนึกไม่ออกลองแวะผ่านห้องเด็กอนุบาลแล้วจะรู้) ส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นมาลูบหัวตัวเอง
“ขอเชิญท่านผู้มีเกียรติเข้าร่วมงานครบฉลองของบริษัทชางคอบเปอเรชั่น  ในวันที่ 14 มีนาคม  เวลา 17.00 น. ณ โรงแรมแทงกอลิล่า  ชื่อโรงแรมแปลกดีว่ะ  สมเป็นบัตรเชิญจากบ้านแกจริง ๆ สั้นชะมัด”
“ขี้เกียจคิดอะไรยาว ๆ  สั้นแต่รู้เรื่องก็พอ”
“แต่เดือนหน้านี่  มีเวลาอีกยาว”
“ว่าแต่แกเหอะ สารรูปแบบเนี้ยอ่ะ  จะไปมัย”
“พูดเหมือนฉันกลายเป็นโถส้วม  คงไม่ไปล่ะมั้ง  อย่างที่แกพูดแหละ  สารรูปแบบเนี้ย  จะไปออกงานได้ไง  ขายขี้หน้าเขาตาย”
“ได้อยู่แล้ว  ตอนเนี้ยแกสวยจะตาย”
“ถ้าแกชมว่าหล่อฉันจะดีใจมาก”
ผมพูดอย่างเซ็ง ๆ  ไม่มีผู้ชายที่ไหนจะดีใจเมื่อมีคนชมว่าตัวเองสวยหรอก (ยกเว้นไว้พวกหนึ่ง  ของละไว้ในฐานที่เข้าใจ...กันเอง)
“น่า น่า ผู้ชายหน้าหวานก็มีถมเถไป  อย่างแกอาจจะหน้าหวาน งามไปสักนิด  ถ้าตัดผมออกหน่อย  แต่งตัวปกติ  ก็ดูเป็นผู้ชายแล้ว”
“ว่างั้นเหรอ”
“เออสิ”
วุธทำหน้าเซลแมน (หน้าจริงใจ) เป็นการยืนยัน
“งั้นวันนี้แกไปตัดผมเลยก็ได้  เดี๋ยวฉันพาไปเอง”
“คงไม่ได้ว่ะ”
“ทำไมวะ?”
“แม่ฉันไม่ให้ตัดผม”
“ทำไมวะ?”
“เขาชอบแบบนี้  บอกว่าเหมือนมีลูกสาวอีกคน  ไว้ผมยาวแล้วดูสมเป็นผู้หญิงดี”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไอ้วุธมันกำลังกลั้นหัวเราะ  หน้ามันตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับภาพปิกัสโซ่เลย  คงจะพยายามมาก
“แล้วพ่อแกไม่ห้าม?”
“แกก็น่าจะรู้ว่าพ่อฉันเป็นยังไง  ตามใจเป็นเมียบังเกิดเกล้าเลย”
“55555555  โทษ ๆ ไม่ไหวแล้ว  ขอเวลาสงบสติอารมณ์เดี๋ยว 5555555555”
วุธหัวเราอย่างอดไม่ได้  ผมรู้ดีว่ามันกลั้นมานานแล้ว  แต่นี่มันหน้าหมั่นไส้ไปหน่อย  หัวเราะแบบไม่มีเกรงใจกันบ้างเลย
“เดี๋ยวฉันช่วยสงบสติอารมณ์ให้แกเองเอามัย  เลือกเอาว่าจะหุบปากเองหรือจะให้ฉันช่วย”
ผมพูดเสียงเรียบ  วุธหุบปากสงบทันทีโดยไม่รอรับการช่วยเหลือจากผม (ว่าจะยันมันลงไปพิสูจน์คุณภาพของกระเบื้องซะหน่อย)
“น่า น่า อย่าเพิ่งงอนเลยน่า  เดี๋ยวฉันพูดกับคุณป้าให้  แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปรับที่โรงเรียนพาแกไปตัดผม  แล้วก็ไปค้างที่บ้านฉันเลย  แม่บ่นคิดถึงแก  บอกว่าตั้งแต่ออกจากโรงบาลแล้วยังไม่ได้เจอหน้าแกเลย”
“ได้เจอคราวนี้ฉันกลัวว่าจะไม่ได้กลับออกจากบ้านแกอีกเลยน่ะสิ”
