ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : มิตรภาพใต้ต้นไม้
มิตรภาพใต้ต้นไม้
ตลอดช่วงเช้าผมนั่งเรียนอย่างมีความสุขจนกระทั่งเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ทันทีที่เสียงออดบอกเวลาพักดังขึ้น  พวกหมาป่า  เอ๊ย  พวกผู้ชายในห้องรวมไปถึงไอ้หน้าม่อนั่นด้วยก็รีบดิ่งมายืนมุงรอบโต๊ะผมราวกับผมเป็นศพที่ถูกรถชนอยู่กลางสี่แยกยังไงอย่างนั้น
“ ซา...กุ...ระ...จาง... จ้า “
“ อย่ามาเรียกฉันอย่างนี้นะ! “
“ ดุจัง  แล้วให้เรียกว่าอะไรดีล่ะ “
“ เรียกชื่อเดะว่ะ “
“ โห้  พูดจะไม่เพราะเลย “
“ เรื่องของฉันน่า “
ไอ้พวกนี้มันจะมากวนใจผมทำไม่นะ  ดูซิ  มายืนล้อมแบบนี้มองไม่นิดเลย
“ แล้วตกลงว่าเธอยังว่างรึเปล่า “
“ ว่าง? “
“ ฉันหมายถึงมีแฟนรึยัง “
“ ยัง “
มันจะถามไปทำไมว่ะ  ก็ผู้ชายด้วยกัน  จริงสิ  ผมลืมไปว่าไอ้พวกนี้มันคิดว่าผมเป็นผู้หญิง
“ โกหกน่า  ท่าทางออกจะเชี่ยวชาญขนาดนั้น “
ดูมันพูดเด๊ะ  วอนตายมัยนั่น  ผมเริ่มนับ 1 -10 อยู่ในใจ  เคยมีคนบอกว่าเวลาโกรธ  ถ้านับเลขในใจแล้วจะทำให้ใจเย็นลงและหายโกรธได้  ที่จริงผมก็ไม่เคยลองหรอกเลยไม่รู้ว่าจะได้ผลรึเปล่า  แต่งานนี้นับแค่สิบคงไม่อยู่  มันต้องถึงร้อย
“ ไม่มีแฟนจริง ๆ นะ “
“  เออ!”
โกหกมันไปทองก็ไม่งอกออกมาให้เก็บหรอก  แต่ถ้ามันเกิดงอกขึ้นมาจริง ๆ ค่อยว่ากันทีหลัง  ไอ้พวกนี้นี่น่ารำคาญจริง ๆ ถามเซ้าซี้หน้าแข้งผมเหลือเกิน  มันต้องโดนสักรอบถึงจะเลิกล่ะมั้ง
“ แล้วผู้ชายในสเป็คล่ะ “
ไอ้เคยื่นหน้าเข้ามาซะใกล้  หน้ามันกับหน้าผมอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบด้วยซ้ำ  ขยะแขยงชะมัด  ถอยไปห่าง ๆ หน่อยไม่ได้รึไง
“ จะถามไปทำไม “
“ ก็มันอาจจะเป็นฉันคนนี้ไง “
“ เฮอะ!  หน้าอย่างนายใครเอาไปเป็นแฟนก็ค-ว-า-ยเต็มที่  จะบอกอะไรให้อย่าง  ฉันน่ะไม่ชอบผู้ชายหรอกนะ “
แน่หล่ะ  ก็ผมเป็นผู้ชายหนิ  ใครจะไปชอบผู้ชายด้วยกันลง  อ๋อ  ยกเว้นไว้พวกหนึ่ง  เกย์กับกระเทย  แต่ถึงผมจะว่ามันไปแบบนั้นแล้ว  แต่ดูสีหน้ามันแล้วไม่ได้สลดหรือได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอะไรเลย  หน้ามันคงหนาน่าดูชม  ผมเผลอยืนชมในความหน้าหนาของมันจนไม่ทันสังเกตว่ามีมือยื่นเข้ามาใกล้ตัวผม  ไอ้เคนี่เอง  มันรวบผมเขาไปใกล้  แทบจะเรียกว่ากอดเลยก็ได้
“ ถ้าไม่ลองคบกันดูแล้วจะรู้เหรอว่าฉันเป็นไง “
“ ไม่โว้ย! ไปตายซะเถอะไป! “
ไม่นงไม่นับมันแล้ว 1 100 ผมจัดการชกหน้ามันไปทีหนึ่งก่อนจะแหวกฝูงคนที่มุงรอบโต๊ะผมออกจากห้องไป  ไอ้เคลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกับยกมือขึ้นจับปากตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ทั้ง ๆ ที่มีเลือดกลบปาก
“ เขาว่ากันว่า ผู้หญิงตบแปลว่าผู้หญิงรัก  แสดงว่ายัยนั่นก็รักข้า  แกเห็นมัยวะ “
“ แต่ข้าว่านั่นเขาเรียกว่าชกมากกว่าตบว่ะ”
....................................................................................................................................................
