คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : :: Chapter I :: Spring Rain Scene
a
Chapter I
Spring Rain Scene
เสียงเป่านกหวีดของตำรวจจราจรยังคงดังอยู่ข้างนอกรถอย่างน่ารำคาญ ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องปกติของเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครที่เกิดขึ้นในทุกๆวัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่ดี
ปกติเขาไม่เคยเป็นแบบนี้
คงเป็นเพราะเรื่องเมื่อวาน
ชายหนุ่มขมวดคิ้วหมุ่น ตบเกียร์เมื่อรถทั้งหมดเริ่มเคลื่อนตัว ท้องฟ้าภายนอกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา บ่งบอกว่าฝนกำลังตก
หลายคนชอบฝนเพราะมันทำให้อากาศเย็น ทำให้พืชพรรณชุ่มชื้น หรือแม้แต่คู่รักบางคู่ที่ชอบอยู่ใต้คันร่มเดียวกันอันสุดแสนจะโรแมนติก
แต่เว้นเขาไว้คนหนึ่ง..
เขาเกลียดฝน
เกลียดฝนที่ทำให้ถนนเปียกแชะ เกลียดกลิ่นดินหรือหญ้าที่ลอยขึ้นมาแตะจมูก เกลียดเสียงของมันเวลาที่โปรยปรายลงมากระทบหลังคา หรือแม้กระทั่งละอองฝนที่กระเด็นมาโดนตัว
มันน่ารำคาญ..
น่า
ขยะแขยง
“ผมดีใจที่วันนี้พี่เปิดร้าน” เด็กหนุ่มวัยสิบแปดพูดเสียงใส พวงแก้มเปลี่ยนเป็นสีเรื่อแล้วเกาหัวเก๊กๆแก้เก้อเขิน “เอ่อ ผมหมายความว่าผมอยากจะยืมหนังสือเรื่องนี้อยู่พอดี”
“ยินดีบริการครับ” ชายหนุ่มพูดแล้วเขียนชื่อหนังสือลงในแฟ้มบันทึกการยืมของลูกค้า “รวมทั้งหมดสิบเจ็ดบาทครับ”
“อ่า ครับๆ” พูดแล้วหยิบเงินออกมาจ่าย สีหน้าลังเลเหมือนคนที่ต้องการจะพูดอะไร แต่แล้วก็ต้องคอตกแล้วเดินออกไปจากร้านด้วยความไม่กล้า
ชายหนุ่มเจ้าของร้านมองตามภาพนั้นไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย เก็บแฟ้มเข้าชั้นตามเดิมแล้วอ่านหนังสือที่ค้างไว้ต่อ
นัท หรือยุทธนันท์ เจ้าของร่างสูงโปร่ง ผมสีน้ำตาลอมส้มธรรมชาติยาวระต้นคอ ผิวขาวซีด เครื่องหน้าคล้ายผู้หญิงแต่ยังคงบ่งบอกถึงความเป็นบุรุษเพศ อายุยี่สิบเจ็ดปี เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพได้สามเดือนทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นต้องย้ายไปที่ประเทศอื่นบ่อย ๆ ด้วยเหตุผลเพราะงาน แต่เขาเองก็ไม่เคยคิดรำคาญใจ กลับรู้สึกยินดีมากกว่า เมื่อจะได้ไม่ต้องยึดติดกับใคร
จะได้ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเสียใจ
เมื่อห่างไกล
และดูเหมือนใครบางคนจะรู้จักเขาดี จึงทำให้เขาย้ายไปไหนมาไหนบ่อยๆ..