ผมนึกถึงคุณนายชางแม่ของวุธ  เธอเป็นหญิงแกร่งเจ้าของบริษัทชางคอบเปอเรชั่นหนึ่งในสามเพื่อนสนิทของพ่อผม  แม้ว่าอายุจะล่วงเลยเกินเลข  3 ไปแล้วแต่เธอก็ยังแข็งแรง  งดงาม  ทรงอำนาจและทรงพลังจนผมนึกสงสัยว่าเธอโด๊ปอะไรก่อนออกจากบ้านทุกวัน  ผมยังเคยคิดเลยว่าเธอเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พ่อของผมเกรงใจผู้หญิงเพราะขนาดคุณชางมาเฟียฮ่องกงสามีสุดที่รักของเธอ พ่อของวุธยังต้องอยู่ในโอวาทของคุณนายแกอย่างมิอาจโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น  ที่สำคัญคือเธอรักผมซึ่งเป็นลูกของเพื่อนสนิทมาก ๆ  ย้ำ  ลูกของเพื่อนสนิท  เนื่องจากวันที่ผมเกิดดันตรงกับวันเกิดของเธอพอดี  ถึงขนาดมีอะไรก็ต้องส่งมาให้ผมแทนที่จะให้วุธซึ่งเป็นลูกแท้ ๆ  นี่คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งล่ะมั้งที่ทำให้วุธไม่ชอบขี้หน้าผมตอนที่เราเจอกันใหม่ ๆ
“นั่นสิ  แม่ฉันยิ่งเอ็นดูแกอยู่  ถ้ามาเห็นสภาพแกตอนนี้คงไม่ปล่อยไปง่าย ๆ แน่”
วุธพยักหน้าเห็นด้วยกับที่ผมพูด  ฟังดูเหมือนมันขู่  แต่ผมรู้ว่ามันไม่ได้ขู่  มันคิดแบบเดียวกับผมจริง ๆ
“เดาได้ว่าแม่ฉันคงจะเพิ่มความเอ็นดูให้แกอีกหลายเท่า  น่าสงสารแกจริง ๆ ว่ะที่ดันเกิดตรงกับวันเกิดแม่ฉันพอดี”
“โฮ้  แก  ฉันไม่ไปไม่ได้เหรอ”
“เสียใจว่ะ  ที่จริงแม่ฉันจะให้แกไปวันนี้เลย  เขาคิดจะให้แกไปตั้งนานแล้วแต่ติดว่านี้แกเรียนเลยจะรอให้ถึงวันศุกร์  ตอนแรกเขาคิดจะไปรับแกที่โรงเรียนพรุ่งนี้ด้วยตัวเอง  ฉันก็เลยบอกว่าเดี๋ยวฉันไปรับแกเองดีกว่า  เขาเลยไล่ให้ฉันมาหาแกถึงนี้ไงแถมยังใช้ให้เอาบัตรเชิญมาให้แกด้วย”
“โห่  แก  แกเป็นเพื่อนที่ประเสริฐมาก”
ผมพูดด้วยความจริงใจและรู้สึกขอบคุณจริง ๆ ครั้งสุดท้ายที่คุณนายชางไปรับผมที่โรงเรียนเล่นเอาเพื่อนผมหายไปเกินครึ่ง  ถ้าเธอไปคนเดียวผมจะไม่ว่าอะไรเลย  แต่นี่เธอเลยเอาลูกน้องของคุณลุงไปด้วยนี่สิ  แต่ละคนทำหน้าเหมือนปวดขี้ (หน้าโหดไม่รับแขก) ใครเห็นก็ชิ่งหนีกันหมด
“ว่าแต่แกอยู่โรงเรียนอะไร”
“พระแม่มาเรียคอนแวน”
“อืม ๆ แล้วจะให้ไปรอที่ไหนล่ะ”
“ประตูหลัง  ตึกฉันอยู่ตรงนั้น  แกไปรออยู่ตรงต้นหมอดูละกัน  ตรงนั้นมีอยู่ต้นเดียว”
“ต้นอะไรวะ หมอดู”
“ต้นมะขามไง  แกนี่ไม่รับมุขเลยว่ะ”
....................................................................................................................................................
