ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : สารภาพรัก!!?
สารภาพรัก!!?
การช่วงภาคบ่ายอึดอัดกว่าที่คิด  เจ้าเคคอยหันกลับมาส่งสายตายชวนเอาเท้าไปพาดบนหน้าพร้อมกับปากเบี้ยว ๆ ให้ผมเกือบตลอดเวลา  พอเสียงออดเลิกเรียนดังขึ้นผมก็จัดการยัดของทุอย่างบนโต๊ะลงกระเป๋าแล้วจากห้องออกไปด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ  แต่เหมือนฟ้ายังมีฟ้า  เจ้าเคมันเก็บของเร็วกว่าผมแถมยังออกมาดักรอผมอีก
“เฮ้ย!!”
อยู่ ๆ เจ้าบ้านั่นก็วิ่งมาเปิดกระโปรงผม  ดีนะว่าวันนี้ผมใส่กางเกงขาสั้นมาเผื่อไว้ (คงไม่ต้องบอกนะว่าเผื่ออะไร)  ผมหันกลับไปชกหน้ามันทันทีตามสัญชาตญาญ
“ทำอะไรของแกฟระ”
“แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง”
มันยกมือขึ้นกุมปากที่แตกอีกรอบ
“ใครสั่งให้เล่นบ้า ๆ แบบนี้หล่ะ”
“ไม่น่าใส่กางเกงข้างในมาเลย”
ไม่มีสำนึกผิดแถมยังพูดด้วยท่าทางเสียดาย  ผมจัดการประเคนหมัดใส่หน้ามันอีกรอบก่อนจะชกท้องไปอีกหนึ่งที
“โอ๊ย  โอ๊ย  หยุดก่อน  พอก่อน”
“ฟังนะ  ถ้าขืนแกยังมาล้อเล่นกันฉันแบบนี้อีกล่ะก็  แกตายแน่”
“โหดแบบนี้เดี๋ยวก็ขึ้นคานหรอก”
ดูมันพูดเด๊ะ  วอนตายจริง ๆ เลย  ผมเหวี่ยงหมัดไปที่มันอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ผิดคาด  มันรับหมัดผมได้  เคดึงมือของผมเข้าหาตัวทำให้ผมเซเข้าไปหามัน
“ต่อไปก็เลิกทำตัวเหมือนผู้ชายได้แล้ว  หน้าตาออกจะน่ารักขนาดนี้”
พูดจบ เคก็ก้มลงหอมแก้มผมทันที  ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว  ผมจัดการเหวี่ยงหมัดด้วยมือข้างที่ว่างออกไปด้วยแรงแบบไม่มียั้งจนมันกระเด็น  ผมรีบวิ่งตรงไปที่บันไดทันที  เสียงกระจกแตกกับเสียงคนร้องดังไล่ตามลงไม่ได้ทำให้ผมหยุดสนใจจนกระทั่ง..
“ซากุระ  ซากุระ”
ผมหยุดเดินหันกลับไปมองนิดที่วิ่งถือกระเป๋าหนังสือตามหลังผมมา
“มีอะไรเหรอ”
“คือว่า..ซากุระเห็นกระเป๋าใส่ปากกาของนิดมัย”
อ๊ะ!!  ตายล่ะ  สงสัยตอนที่ผมเก็บของบนโต๊ะผมคงเผลอรวบเอาของนิดไปด้วย  รีบไปหน่อย  ผมก้มลงเปิดกระเป๋าหนังสือตัวเองออกมาดู  มันอยู่กับผมจริง ๆ ด้วย  กระเป๋าผ้าใบเล็กรูปตัวประหลาดสีครีมที่ดูเหมือนจะน่ารักในสายตาผมนอนกองอยู่ก้นกระเป๋าอย่างสงบนิ่ง  แน่หล่ะ  ถ้ามันเกิดขยับขึ้นมาเองได้จริง ๆ ผมคงไม่เอามันไว้หรอก  ผมหยิบมันขึ้นมาส่งให้นิดพร้อมกับขอโทษเธอที่เผลอหยิบเอาของเธอมา
“ขอโทษนะ  พอดีเรารีบไปหน่อย  เลยไม่ทันดูว่าเอาของนิดใส่ลงไปด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก  เดี๋ยวซากุระจะเดินออกทางไหนล่ะ”
“ประตูหลังน่ะ”
ที่โรงเรียนผมมีประตูเข้าออกอยู่ 2 ทาง  ประตูหน้าจะติดกับสนามฟุตบอลส่วนประตูหลังจะติดกับที่จอดรถ  ที่จริงแล้วจะออกประตูหน้าประตูหลังมันก็กลับบ้านผมได้เหมือนกันนั่นแหละ  เพียงแต่ผมเห็นว่าประตูหลังมีคนเดินผ่านน้อยก็เลยไปทางนั้นดีกว่า  โล่งดี  ไม่ต้องเดินเบียดกับคนอื่นด้วย