ผมเดินหงุดหงิดมาตามระเบียงตึก  คนเขาอุตส่าห์อารมณ์ดี  ไอ้บ้านั่นก็มากวนให้ขุ่นจนได้  ตายล่ะ!  ผมพึ่งนึกขึ้นได้  ผมลืมหัวใจ เอ๊ย ลืมนิดไว้ที่ห้อง จะกลับไปเอาตอนนี้ก็ติดไอ้พวกบ้านั่นอีก (พูดเหมือนเป็นสิ่งของเลยนะ) ระหว่างที่ผมคิดไปเดินไป  ผมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรกำลังตามผมมา ระเบียงที่ผมกำลังเดินอยู่ตอนนี้รู้สึกจะเป็นทางไปห้องเย็น (ห้องฝ่ายปกครอง)  โดยปกติถ้าไม่มีเหตุจำเป็นไม่มีใครคิดจะเดินมาทางนี้กันหรอก  เพราะมันจะรู้สึกตามชื่อเรียกมันนั่นแหละ  ห้องเย็นสันหลังวาบ  แต่ผมว่าเรียกว่าห้องร้อนก็ได้มั้ง  ร้อนรุ่มในทรวง  อีกอย่างไม่มีการประกาศเรียกชื่อใครไปเพราะงั้นต้องไม่มีใครมาทางนี้แน่  หวังว่ามันคงไม่ใช่ผีนะ  แต่ผีมันไม่ออกมาตอนกลางวันนี่  ไม่ใช่ว่าผมกลัวผีหรอกนะ  แต่ผมเกรงใจมันก็เท่านั้น
ผมหยุดเดินเพื่อเมื่อได้ยินฝีเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ บรรยากาศและแรงกดดันจากห้องเย็นทำให้ผมขนลุกซู่  ทั่งที่ไม่เคยถูกเรียกแถมพึ่งเข้ามาใหม่  ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกสยองกับไอ้ห้องนี้มากนัก  เสียงฝีเท้าหยุดลงตรงด้านหลังผมพอดี  เสียงหอบใจดังขึ้นจากด้านหลัง  ผมรู้สึกถึงลมอุ่น ๆ ที่พบใส่หลังผม  มันทำให้ผมตัวแข็งทื่อไม่กล้าหันไปมอง
“ เดินเร็วจัง  นิดเดินตามเกือบไม่ทันแนะ “
“ นิดเองเหรอ  ตกใจหมด  นึกว่า... “
นึกว่าผีซะอีก  แต่คงพูดออกไปให้เธอได้ยินไม่ได้หรอก
“ ซากุระจะไปไหนเหรอ “
“ ไปหาที่เงียบ ๆ หน่ะ  รำคาญพวกผู้ชายในห้อง “
“ ไปกับนิดได้มั้ย “
“ ได้สิ “
เพื่อนิดแล้วต่อให้บุกน้ำลุยไฟผมก็ยอม
“ นิดจะพาผ.. เราไปไหนเหรอ “
ผมถามขณะที่เดินตามนิดมาได้สักพัก
“ นิดมีคนอยากจะแนะนำให้ซากุระรู้จักน่ะ “
ผมเดินตามนิดไปจนถึงสนามหญ้าเล็ก ๆ หลังตึก  บริเวณนี้แทบจะไม่มีคนเดินผ่านเลย  หรือพูดอีกมีมีใครอยู่แถวนี้เลยด้วยซ้ำ  ถ้าสังเกตให้ดีบริเวณนี้เรียกไปว่าเป็นมุมอับของโรงเรียนเลยก็ว่าได้  มองจากตรงนี้ไม่รู้ว่าตรงกับส่วนไหนของตึก  ที่แน่ ๆ คือมองจากข้างบนตึกลงมาไม่เห็นตรงนี้
“ ตรงนี้เป็นฐานลับของนิดล่ะ  ตอนที่เข้ามาโรงเรียนนี้ใหม่ ๆ นิดเดินหลงทางมาเจอที่นี่น่ะ “