ทุกวันตอนเช้าก่อนคาบแรกครึ่งชั่วโมงจะเป็นโฮมรูม  เป็นช่วงเวลาที่ครูประจำชั้นกับนักเรียนจะได้พูดคุยตกลงกัน (หรือพูดให้เข้าใจกันจริง ๆ คือ ช่วงเวลาที่นักเรียนจะโดนครูด่าก่อนเรียนนั่นเอง)  วันนี้ก็เช่นกัน  หลังจากเดินเข้ามานั่งในห้องได้ไม่นาน  อาจารย์แว่นที่ตอนหลังผมพึ่งรู้จากนิดว่าเฮียแกชื่อ เกียรติศักดิ์ ก็เดินเข้ามาพร้อมกับอาวุธประจำกาย  ไม้เรียวกายสิทธิ์ เสียงดังป๊าบ ๆ ที่เกิดจากการฟาดไม้ลงไปที่โต๊ะบวกกับเสียงอันทรงอำนาจราวกับลงคุณศัยเอาไว้ทำเอาเหล่าลูกลิงตัวเท่ากระบือในห้องหุบปากพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย  ห้องทั้งห้องที่เคยเสียงดังราวกับตลาดนัดวัดใกล้ ๆ บ้านกลายเป็นป่าช้าในวัดไปโดยปริยาย
“ไปกินรังแตนมาจากไหนว่ะ”
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหน้าผมโยกตัวไปกระซิบกับเพื่อนข้าง ๆ
“ไม่รู้ว่ะ  ใครไปมีเรื่องอะไรอีกหรือไงว่ะ”
“ข้าถามเอ็งก่อนนะเว้ย”
“ว้ะ  ก็นั่งอยู่ด้วยกันเอ็งไม่รู้แล้วข้าจะรู้เหรอไงว่ะ”
เออดี  เถียงกันเข้าไป  ผมส่ายหน้าให้กับความปัญญาอ่อนของไอ้เพื่อนร่วมห้อง 2 ตัวนี่จริง ๆ  ชายหนุ่มที่นั่งอยู่โต๊ะตัวข้างหน้าผมนี้ชื่อว่า สุบิน หรือ ไอ้หญ้า  ด้วยรูปร่างล่ำสันบวกกับส่วนสูง 160 กว่า ๆ ทำให้ผมนึกถึง กอลิล่า ขึ้นมาตอนที่ผมเจอหน้ามันครั้งแรก  ข้าง ๆ กันเป็นชายหนุ่มอีกคนชื่อ วรพร  หรือ หยอย  ที่มาของชื่อเล่นนี้เกิดจากที่ผมอันหยิกหยอยของมันนั่นเอง
เสียงไม้ฟาดกับโต๊ะดังขึ้นอีกชุดเมื่อป่าช้า เอ๊ย ห้องเรียนเริ่มจะกลายเป็นตลาดสดอีกรอบ (เมื่อกี้มันตลาดนัดไม่ใช่เรอะ?) เสียงของไม้ที่ฟาดลงไปนั้นทำเอาคนในห้องหลายคนสะดุ้งขึ้นเหมือนโดนน้ำมนต์สาดใส่
“วันนี้ใครมันมาไม่ทันเข้าแถว”
เฮียศักดิ์ถามเสียงเครียดแบบโกรธกันมา 10 ชาติ  แน่ล่ะ  ไม่มีไอ้บ้าตัวไหนกล้าขยับเลย รวมทั้งผมด้วยล่ะ (วันแรกมาไม่เห็นเฮียแกโหดแบบนี้นี่หว่า  ไหงวันนี้ผีเข้า หรือว่าออก?)
“ฉันถามว่าวันนี้ใครมาไม่ทันเข้าแถว”
จารย์แว่นแกถามย้ำอีกรอบ  และก็แน่อีกล่ะว่าคำตอบเหมือนเดิมแด๊ะ  เงียบสนิท  ไม่มีใครตอบแกสักคน  เสียงไม้ฟาดโต๊ะอีกรอบพร้อมกับสายตาที่มองผ่านไปรอบ ๆ ห้องแบบสำรวจ
“นี่แก ไอ้เตี้ย  แกมาตอนกี่โมง  เมื่อเช้าฉันไม่เห็นแกเข้าแถว”
เหยื่อรายแรกมาแล้ว  เตี้ย หรือ พัทพง ค่อย ๆ ยืนขึ้นด้วยสีหน้าแหย ๆ ก่อนจะตอบไปด้วยเสียงที่เบาหวิว
“8 โมงครับ”
“เขาเข้าแถวกันกี่โมง”
“7 โมง 45 ครับ”
“แกเดินออกมานี่เลย  มาให้ฉันฟาดซะดี ๆ”
ครืด ~
