ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : วุธ
วุธ
ทันทีที่เสียงออดบอกเวลาพักดังขึ้น  ผมก็รีบชิ่งหนีออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมฉุดแขนนิดให้ตามไปด้วย (หลังจากลืมมาหนหนึ่งแล้ว) โชคดีที่เคยังไม่ตื่น  ผมนับถือในความใจกล้าหน้าด้านของมันมาก  ขนาดนั่งอยู่แถวที่ 2 ใกล้โต๊ะครูมันยังกล้าหลับได้อย่างหน้าตาเฉย
“ซากุระจะรีบไปไหน”
“โทษที่  เรารีบมาก ๆ ๆ ถึงมากที่สุด”
“แล้วจะรีบไปไหนล่ะ”
“ไปไกล ๆ  เอ๊ย  ไม่ใช่  ไปหาที่เงียบ ๆ น่ะ”
“อ้าว  มาเร็วจังแฮะ”
เสียงอันดังมาจากด้านหลังพวกเรา  ท่าทางว่าสมองผมคงจะจดจำแล้งว่าที่ตรงนี้เป็นเขตปลอดภัย  เพราะยังไม่ทันรู้ตัวผมก็พานิดเดินมาถึงฐานลับของนิดซะแล้ว
“ที่ห้องเขาพูดกันล่ะว่า เมื่อเช้านี้เคสารภาพรักกับซากุระจัง  จริงเหรอ”
เฮ้ย  ทำไมข่าวมันเร็วอย่างนี้ล่ะ
“ไม่ใช่นะโบว์  เข้าใจผิดแล้ว”
“ไม่ใช่อะไร  ตะโกนกันเสียงออกดัง  เมื่อเช้าเราเดินผ่านหน้าห้องยังได้ยินเลย”
“ไม่มาเล่าให้ฟังเลยนะอัน  เก็บเงียบไว้คนเดียว  ปล่อยให้เรารู้จากปากคนอื่น”
“ก็พูดแล้วไง”
อันพูดอย่างไม่สนใจอะไรแถมยังหันมาทำหน้าล้อผมอีกด้วย
“เขินเหรอไงซากุ  เชื่อสิ  เดี๋ยวต้องมีคนมารุมถามเธอเรื่องนี้เพียบแน่  ไม่ต้องรอวันอื่นเลยแค่เย็นนี้ก็มีแล้ว”
“ทำไม  กะไอ้แค่เรื่องแค่นี้”
“ก็เคน่ะดังจะตาย”
“ใช่ ๆ หน้าตาก็ดี”
หน้าอย่างมันนี่นะ  หน้าตาดี  ผมว่าถ้าอย่างมันหน้าตาดี  ในโลกนี้คงไม่มีใครขี้เหร่หรอก
“หัวก็ดี  เรียนก็เก่ง  ถึงจะไม่เคยได้ที่ 1 แต่ก็ไม่เคยได้เกินที่ 15”
เรื่องนี้ผมพอจะเชื่อได้  เพราะ 2 วันที่ผ่านมานี่ผมไม่เคยเห็นมันตั้งใจเรียนเลย  มีแต่คุยกับนอน  ไม่รู้มันจะมาโรงเรียนทำซากอะไร
“นั่นสิ  ขนาดนิดยังชอบเคเลย  กีฬาเขาก็เล่นเก่งด้วยนะ”
ห๊า  นะ..  นะ...นิดชอบมัน  ผมช๊อกจริง ๆ นะเนี่ย
“แต่นิดไม่ไปแย่งซากุระหรอกนะ”
“นั่นสิยัยนิดไม่ไปแย่งเธอหรอกน่ะ  ทำเป็นหน้าซีดไปได้”
เดี๋ยว  มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ
“ไม่ใช่อย่างนั้น  ฉันตกใจที่นิดบอกว่าชอบไอ้หน้าม่อนั่นต่างหากล่ะ”
“ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า ไอ้หน้าม่อเรอะ  ลองไปพูดอย่างนี้ให้พวกแฟนคลับฟังสิ  มีหวังเธอโดนรุมตบแน่  แค่เคมาสารภาพรักกับเธอก็ไม่น่าจะรอดแล้ว  ยังไปว่าเขาอย่างนี้อีก”
อันหัวเราะชอบอกชอบใจจนผมชักรู้สึกหมั่นไส้  แต่พอดูดีดี  แม้แต่นิดกับโบว์ก็ยังหัวเราะกับเขาด้วย  ให้มันได้อย่างนี้สิ  จริงอย่างที่อันพูด  ผมกับนิดกลับเข้าห้องก่อนออดจะดัง 10 นาที  พอก้าวเท้าเข้าไปเท่านั้นและ  ฝูงมนุษย์ผู้หญิงทั่งที่เคยเห็นและไม่เคยเห็นหน้าก็พุ่งเข้ามารุมผมทันที
“นี่เธอ  ใช่คนที่เคขอคบด้วยใช่มัย”
“เอ่อ..”
“อย่าสำคัญตัวผิดไปนะยะ  เคเขาแค่เล่น ๆ กับเธอหรอก  เพราะเห็นว่าเป็นของแปลก”
โอ๊ย  ยัยนี้  พูดวอนโดนบาทาลูบหน้า  ถ้าผมแปลกแล้วพวกเธอไม่ยิ่งกว่าเรอะ
“บอกไว้ก่อนนะ  เคนะเป็นของพวกเรา  ถ้าจะยุ่งกับเขา  ก็ต้องทำตามกฎ”
ยัยผู้หญิงพวกนี้พล่ามเป็นน้ำไหลไฟดับ  ไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดเลย  พอพูดจบพวกเธอก็จากไปราวกับไม่มีเรื่องเมื่อกี้เกิดขึ้น
“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย”
ผมบ่นอย่าอารมณ์เสีย  น่าเสียดายที่ตัวการเรื่องทั้งหมดดันไม่อยู่  ไม่งั้นมันตาย!