“พอดีเลย  เดินไปพร้อมนิดนะ  นิดก็จะไปทางนั้นเหมือนกัน”
“นิดกลับบ้านเองเหรอ”
ผมถามนิดระหว่างที่เดินลงบันไดมาจนถึงชั้นล่างสุด  ห้องเรียนที่ผมเรียนนั้นอยู่ชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของตึกนี้  ตอนแรกผมไม่ชอบใจนักหรอกเพราะมันเหนื่อยที่ต้องเดินขึ้นบันไดหลาย ๆ ชั้น  แต่ตอนนี้ผมนึกขอบคุณมันที่ทำให้ผมได้เดินกับนิดนาน ๆ
“เปล่า  คุณพ่อมารับ  จอดรถรออยู่ที่ลานจอดรถน่ะ”
“อืม”
“แล้วซากุระล่ะ  ใครมารับ  หรือว่ากลับบ้านเอง”
“กลับเอง”
“คุณพ่อมาแล้ว  นิดไปก่อนนะ  บาย”
นิดโบกมือให้ผมทีหนึ่งก่อนจะวิ่งไปหาชายกลางคนคนหนึ่งที่ยืนรออยู่หน้ารถสีเงินที่จอดอยู่ในลานจอดรถข้าง ๆ ประตูหลัง  ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกคุ้น ๆ หน้าผู้ชายคนนั้นจัง  รู้สึกเหมือนเคยเห็นมาก่อน  แต่ไม่รู้ว่าเคยเห็นที่ไหน  ปกติผมก็ไม่เคยจำหน้ากับชื่อคนอยู่แล้วด้วยสิ  เอาเหอะ  คิดไปให้เปลืองสมองเปล่า ๆ
ผมเดินออกจากประตูไปรอรถสาย 0.5 ที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณ 3 4 เมตรได้  สักพักรถเมล์สีขาวแถบน้ำเงินที่บรรทุกคนเกือบจะเต็มคันก็แล่นเข้ามาจอด  ผมรอให้รถหยุดสนิทจริง ๆ จึงจะก้าวขึ้นรถไป  ฟังดูเหมือนจะเป็นเด็กดีแต่จริง ๆ แล้วผมกลัวจะกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งเหมือนกับที่เคยอ่านเจอในหนังสือพิมพ์  สลดน.ร.ม.ปลาย รร.ดังก้าวขึ้นรถเมล์พลาด ตกลงมาหัวกระแทกขอบฟุตบาตรตาย  อ่านต่อหน้า 14
ผมสลัดความคิดบ้า ๆ นั้นทิ้งพร้อมกับล้วงกระเป๋ากระโปรงหยิบเงินออกมาเตรียมจ่ายค่ารถ  แต่กว่าจะได้จ่ายจริง ๆ รถก็แล่นไปได้เกือบ 5 นาทีแล้ว  นั้นก็เพราะจำนวนคนที่ยืนเบียดกันเป็นมนุษย์กระป๋องนั้นขัดขวางการเดินทางมาเก็บเงินค่าโดยสารของกระเป๋ารถเมล์หนุ่ม  กว่าพี่แกจะแทรกออกมาได้ผมเห็นแล้วเซ็งแทนจริง ๆ แค่มายืนเบียดอย่างผมก็แทบแย่แล้วนี่ยังต้องเดินแทรกอีก  น่าสงสาร  น่าสงสาร  รถแล่นไปจอดยังป้ายรถถัดไป  ไม่มีคนลงมีแต่ขึ้นมาเบียดกันเพิ่ม  ที่จริงผมน่าจะรอรถคันถัดไปนะเนี่ย  ถึงจะต้องรออีกเกือบชั่วโมงก็เหอะ
หลังจากผ่านมรสุมชีวิตบนรถเมล์ในที่สุดผมก็ขยับตัวเป็นอิสระอีกครั้งบนเตียงนอนในห้องผม  อ๋า  สิ้นสุดไปอีกหนึ่งวัน  ไปโรงเรียนใหม่  รู้จักเพื่อนใหม่อีก 3 คนกับอีก 1 ตัว  โทรไปเล่าให้เพื่อนสนิทผมฟังดีกว่า  รายนั้นไว้ใจได้ว่าปิดเรื่องเงียบ  ผมเด็งตัวขึ้นมานั่งก่อนจะเอี่ยวตัวไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กข้าง ๆ เตียงขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์
“โหล?  เฮ้ย  วุธเหรอ  นี่เราเองนะ  มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง
....................................................................................................................................................