“ขออนุญาตครับ”
ทุกคนในห้องหันไปมาคนที่อยู่ตรงประตู  ชายหนุ่มผู้มาใหม่วางกระเป๋านักเรียนไว้ข้าง ๆ ตัวส่วนมือสองข้างก็ยกขึ้นไหว้จารย์แกทีหนึ่งก่อนจะเดินเข้ามาให้ห้อง
“ใครอนุญาตให้แกเดินเข้ามา  นี่มันกี่โมงแล้วห๊ะ ไอ้วิทิต”
เหยื่อรายที่ 2 ที่กำลังจะเดินไปนั่งที่รีบวิ่งกลับไปยืนอยู่ที่หน้าประตูอย่างรวดเร็วพร้อมกับก้มมองนาฬิกาที่ขอมือตัวเอง
“8 โมง 15 ครับ”
“พัชนี!  อ่านที่ฉันพูดซิ”
คนที่ชื่อพัชนีหรือที่คนในห้องเรียกกันว่า แจ๋น ก้มลงหยิบสมุดจดออกมาจากกระเป๋าก่อนจะเปิดมันออกมาอ่านด้วยเสียงดังฟังชัด
“มาตอนเพลงขึ้น 1 ที  มาตอนที่เขาสวดมนต์เสร็จแล้วอีก 2 ที มาหลังจากที่ครูเขามาให้ห้องแล้วอีก 3 ที  มาตอนคาบ 1 นับตามเวลาที่สายนาทีละบาท”
“แกมานี่เลยไอ้วิทิต  ทำไมถึงมาสาย”
“หมาแถวบ้านตายครับ”
“หมาแถวบ้านตายแล้วเกี่ยวอะไรกับแก  แกต้องไปจัดงานศพให้มันหรือไงห๊ะ  มานี่เลย  ที่หลังจะหาขอแก้ตัว  ก็หาให้มันเข้าท่ากว่านี่หน่อย”
ครูศักดิ์จัดการฟาดก้นวิทิตไป 6 ที  ชายหนุ่มบิดตัวไปมาก่อนจะรีบเด็งกระโดดกลับไปที่โต๊ะตัวเอง  หลังจากจัดการเหยื่อรายที่ 2 แล้ว  ความสนใจทั้งหมดก็กลับมาที่พัทพงอีกครั้ง
“ทำไมถึงมาสาย”
“กินข้าวครับ”
“แกตื่นกี่โมง”
“6 โมงครึ่ง”
“อาบน้ำเสร็จกี่โมง”
“7 โมงครับ”
“แกกินข้าวเป็นชั่วโมงเลยรึไง  วันหลังแกก็หยุดเรียนไปกินข้าวเลยละกัน”
พูดจบเฮียแกก็ลงไม้ฉลองให้ไป 3 ที และพัทพงก็เดินบิดตูดด้วยอาการเดียวกับวิทิตกลับเข้าที่ไป
“พัชนี  อ่านกติกาซิ  พรุ่งนี้ถ้าใครมาสายจะเป็นยังไง”
“มาไม่ทันเข้าแถว 5 บาท  มาตอนขึ้นห้อง 10 บาท  มาตอนคาบหนึ่ง 10 บาท คาบสอง 10 บาท คาบสาม 10 บาท คาบสี่ 10 บาท ไม่มาทั้งวัน 45 บาท”
เฮ้ย  นี่มันกติกาบ้าอะไรเนี่ย  เอ๊ะ  แต่เดี๋ยว  พรุ่งนี้มันวันเสาร์
“พรุ่งนี้วันเสาร์?”
“แล้วแกจะไม่มาเรียนหรือไง”
เฮียศักดิ์หันขวับมาที่ผม  ผมรวบรวมความคาถาอาคมทั้งหมดที่มีขึ้นมา (คนนะโว้ย ไม่ใช่ผี) ก่อนจะพูดออกไป
“แต่ผ.. หนูไม่ได้เรียนวันเสาร์”
“เขาบังคับให้เรียนกันทุกคน”
อะไรว่ะ 
“งั้นผ.. หนูขอเริ่มเรียนเดือนหน้า  เพราะเดือนนี้ก็อีกครั้งเดียวเอง”
ผมพูดอย่างกระดากปากยังไงชอบกลที่ต้องแทนตัวเองเป็นหนู
“ก็ได้  หยิบหนังสือวิชาต่อไปขึ้นมา  อาจารย์เขามาแล้ว”
พูดจบเฮียแกก็เดินออกไปจากห้องทันทีโดยไม่ลืมหยิบอาวุธประจำกายไปด้วย  และห้องเรียนก็กลายเป็นตลาดอีกครั้งหนึ่ง
อ่านเมนท์ข้างต้องรีบเอามาลงให้จบตอน  เล่นจะเสียบกันแบบนี้  ตอนใหม่เจอกันวันจันทร์ครับ
“ซองผ้าป่า?”