“เมื่อกี้นี้ได้ยินว่าพวกคลับมากวนใจเธอ”
ตายยากจริง ๆ พูดถึงก็โผล่หัวมาเลย  เควิ่งหน้าตื่นเข้าห้องมา  ท่าทางว่าจะวิ่งมาไกล  เพราะหอบเหมือนกับหมายังไงอย่างนั้น
“เออ”
“ขอโทษนะ  ไว้ฉันจะจัดการกับพวกนั้นให้”
“ทางที่ดี  นายควรจะไปไกล ๆ เลยดีกว่า”
ออด~
เสียงออดดังขึ้นขัดจังหวะ (อีกแล้ว)  เคทำท่าเหมือนไม่ได้ยินที่ผมพูดเมื่อกี้  เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ หูผมก่อนจะกระซิบเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่ 2 คน
“ค่อยคุยกันต่อ  เย็นนี้รอด้วยนะ  กลับบ้านพร้อมกัน”
พูดจบเคก็รีบกลับไปนั่งที่  ส่วนผมได้แต่นั่งอยู่เงียบ ๆ ไม่สามารถโต้ตอบมันได้เพราะอาจารย์เดินเข้ามาในห้องแล้ว  บ้าชิบ  ใครบอกว่าจะกลับบ้านพร้อมมันกันนะ
....................................................................................................................................................
ตกเย็นพอเลิกเรียนปุบเก็บของเสร็จปับผมก็คว้ามือนิดซิ่งออกจากห้องทันที (ถือโอกาสแต๊ะอั๋งไปในตัว) โชคดีที่เคมันยังนั่งหลับไม่ตื่น (ฟื้นไม่มีก็ดีสิ) เรื่องอะไรผมจะไปรอกลับพร้อมกับมันล่ะ
“วันนี้ซากุระรีบร้อนจังเลย”
“คือเราอยากกลับบ้านเร็ว ๆ น่ะ”
“อืม  พ่อนิดยังไม่มาเลย  สงสัยวันนี้รถติด”
“ให้เรารอเป็นเพื่อนมัย”
“ไม่ต้องหรอก  ซากุระจะรีบกลับไม่ใช่เหรอ”
ฮึย  ผมละอยากจะตบปากตัวเองจริง ๆ เลย  เสียแผนหมด เอ๊ย  ไม่ใช่
“อืม  งั้นเราไปก่อนนะ”
ผมเดินออกจากโรงเรียนตรงไปยังป้ายรถเมล์เหมือนกับเมื่อวาน  ยืนรอไปได้สัก 10 20 นาทีรถเมล์สาย 0.5 ที่กลายเป็นคนกระป๋องก็เล่นเข้ามาจอด  เหมือนเดิม  ผมรอให้รถจอดสนิทสุด ๆ ก็จะแทรกตัวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อในกระป๋อง (แปลเป็นภาษามนุษย์ปกติได้ว่า เข้าไปเบียดกับชาวบ้าน) 
แกร็บ~ แกร็บ~
“ขอค่าโยสารด้วยคร้าบ~”
เสียงกระเป๋ารถเมล์พร้อมซาวล์ประจำตัวดังมาจากส่วนไหนก็ไม่รู้  แต่ที่แน่ ๆ มันดังมาจากในรถเนี่ยแหละ (มันก็ต้องแน่อยู่แล้ว  กระเป๋ารถเมล์จะให้ไปอยู่บนรถแท็กซี่หรือไง)  ในที่สุดกระเป๋ารถเมล์สุดหล่อ (+โทรม) ก็แทรกตัวมาปรากฏกายให้เห็นอยู่ลิบ ๆ ในมือก็เขย่าอาวุธประจำกายไปพลางร้องขอเก็บเงิน
“ค่าโดยสารด้วยคร้าบเพ้”
ในที่สุดกระเป๋ารถก็มาถึงผมซะที (เผลอลุ้นให้กำลังใจพี่แกแทบแย่) แต่ก่อนที่ผมจะส่งเงินค่าโดยสารให้ก็มีมือยื่นออกมาจากด้านหลังของผม
“2 คน”
ผมหันขวับไปมองเจ้าของมือทันที  อันที่จริงไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร  เสียงหลอน ๆ แบบนี้ที่ผมรู้จักมีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น  ไอ้เค
“บอกให้รอไง  ทำไมไม่รอ”
เคพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะงอน ๆ .....ล่ะมั้ง
“ทำไมต้องรอ”
“อ้าว  ก็เราจะกลับบ้านพร้อมกันไง”
“แล้วทำไมฉันต้องกลับบ้านพร้อมกับนายด้วยห๊ะ”
“ก็เราเป็นแฟนกันแล้ว  ฉันก็ต้องเป็นคนไปส่งเธอที่บ้านไง”
ให้ตายสิ  ผมไปตกลงเป็นแฟนมันตอนไหนเนี่ย
“มา  ฉันถือให้”
เคคว้ากระเป๋านักเรียนของผมไปถือ  ช่างเป็นเจเทิลแมนซะจริง  เหอะ  ‘มา ฉันถือให้’ อ้วก  แต่เอาเถอะ  ขี้เกียจถืออยู่เหมือนกัน
“จะลงแล้ว”
ผมพูดขึ้นมาเพื่อให้เคคืนกระเป๋าให้ผมหลังจากเห็นว่าใกล้จะถึงบ้านผมแล้ว  แต่ดูมันจะฉลาดน้อยไปหน่อยเลยไม่เข้าใจที่ผมพูด
“จะลงแล้ว  เอากระเป๋าคืนมา”
ผมกระชากกระเป๋ากลับมาถือเอง  ก่อนจะลงไปจากรถทันทีที่รถจอด  แต่พอเห็นว่าเคทำท่าจะเดินตามลงมาด้วยผมเลยหันกลับไปผลักมันให้กลับขึ้นไปบนรถทันที
“อ๊ะ  ทำอะไรน่ะ”
“นายไม่ต้องตามมาเลย  รีบ ๆ กลับไปได้แล้ว”
“แต่ยังไม่ถึงบ้านเธอเลยนะ”
เคทำท่าจะเดินลงมาอีก
“ถ้านายก้าวลงมาแม้แต่ก้าวเดียว...”