เช้าวันที่ 2 ของการมาโรงเรียนใหม่เริ่มต้องด้วยการตื่นมาอาบน้ำแต่เช้าเหมือนเดิมเพียงแต่ขาดความกระตือรือร้นกว่าเมื่อวาน  แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกดีกว่าเมื่อตอนเย็นเยอะ  เพราะผมได้โทรไประบายให้เพื่อนผู้แสนดีของผมฟังเรียบร้อยแล้ว  ผมนั่งรถมาโรงเรียนและเข้าประตูเดิมกับที่ผมเดินออกเมื่อวานนี้  ที่โรงเรียนนี้เข้าให้นักเรียนเข้าแถวที่หน้าห้องตัวเองเพราะงั้นผมเลยเดินขึ้นห้องไปโดยไม่แวะที่อื่นก่อน
“หวัดดีจ๊ะซากุระ”
นิดทักผมทันทีที่เดินเข้าไปในห้อง  น่าชื่นใจจริง ๆ ผมหันไปทักนิดก่อนจะเดินไปเก็บกระเป๋าที่โต๊ะพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างสำรวจ  เพราะเมื่อวานนี้ผมมัวแต่สนใจนิดอยู่ทั้งวันเลยไม่มีเวลาทำความรู้จักกับคนอื่น ๆ ในห้อง
“มีคนมาแค่นี้เหรอ”
ผมหันไปถามนิดเมื่อเห็นว่าในห้องนอกจากผมกับนิดแล้วยังมีคนอยู่อีกประมาณ 7 8 คน
“มีอีก  แต่เขาเดินไปไหนก็ไม่รู้”
“อืม”
เวลาผ่านไปคนก็ค่อย ๆ ทยอยกันมาเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นก็มีคนเดินเข้ามาทักทายทำความรู้จักกับผมประมาณสิบกว่าคนจนกระทั่งเสียงออดดังขึ้นจึงเดินไปเข้าแถวที่หน้าห้อง  ระหว่างที่เข้าแถวผมรู้สึกเหมือนลืมอะไรไปบางอย่าง  เหมือนกับมีอะไรที่มันขาดไปและผมก็ได้คำตอบว่าสิ่งที่ขาดไปมันคืออะไรเมื่อชั่วโมงโฮมรูมเริ่มมาได้ไม่ถึง 5 นาที
“ซากุระจัง  นี่เธอมาอยู่ตรงนี้ได้ไง  ผมไปรอเธอที่หน้าประตูโรงเรียนไม่เห็นเจอ”
เคเปิดประตูเข้าพร้อมกับผ้าพันแผลและพลาสเตอร์เต็มหน้า  ไอ้หมอนี้มันไปทำอะไรมานะ
“แล้วใครสั่งให้นายไปรอฉันล่ะ”
“หัวใจฉันมันขอร้องให้ฉันไปรอเธอที่นั่น”
อ้วก  ลิเกชะมัด  ดูเหมือนความคิดผมจะไปตรงกับอีกหลายคนในห้อง
“แล้วตกลงว่าเธอมาโรงเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่  ทำไมฉันไม่เห็นเธอเลยล่ะ”
“ตั้งนานแล้ว  นายมัวแต่ยืนหลับในอยู่ล่ะสิถึงมองไม่เห็น”
“เปล่าน้า  ถ้าเป็นเธอต่อให้หลับอยู่ก็มองเห็น”
เออ  เอามันเข้าไป  น้ำเน่าโคตร ๆ
“แล้วนายไปทำบ้าอะไรมา”
“หือ?  อ๋อนี่เหรอ”
เคชี้ไปที่หน้าตัวเองที่เต็มไปด้วยพลาสเตอร์และผ้าพันแผล
“นึกว่าจะไม่ถามซะแล้ว”
“จะตอบดี ๆ หรือจะให้เอาเท้ายันหน้า”
ผมพูดเสียงเครียดเมื่อเห็นว่าไอ้เคทำท่าเหมือนกำลังจะขึ้นสวรรค์เลยคิดจะทำให้มันได้ขึ้นไปจริง ๆ
“โห้  ดุอีก  นี้มันฝีมือเธอทั้งนั้นเลยนะ”
“ฉันไปทำอะไรนายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ”
“ก็เมื่อวานนี้ไง  เธอผลักฉันไปชนกระจก  เจ็บตัวแล้วยังต้องเสียตังค์ค่ากระจกอีก  ใจร้ายชะมัด”
เออ  ไอ้เสียงเพล้งพล้างเมื่อวานนี้เสียงกระจกแตก  สมน้ำหน้า
“จริงสิ”
อยู่ ๆ เคก็ทำหน้าจริงจังขึ้นมาจนผมสงสัย
“ขอโทษนะ”
“หา?”