..G.O.D
นั่นคือชื่อองค์กรที่เขาอยู่
องค์กรนักฆ่ายักษ์ใหญ่ที่กระจายอยู่ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก เยอรมัน บราซิล จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และไทย
นักฆ่าในองค์กรล้วนแบ่งเป็นหลายระดับ ตัวเขาเองอยู่ในระดับ S
ซึ่งก็คือระดับผู้ดูแล คอยรับหน้าที่จากหัวหน้าหน่วย ซึ่งระดับน้อยกว่าผู้บัญชาการมาอีกที
หน้าที่ของเขาไม่ใช่ออกสู้
แต่เป็นการคอยดูแลลูกน้องในระดับที่ต่ำกว่า และการล้วงข้อมูล
ใช่ นั่นไม่ได้หมายถึงแฮกเกอร์ แต่หมายถึง ‘การล้วงอดีต’
เป้าหมายของเขาส่วนใหญ่ คือต้องการข้อมูลจากบุคคลที่ฆ่าไม่ได้ จัดการไม่ได้ เปลืองแรงเกินไป หรือเสี่ยงเกินไปที่จะซักไซ้เอาข้อมูล
การสืบโดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้จึงคือทางเลือกที่ดีที่สุด
เขาสามารถล้วงอดีตได้หากสัมผัสตัวของใคร เพียงชั่วพริบตาก็สามารถรู้ได้ถึงอดีตของคนๆนั้น ซึ่ง ณ ตอนนี้ที่ฝึกการใช้พรสวรรค์นั่นมาอย่างโชกโชน ทำให้นัทสามารถอ่านอดีตไปไกลถึงแค่ไหนก็ได้เท่าที่ต้องการ
ฟังดูสะดวกสบายใช้ได้ แต่จงอย่าลืม
โลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีโดยไม่สูญเสียสิ่งใด
ยิ่งสิ่งที่ได้มาล้ำค่าหรือพิเศษมากเท่าไหร่
ก็ต้องยิ่งสูญเสียมากเท่านั้น
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
สิ่งที่ต้องสูญเสียในการแอบล่วงรู้อดีตของคนอื่น
ก็คือการถูกลืม
หากเขาแตะตัวใคร เขาสามารถอ่านอดีตได้ก็จริง แต่ยิ่งอ่านไปไกล หรือเก่ามาแค่ไหน เขาก็จะถูกคนที่เขาอ่านลืมเขาไปมากเท่านั้น
จนกระทั่งลบหายออกไปจากความทรงจำ
เหมือนเขาไม่เคยเจอกัน
เหมือนเขา
ไม่มีตัวตน
“เล่มนี้ค่ะพี่” เสียงใสเรียกเขาให้หลุดจากภวังค์ นัทเงยหน้าจากหนังสือที่แท้จริงแล้วใจไม่ได้จดจ่อกับมันเลย เขาวางหนังสือลงแล้วหยิบแฟ้มออกมา เขียนชื่อหนังสือลงไป บอกราคา และส่งหนังสือให้
“ร้านพี่มีแต่หนังสือที่หนูอยากอ่าน” เด็กสาวพูดพร้อมหยิบเงินออกมาให้ “แถมยังอ่านได้ยากทั้งนั้น เสียดายที่พี่ไม่เปิดร้านสม่ำเสมอ”
คำพูดที่ตรงไปตรงมาทำนัทเงยหน้าขึ้นมอง แต่คนตรงหน้าก็ยังคงพูดต่อ
“ทำไมพี่ไม่จ้างพนักงานล่ะค่ะ”
“แล้วพี่จะเก็บไว้คิดดูอีกทีนะครับ” ตอบพร้อมรอยยิ้มเบาบางทำหัวใจเจ้าหล่อนเริ่มกระตุก ก้มหน้าลงแล้วบอกลาเดินออกจากร้าน นัทหุบยิ้มลง หยิบหนังสือที่ค้างไว้ขึ้นมาอ่านต่อ เคยมีคนบอกเอาไว้ว่าหากเขายิ้มแล้วจะดูดีขึ้นเป็นกอง แต่เขาไม่ชอบยิ้มพร่ำเพรื่อ
ในเมื่อเขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องยิ้มแบบนั้น