โป๊ก
เสียงกำปั้นกระแทกเข้ากับหัวผมแบบไม่มีการออมแรง  ผมยกมือขึ้นมาคลำหัวตัวเองในขณะที่คนเขกสะบัดมือไปมา
“ซองผ้าป่าบ้านแกสิ  บัตรเชิญโว้ย”
วุธพูดทั้ง ๆ ที่ยังสะบัดมือที่เริ่มจะแดง
“บัตรเชิญ?  เชิญไปไหน  เมื่อไหร่  งานใคร”
“อ่านหนังสือออกก็แกะออกมาอ่านสิวะ  จะถามไปทำไม  บัตรเชิญก็อยู่ในมือแล้วแท้ ๆ “
ผมแกะซองสีขาวในมือด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ เพราะกลัวเดี๋ยวฉีกไม่สวยจนคนให้กระชากเอามันไปแกะเอง  วุธฉีกซองจดหมายอย่างไม่ใยดี  ไอ้บ้า  คนเขาอุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจแกะ  กลัวซองจะเสียรูป  แกมาฉีกเป็นชิ้น ๆ แบบนี้ได้ไงวะ
“เอ้า”
วุธยื่นกระดาษที่เคยอยู่ในอดีตซองจดหมายซึ่งบัดนี้กลายเป็นเศษกระดาษอยู่ในมือวุธเรียบร้อยแล้ว มาให้ผม (ยังดีที่มันไม่ฉีกกระดาษจดหมายไปด้วย) ผมรับกระดาษสีครีมอ่อน  อ่อนจนกลายเป็นสีขาวคลีออกมาอ่าน
“อ่านไม่ออกง่ะ”
เปิดออกมาตัวอักษรบรรทัดแรกก็เป็นภาษาจีนแล้ว  ลายเส้นสีทองอร่ามตวัดไปมาตามสไตล์จีน ๆ โชว์เด่นหลาอยู่กลางหน้ากระดาษ  อย่าว่าแต่อ่านเลย  ดูยังดูไม่ออกเลยว่ามันมีกี่ขีด    ( *ตัวอักษรภาษาจีนจะแบ่งระดับตามจำนวนเส้นที่ใช้ประกอบตัวอักษร* )
โป๊ก
อย่าถามนะว่าเสียงอะไร  ผมบอกเองได้  ก็มือไอ้วุธกับหัวผมน่ะสิ  มันเขกหัวผมอีกแล้ว
“ไอ้โง่  นั่นมันลายกระดาษ  ข้อความมันอยู่อีกด้านเฟ้ย”
“อ้าว เหรอ”
ผมพลิกกระดาษอีกด้านขึ้นมาอ่านออกเสียงดัง ๆ แบบเด็กอนุบาลอ่านหนังสือ (ลากเสียงยาว ๆ  ใครนึกไม่ออกลองแวะผ่านห้องเด็กอนุบาลแล้วจะรู้) ส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นมาลูบหัวตัวเอง
“ขอเชิญท่านผู้มีเกียรติเข้าร่วมงานครบฉลองของบริษัทชางคอบเปอเรชั่น  ในวันที่ 14 มีนาคม  เวลา 17.00 น. ณ โรงแรมแทงกอลิล่า  ชื่อโรงแรมแปลกดีว่ะ  สมเป็นบัตรเชิญจากบ้านแกจริง ๆ สั้นชะมัด”
“ขี้เกียจคิดอะไรยาว ๆ  สั้นแต่รู้เรื่องก็พอ”
“แต่เดือนหน้านี่  มีเวลาอีกยาว”
“ว่าแต่แกเหอะ สารรูปแบบเนี้ยอ่ะ  จะไปมัย”
“พูดเหมือนฉันกลายเป็นโถส้วม  คงไม่ไปล่ะมั้ง  อย่างที่แกพูดแหละ  สารรูปแบบเนี้ย  จะไปออกงานได้ไง  ขายขี้หน้าเขาตาย”
“ได้อยู่แล้ว  ตอนเนี้ยแกสวยจะตาย”
“ถ้าแกชมว่าหล่อฉันจะดีใจมาก”
ผมพูดอย่างเซ็ง ๆ  ไม่มีผู้ชายที่ไหนจะดีใจเมื่อมีคนชมว่าตัวเองสวยหรอก (ยกเว้นไว้พวกหนึ่ง  ของละไว้ในฐานที่เข้าใจ...กันเอง)
“น่า น่า ผู้ชายหน้าหวานก็มีถมเถไป  อย่างแกอาจจะหน้าหวาน งามไปสักนิด  ถ้าตัดผมออกหน่อย  แต่งตัวปกติ  ก็ดูเป็นผู้ชายแล้ว”
“ว่างั้นเหรอ”
“เออสิ”
วุธทำหน้าเซลแมน (หน้าจริงใจ) เป็นการยืนยัน
“งั้นวันนี้แกไปตัดผมเลยก็ได้  เดี๋ยวฉันพาไปเอง”
“คงไม่ได้ว่ะ”
“ทำไมวะ?”
“แม่ฉันไม่ให้ตัดผม”
“ทำไมวะ?”
“เขาชอบแบบนี้  บอกว่าเหมือนมีลูกสาวอีกคน  ไว้ผมยาวแล้วดูสมเป็นผู้หญิงดี”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไอ้วุธมันกำลังกลั้นหัวเราะ  หน้ามันตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับภาพปิกัสโซ่เลย  คงจะพยายามมาก
“แล้วพ่อแกไม่ห้าม?”