“ที่หอมแก้มเธอเมื่อวานนี้  ฉันขอโทษนะ”
เสียงเพื่อนให้ห้องฮือฮาขึ้นมาเมื่อได้ยินที่ไอ้เจ้าบ้านี่พูด  ผมรู้สึกได้ถึงสายตานับสิบ ๆ คู่ที่จ้องมายังตัวผมกับไอ้เค  ตาย  นี่ผมเจ้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเนี่ย  ใครก็ได้ขอปีบคลุมหัวผมที
“นี่แกอยากจะโดนอีกสักหมัดใช่มัย”
“อ๋อ  มีอีกเรื่องที่อยากจะพูด”
เคหยุดพูดไปสักพักพร้อมกับสูดหายใจลึก ๆ ในขณะที่ผมมองหน้ามันอย่างระแวง  ไม่ว่ามันจะพูดอะไรก็ตามมันต้องไม่ใช่เรื่องดีสำหรับผมแน่
“คบกับฉันเถอะนะ”
น่านไง  ซื้อหวยยังไม่ถูกเท่านี้เลย  เสียงคนในห้องฮือฮาดังกว่าเก่า  ถ้าผมรู้สึกไม่ผิด  รู้สึกว่าจะมีเสียงคนแซวล้อผมกับเคดังอยู่ในนั้นด้วย  ทำไมอาจารย์ยังไม่มาสักทีนะ ฮือ
“หะ  หา  พูดอะไรของนายน่ะ”
“รังเกียจฉันเหรอ”
“ทะ  ทำไมฉันต้องไปคบกับนายด้วยล่ะ!!”
“เธอเกลียดฉันเหรอ”
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น!!”
“งั้นก็แปลว่า ‘ชอบ’ ใช่มัยล่ะ”
ทำไมกลายเป็นแบบนั้นไปได้ฟระ
“เพิ่งจะเจอกันเมื่อวาน  จะมาชอบกันได้ยังไงล่ะ”
คำพูดนี้ดูเหมือนจะเหมาะสมที่สุดในเวลานี้  แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิดไปถนัด
“ความรักมันไม่เกี่ยวกับเวลาหรอกนะ  ฉันพึ่งจะเคยเจอผู้หญิงแบบเธอ  คนที่ดูไม่มีความเป็นผู้หญิงเลย”
นี่มันชมหรือด่ากันแน่เนี่ย
“มีแต่เธอคนเดียวที่พูดกับฉันแบบนี้  ฉันประทับใจในน้ำหนักหมัดของเธอมาก”
เฮ้ย  อย่าบอกนะว่ามันเป็นมาโชฯ
“ฉันรู้สึกชอบเธอจริง ๆ นะ  คบกับฉันเธอ”
ไม่มีเสียงตอบหรือคำพูดใด ๆ ออกมาจากปากผม  ดูเหมือนว่าทั้งห้องจะเงียบกริบและเต็มไปด้วยความตะลึงของทุกคนในห้องรวมทั้งผมด้วย
ครืด~
“นี่มันยืนทำบ้าอะไรกันอยู่  รีบ ๆ ไปนั่งที่ได้แล้ว”
ครูแว่นแกโผล่มาไม่ได้ดูสถานการณ์เลย  ทีตอนอยากจะให้มาก็ไม่ยอมโผล่หัวมา  ทีเวลาแบบนี้ละก็นะ  แต่ก็ดี  อย่างน้อยมันก็ทำให้บรรยากาศในห้องดีขึ้นมาหน่อยแถมยังช่วยยืดชีวิตผมให้ยาวนานออกไปอีก
เงียบกันจังฮะ  ไม่มีคนโพสเพิ่มเลยอ่ะ  (คนแต่งแอบน้อยใจ)
การช่วงภาคบ่ายอึดอัดกว่าที่คิด  เจ้าเคคอยหันกลับมาส่งสายตายชวนเอาเท้าไปพาดบนหน้าพร้อมกับปากเบี้ยว ๆ ให้ผมเกือบตลอดเวลา  พอเสียงออดเลิกเรียนดังขึ้นผมก็จัดการยัดของทุอย่างบนโต๊ะลงกระเป๋าแล้วจากห้องออกไปด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ  แต่เหมือนฟ้ายังมีฟ้า  เจ้าเคมันเก็บของเร็วกว่าผมแถมยังออกมาดักรอผมอีก
“เฮ้ย!!”