ยิ้มที่มีความสุข
แบบนั้น
“สวัสดีครับ” กรอกเสียงลงไปหลังจากที่กดรับสายด้วยเสียงเรียบตามนิสัย นัทนิ่งฟังอีกฝ่ายสักครู่ก่อนจะรับคำแล้วกดวาง หยิบกุญแจขึ้นมาแล้วมองในร้านที่ตอนนี้ว่างเปล่าไร้ผู้คน
ร่างโปร่งจัดการปิดร้าน สายเมื่อกี้คืองานด่วนที่เพิ่งเข้า และมักจะเป็นแบบนี้เสมอทำให้เขาต้องปิดร้านก่อนกำหนดบ่อยๆ จนกระทั่งเวลาเปิดปิดประจำของร้านที่เขากำหนดไว้มันชักจะไม่มีความหมาย
หากถามว่าแล้วทำไมเขาต้องเปิดร้านให้ยุ่งยาก ในเมื่อเขาเองก็ไม่ได้ขาดแคลนเงิน ออกจะเหลือกินเหลือใช้ คำตอบก็คือ การเปิดร้านหนังสือเป็นสิ่งที่เขารักรองจากการแปลหนังสือ ไม่มีเหตุผลใดอื่น
เพราะหนังสือ
คือสิ่งเดียวที่อยู่เคียงข้างเขาท่ามกลางการไร้ตัวตนในความทรงจำของใครๆตลอดมา
“อพากเมนต์รภาวดีห้องสองศูนย์สาม ซอยศาราศรี จังหวัดนนทบุรี” พูดเสียงเรียบพร้อมดึงทิชชู่ออกจากกระเป๋ามาเช็ดมือ งานวันนี้ก็เป็นงานล้วงข้อมูลอีกเช่นกัน แต่ง่ายหน่อยเพราะแค่จับเนื้อแตะตัวอีกฝ่ายนิดหน่อยก็รู้ข้อมูลได้แล้ว
แต่ยังไงมันก็น่าสกปรกอยู่ดีที่ต้องสัมผัสคนพรรคนั้น
ทั้งๆเขาเองมันก็สกปรกไม่แพ้กัน
นัทใช้กระดาษทิชชู่ขยี้มือจนเป็นรอยแดง ก่อนจะโยนทิ้งถังขยะแล้วพูดต่อ “อาพกเมนต์เก่าหน่อย แต่แถวนั้นจะรู้จักกันดีเพราะมันอยู่มานาน”
“อือฮึ” คเชนทร์รับคำแล้วกรอกข้อมูลตามที่ได้ยินเมื่อกี้พิมลงไปบีบี ถ้าถามว่าทำไมต้องบีบี ก็เพราะจะได้ขอพินแชทกับสาวๆได้ง่ายๆไง “งานง่ายจัง ไหนๆก็ไหนๆแล้วเราไปดื่มกันต่อมั้ย”
“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ” เอ่ยตอบเสียงเรียบไม่คิดแม้แต่จะชายตามอง ทำคนถามเริ่มจะเจ็บจี๊ด
“เสียดายจัง” พูดเสียงอ่อยแต่หน้ากลับยิ้มแป้น จริงๆคเชนทร์ก็รู้อยู่แล้วว่านัทจะต้องตอบกลับมาแบบนี้ เขาก็แค่แหย่เล่นอะไรหน่อยเท่านั้นเอง ตามประสาผู้ชายลั้นลาที่รู้สึกใจเต้นตึกตักเมื่อเห็นคนหน้าสวยๆ
แถมหน้าสวยของนัทก็เป็นประเภทสวยมากจนหาตัวจับได้ยาก ถึงขนาดไปเดินที่ไหนก็คงต้องสะดุดตา
“ไม่ไปจริงๆน่ะเหรอ” เสียงทะเล้นยังไม่เลิกรา แต่ถึงแบบนั้นก็รู้สึกเหมือนกำลังคุยกับต้นไม้ยังไงชอบกล ไม่เป็นไร ชีวิตมันก็ต้องมีความเงียบงันบ้างเป็นธรรมดา “คุณไปกับผม สนุกก็นิดหน่อยแล้วค่อยอ่านอดีตลบความจำของผมก็ได้นะถ้าคุณอาย”
ข้อเสนอเรียบง่ายแต่กลับกระตุกหนวดของคนข้างหน้าได้สำเร็จ
นัทหันหน้ามามองคนที่ไม่ยอมหยุดพูดในที่สุด ใบหน้าหวานเรียบสนิทไม่แม้จะแสดงสีหน้าใดๆ
คงมีเพียงแต่กำแพงกระมั้งที่คเชนทร์สัมผัสได้อย่างชัดเจน
กำแพงที่เจ้าตัวไม่ยอมให้ใครข้ามไป..