ผมไม่ได้พูดต่อเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี  ก็ผมไม่ได้เป็นอะไรกับมันนี่  แต่ดูเหมือนจะได้ผล  เคกลับขึ้นไปยืนบนรถโดยไม่ต้องให้ผมเสียเวลาหาคำมาต่อให้จบประโยค
“เออดี  เชื่องดีจริง ๆ “
ผมพูดพึมพำกับตัวเองขณะที่มองเคที่ยืนตาละห้อยอยู่บนรถที่กำลังแล่นออกไปไกลเรื่อย ๆ  พอรถหายลับตาไปผมก็หันกลับไปเดินตรงกลับบ้านอย่างสบายใจ  คฤหาสน์ขนาดใหญ่สีขาวเด่นตระหง่านอยู่กลางสนามสีเขียวสดที่ถูกล้อมด้วยรั้วเหล็กสีเงินอย่างดี  ตรงรัวประตูผมเห็นรถสีขาวจอดขวางอยู่  ข้าง ๆ ตัวรถมีใครบางคนกำลังยืนคุยกับคนขับที่ยังนั่งอยู่ในรถ  ชายหนุ่มที่ยืนอยู่พยักหน้า 2 3 ทีก่อนที่รถจะแล่นจากไป
กิ้ง~ก่อง
ชายหนุ่มคนนั้นกดกริ่งที่ติดอยู่ตรงรั้วประตูทีหนึ่งก่อนจะมีร่างของหญิงสาววิ่งมาเปิดประตูเล็กให้เข้าไป
“เดี๋ยว  อย่าพึ่งปิด”
ผมพูดขึ้นเบา ๆ ให้พอได้ยินแค่ 2 คนเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะล็อกประตูเมื่อเห็นว่าแขกเดินเข้ามาแล้ว
“กลับมาแล้วหรือคะคุณหนู”
“อืม”
ผมเดินเข้ามาในบ้าน  ช่างเป็นแขกที่เดินเร็วและไม่สนใจใครจริง ๆ ชายหนุ่มคนนั้นนั่งหันหลังให้ผมอยู่บนโซฟาสีครีมที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขก  ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกถึงการมาของผม  ชายหนุ่มคนนั้นลุกขึ้นพร้อมกับหันมาทางผมก่อนจะทำท่าเหมือนเห็นผี เอ๊ย ตกตะลึง
“เอ่อ  คือ..  คือ....  ว่า...”
ดูเหมือนแขกคนนี้จะเกิดอาการติดอ่างขึ้นมากะทันหัน  ผมยิ้มอย่างไม่ถือสาเพราะพอเดินเข้ามาใกล้ ๆ แบบนี้ทำให้ผมรู้ว่าแขกคนนี้เป็นใคร
“คือว่า.... ผมเป็นเพื่อนกับซากุราเอะครับ  ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครครับ”
“ไม่เจอหน้ากันปีเดียว  ถึงกับจำเพื่อนไม่ได้เลยเหรอไง  อย่างนี้มันไม่ใช่เพื่อนแท้นีหว่า ไอ้วุธ”
ผมพูดด้วยเสียงปกติที่ออกจะทุ้มต่ำอยู่นิด ๆ ขณะที่ในหน้าของอีกฝ่ายทำทำเหมือนเห็นผีมากกว่าเก่า
“นี่แกจริง ๆ เหรอวะซาค่อน  นี่แกไม่ได้ล้อเล่นใช่มัยวะ”
“ก็จริงสิวะ  ใครจะไปบ้าแต่งตัวอย่างนี้มาล้อเล่น”
ผมพูดพร้อมกับชี้ไปที่กระโปรงลายสก็อตที่ยาวเลยเข่ามานิดหน่อย
“เมื่อวานนี้ก็เล่าให้ฟังไปแล้วนี้”
“ก็คิดว่าแกล้อเล่น  ไม่งั้นจะถ่อมาพิสูจน์ถึงนี้เรอะ”
“เหอะ  ถ้าฉันล้อเล่นจริง  คงเป็นเรื่องล้อเล่นที่สมจริงสมจังที่สุดในโลก  ลงทุนไปผ่าตัดเปลี่ยนหน้าเพื่อมาล้อเล่นแกเนี่ย”
“แต่แกนี่ดูสวยน่ารักจริง ๆ นะเนี่ย”