นิดเล่าถึงที่มาของฐานลับของเธอให้ผมฟัง  ผมหันไปมองหน้าเธอพร้อมกับความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัว
‘ โรงเรียนแค่นี้ยังอุตส่าห์จะหลงทางได้อีกเหรอ ‘
“ นิดเป็นคนหลงทิศ  ถ้าเดินไปตามทางที่ตัวเองไม่เคยไปก็จะหลง “
ดูเหมือนเธอจะเดาความคิดจากสีหน้าของผมออก  ผมแกล้งทำเป็นมองไปรอบ ๆ ก่อนจะไปสะดุดที่ร่างของผู้หญิง 2 คนที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดียวในสนามนี้
“ มาช้าจังเลยนิด “
หนึ่งในสองสาวตะโกนออกมาเมื่อเห็นนิดเดินเข้าไปใกล้
“ นั่นใครอ่ะ “
ผู้หญิงอีกคนถามพร้อมกับชี้มาที่ตัวผม  เสียมารยาทจริง ๆ เลย  ไม่รู้หรือไงว่าเขาไม่ให้ชี้คนแบบนี้
“ นี่ซากุราเอะจ๊ะ  ซากุระเขาพึ่งย้ายมาวันนี้  เขานั่งอยู่ข้างนิด  นิดเลยพามาให้รู้จัก “
“ โอ้  ดี! “
ผู้หญิงคนนั้นผมยกมือข้างที่ชี้หน้าผมขึ้นมาทำท่าคลายวันทยาหัตด้วยท่าทีแก่น ๆ ท่าทางเธอจะเป็นพวกทอมบอย  เพราะดูจากท่าทางและผมสีดำที่ซอยสั้นคล้ายทรงผู้ชายที่บอกยี่ห้อนั่น  คิดว่าคงไม่ผิดหรอก  ผมว่าเธอคงจะมีเชื้อจีนอยู่ไม่น้อย  ก็ดูสิ  ตาเธอตี่ซะ  คนอื่นมองมาหาตาขาวไม่เจอ  อย่าว่าแต่ตาขาวเลย  ตาดำยังแทบมองไม่เห็น
“ สวัสดีซากุระจัง  เราชื่อศศิวรรณ  เรียกเราว่า โบว์ นะ  ส่วนนั่น อันญาดา  เรียกว่าอันก็ได้ “
เด็กสาวอีกคนแนะนำตัวกับผมด้วยท่าทีเรียบร้อยยิ่งกว่าปูด้วยซ้ำ  ผมดำยาวถูกถักเป็นเปียตรงปลายผูกด้วยโบว์สีขาวสะอาด  ดูจากขนาดแล้วตัวเธอไม่ต่างจากนิดเท่าไหร่คือสูงแค่ไหล่ผม  ส่วนอีกคน  ยายอันนั่นตัวเลยบ่าผมมาแต่ก็ยังเตี้ยกว่าผมอยู่ดี  สรุปคือผมสูงสุด
“ กินข้าวกันเถอะหิวแล้ว “
ยัยตาตี่พูดพร้อมกับล้วงกระเป๋าหยิบเอาขนมปังขึ้นมาแกะ
“ จริงสิ  ซากุระไม่ได้ซื้ออะไรมากินนี่  นิดลืมไปเลย  มัวแต่รีบพามาแนะนำ “
“ แบ่งของเราไปก็ได้ “
โบว์ยื่นข้าวกล่องมาให้ผม
“ ไม่ล่ะ  เราไม่กินข้าวเที่ยง “
ผมปฏิเสธเธอไป  ใครจะไปกล้าแย่งข้าวผู้หญิงกินล่ะ  อีกอย่างผมก็ไม่กินข้าวเที่ยงอยู่แล้วด้วย  เพราะผมไม่ชอบข้าวโรงเรียน  แต่จะให้แบกปิ่นโตจากบ้านมามันก็ดูกระไรอยู่
“ ไม่ได้น่ะซากุ  ข้าวเที่ยงเป็นมื้อที่สำคัญรองจากข้าวเช้า  เอาขนมปังเราไปกินก็ได้ “
ยัยอันเปลี่ยนชื่อผมเฉยเลย  ผมรับขนมปังที่เธอโยนมาให้  คงต้องมองเธอในแง่ใหม่หน่อยว่าคนฮ้าว ๆ ก็มีน้ำใจ  นี่ถ้าทำตัวให้ดูน่ารักแบบนิดหรือโบว์สักหน่อยคงมีคนมาชอบตรึม  เพราะหน้าตาเธอนั้นเรียกว่าสวยเข้าขั้นเลยล่ะ