“มันไม่เกี่ยวกับคุณ” นัทยังคงเป็นนัท ดวงตาคู่นั้นเชิ่ดมองเขาอย่างเย่อหยิ่งเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกไปโดยไม่มีการพูดคุยอะไรกันอีก คเชนทร์ยิ้มกริ่มหัวเราะหึในลำคอ หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดไฟแล้วสูบเข้าไปเต็มปอด
เขาถูกใจนัท แต่คนแบบนั้นไม่เหมาะกับการผูกมัด
นิสัยเผ่อหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตนเอง ดวงตาคมเชิ่ดหยิ่งราวกับกำลังเหยียดโลกใบนี้อย่างชิงชัง การพูดจาชวนห่างไกลอย่างไร้เยื่อใย มองดูก็รู้ นัทคงผ่าอะไรมาก บางอย่าง
ที่เขาอาจคาดไม่ถึง
แต่ความอ่อนแอมันมีอยู่ในตัวของทุกคน
ความเหงา
ที่ทำเท่าไหร่ใจก็ไม่มีวันชิน
นัทมีทั้งสองสิ่งนั้น แม้พยายามปกปิดแต่ก็ยังคงสะท้อนอยู่ในดวงตา
ทำไมเขาจะดูไม่ออก
คนที่คอยสังเกตมานานอย่างเขา
ทำไมจะไม่รู้
ยิ่งเขาเป็นคนที่อยากได้อะไรต้องได้ ถูกใจอะไรสักอย่างแล้วไม่มีทางปล่อย
ทำไมจะไม่มีทาง
คเชนทร์ทิ้งบุหรี่ลงพื้นแล้วเท้าเหยียบซ้ำ
เหยียบมันอย่างที่เคยทำกับคนอื่นที่ขวางทาง
ใช่ นัทไม่เหมาะกับการผูกมัด
แต่หากชายหนุ่มไม่ใช่ของเขา
ก็สมควรที่จะไม่ใช่ของใครด้วยเช่นกัน
ฝนตกอีกแล้ว
นัทล็อกเกียร์รถ เบื้องหน้าเป็นภาพของสายถนนที่รถติดเป็นสายยาว เขาเดาว่าข้างหน้าน่าจะเกิดอุบัติเหตุเพราะได้ยินเสียงรถพยาบาล ยิ่งฝนตกขนาดนี้สงสัยจะยาว
นัทเอื้อมมือไปเปิดวิทยุ เปลี่ยนคลื่นไปเรื่อยๆจนหยุดอยู่ที่เพลงบรรเลงเปียโน ร่างโปร่งเอนตัวลงกับเบาะ นั่งฟังเสียงดนตรีที่บรรเลงคลอไปกับเสียงสายฝนอย่างเลื่อนลอย
สาเหตุที่เขาเกลียดฝนที่แท้จริง
นั่นก็เพราะมันพรากคนรักของเขาไป
พรากใจที่รักเขา
ไปจากคนที่เขารัก
‘ตายทั้งเป็น’
นั่นคือสิ่งที่เขารู้สึก
อยากตายแต่ตายไม่ได้ รู้สึกเหมือนล้มทั้งยืน ขาดมือใดช่วยคอยประคองดั่งที่ผ่านมา รับรู้กับความโหดร้ายของโลกใบนี้เพียงลำพัง อยากจะหันหน้าไปหาใคร
ก็ไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น
การมีพลังอ่านอดีตไม่ใช่สิ่งเลวร้าย
มันดี หากสามารถควบคุมพลังนั่นได้และไม่ต้องกลายเป็นอดีตไปเสียเอง
แต่การที่ฝนตก มันจะทำให้เขาไม่สามารถควบคุมมันได้
ยิ่งตกแรงเท่าไหร่
ยิ่งควบคุมไม่ได้เท่านั้น
ทำไมถึงรู้?