ตอนแรกผมคิดว่ามันพูดเล่น  แต่พอหันไปเห็นหน้าตาจริงจังของมัน  ผมรู้ทันทีว่าผมคิดผิด
“นี่ถ้าแกเป็นผู้หญิงจริง ๆ ล่ะก็นะ  จีบไปแล้ว”
“นี่ถ้าไม่เห็นว่าแกเป็นเพื่อนล่ะก็นะ  ฉันถีบแกไปแล้ว”
ผมพูดด้วยหน้าตาและน้ำเสียงจริงจัง  คนกำลังกลุ้มอยู่ดันมาพูดเรื่องนี้อยู่ได้  ผมกับวุธรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ  วุธเป็นลูกของเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของพ่อผม  ครอบครัวของพวกเราเลยได้สานมิตรภาพแห่งเพื่อนพ้องสืบต่อมายังรุ่นลูกนั่นก็คือรุ่นผมเอง (น้ำเน่าชะมัด)  ครั้งแรกที่เจอมัน  ผมรู้สึกว่าเพื่อนของผมคนนี้จะเหม็นขี้หน้าผมเป็นพิเศษ  แต่พอคบกันมาเรื่อย ๆ เราก็กลายเป็นเพื่อนสนิทที่ปรึกษากันได้ทุกเรื่องโดยที่ไม่ต้องกลัวความลับรั่วไหล
“น่า น่า  อย่างอนไปหน่อยเลย  ปกตินิสัยก็เหมือนผู้หญิงอยู่แล้ว  พอหน้าเป็นแบบนี้แล้วยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่  แกน่าจะเป็นผู้หญิงไปเลยนะเนี่ย”
“ไอ้วุธ  แกอยากจะไปอยู่ในท้องของอเล็กใช่มัยห๊ะ”
อเล็กคือชื่อของหมาพันธุ์เซ็นต์เบอร์นาตที่แฟนของพี่สาวผมให้มา  ขนาดของมันคงไม่ต้องพูดถึงเพราะเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าหมาพันธุ์นี้น้อง ๆ ม้า
“พี่แกกลับมาแล้วเหรอ”
วุธทำท่าตื่น ๆ เหมือนพวกวงไพ่หนีตำรวจวิ่งไปแอบหลังโซฟาตัวที่อยู่ใกล้ ๆ เมื่อได้ยินชื่ออเล็ก  ไอ้เพื่อนผมคนนี้มันกลัวพี่ผมกับอเล็กอย่างกับอะไรดี  มันเลยจำฟังใจว่าที่ไหนมีพี่ต้องมีอเล็ก  ที่ไหนมีอเล็กต้องมีพี่
“เปล่า  ฉันล้อเล่น”
“ไอ้บ้า  เล่นแบบนี้ได้ไง  หัวใจแทบวาย”
“น่า น่า ถือว่าหายกัน”
“เออก็ได้วะ  แกอย่าเผลอละกัน  ฉันเอาตายแน่”
วุธขู่ผมแถมท้ายก่อนจะลุกขึ้นมานั่งบนโซฟา  ผมยักไหล่ไม่สนใจเพราะรู้ว่ามันพูดไปงั้นแหละ  ไม่ได้คิดจะขู่จริง ๆ
“ว่าแต่แกมาเนี่ยคงไม่ได้มาแค่พิสูจน์เรื่องของฉันอย่างเดี๋ยวล่ะมั้ง”
บ้านของผมกับวุธไม่ได้อยู่ใกล้กันเลย  และผมก็ก็อีกว่ามันเป็นคนเมารถง่าย  และหลีกเลี่ยงเรื่องที่ต้องทำให้มันนั่งรถอยู่เสมอ  แต่น่าแปลกคือคนเมารถอย่างมันกลับนั่งรถสองแถวหรือรถเมล์ที่ไม่มีแอร์ได้อย่างหน้าตาเฉย  ด้วยเหตุผลว่า ‘รถอย่างนี้อากาศถ่ายเทดีมั้ง  เลยไม่เมา  แต่ถ้านั่งเกินสิบกิโลก็ไม่ไหว  อาการมันออก’
“จริงสิ  แกก็ชวนนอกเรื่องไปเรื่อย  เกือบลืมเรื่องสำคัญ  เอ้า  นี่”
วุธล้วงซองสีขาวสะอาดจากกระเป๋าเสื้อออกมายื่นให้  ผมรับมันมาพลิกดู  ซองจดหมายสีขาวปิดสนิทและไม่มีร่องรอยว่าถูกคนส่งแอบแกะออกมาอ่านก่อนคนรับจะได้รับ
“ซองผ้าป่า?”