“ ขนมปัง 4 สหาย? “
ผมก้มลงอ่านตัวหนังสือที่ซองขนมปังขณะแกะห่อ
“ ไม่เคยกินเหรอ “
ผมพยักหน้ารับ  เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินเนี่ยแหละไอ้ขนมปัง 4 สหายเนี่ย
“ ข้างในมันมีไส้อะไรบ้าง “
“ ก็มีลูกเกด..”
อืม  ลูกเกด  โอเค  ไม่ชอบแต่พอกินได้
“ ...หมูหยอง..”
อืม  มีหมูหยองกับลูกเกด
“...แล้วก็สังขยากับไส้กรอก “
อืม  หมูหยอง ลูกเกด สังขยา กับไส้กรอก  เฮ้ย  เดี๋ยว  สังขยากับไส้กรอกเรอะ  มันเข้าไปรวมกับหมูหยองกับลูกเกดด้วยเนี่ยนะ
“ อ๋อใช่  มีมายองเนสกับซอสมะเขือเทศอยู่ข้างในนั้นด้วย “
จะกินได้มัยนั่น  ดูไส้มันซิ  โคตะระจะเข้ากันได้
“ ที่เธอกินอยู่นั่นมันขนมปังอะไร “
“ เหมือนกัน “
นั่นแปลว่ากินได้  ต้องจำไว้ว่ายัยนี่ขอบของแปลก  วันหลังเวลาส่งของกินมาให้จะได้ไม่รับ  ผมแกะขนนมปัง 4 สหายนั่นออกมาลองกินดู  อย่างน้อยมันก็ไม่ได้เลวร้ายกว่าที่คิด  รสชาติจะเรียกว่าใช้ได้หรือไม่ได้ดีก็ไม่รู้  เพราะมันปนกันมั่วไปหมดจนไม่รู้ว่ารสอะไรเป็นอะไร  หลังมื้ออาหารสุดพิสดารผ่านพ้นไปการสนทนาตามภาษาผู้หญิง?ก็เริ่มขึ้น
พึ่งสังเกตว่าลงชื่อตอนผิด  - - \' ก็ว่าทำไม่ชื่อตอนกับเนื้อเรื่องมันดูแปลก ๆ
ฝากอีกเรื่องที่ผมแต่งด้วยครับ
http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=49097
E.S.บันทึกลับสัมผัสที่6
ชะตากรรมที่ต้องเผชิญ เรื่องราวในอดีตที่ผูกเข้ากับปัจจุบัน การต่อสู้ครั้งใหม่ที่โหดร้ายยิ่งกว่าเก่ากำลังจะเริ่มต้นขึ้นบทสรุปและคำพิพากษาใครกันที่เป็นผู้ตัดสิน
ตลอดช่วงเช้าผมนั่งเรียนอย่างมีความสุขจนกระทั่งเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ทันทีที่เสียงออดบอกเวลาพักดังขึ้น  พวกหมาป่า  เอ๊ย  พวกผู้ชายในห้องรวมไปถึงไอ้หน้าม่อนั่นด้วยก็รีบดิ่งมายืนมุงรอบโต๊ะผมราวกับผมเป็นศพที่ถูกรถชนอยู่กลางสี่แยกยังไงอย่างนั้น
“ ซา...กุ...ระ...จาง... จ้า “
“ อย่ามาเรียกฉันอย่างนี้นะ! “
“ ดุจัง  แล้วให้เรียกว่าอะไรดีล่ะ “
“ เรียกชื่อเดะว่ะ “
“ โห้  พูดจะไม่เพราะเลย “
“ เรื่องของฉันน่า “
ไอ้พวกนี้มันจะมากวนใจผมทำไม่นะ  ดูซิ  มายืนล้อมแบบนี้มองไม่นิดเลย
“ แล้วตกลงว่าเธอยังว่างรึเปล่า “