นั่นมันเพราะเขาเคยเจอ
คืนวันนั้นที่ฝนตกหนัก แต่กลับตกหนักยิ่งกว่าในใจของคนรู้สึก เมื่อเพียงสัมผัสแค่วูบเดียว แต่กลับทำลายความรู้สึกดีๆที่เคยมีให้กันมาทั้งชีวิต
ทั้งทำลายตัวตนที่เขาเคยมี
ทั้งทำลายที่ๆเขาเคยยืน
ทั้งทำลายวันเวลาที่เคยใช้ร่วมกัน
หลงเหลือไว้
แค่คำว่า’คนแปลกหน้า’
แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้ง เมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจากด้านนอกรถ
ด้านนอกนั่น
ที่ฝนกำลังตก
เด็กชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงข้างถนน ทั้งตัวเปียกไปด้วน้ำฝน เนื้อตัวและเสื้อผ้ามอมแมมไปทั้งตัว หากแต่มีเพียงสีดำเท่านั้นที่เด็กคนนั้นใส่ ยกเด่นให้สร้อยที่เป็นจี้สีเงินบิดๆนั่นให้ดูชัดเจน
มันจะไม่มีปัญหาอะไร หากดวงตาสีดำสนิทราวกับความมืดมิดนั่นไม่กำลังจ้องมองมาที่เขา
จ้อง
อย่างไม่วางตา
นัทจ้องดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้นกลับ ใบหน้านั้นไม่แม้แต่จะแสดงอารมณ์ใดๆ กระทั่งมองลึกเข้าไปในดวงตา
ก็พบได้แต่ความว่างเปล่า
แปลก
เขามั่นใจว่าเขาไม่เจอเคยเด็กคนนี้
แต่ทำไมเขากลับคุ้นเคยดวงตานั่นคู่นั้นอย่างประหลาด
มันเหมือน
กำลังจ้องมองตัวเองในกระจก
ฉับพลันที่นัทต้องสะดุ้งหลุดจากภวังค์ เมื่อได้ยินเสียงแตรรถไล่จากด้านหลัง เขารีบตบเกียร์รถขับเคลื่อนมันไปข้างหน้า ทว่าในใจยังติดค้างด้วยความสงสัย อดไม่ได้ที่จะเหลือบตาไปมองกระจกด้านข้าง แต่แล้วก็ต้องแปลกใจ เมื่อข้างถนนที่เพิ่งมองเมื่อสักครู่มีแต่เพียงความว่างเปล่า
ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน นัทก็จัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อทันที ภาพของเด็กคนนั้นยังอยู่ในห้วงความคิด ได้แต่นึกสงสัยแต่ทำอะไรคงไม่ได้เมื่อไม่รู้อะไรเลยแม้แต่ข้อมูล
ร่างโปร่งหยิบนาฬิกาสีดำเรือนโปรดขึ้นมาใส่ แล้วส่องตัวเองในกระจกเพื่อดูความเรียบร้อย มองดวงตาคู่นั้นในกระจกที่เป็นสีน้ำตาลใสซึ่งใครต่อใครต่างก็บอกว่าช่างสวยและมีเสน่ห์ แต่กลับดูว่างเปล่าหลือเกินสำหรับเขา เมื่อดวงตาคู่นั้นไม่แม้แต่จะสะท้อนความรู้สึกใดๆ
นัทยกนาฬิกาขึ้นมามองอีกครั้ง เที่ยงคืน
นี่คงเป็นเวลาที่เหมาะแล้วสำหรับการจะไปที่ๆแห่งนั้น..
ผู้คนมากมายหลายตาที่ไม่รู้จัก
สัมผัสกันเพียงข้ามคืนแล้วหายไป
นัทมองผู้คนมากกว่าเหล่านั้นจากโต๊ะของเคาวน์เตอร์พลางยกไวน์แดงขึ้นจิบ ผู้คนที่มาที่นี่ต่างก็มีจุดหมายที่แตกต่างกัน และเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
หนึ่งในคนที่มาหาความสุขอันจอมปลอม
คนแล้วคนเล่าที่เดินเข้ามาทัก แล้วเขาปฏิเสธไป แต่กระนั้นก็ยังไม่เอคนที่ถูกใจเสียที นัทเริ่มเอนหัวอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย พลันหางตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่อยู่อีกฝ่ายตรงโซฟาด้านซ้าย ร่างโปร่งที่ดูดีในเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์มีสไตล์ ผมซอยสั้นปัดข้างลวกๆ บวกกับใบหน้าหล่อคมติดหวานนิด ๆ ที่นิ่งเฉยราวกับรูปปั้นนั้น ยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์โดดเด่นมากกว่าคนอื่น ๆ นัทเลิกคิ้วขึ้น ยกไวน์แดงจิบขึ้นอีกครั้ง ก่อนดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นจะทอประกายอย่างมีความหมาย..