“แกก็น่าจะรู้ว่าพ่อฉันเป็นยังไง  ตามใจเป็นเมียบังเกิดเกล้าเลย”
“55555555  โทษ ๆ ไม่ไหวแล้ว  ขอเวลาสงบสติอารมณ์เดี๋ยว 5555555555”
วุธหัวเราอย่างอดไม่ได้  ผมรู้ดีว่ามันกลั้นมานานแล้ว  แต่นี่มันหน้าหมั่นไส้ไปหน่อย  หัวเราะแบบไม่มีเกรงใจกันบ้างเลย
“เดี๋ยวฉันช่วยสงบสติอารมณ์ให้แกเองเอามัย  เลือกเอาว่าจะหุบปากเองหรือจะให้ฉันช่วย”
ผมพูดเสียงเรียบ  วุธหุบปากสงบทันทีโดยไม่รอรับการช่วยเหลือจากผม (ว่าจะยันมันลงไปพิสูจน์คุณภาพของกระเบื้องซะหน่อย)
“น่า น่า อย่าเพิ่งงอนเลยน่า  เดี๋ยวฉันพูดกับคุณป้าให้  แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปรับที่โรงเรียนพาแกไปตัดผม  แล้วก็ไปค้างที่บ้านฉันเลย  แม่บ่นคิดถึงแก  บอกว่าตั้งแต่ออกจากโรงบาลแล้วยังไม่ได้เจอหน้าแกเลย”
“ได้เจอคราวนี้ฉันกลัวว่าจะไม่ได้กลับออกจากบ้านแกอีกเลยน่ะสิ”
ผมนึกถึงคุณนายชางแม่ของวุธ  เธอเป็นหญิงแกร่งเจ้าของบริษัทชางคอบเปอเรชั่นหนึ่งในสามเพื่อนสนิทของพ่อผม  แม้ว่าอายุจะล่วงเลยเกินเลข  3 ไปแล้วแต่เธอก็ยังแข็งแรง  งดงาม  ทรงอำนาจและทรงพลังจนผมนึกสงสัยว่าเธอโด๊ปอะไรก่อนออกจากบ้านทุกวัน  ผมยังเคยคิดเลยว่าเธอเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พ่อของผมเกรงใจผู้หญิงเพราะขนาดคุณชางมาเฟียฮ่องกงสามีสุดที่รักของเธอ พ่อของวุธยังต้องอยู่ในโอวาทของคุณนายแกอย่างมิอาจโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น  ที่สำคัญคือเธอรักผมซึ่งเป็นลูกของเพื่อนสนิทมาก ๆ  ย้ำ  ลูกของเพื่อนสนิท  เนื่องจากวันที่ผมเกิดดันตรงกับวันเกิดของเธอพอดี  ถึงขนาดมีอะไรก็ต้องส่งมาให้ผมแทนที่จะให้วุธซึ่งเป็นลูกแท้ ๆ  นี่คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งล่ะมั้งที่ทำให้วุธไม่ชอบขี้หน้าผมตอนที่เราเจอกันใหม่ ๆ
“นั่นสิ  แม่ฉันยิ่งเอ็นดูแกอยู่  ถ้ามาเห็นสภาพแกตอนนี้คงไม่ปล่อยไปง่าย ๆ แน่”
วุธพยักหน้าเห็นด้วยกับที่ผมพูด  ฟังดูเหมือนมันขู่  แต่ผมรู้ว่ามันไม่ได้ขู่  มันคิดแบบเดียวกับผมจริง ๆ
“เดาได้ว่าแม่ฉันคงจะเพิ่มความเอ็นดูให้แกอีกหลายเท่า  น่าสงสารแกจริง ๆ ว่ะที่ดันเกิดตรงกับวันเกิดแม่ฉันพอดี”
“โฮ้  แก  ฉันไม่ไปไม่ได้เหรอ”
“เสียใจว่ะ  ที่จริงแม่ฉันจะให้แกไปวันนี้เลย  เขาคิดจะให้แกไปตั้งนานแล้วแต่ติดว่านี้แกเรียนเลยจะรอให้ถึงวันศุกร์  ตอนแรกเขาคิดจะไปรับแกที่โรงเรียนพรุ่งนี้ด้วยตัวเอง  ฉันก็เลยบอกว่าเดี๋ยวฉันไปรับแกเองดีกว่า  เขาเลยไล่ให้ฉันมาหาแกถึงนี้ไงแถมยังใช้ให้เอาบัตรเชิญมาให้แกด้วย”
“โห่  แก  แกเป็นเพื่อนที่ประเสริฐมาก”
ผมพูดด้วยความจริงใจและรู้สึกขอบคุณจริง ๆ ครั้งสุดท้ายที่คุณนายชางไปรับผมที่โรงเรียนเล่นเอาเพื่อนผมหายไปเกินครึ่ง  ถ้าเธอไปคนเดียวผมจะไม่ว่าอะไรเลย  แต่นี่เธอเลยเอาลูกน้องของคุณลุงไปด้วยนี่สิ  แต่ละคนทำหน้าเหมือนปวดขี้ (หน้าโหดไม่รับแขก) ใครเห็นก็ชิ่งหนีกันหมด
“ว่าแต่แกอยู่โรงเรียนอะไร”
“พระแม่มาเรียคอนแวน”
“อืม ๆ แล้วจะให้ไปรอที่ไหนล่ะ”
“ประตูหลัง  ตึกฉันอยู่ตรงนั้น  แกไปรออยู่ตรงต้นหมอดูละกัน  ตรงนั้นมีอยู่ต้นเดียว”
“ต้นอะไรวะ หมอดู”
“ต้นมะขามไง  แกนี่ไม่รับมุขเลยว่ะ”
....................................................................................................................................................