ครบซะที  กว่าจะผ่านช่วงวันแม่ไปได้เล่นเอาผมกลับมาหลับทุกที (เปลี่ยนอาชีพจากนักเรียนไปเป็นกรรมกรได้เลย) ช่วงนี้ลงช้ามากฮะ เพราะผมจำเป็นอย่ายิ่งที่จะต้องหาที่เรียนต่อ (ยังไม่รู้เลยว่าจะเรียนต่อที่ไหนดี) แต่ของดีต้องรอช้า ๆ ตามสุภาษิตที่ว่า ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม (แต่อย่าเอามาจามหัวผมละกัน)
เงียบจังฮะ เรื่องนี้ขอนิสัยเสียหน่อย  ไม่เมนท์ไม่อัพน้า
ทันทีที่เสียงออดบอกเวลาพักดังขึ้น  ผมก็รีบชิ่งหนีออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมฉุดแขนนิดให้ตามไปด้วย (หลังจากลืมมาหนหนึ่งแล้ว) โชคดีที่เคยังไม่ตื่น  ผมนับถือในความใจกล้าหน้าด้านของมันมาก  ขนาดนั่งอยู่แถวที่ 2 ใกล้โต๊ะครูมันยังกล้าหลับได้อย่างหน้าตาเฉย
“ซากุระจะรีบไปไหน”
“โทษที่  เรารีบมาก ๆ ๆ ถึงมากที่สุด”
“แล้วจะรีบไปไหนล่ะ”
“ไปไกล ๆ  เอ๊ย  ไม่ใช่  ไปหาที่เงียบ ๆ น่ะ”
“อ้าว  มาเร็วจังแฮะ”
เสียงอันดังมาจากด้านหลังพวกเรา  ท่าทางว่าสมองผมคงจะจดจำแล้งว่าที่ตรงนี้เป็นเขตปลอดภัย  เพราะยังไม่ทันรู้ตัวผมก็พานิดเดินมาถึงฐานลับของนิดซะแล้ว
“ที่ห้องเขาพูดกันล่ะว่า เมื่อเช้านี้เคสารภาพรักกับซากุระจัง  จริงเหรอ”
เฮ้ย  ทำไมข่าวมันเร็วอย่างนี้ล่ะ
“ไม่ใช่นะโบว์  เข้าใจผิดแล้ว”
“ไม่ใช่อะไร  ตะโกนกันเสียงออกดัง  เมื่อเช้าเราเดินผ่านหน้าห้องยังได้ยินเลย”
“ไม่มาเล่าให้ฟังเลยนะอัน  เก็บเงียบไว้คนเดียว  ปล่อยให้เรารู้จากปากคนอื่น”
“ก็พูดแล้วไง”
อันพูดอย่างไม่สนใจอะไรแถมยังหันมาทำหน้าล้อผมอีกด้วย
“เขินเหรอไงซากุ  เชื่อสิ  เดี๋ยวต้องมีคนมารุมถามเธอเรื่องนี้เพียบแน่  ไม่ต้องรอวันอื่นเลยแค่เย็นนี้ก็มีแล้ว”
“ทำไม  กะไอ้แค่เรื่องแค่นี้”
“ก็เคน่ะดังจะตาย”
“ใช่ ๆ หน้าตาก็ดี”
หน้าอย่างมันนี่นะ  หน้าตาดี  ผมว่าถ้าอย่างมันหน้าตาดี  ในโลกนี้คงไม่มีใครขี้เหร่หรอก
“หัวก็ดี  เรียนก็เก่ง  ถึงจะไม่เคยได้ที่ 1 แต่ก็ไม่เคยได้เกินที่ 15”
เรื่องนี้ผมพอจะเชื่อได้  เพราะ 2 วันที่ผ่านมานี่ผมไม่เคยเห็นมันตั้งใจเรียนเลย  มีแต่คุยกับนอน  ไม่รู้มันจะมาโรงเรียนทำซากอะไร
“นั่นสิ  ขนาดนิดยังชอบเคเลย  กีฬาเขาก็เล่นเก่งด้วยนะ”
ห๊า  นะ..  นะ...นิดชอบมัน  ผมช๊อกจริง ๆ นะเนี่ย
“แต่นิดไม่ไปแย่งซากุระหรอกนะ”
“นั่นสิยัยนิดไม่ไปแย่งเธอหรอกน่ะ  ทำเป็นหน้าซีดไปได้”
เดี๋ยว  มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ
“ไม่ใช่อย่างนั้น  ฉันตกใจที่นิดบอกว่าชอบไอ้หน้าม่อนั่นต่างหากล่ะ”
“ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า ไอ้หน้าม่อเรอะ  ลองไปพูดอย่างนี้ให้พวกแฟนคลับฟังสิ  มีหวังเธอโดนรุมตบแน่  แค่เคมาสารภาพรักกับเธอก็ไม่น่าจะรอดแล้ว  ยังไปว่าเขาอย่างนี้อีก”
อันหัวเราะชอบอกชอบใจจนผมชักรู้สึกหมั่นไส้  แต่พอดูดีดี  แม้แต่นิดกับโบว์ก็ยังหัวเราะกับเขาด้วย  ให้มันได้อย่างนี้สิ  จริงอย่างที่อันพูด  ผมกับนิดกลับเข้าห้องก่อนออดจะดัง 10 นาที  พอก้าวเท้าเข้าไปเท่านั้นและ  ฝูงมนุษย์ผู้หญิงทั่งที่เคยเห็นและไม่เคยเห็นหน้าก็พุ่งเข้ามารุมผมทันที
“นี่เธอ  ใช่คนที่เคขอคบด้วยใช่มัย”
“เอ่อ..”
“อย่าสำคัญตัวผิดไปนะยะ  เคเขาแค่เล่น ๆ กับเธอหรอก  เพราะเห็นว่าเป็นของแปลก”
โอ๊ย  ยัยนี้  พูดวอนโดนบาทาลูบหน้า  ถ้าผมแปลกแล้วพวกเธอไม่ยิ่งกว่าเรอะ
“บอกไว้ก่อนนะ  เคนะเป็นของพวกเรา  ถ้าจะยุ่งกับเขา  ก็ต้องทำตามกฎ”
ยัยผู้หญิงพวกนี้พล่ามเป็นน้ำไหลไฟดับ  ไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดเลย  พอพูดจบพวกเธอก็จากไปราวกับไม่มีเรื่องเมื่อกี้เกิดขึ้น
“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย”
ผมบ่นอย่าอารมณ์เสีย  น่าเสียดายที่ตัวการเรื่องทั้งหมดดันไม่อยู่  ไม่งั้นมันตาย!