อยู่ ๆ เจ้าบ้านั่นก็วิ่งมาเปิดกระโปรงผม  ดีนะว่าวันนี้ผมใส่กางเกงขาสั้นมาเผื่อไว้ (คงไม่ต้องบอกนะว่าเผื่ออะไร)  ผมหันกลับไปชกหน้ามันทันทีตามสัญชาตญาญ
“ทำอะไรของแกฟระ”
“แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง”
มันยกมือขึ้นกุมปากที่แตกอีกรอบ
“ใครสั่งให้เล่นบ้า ๆ แบบนี้หล่ะ”
“ไม่น่าใส่กางเกงข้างในมาเลย”
ไม่มีสำนึกผิดแถมยังพูดด้วยท่าทางเสียดาย  ผมจัดการประเคนหมัดใส่หน้ามันอีกรอบก่อนจะชกท้องไปอีกหนึ่งที
“โอ๊ย  โอ๊ย  หยุดก่อน  พอก่อน”
“ฟังนะ  ถ้าขืนแกยังมาล้อเล่นกันฉันแบบนี้อีกล่ะก็  แกตายแน่”
“โหดแบบนี้เดี๋ยวก็ขึ้นคานหรอก”
ดูมันพูดเด๊ะ  วอนตายจริง ๆ เลย  ผมเหวี่ยงหมัดไปที่มันอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ผิดคาด  มันรับหมัดผมได้  เคดึงมือของผมเข้าหาตัวทำให้ผมเซเข้าไปหามัน
“ต่อไปก็เลิกทำตัวเหมือนผู้ชายได้แล้ว  หน้าตาออกจะน่ารักขนาดนี้”
พูดจบ เคก็ก้มลงหอมแก้มผมทันที  ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว  ผมจัดการเหวี่ยงหมัดด้วยมือข้างที่ว่างออกไปด้วยแรงแบบไม่มียั้งจนมันกระเด็น  ผมรีบวิ่งตรงไปที่บันไดทันที  เสียงกระจกแตกกับเสียงคนร้องดังไล่ตามลงไม่ได้ทำให้ผมหยุดสนใจจนกระทั่ง..
“ซากุระ  ซากุระ”
ผมหยุดเดินหันกลับไปมองนิดที่วิ่งถือกระเป๋าหนังสือตามหลังผมมา
“มีอะไรเหรอ”
“คือว่า..ซากุระเห็นกระเป๋าใส่ปากกาของนิดมัย”
อ๊ะ!!  ตายล่ะ  สงสัยตอนที่ผมเก็บของบนโต๊ะผมคงเผลอรวบเอาของนิดไปด้วย  รีบไปหน่อย  ผมก้มลงเปิดกระเป๋าหนังสือตัวเองออกมาดู  มันอยู่กับผมจริง ๆ ด้วย  กระเป๋าผ้าใบเล็กรูปตัวประหลาดสีครีมที่ดูเหมือนจะน่ารักในสายตาผมนอนกองอยู่ก้นกระเป๋าอย่างสงบนิ่ง  แน่หล่ะ  ถ้ามันเกิดขยับขึ้นมาเองได้จริง ๆ ผมคงไม่เอามันไว้หรอก  ผมหยิบมันขึ้นมาส่งให้นิดพร้อมกับขอโทษเธอที่เผลอหยิบเอาของเธอมา
“ขอโทษนะ  พอดีเรารีบไปหน่อย  เลยไม่ทันดูว่าเอาของนิดใส่ลงไปด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก  เดี๋ยวซากุระจะเดินออกทางไหนล่ะ”
“ประตูหลังน่ะ”
ที่โรงเรียนผมมีประตูเข้าออกอยู่ 2 ทาง  ประตูหน้าจะติดกับสนามฟุตบอลส่วนประตูหลังจะติดกับที่จอดรถ  ที่จริงแล้วจะออกประตูหน้าประตูหลังมันก็กลับบ้านผมได้เหมือนกันนั่นแหละ  เพียงแต่ผมเห็นว่าประตูหลังมีคนเดินผ่านน้อยก็เลยไปทางนั้นดีกว่า  โล่งดี  ไม่ต้องเดินเบียดกับคนอื่นด้วย
“พอดีเลย  เดินไปพร้อมนิดนะ  นิดก็จะไปทางนั้นเหมือนกัน”
“นิดกลับบ้านเองเหรอ”