ทุกวันตอนเช้าก่อนคาบแรกครึ่งชั่วโมงจะเป็นโฮมรูม  เป็นช่วงเวลาที่ครูประจำชั้นกับนักเรียนจะได้พูดคุยตกลงกัน (หรือพูดให้เข้าใจกันจริง ๆ คือ ช่วงเวลาที่นักเรียนจะโดนครูด่าก่อนเรียนนั่นเอง)  วันนี้ก็เช่นกัน  หลังจากเดินเข้ามานั่งในห้องได้ไม่นาน  อาจารย์แว่นที่ตอนหลังผมพึ่งรู้จากนิดว่าเฮียแกชื่อ เกียรติศักดิ์ ก็เดินเข้ามาพร้อมกับอาวุธประจำกาย  ไม้เรียวกายสิทธิ์ เสียงดังป๊าบ ๆ ที่เกิดจากการฟาดไม้ลงไปที่โต๊ะบวกกับเสียงอันทรงอำนาจราวกับลงคุณศัยเอาไว้ทำเอาเหล่าลูกลิงตัวเท่ากระบือในห้องหุบปากพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย  ห้องทั้งห้องที่เคยเสียงดังราวกับตลาดนัดวัดใกล้ ๆ บ้านกลายเป็นป่าช้าในวัดไปโดยปริยาย
“ไปกินรังแตนมาจากไหนว่ะ”
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหน้าผมโยกตัวไปกระซิบกับเพื่อนข้าง ๆ
“ไม่รู้ว่ะ  ใครไปมีเรื่องอะไรอีกหรือไงว่ะ”
“ข้าถามเอ็งก่อนนะเว้ย”
“ว้ะ  ก็นั่งอยู่ด้วยกันเอ็งไม่รู้แล้วข้าจะรู้เหรอไงว่ะ”
เออดี  เถียงกันเข้าไป  ผมส่ายหน้าให้กับความปัญญาอ่อนของไอ้เพื่อนร่วมห้อง 2 ตัวนี่จริง ๆ  ชายหนุ่มที่นั่งอยู่โต๊ะตัวข้างหน้าผมนี้ชื่อว่า สุบิน หรือ ไอ้หญ้า  ด้วยรูปร่างล่ำสันบวกกับส่วนสูง 160 กว่า ๆ ทำให้ผมนึกถึง กอลิล่า ขึ้นมาตอนที่ผมเจอหน้ามันครั้งแรก  ข้าง ๆ กันเป็นชายหนุ่มอีกคนชื่อ วรพร  หรือ หยอย  ที่มาของชื่อเล่นนี้เกิดจากที่ผมอันหยิกหยอยของมันนั่นเอง
เสียงไม้ฟาดกับโต๊ะดังขึ้นอีกชุดเมื่อป่าช้า เอ๊ย ห้องเรียนเริ่มจะกลายเป็นตลาดสดอีกรอบ (เมื่อกี้มันตลาดนัดไม่ใช่เรอะ?) เสียงของไม้ที่ฟาดลงไปนั้นทำเอาคนในห้องหลายคนสะดุ้งขึ้นเหมือนโดนน้ำมนต์สาดใส่
“วันนี้ใครมันมาไม่ทันเข้าแถว”
เฮียศักดิ์ถามเสียงเครียดแบบโกรธกันมา 10 ชาติ  แน่ล่ะ  ไม่มีไอ้บ้าตัวไหนกล้าขยับเลย รวมทั้งผมด้วยล่ะ (วันแรกมาไม่เห็นเฮียแกโหดแบบนี้นี่หว่า  ไหงวันนี้ผีเข้า หรือว่าออก?)