“เมื่อกี้นี้ได้ยินว่าพวกคลับมากวนใจเธอ”
ตายยากจริง ๆ พูดถึงก็โผล่หัวมาเลย  เควิ่งหน้าตื่นเข้าห้องมา  ท่าทางว่าจะวิ่งมาไกล  เพราะหอบเหมือนกับหมายังไงอย่างนั้น
“เออ”
“ขอโทษนะ  ไว้ฉันจะจัดการกับพวกนั้นให้”
“ทางที่ดี  นายควรจะไปไกล ๆ เลยดีกว่า”
ออด~
เสียงออดดังขึ้นขัดจังหวะ (อีกแล้ว)  เคทำท่าเหมือนไม่ได้ยินที่ผมพูดเมื่อกี้  เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ หูผมก่อนจะกระซิบเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่ 2 คน
“ค่อยคุยกันต่อ  เย็นนี้รอด้วยนะ  กลับบ้านพร้อมกัน”
พูดจบเคก็รีบกลับไปนั่งที่  ส่วนผมได้แต่นั่งอยู่เงียบ ๆ ไม่สามารถโต้ตอบมันได้เพราะอาจารย์เดินเข้ามาในห้องแล้ว  บ้าชิบ  ใครบอกว่าจะกลับบ้านพร้อมมันกันนะ
....................................................................................................................................................
ตกเย็นพอเลิกเรียนปุบเก็บของเสร็จปับผมก็คว้ามือนิดซิ่งออกจากห้องทันที (ถือโอกาสแต๊ะอั๋งไปในตัว) โชคดีที่เคมันยังนั่งหลับไม่ตื่น (ฟื้นไม่มีก็ดีสิ) เรื่องอะไรผมจะไปรอกลับพร้อมกับมันล่ะ
“วันนี้ซากุระรีบร้อนจังเลย”
“คือเราอยากกลับบ้านเร็ว ๆ น่ะ”
“อืม  พ่อนิดยังไม่มาเลย  สงสัยวันนี้รถติด”
“ให้เรารอเป็นเพื่อนมัย”
“ไม่ต้องหรอก  ซากุระจะรีบกลับไม่ใช่เหรอ”
ฮึย  ผมละอยากจะตบปากตัวเองจริง ๆ เลย  เสียแผนหมด เอ๊ย  ไม่ใช่
“อืม  งั้นเราไปก่อนนะ”
ผมเดินออกจากโรงเรียนตรงไปยังป้ายรถเมล์เหมือนกับเมื่อวาน  ยืนรอไปได้สัก 10 20 นาทีรถเมล์สาย 0.5 ที่กลายเป็นคนกระป๋องก็เล่นเข้ามาจอด  เหมือนเดิม  ผมรอให้รถจอดสนิทสุด ๆ ก็จะแทรกตัวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อในกระป๋อง (แปลเป็นภาษามนุษย์ปกติได้ว่า เข้าไปเบียดกับชาวบ้าน) 
แกร็บ~ แกร็บ~
“ขอค่าโยสารด้วยคร้าบ~”
เสียงกระเป๋ารถเมล์พร้อมซาวล์ประจำตัวดังมาจากส่วนไหนก็ไม่รู้  แต่ที่แน่ ๆ มันดังมาจากในรถเนี่ยแหละ (มันก็ต้องแน่อยู่แล้ว  กระเป๋ารถเมล์จะให้ไปอยู่บนรถแท็กซี่หรือไง)  ในที่สุดกระเป๋ารถเมล์สุดหล่อ (+โทรม) ก็แทรกตัวมาปรากฏกายให้เห็นอยู่ลิบ ๆ ในมือก็เขย่าอาวุธประจำกายไปพลางร้องขอเก็บเงิน
“ค่าโดยสารด้วยคร้าบเพ้”
ในที่สุดกระเป๋ารถก็มาถึงผมซะที (เผลอลุ้นให้กำลังใจพี่แกแทบแย่) แต่ก่อนที่ผมจะส่งเงินค่าโดยสารให้ก็มีมือยื่นออกมาจากด้านหลังของผม
“2 คน”
ผมหันขวับไปมองเจ้าของมือทันที  อันที่จริงไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร  เสียงหลอน ๆ แบบนี้ที่ผมรู้จักมีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น  ไอ้เค
“บอกให้รอไง  ทำไมไม่รอ”
เคพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะงอน ๆ .....ล่ะมั้ง
“ทำไมต้องรอ”
“อ้าว  ก็เราจะกลับบ้านพร้อมกันไง”
“แล้วทำไมฉันต้องกลับบ้านพร้อมกับนายด้วยห๊ะ”
“ก็เราเป็นแฟนกันแล้ว  ฉันก็ต้องเป็นคนไปส่งเธอที่บ้านไง”
ให้ตายสิ  ผมไปตกลงเป็นแฟนมันตอนไหนเนี่ย
“มา  ฉันถือให้”
เคคว้ากระเป๋านักเรียนของผมไปถือ  ช่างเป็นเจเทิลแมนซะจริง  เหอะ  ‘มา ฉันถือให้’ อ้วก  แต่เอาเถอะ  ขี้เกียจถืออยู่เหมือนกัน
“จะลงแล้ว”
ผมพูดขึ้นมาเพื่อให้เคคืนกระเป๋าให้ผมหลังจากเห็นว่าใกล้จะถึงบ้านผมแล้ว  แต่ดูมันจะฉลาดน้อยไปหน่อยเลยไม่เข้าใจที่ผมพูด
“จะลงแล้ว  เอากระเป๋าคืนมา”
ผมกระชากกระเป๋ากลับมาถือเอง  ก่อนจะลงไปจากรถทันทีที่รถจอด  แต่พอเห็นว่าเคทำท่าจะเดินตามลงมาด้วยผมเลยหันกลับไปผลักมันให้กลับขึ้นไปบนรถทันที
“อ๊ะ  ทำอะไรน่ะ”
“นายไม่ต้องตามมาเลย  รีบ ๆ กลับไปได้แล้ว”
“แต่ยังไม่ถึงบ้านเธอเลยนะ”
เคทำท่าจะเดินลงมาอีก
“ถ้านายก้าวลงมาแม้แต่ก้าวเดียว...”