ท่ามกลางแสงไฟกะพริบวับวามและเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มไปทั่ว แม้ผู้คนรอบกายจะมากหน้าหลายตาแต่กลับรู้สึกเหมือนยังอยู่ตัวคนเดียวเสมอ
“ไอ้ไผ่! มาดริ๊งกันทั้งทีทำตัวให้สดชื่นหน่อยสิวะ” เพื่อนในกลุ่มตบหลังเขาพลางซัดเบียร์ไปอีกกรึ๊บ เขาไม่ได้มีเวลาว่างเหลือเฟือเหมือนพวกมัน ในเวลาแบบนี้อยากจะกลับไปนอนให้เต็มอิ่มเพื่อจะเผชิญงานในวันพรุ่งนี้มากกว่า
เขาเหลือบตามองไปรอบ ๆ แก้เบื่อ พลันสายตาก็ไปสบเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ ใบหน้าที่สวยราวกับผู้หญิงดึงดูดให้เขาเผลอจ้องไปอย่างลืมตัว
“มองอะไรวะไผ่ เจอสาวถูกใจแล้วงั้นเรอะ” เสียงทักของเพื่อนทำให้เขารีบผละสายตาออกมา ต่อให้สวยก็ใช่ว่าจะชอบผู้ชายเหมือนกันสักหน่อย... หากเมื่อมองไปก็สบตากันอีกรอบ
...ไม่แน่แฮะ...
ดูเหมือนอีกฝ่ายเองก็สนใจเขาอยู่เหมือนกัน ด้วยใบหน้าเรียบเฉยหากแววตาเชิดมองอย่างเย่อหยิ่งนั้นราวกับกำลังเชิญชวนเขาอยู่ก็ไม่ปาน
ไผ่วางแก้วเบียร์ลงบนโต๊ะ ขณะที่อีกฝ่ายค่อย ๆ ลุกขึ้นและเดินไปทางหลังร้าน ชายตามองมาทางเขาอีกครั้งก่อนจะเปิดประตูเข้าไป เขาไม่รอช้าที่จะลุกขึ้นตามไปด้านหลังทันที
ร่างโปร่งบางยืนพิงกำแพงรออยู่ที่มุมห้อง เขาย่างเท้าเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับสำรวจใบหน้าที่นิ่งเฉยนั้น นัยน์ตาคมหยิ่งเหมือนแมว คิ้วเรียวสวย จมูกโด่งรั้นริมฝีปากบาง เครื่องหน้าเหมือนผู้หญิง อีกทั้งเรือนผมสีน้ำตาลออกส้มที่โดดเด่นอย่างเป็นธรรมชาตินั้นยิ่งถูกใจเขามากเลยทีเดียว
“รอใครอยู่เหรอ ใช่ผมหรือเปล่านะ” เขาถามลองเชิงอีกฝ่าย แววตาแมวนั้นทอดมองเขาเล็กน้อยราวกับพิจารณาก่อนริมฝีปากบางสวยจะค่อย ๆ ขยับเอ่ย
“คุณตามผมมาเองไม่ใช่เหรอ” พูดอย่างนั้นหากกลับเดินเข้ามาใกล้ เหยียดตามองอย่างยั่วยวน เขาดันร่างโปร่งเข้าไปแนบกำแพง ใบหน้าชิดกันจนได้กลิ่นไวน์ชั้นดีอ่อน ๆ จากร่างตรงหน้า
“ขอถือว่าเป็นคำชวนละกัน” เบียดหน้าเข้าไปขยี้ริมฝีปากชายหนุ่มที่ไล้มือมากอดคอเขาตอบรับ เผยอปากน้อย ๆ ให้ลิ้นอุ่นรุกรานเข้ามาแลกเปลี่ยนความหอมหวานของไวน์แดง มอบจุมพิตอันแสนวาบหวามให้แก่กันจนยากที่จะหยุดใจ
ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายผละปากออกก่อนแม้จะเสียดายน้อย ๆ ก่อนจะโอบหลังบางเข้ามา มองร่างโปร่งหอบเล็กน้อยพลางระงับอารมณ์ที่เริ่มตื่นขึ้น จูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากแดงชุ่มอีกครั้งก่อนเอ่ยถาม
“สะดวกไปที่ไหนบ้างครับ...?”
ความคิดเห็น