“ ว่าง? “
“ ฉันหมายถึงมีแฟนรึยัง “
“ ยัง “
มันจะถามไปทำไมว่ะ  ก็ผู้ชายด้วยกัน  จริงสิ  ผมลืมไปว่าไอ้พวกนี้มันคิดว่าผมเป็นผู้หญิง
“ โกหกน่า  ท่าทางออกจะเชี่ยวชาญขนาดนั้น “
ดูมันพูดเด๊ะ  วอนตายมัยนั่น  ผมเริ่มนับ 1 -10 อยู่ในใจ  เคยมีคนบอกว่าเวลาโกรธ  ถ้านับเลขในใจแล้วจะทำให้ใจเย็นลงและหายโกรธได้  ที่จริงผมก็ไม่เคยลองหรอกเลยไม่รู้ว่าจะได้ผลรึเปล่า  แต่งานนี้นับแค่สิบคงไม่อยู่  มันต้องถึงร้อย
“ ไม่มีแฟนจริง ๆ นะ “
“  เออ!”
โกหกมันไปทองก็ไม่งอกออกมาให้เก็บหรอก  แต่ถ้ามันเกิดงอกขึ้นมาจริง ๆ ค่อยว่ากันทีหลัง  ไอ้พวกนี้นี่น่ารำคาญจริง ๆ ถามเซ้าซี้หน้าแข้งผมเหลือเกิน  มันต้องโดนสักรอบถึงจะเลิกล่ะมั้ง
“ แล้วผู้ชายในสเป็คล่ะ “
ไอ้เคยื่นหน้าเข้ามาซะใกล้  หน้ามันกับหน้าผมอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบด้วยซ้ำ  ขยะแขยงชะมัด  ถอยไปห่าง ๆ หน่อยไม่ได้รึไง
“ จะถามไปทำไม “
“ ก็มันอาจจะเป็นฉันคนนี้ไง “
“ เฮอะ!  หน้าอย่างนายใครเอาไปเป็นแฟนก็ค-ว-า-ยเต็มที่  จะบอกอะไรให้อย่าง  ฉันน่ะไม่ชอบผู้ชายหรอกนะ “
แน่หล่ะ  ก็ผมเป็นผู้ชายหนิ  ใครจะไปชอบผู้ชายด้วยกันลง  อ๋อ  ยกเว้นไว้พวกหนึ่ง  เกย์กับกระเทย  แต่ถึงผมจะว่ามันไปแบบนั้นแล้ว  แต่ดูสีหน้ามันแล้วไม่ได้สลดหรือได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอะไรเลย  หน้ามันคงหนาน่าดูชม  ผมเผลอยืนชมในความหน้าหนาของมันจนไม่ทันสังเกตว่ามีมือยื่นเข้ามาใกล้ตัวผม  ไอ้เคนี่เอง  มันรวบผมเขาไปใกล้  แทบจะเรียกว่ากอดเลยก็ได้
“ ถ้าไม่ลองคบกันดูแล้วจะรู้เหรอว่าฉันเป็นไง “
“ ไม่โว้ย! ไปตายซะเถอะไป! “
ไม่นงไม่นับมันแล้ว 1 100 ผมจัดการชกหน้ามันไปทีหนึ่งก่อนจะแหวกฝูงคนที่มุงรอบโต๊ะผมออกจากห้องไป  ไอ้เคลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกับยกมือขึ้นจับปากตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ทั้ง ๆ ที่มีเลือดกลบปาก
“ เขาว่ากันว่า ผู้หญิงตบแปลว่าผู้หญิงรัก  แสดงว่ายัยนั่นก็รักข้า  แกเห็นมัยวะ “
“ แต่ข้าว่านั่นเขาเรียกว่าชกมากกว่าตบว่ะ”
....................................................................................................................................................