ผมไม่ได้พูดต่อเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี  ก็ผมไม่ได้เป็นอะไรกับมันนี่  แต่ดูเหมือนจะได้ผล  เคกลับขึ้นไปยืนบนรถโดยไม่ต้องให้ผมเสียเวลาหาคำมาต่อให้จบประโยค
“เออดี  เชื่องดีจริง ๆ “
ผมพูดพึมพำกับตัวเองขณะที่มองเคที่ยืนตาละห้อยอยู่บนรถที่กำลังแล่นออกไปไกลเรื่อย ๆ  พอรถหายลับตาไปผมก็หันกลับไปเดินตรงกลับบ้านอย่างสบายใจ  คฤหาสน์ขนาดใหญ่สีขาวเด่นตระหง่านอยู่กลางสนามสีเขียวสดที่ถูกล้อมด้วยรั้วเหล็กสีเงินอย่างดี  ตรงรัวประตูผมเห็นรถสีขาวจอดขวางอยู่  ข้าง ๆ ตัวรถมีใครบางคนกำลังยืนคุยกับคนขับที่ยังนั่งอยู่ในรถ  ชายหนุ่มที่ยืนอยู่พยักหน้า 2 3 ทีก่อนที่รถจะแล่นจากไป
กิ้ง~ก่อง
ชายหนุ่มคนนั้นกดกริ่งที่ติดอยู่ตรงรั้วประตูทีหนึ่งก่อนจะมีร่างของหญิงสาววิ่งมาเปิดประตูเล็กให้เข้าไป
“เดี๋ยว  อย่าพึ่งปิด”
ผมพูดขึ้นเบา ๆ ให้พอได้ยินแค่ 2 คนเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะล็อกประตูเมื่อเห็นว่าแขกเดินเข้ามาแล้ว
“กลับมาแล้วหรือคะคุณหนู”
“อืม”
ผมเดินเข้ามาในบ้าน  ช่างเป็นแขกที่เดินเร็วและไม่สนใจใครจริง ๆ ชายหนุ่มคนนั้นนั่งหันหลังให้ผมอยู่บนโซฟาสีครีมที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขก  ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกถึงการมาของผม  ชายหนุ่มคนนั้นลุกขึ้นพร้อมกับหันมาทางผมก่อนจะทำท่าเหมือนเห็นผี เอ๊ย ตกตะลึง
“เอ่อ  คือ..  คือ....  ว่า...”
ดูเหมือนแขกคนนี้จะเกิดอาการติดอ่างขึ้นมากะทันหัน  ผมยิ้มอย่างไม่ถือสาเพราะพอเดินเข้ามาใกล้ ๆ แบบนี้ทำให้ผมรู้ว่าแขกคนนี้เป็นใคร
“คือว่า.... ผมเป็นเพื่อนกับซากุราเอะครับ  ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครครับ”
“ไม่เจอหน้ากันปีเดียว  ถึงกับจำเพื่อนไม่ได้เลยเหรอไง  อย่างนี้มันไม่ใช่เพื่อนแท้นีหว่า ไอ้วุธ”
ผมพูดด้วยเสียงปกติที่ออกจะทุ้มต่ำอยู่นิด ๆ ขณะที่ในหน้าของอีกฝ่ายทำทำเหมือนเห็นผีมากกว่าเก่า
“นี่แกจริง ๆ เหรอวะซาค่อน  นี่แกไม่ได้ล้อเล่นใช่มัยวะ”
“ก็จริงสิวะ  ใครจะไปบ้าแต่งตัวอย่างนี้มาล้อเล่น”
ผมพูดพร้อมกับชี้ไปที่กระโปรงลายสก็อตที่ยาวเลยเข่ามานิดหน่อย
“เมื่อวานนี้ก็เล่าให้ฟังไปแล้วนี้”
“ก็คิดว่าแกล้อเล่น  ไม่งั้นจะถ่อมาพิสูจน์ถึงนี้เรอะ”
“เหอะ  ถ้าฉันล้อเล่นจริง  คงเป็นเรื่องล้อเล่นที่สมจริงสมจังที่สุดในโลก  ลงทุนไปผ่าตัดเปลี่ยนหน้าเพื่อมาล้อเล่นแกเนี่ย”
“แต่แกนี่ดูสวยน่ารักจริง ๆ นะเนี่ย”
ตอนแรกผมคิดว่ามันพูดเล่น  แต่พอหันไปเห็นหน้าตาจริงจังของมัน  ผมรู้ทันทีว่าผมคิดผิด
“นี่ถ้าแกเป็นผู้หญิงจริง ๆ ล่ะก็นะ  จีบไปแล้ว”
“นี่ถ้าไม่เห็นว่าแกเป็นเพื่อนล่ะก็นะ  ฉันถีบแกไปแล้ว”