ผมถามนิดระหว่างที่เดินลงบันไดมาจนถึงชั้นล่างสุด  ห้องเรียนที่ผมเรียนนั้นอยู่ชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของตึกนี้  ตอนแรกผมไม่ชอบใจนักหรอกเพราะมันเหนื่อยที่ต้องเดินขึ้นบันไดหลาย ๆ ชั้น  แต่ตอนนี้ผมนึกขอบคุณมันที่ทำให้ผมได้เดินกับนิดนาน ๆ
“เปล่า  คุณพ่อมารับ  จอดรถรออยู่ที่ลานจอดรถน่ะ”
“อืม”
“แล้วซากุระล่ะ  ใครมารับ  หรือว่ากลับบ้านเอง”
“กลับเอง”
“คุณพ่อมาแล้ว  นิดไปก่อนนะ  บาย”
นิดโบกมือให้ผมทีหนึ่งก่อนจะวิ่งไปหาชายกลางคนคนหนึ่งที่ยืนรออยู่หน้ารถสีเงินที่จอดอยู่ในลานจอดรถข้าง ๆ ประตูหลัง  ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกคุ้น ๆ หน้าผู้ชายคนนั้นจัง  รู้สึกเหมือนเคยเห็นมาก่อน  แต่ไม่รู้ว่าเคยเห็นที่ไหน  ปกติผมก็ไม่เคยจำหน้ากับชื่อคนอยู่แล้วด้วยสิ  เอาเหอะ  คิดไปให้เปลืองสมองเปล่า ๆ
ผมเดินออกจากประตูไปรอรถสาย 0.5 ที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณ 3 4 เมตรได้  สักพักรถเมล์สีขาวแถบน้ำเงินที่บรรทุกคนเกือบจะเต็มคันก็แล่นเข้ามาจอด  ผมรอให้รถหยุดสนิทจริง ๆ จึงจะก้าวขึ้นรถไป  ฟังดูเหมือนจะเป็นเด็กดีแต่จริง ๆ แล้วผมกลัวจะกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งเหมือนกับที่เคยอ่านเจอในหนังสือพิมพ์  สลดน.ร.ม.ปลาย รร.ดังก้าวขึ้นรถเมล์พลาด ตกลงมาหัวกระแทกขอบฟุตบาตรตาย  อ่านต่อหน้า 14
ผมสลัดความคิดบ้า ๆ นั้นทิ้งพร้อมกับล้วงกระเป๋ากระโปรงหยิบเงินออกมาเตรียมจ่ายค่ารถ  แต่กว่าจะได้จ่ายจริง ๆ รถก็แล่นไปได้เกือบ 5 นาทีแล้ว  นั้นก็เพราะจำนวนคนที่ยืนเบียดกันเป็นมนุษย์กระป๋องนั้นขัดขวางการเดินทางมาเก็บเงินค่าโดยสารของกระเป๋ารถเมล์หนุ่ม  กว่าพี่แกจะแทรกออกมาได้ผมเห็นแล้วเซ็งแทนจริง ๆ แค่มายืนเบียดอย่างผมก็แทบแย่แล้วนี่ยังต้องเดินแทรกอีก  น่าสงสาร  น่าสงสาร  รถแล่นไปจอดยังป้ายรถถัดไป  ไม่มีคนลงมีแต่ขึ้นมาเบียดกันเพิ่ม  ที่จริงผมน่าจะรอรถคันถัดไปนะเนี่ย  ถึงจะต้องรออีกเกือบชั่วโมงก็เหอะ
หลังจากผ่านมรสุมชีวิตบนรถเมล์ในที่สุดผมก็ขยับตัวเป็นอิสระอีกครั้งบนเตียงนอนในห้องผม  อ๋า  สิ้นสุดไปอีกหนึ่งวัน  ไปโรงเรียนใหม่  รู้จักเพื่อนใหม่อีก 3 คนกับอีก 1 ตัว  โทรไปเล่าให้เพื่อนสนิทผมฟังดีกว่า  รายนั้นไว้ใจได้ว่าปิดเรื่องเงียบ  ผมเด็งตัวขึ้นมานั่งก่อนจะเอี่ยวตัวไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กข้าง ๆ เตียงขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์
“โหล?  เฮ้ย  วุธเหรอ  นี่เราเองนะ  มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง
....................................................................................................................................................