ผมเดินหงุดหงิดมาตามระเบียงตึก  คนเขาอุตส่าห์อารมณ์ดี  ไอ้บ้านั่นก็มากวนให้ขุ่นจนได้  ตายล่ะ!  ผมพึ่งนึกขึ้นได้  ผมลืมหัวใจ เอ๊ย ลืมนิดไว้ที่ห้อง จะกลับไปเอาตอนนี้ก็ติดไอ้พวกบ้านั่นอีก (พูดเหมือนเป็นสิ่งของเลยนะ) ระหว่างที่ผมคิดไปเดินไป  ผมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรกำลังตามผมมา ระเบียงที่ผมกำลังเดินอยู่ตอนนี้รู้สึกจะเป็นทางไปห้องเย็น (ห้องฝ่ายปกครอง)  โดยปกติถ้าไม่มีเหตุจำเป็นไม่มีใครคิดจะเดินมาทางนี้กันหรอก  เพราะมันจะรู้สึกตามชื่อเรียกมันนั่นแหละ  ห้องเย็นสันหลังวาบ  แต่ผมว่าเรียกว่าห้องร้อนก็ได้มั้ง  ร้อนรุ่มในทรวง  อีกอย่างไม่มีการประกาศเรียกชื่อใครไปเพราะงั้นต้องไม่มีใครมาทางนี้แน่  หวังว่ามันคงไม่ใช่ผีนะ  แต่ผีมันไม่ออกมาตอนกลางวันนี่  ไม่ใช่ว่าผมกลัวผีหรอกนะ  แต่ผมเกรงใจมันก็เท่านั้น
ผมหยุดเดินเพื่อเมื่อได้ยินฝีเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ บรรยากาศและแรงกดดันจากห้องเย็นทำให้ผมขนลุกซู่  ทั่งที่ไม่เคยถูกเรียกแถมพึ่งเข้ามาใหม่  ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกสยองกับไอ้ห้องนี้มากนัก  เสียงฝีเท้าหยุดลงตรงด้านหลังผมพอดี  เสียงหอบใจดังขึ้นจากด้านหลัง  ผมรู้สึกถึงลมอุ่น ๆ ที่พบใส่หลังผม  มันทำให้ผมตัวแข็งทื่อไม่กล้าหันไปมอง
“ เดินเร็วจัง  นิดเดินตามเกือบไม่ทันแนะ “
“ นิดเองเหรอ  ตกใจหมด  นึกว่า... “
นึกว่าผีซะอีก  แต่คงพูดออกไปให้เธอได้ยินไม่ได้หรอก
“ ซากุระจะไปไหนเหรอ “
“ ไปหาที่เงียบ ๆ หน่ะ  รำคาญพวกผู้ชายในห้อง “
“ ไปกับนิดได้มั้ย “
“ ได้สิ “
เพื่อนิดแล้วต่อให้บุกน้ำลุยไฟผมก็ยอม
“ นิดจะพาผ.. เราไปไหนเหรอ “
ผมถามขณะที่เดินตามนิดมาได้สักพัก
“ นิดมีคนอยากจะแนะนำให้ซากุระรู้จักน่ะ “
ผมเดินตามนิดไปจนถึงสนามหญ้าเล็ก ๆ หลังตึก  บริเวณนี้แทบจะไม่มีคนเดินผ่านเลย  หรือพูดอีกมีมีใครอยู่แถวนี้เลยด้วยซ้ำ  ถ้าสังเกตให้ดีบริเวณนี้เรียกไปว่าเป็นมุมอับของโรงเรียนเลยก็ว่าได้  มองจากตรงนี้ไม่รู้ว่าตรงกับส่วนไหนของตึก  ที่แน่ ๆ คือมองจากข้างบนตึกลงมาไม่เห็นตรงนี้