ผมพูดด้วยหน้าตาและน้ำเสียงจริงจัง  คนกำลังกลุ้มอยู่ดันมาพูดเรื่องนี้อยู่ได้  ผมกับวุธรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ  วุธเป็นลูกของเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของพ่อผม  ครอบครัวของพวกเราเลยได้สานมิตรภาพแห่งเพื่อนพ้องสืบต่อมายังรุ่นลูกนั่นก็คือรุ่นผมเอง (น้ำเน่าชะมัด)  ครั้งแรกที่เจอมัน  ผมรู้สึกว่าเพื่อนของผมคนนี้จะเหม็นขี้หน้าผมเป็นพิเศษ  แต่พอคบกันมาเรื่อย ๆ เราก็กลายเป็นเพื่อนสนิทที่ปรึกษากันได้ทุกเรื่องโดยที่ไม่ต้องกลัวความลับรั่วไหล
“น่า น่า  อย่างอนไปหน่อยเลย  ปกตินิสัยก็เหมือนผู้หญิงอยู่แล้ว  พอหน้าเป็นแบบนี้แล้วยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่  แกน่าจะเป็นผู้หญิงไปเลยนะเนี่ย”
“ไอ้วุธ  แกอยากจะไปอยู่ในท้องของอเล็กใช่มัยห๊ะ”
อเล็กคือชื่อของหมาพันธุ์เซ็นต์เบอร์นาตที่แฟนของพี่สาวผมให้มา  ขนาดของมันคงไม่ต้องพูดถึงเพราะเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าหมาพันธุ์นี้น้อง ๆ ม้า
“พี่แกกลับมาแล้วเหรอ”
วุธทำท่าตื่น ๆ เหมือนพวกวงไพ่หนีตำรวจวิ่งไปแอบหลังโซฟาตัวที่อยู่ใกล้ ๆ เมื่อได้ยินชื่ออเล็ก  ไอ้เพื่อนผมคนนี้มันกลัวพี่ผมกับอเล็กอย่างกับอะไรดี  มันเลยจำฟังใจว่าที่ไหนมีพี่ต้องมีอเล็ก  ที่ไหนมีอเล็กต้องมีพี่
“เปล่า  ฉันล้อเล่น”
“ไอ้บ้า  เล่นแบบนี้ได้ไง  หัวใจแทบวาย”
“น่า น่า ถือว่าหายกัน”
“เออก็ได้วะ  แกอย่าเผลอละกัน  ฉันเอาตายแน่”
วุธขู่ผมแถมท้ายก่อนจะลุกขึ้นมานั่งบนโซฟา  ผมยักไหล่ไม่สนใจเพราะรู้ว่ามันพูดไปงั้นแหละ  ไม่ได้คิดจะขู่จริง ๆ
“ว่าแต่แกมาเนี่ยคงไม่ได้มาแค่พิสูจน์เรื่องของฉันอย่างเดี๋ยวล่ะมั้ง”
บ้านของผมกับวุธไม่ได้อยู่ใกล้กันเลย  และผมก็ก็อีกว่ามันเป็นคนเมารถง่าย  และหลีกเลี่ยงเรื่องที่ต้องทำให้มันนั่งรถอยู่เสมอ  แต่น่าแปลกคือคนเมารถอย่างมันกลับนั่งรถสองแถวหรือรถเมล์ที่ไม่มีแอร์ได้อย่างหน้าตาเฉย  ด้วยเหตุผลว่า ‘รถอย่างนี้อากาศถ่ายเทดีมั้ง  เลยไม่เมา  แต่ถ้านั่งเกินสิบกิโลก็ไม่ไหว  อาการมันออก’
“จริงสิ  แกก็ชวนนอกเรื่องไปเรื่อย  เกือบลืมเรื่องสำคัญ  เอ้า  นี่”
วุธล้วงซองสีขาวสะอาดจากกระเป๋าเสื้อออกมายื่นให้  ผมรับมันมาพลิกดู  ซองจดหมายสีขาวปิดสนิทและไม่มีร่องรอยว่าถูกคนส่งแอบแกะออกมาอ่านก่อนคนรับจะได้รับ
“ซองผ้าป่า?”
ครบซะที  กว่าจะผ่านช่วงวันแม่ไปได้เล่นเอาผมกลับมาหลับทุกที (เปลี่ยนอาชีพจากนักเรียนไปเป็นกรรมกรได้เลย) ช่วงนี้ลงช้ามากฮะ เพราะผมจำเป็นอย่ายิ่งที่จะต้องหาที่เรียนต่อ (ยังไม่รู้เลยว่าจะเรียนต่อที่ไหนดี) แต่ของดีต้องรอช้า ๆ ตามสุภาษิตที่ว่า ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม (แต่อย่าเอามาจามหัวผมละกัน)
เงียบจังฮะ เรื่องนี้ขอนิสัยเสียหน่อย  ไม่เมนท์ไม่อัพน้า
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น