เช้าวันที่ 2 ของการมาโรงเรียนใหม่เริ่มต้องด้วยการตื่นมาอาบน้ำแต่เช้าเหมือนเดิมเพียงแต่ขาดความกระตือรือร้นกว่าเมื่อวาน  แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกดีกว่าเมื่อตอนเย็นเยอะ  เพราะผมได้โทรไประบายให้เพื่อนผู้แสนดีของผมฟังเรียบร้อยแล้ว  ผมนั่งรถมาโรงเรียนและเข้าประตูเดิมกับที่ผมเดินออกเมื่อวานนี้  ที่โรงเรียนนี้เข้าให้นักเรียนเข้าแถวที่หน้าห้องตัวเองเพราะงั้นผมเลยเดินขึ้นห้องไปโดยไม่แวะที่อื่นก่อน
“หวัดดีจ๊ะซากุระ”
นิดทักผมทันทีที่เดินเข้าไปในห้อง  น่าชื่นใจจริง ๆ ผมหันไปทักนิดก่อนจะเดินไปเก็บกระเป๋าที่โต๊ะพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างสำรวจ  เพราะเมื่อวานนี้ผมมัวแต่สนใจนิดอยู่ทั้งวันเลยไม่มีเวลาทำความรู้จักกับคนอื่น ๆ ในห้อง
“มีคนมาแค่นี้เหรอ”
ผมหันไปถามนิดเมื่อเห็นว่าในห้องนอกจากผมกับนิดแล้วยังมีคนอยู่อีกประมาณ 7 8 คน
“มีอีก  แต่เขาเดินไปไหนก็ไม่รู้”
“อืม”
เวลาผ่านไปคนก็ค่อย ๆ ทยอยกันมาเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นก็มีคนเดินเข้ามาทักทายทำความรู้จักกับผมประมาณสิบกว่าคนจนกระทั่งเสียงออดดังขึ้นจึงเดินไปเข้าแถวที่หน้าห้อง  ระหว่างที่เข้าแถวผมรู้สึกเหมือนลืมอะไรไปบางอย่าง  เหมือนกับมีอะไรที่มันขาดไปและผมก็ได้คำตอบว่าสิ่งที่ขาดไปมันคืออะไรเมื่อชั่วโมงโฮมรูมเริ่มมาได้ไม่ถึง 5 นาที
“ซากุระจัง  นี่เธอมาอยู่ตรงนี้ได้ไง  ผมไปรอเธอที่หน้าประตูโรงเรียนไม่เห็นเจอ”
เคเปิดประตูเข้าพร้อมกับผ้าพันแผลและพลาสเตอร์เต็มหน้า  ไอ้หมอนี้มันไปทำอะไรมานะ
“แล้วใครสั่งให้นายไปรอฉันล่ะ”
“หัวใจฉันมันขอร้องให้ฉันไปรอเธอที่นั่น”
อ้วก  ลิเกชะมัด  ดูเหมือนความคิดผมจะไปตรงกับอีกหลายคนในห้อง
“แล้วตกลงว่าเธอมาโรงเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่  ทำไมฉันไม่เห็นเธอเลยล่ะ”
“ตั้งนานแล้ว  นายมัวแต่ยืนหลับในอยู่ล่ะสิถึงมองไม่เห็น”
“เปล่าน้า  ถ้าเป็นเธอต่อให้หลับอยู่ก็มองเห็น”
เออ  เอามันเข้าไป  น้ำเน่าโคตร ๆ
“แล้วนายไปทำบ้าอะไรมา”
“หือ?  อ๋อนี่เหรอ”
เคชี้ไปที่หน้าตัวเองที่เต็มไปด้วยพลาสเตอร์และผ้าพันแผล
“นึกว่าจะไม่ถามซะแล้ว”
“จะตอบดี ๆ หรือจะให้เอาเท้ายันหน้า”
ผมพูดเสียงเครียดเมื่อเห็นว่าไอ้เคทำท่าเหมือนกำลังจะขึ้นสวรรค์เลยคิดจะทำให้มันได้ขึ้นไปจริง ๆ
“โห้  ดุอีก  นี้มันฝีมือเธอทั้งนั้นเลยนะ”
“ฉันไปทำอะไรนายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ”
“ก็เมื่อวานนี้ไง  เธอผลักฉันไปชนกระจก  เจ็บตัวแล้วยังต้องเสียตังค์ค่ากระจกอีก  ใจร้ายชะมัด”
เออ  ไอ้เสียงเพล้งพล้างเมื่อวานนี้เสียงกระจกแตก  สมน้ำหน้า
“จริงสิ”
อยู่ ๆ เคก็ทำหน้าจริงจังขึ้นมาจนผมสงสัย
“ขอโทษนะ”
“หา?”