“ ตรงนี้เป็นฐานลับของนิดล่ะ  ตอนที่เข้ามาโรงเรียนนี้ใหม่ ๆ นิดเดินหลงทางมาเจอที่นี่น่ะ “
นิดเล่าถึงที่มาของฐานลับของเธอให้ผมฟัง  ผมหันไปมองหน้าเธอพร้อมกับความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัว
‘ โรงเรียนแค่นี้ยังอุตส่าห์จะหลงทางได้อีกเหรอ ‘
“ นิดเป็นคนหลงทิศ  ถ้าเดินไปตามทางที่ตัวเองไม่เคยไปก็จะหลง “
ดูเหมือนเธอจะเดาความคิดจากสีหน้าของผมออก  ผมแกล้งทำเป็นมองไปรอบ ๆ ก่อนจะไปสะดุดที่ร่างของผู้หญิง 2 คนที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดียวในสนามนี้
“ มาช้าจังเลยนิด “
หนึ่งในสองสาวตะโกนออกมาเมื่อเห็นนิดเดินเข้าไปใกล้
“ นั่นใครอ่ะ “
ผู้หญิงอีกคนถามพร้อมกับชี้มาที่ตัวผม  เสียมารยาทจริง ๆ เลย  ไม่รู้หรือไงว่าเขาไม่ให้ชี้คนแบบนี้
“ นี่ซากุราเอะจ๊ะ  ซากุระเขาพึ่งย้ายมาวันนี้  เขานั่งอยู่ข้างนิด  นิดเลยพามาให้รู้จัก “
“ โอ้  ดี! “
ผู้หญิงคนนั้นผมยกมือข้างที่ชี้หน้าผมขึ้นมาทำท่าคลายวันทยาหัตด้วยท่าทีแก่น ๆ ท่าทางเธอจะเป็นพวกทอมบอย  เพราะดูจากท่าทางและผมสีดำที่ซอยสั้นคล้ายทรงผู้ชายที่บอกยี่ห้อนั่น  คิดว่าคงไม่ผิดหรอก  ผมว่าเธอคงจะมีเชื้อจีนอยู่ไม่น้อย  ก็ดูสิ  ตาเธอตี่ซะ  คนอื่นมองมาหาตาขาวไม่เจอ  อย่าว่าแต่ตาขาวเลย  ตาดำยังแทบมองไม่เห็น
“ สวัสดีซากุระจัง  เราชื่อศศิวรรณ  เรียกเราว่า โบว์ นะ  ส่วนนั่น อันญาดา  เรียกว่าอันก็ได้ “
เด็กสาวอีกคนแนะนำตัวกับผมด้วยท่าทีเรียบร้อยยิ่งกว่าปูด้วยซ้ำ  ผมดำยาวถูกถักเป็นเปียตรงปลายผูกด้วยโบว์สีขาวสะอาด  ดูจากขนาดแล้วตัวเธอไม่ต่างจากนิดเท่าไหร่คือสูงแค่ไหล่ผม  ส่วนอีกคน  ยายอันนั่นตัวเลยบ่าผมมาแต่ก็ยังเตี้ยกว่าผมอยู่ดี  สรุปคือผมสูงสุด
“ กินข้าวกันเถอะหิวแล้ว “
ยัยตาตี่พูดพร้อมกับล้วงกระเป๋าหยิบเอาขนมปังขึ้นมาแกะ
“ จริงสิ  ซากุระไม่ได้ซื้ออะไรมากินนี่  นิดลืมไปเลย  มัวแต่รีบพามาแนะนำ “
“ แบ่งของเราไปก็ได้ “
โบว์ยื่นข้าวกล่องมาให้ผม
“ ไม่ล่ะ  เราไม่กินข้าวเที่ยง “