“ฉันถามว่าวันนี้ใครมาไม่ทันเข้าแถว”
จารย์แว่นแกถามย้ำอีกรอบ  และก็แน่อีกล่ะว่าคำตอบเหมือนเดิมแด๊ะ  เงียบสนิท  ไม่มีใครตอบแกสักคน  เสียงไม้ฟาดโต๊ะอีกรอบพร้อมกับสายตาที่มองผ่านไปรอบ ๆ ห้องแบบสำรวจ
“นี่แก ไอ้เตี้ย  แกมาตอนกี่โมง  เมื่อเช้าฉันไม่เห็นแกเข้าแถว”
เหยื่อรายแรกมาแล้ว  เตี้ย หรือ พัทพง ค่อย ๆ ยืนขึ้นด้วยสีหน้าแหย ๆ ก่อนจะตอบไปด้วยเสียงที่เบาหวิว
“8 โมงครับ”
“เขาเข้าแถวกันกี่โมง”
“7 โมง 45 ครับ”
“แกเดินออกมานี่เลย  มาให้ฉันฟาดซะดี ๆ”
ครืด ~
“ขออนุญาตครับ”
ทุกคนในห้องหันไปมาคนที่อยู่ตรงประตู  ชายหนุ่มผู้มาใหม่วางกระเป๋านักเรียนไว้ข้าง ๆ ตัวส่วนมือสองข้างก็ยกขึ้นไหว้จารย์แกทีหนึ่งก่อนจะเดินเข้ามาให้ห้อง
“ใครอนุญาตให้แกเดินเข้ามา  นี่มันกี่โมงแล้วห๊ะ ไอ้วิทิต”
เหยื่อรายที่ 2 ที่กำลังจะเดินไปนั่งที่รีบวิ่งกลับไปยืนอยู่ที่หน้าประตูอย่างรวดเร็วพร้อมกับก้มมองนาฬิกาที่ขอมือตัวเอง
“8 โมง 15 ครับ”
“พัชนี!  อ่านที่ฉันพูดซิ”
คนที่ชื่อพัชนีหรือที่คนในห้องเรียกกันว่า แจ๋น ก้มลงหยิบสมุดจดออกมาจากกระเป๋าก่อนจะเปิดมันออกมาอ่านด้วยเสียงดังฟังชัด
“มาตอนเพลงขึ้น 1 ที  มาตอนที่เขาสวดมนต์เสร็จแล้วอีก 2 ที มาหลังจากที่ครูเขามาให้ห้องแล้วอีก 3 ที  มาตอนคาบ 1 นับตามเวลาที่สายนาทีละบาท”
“แกมานี่เลยไอ้วิทิต  ทำไมถึงมาสาย”
“หมาแถวบ้านตายครับ”
“หมาแถวบ้านตายแล้วเกี่ยวอะไรกับแก  แกต้องไปจัดงานศพให้มันหรือไงห๊ะ  มานี่เลย  ที่หลังจะหาขอแก้ตัว  ก็หาให้มันเข้าท่ากว่านี่หน่อย”
ครูศักดิ์จัดการฟาดก้นวิทิตไป 6 ที  ชายหนุ่มบิดตัวไปมาก่อนจะรีบเด็งกระโดดกลับไปที่โต๊ะตัวเอง  หลังจากจัดการเหยื่อรายที่ 2 แล้ว  ความสนใจทั้งหมดก็กลับมาที่พัทพงอีกครั้ง
“ทำไมถึงมาสาย”
“กินข้าวครับ”
“แกตื่นกี่โมง”
“6 โมงครึ่ง”
“อาบน้ำเสร็จกี่โมง”
“7 โมงครับ”
“แกกินข้าวเป็นชั่วโมงเลยรึไง  วันหลังแกก็หยุดเรียนไปกินข้าวเลยละกัน”
พูดจบเฮียแกก็ลงไม้ฉลองให้ไป 3 ที และพัทพงก็เดินบิดตูดด้วยอาการเดียวกับวิทิตกลับเข้าที่ไป
“พัชนี  อ่านกติกาซิ  พรุ่งนี้ถ้าใครมาสายจะเป็นยังไง”
“มาไม่ทันเข้าแถว 5 บาท  มาตอนขึ้นห้อง 10 บาท  มาตอนคาบหนึ่ง 10 บาท คาบสอง 10 บาท คาบสาม 10 บาท คาบสี่ 10 บาท ไม่มาทั้งวัน 45 บาท”
เฮ้ย  นี่มันกติกาบ้าอะไรเนี่ย  เอ๊ะ  แต่เดี๋ยว  พรุ่งนี้มันวันเสาร์
“พรุ่งนี้วันเสาร์?”
“แล้วแกจะไม่มาเรียนหรือไง”
เฮียศักดิ์หันขวับมาที่ผม  ผมรวบรวมความคาถาอาคมทั้งหมดที่มีขึ้นมา (คนนะโว้ย ไม่ใช่ผี) ก่อนจะพูดออกไป
“แต่ผ.. หนูไม่ได้เรียนวันเสาร์”
“เขาบังคับให้เรียนกันทุกคน”
อะไรว่ะ 
“งั้นผ.. หนูขอเริ่มเรียนเดือนหน้า  เพราะเดือนนี้ก็อีกครั้งเดียวเอง”
ผมพูดอย่างกระดากปากยังไงชอบกลที่ต้องแทนตัวเองเป็นหนู
“ก็ได้  หยิบหนังสือวิชาต่อไปขึ้นมา  อาจารย์เขามาแล้ว”
พูดจบเฮียแกก็เดินออกไปจากห้องทันทีโดยไม่ลืมหยิบอาวุธประจำกายไปด้วย  และห้องเรียนก็กลายเป็นตลาดอีกครั้งหนึ่ง
อ่านเมนท์ข้างต้องรีบเอามาลงให้จบตอน  เล่นจะเสียบกันแบบนี้  ตอนใหม่เจอกันวันจันทร์ครับ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น