“ที่หอมแก้มเธอเมื่อวานนี้  ฉันขอโทษนะ”
เสียงเพื่อนให้ห้องฮือฮาขึ้นมาเมื่อได้ยินที่ไอ้เจ้าบ้านี่พูด  ผมรู้สึกได้ถึงสายตานับสิบ ๆ คู่ที่จ้องมายังตัวผมกับไอ้เค  ตาย  นี่ผมเจ้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเนี่ย  ใครก็ได้ขอปีบคลุมหัวผมที
“นี่แกอยากจะโดนอีกสักหมัดใช่มัย”
“อ๋อ  มีอีกเรื่องที่อยากจะพูด”
เคหยุดพูดไปสักพักพร้อมกับสูดหายใจลึก ๆ ในขณะที่ผมมองหน้ามันอย่างระแวง  ไม่ว่ามันจะพูดอะไรก็ตามมันต้องไม่ใช่เรื่องดีสำหรับผมแน่
“คบกับฉันเถอะนะ”
น่านไง  ซื้อหวยยังไม่ถูกเท่านี้เลย  เสียงคนในห้องฮือฮาดังกว่าเก่า  ถ้าผมรู้สึกไม่ผิด  รู้สึกว่าจะมีเสียงคนแซวล้อผมกับเคดังอยู่ในนั้นด้วย  ทำไมอาจารย์ยังไม่มาสักทีนะ ฮือ
“หะ  หา  พูดอะไรของนายน่ะ”
“รังเกียจฉันเหรอ”
“ทะ  ทำไมฉันต้องไปคบกับนายด้วยล่ะ!!”
“เธอเกลียดฉันเหรอ”
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น!!”
“งั้นก็แปลว่า ‘ชอบ’ ใช่มัยล่ะ”
ทำไมกลายเป็นแบบนั้นไปได้ฟระ
“เพิ่งจะเจอกันเมื่อวาน  จะมาชอบกันได้ยังไงล่ะ”
คำพูดนี้ดูเหมือนจะเหมาะสมที่สุดในเวลานี้  แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิดไปถนัด
“ความรักมันไม่เกี่ยวกับเวลาหรอกนะ  ฉันพึ่งจะเคยเจอผู้หญิงแบบเธอ  คนที่ดูไม่มีความเป็นผู้หญิงเลย”
นี่มันชมหรือด่ากันแน่เนี่ย
“มีแต่เธอคนเดียวที่พูดกับฉันแบบนี้  ฉันประทับใจในน้ำหนักหมัดของเธอมาก”
เฮ้ย  อย่าบอกนะว่ามันเป็นมาโชฯ
“ฉันรู้สึกชอบเธอจริง ๆ นะ  คบกับฉันเธอ”
ไม่มีเสียงตอบหรือคำพูดใด ๆ ออกมาจากปากผม  ดูเหมือนว่าทั้งห้องจะเงียบกริบและเต็มไปด้วยความตะลึงของทุกคนในห้องรวมทั้งผมด้วย
ครืด~
“นี่มันยืนทำบ้าอะไรกันอยู่  รีบ ๆ ไปนั่งที่ได้แล้ว”
ครูแว่นแกโผล่มาไม่ได้ดูสถานการณ์เลย  ทีตอนอยากจะให้มาก็ไม่ยอมโผล่หัวมา  ทีเวลาแบบนี้ละก็นะ  แต่ก็ดี  อย่างน้อยมันก็ทำให้บรรยากาศในห้องดีขึ้นมาหน่อยแถมยังช่วยยืดชีวิตผมให้ยาวนานออกไปอีก
เงียบกันจังฮะ  ไม่มีคนโพสเพิ่มเลยอ่ะ  (คนแต่งแอบน้อยใจ)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น