ผมปฏิเสธเธอไป  ใครจะไปกล้าแย่งข้าวผู้หญิงกินล่ะ  อีกอย่างผมก็ไม่กินข้าวเที่ยงอยู่แล้วด้วย  เพราะผมไม่ชอบข้าวโรงเรียน  แต่จะให้แบกปิ่นโตจากบ้านมามันก็ดูกระไรอยู่
“ ไม่ได้น่ะซากุ  ข้าวเที่ยงเป็นมื้อที่สำคัญรองจากข้าวเช้า  เอาขนมปังเราไปกินก็ได้ “
ยัยอันเปลี่ยนชื่อผมเฉยเลย  ผมรับขนมปังที่เธอโยนมาให้  คงต้องมองเธอในแง่ใหม่หน่อยว่าคนฮ้าว ๆ ก็มีน้ำใจ  นี่ถ้าทำตัวให้ดูน่ารักแบบนิดหรือโบว์สักหน่อยคงมีคนมาชอบตรึม  เพราะหน้าตาเธอนั้นเรียกว่าสวยเข้าขั้นเลยล่ะ
“ ขนมปัง 4 สหาย? “
ผมก้มลงอ่านตัวหนังสือที่ซองขนมปังขณะแกะห่อ
“ ไม่เคยกินเหรอ “
ผมพยักหน้ารับ  เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินเนี่ยแหละไอ้ขนมปัง 4 สหายเนี่ย
“ ข้างในมันมีไส้อะไรบ้าง “
“ ก็มีลูกเกด..”
อืม  ลูกเกด  โอเค  ไม่ชอบแต่พอกินได้
“ ...หมูหยอง..”
อืม  มีหมูหยองกับลูกเกด
“...แล้วก็สังขยากับไส้กรอก “
อืม  หมูหยอง ลูกเกด สังขยา กับไส้กรอก  เฮ้ย  เดี๋ยว  สังขยากับไส้กรอกเรอะ  มันเข้าไปรวมกับหมูหยองกับลูกเกดด้วยเนี่ยนะ
“ อ๋อใช่  มีมายองเนสกับซอสมะเขือเทศอยู่ข้างในนั้นด้วย “
จะกินได้มัยนั่น  ดูไส้มันซิ  โคตะระจะเข้ากันได้
“ ที่เธอกินอยู่นั่นมันขนมปังอะไร “
“ เหมือนกัน “
นั่นแปลว่ากินได้  ต้องจำไว้ว่ายัยนี่ขอบของแปลก  วันหลังเวลาส่งของกินมาให้จะได้ไม่รับ  ผมแกะขนนมปัง 4 สหายนั่นออกมาลองกินดู  อย่างน้อยมันก็ไม่ได้เลวร้ายกว่าที่คิด  รสชาติจะเรียกว่าใช้ได้หรือไม่ได้ดีก็ไม่รู้  เพราะมันปนกันมั่วไปหมดจนไม่รู้ว่ารสอะไรเป็นอะไร  หลังมื้ออาหารสุดพิสดารผ่านพ้นไปการสนทนาตามภาษาผู้หญิง?ก็เริ่มขึ้น
พึ่งสังเกตว่าลงชื่อตอนผิด  - - \' ก็ว่าทำไม่ชื่อตอนกับเนื้อเรื่องมันดูแปลก ๆ
ฝากอีกเรื่องที่ผมแต่งด้วยครับ
http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=49097
E.S.บันทึกลับสัมผัสที่6
ชะตากรรมที่ต้องเผชิญ เรื่องราวในอดีตที่ผูกเข้ากับปัจจุบัน การต่อสู้ครั้งใหม่ที่โหดร้ายยิ่งกว่าเก่ากำลังจะเริ่มต้นขึ้นบทสรุปและคำพิพากษาใครกันที่เป็นผู้ตัดสิน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น