ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    :: BE FORGOTTEN :: (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #4 : :: Chapter III :: Passing by (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 54


    Chapter Ill

    Passing By

     

    ความฝัน

    เขากำลังอยู่ในความฝัน

    ในความฝันที่ฉายภาพความทรมานในอดีตซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้น…เขาจำไม่ได้ว่าเขาต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน  หรือเสียน้ำตาจนมันเหือดแห้งไปมากเท่าไหร่

     

    เวลาของคนเป็น…กับเวลาของคนตาย

     

    สำหรับเขา  มันไม่ได้ต่างกัน

    ใช้ชีวิตทุกวันเหมือนคนไร้ลมหายใจ  เฝ้ารอกับปาฏิหาริย์ที่ไม่มีจริง

    มีตัวตน…แต่ทว่าไร้ตัวตน

     

    เหมือนต้องสาป

     

    ต้องทนอยู่ในวงจรนรกนี้วนเวียนไปมาจนกว่าจะตาย

    และในความตายที่เป็นทางออกทางเดียวนั้น…

    มันจะไม่มีทางเกิดขึ้น…จนกว่าจะถูกหยิบยื่นมาโดยใครบางคน

     

     

     

     

     

    กลิ่นกาแฟที่หอมกรุ่นลอยมาแตะจมูกทำเขาเริ่มผ่อนคลาย  วันนี้เป็นอีกวันที่เขาต้องตื่นมากับฝันที่ซ้ำๆซากๆแต่กลับชัดเจนตลอดเวลาในความทรงจำ

    ฝันถึงคนที่เขาไม่อยากคิดถึงคนนั้น

    ช่วงแรกๆที่เขาหนีออกมาได้สำเร็จ  ไม่สิ  มันคล้ายมันการถูกปล่อยออกมามากกว่า  อยู่ในโลกแคบๆแบบนั้นเขาว่ามันทรมานเจียนตายจนแทบไร้ความรู้สึก  แต่ออกมาเจอโลกภายนอกมันก็ยังทรมานไม่ต่างกัน  เมื่อฤทธิ์ยาที่ใครบางคนยังฝากฝังไว้ในร่างกายมันซ้ำร้ายและรุนแรงนักเมื่อไม่ได้รับการเพิ่มเติมอย่างสม่ำเสมอ

    เขาฝันร้ายทุกคืน  ทั้งเมื่อยามหลับและยามตื่น  กรีดร้องอย่างทรมานครั้งแล้วครั้งเล่า  เป็นแบบนี้ซ้ำๆติดต่อกันประมาณสี่ปี  มันไม่ง่ายเลยจริงๆที่จะก้าวผ่านจุดนั้นมา

    วันนี้…ทุกอย่างบรรเทาลง  นับจากวันนั้นที่เขาเหมือนจะได้เป็นอิสระก็ผ่านมาหกปี  ปีนี้เขาอายุยี่สิบหกและไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างอิสระแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน

    เปรียบตัวเขาเองอีกทีก็คงจะคล้ายเหมือนตุ๊กตา

    เล่นจนบอบช้ำ…แล้วรักษาใหม่  บอบช้ำแล้วรักษาใหม่  โยนทิ้งแล้วหยิบมาเล่นใหม่  บอบช้ำแล้วรักษาเป็นแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนวงจรอุบาทว์ 

    โยนทิ้ง…เขารู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังอยู่ในจุดนี้  และไม่รู้ว่าจะถูกเก็บไปเล่นอีกครั้งเมื่อไหร่

    มันกำลังคิดอะไร…

    เขาจะอยู่แบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน…

    อะไรที่กำลังรออยู่ข้างหน้า…

    เขาไม่สามารถรู้อะไรได้เลยจริงๆ

    ไม่รู้จริงๆ  ว่าตัวหมากที่ถูกเก็บไว้มันจะถูกจับให้ไปเดินตอนไหน

    รู้เพียงแต่ว่า…คลื่นระลอกใหม่  มันมักจะรุนแรงกว่าคลื่นระลอกเก่าเสมอ

     

    นัทวางแก้วกาแฟลง  นาฬิกาตอนนี้บอกเวลาเจ็ดโมง  วันนี้ไม่มีงาน  และเรื่องร้านหนังสือไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้วเมื่อเขาตัดสินใจรับเด็กเข้ามาทำแทน  ส่วนไผ่เองก็ไม่ว่างในวันนี้  ถ้าเป็นปกติแล้ว  เขาจะปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปกับหนังสือ   ทำอะไรเงียบๆเบาๆสบายๆในห้อง  ก่อนจะออกไปหาความสุขในตอนกลางคืน

    แต่มันวันนี้มันไม่ใช่

    น่าเบื่อ…

    นัทครุ่นคิด  ตัดสินใจละสายตาออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ยังแปลหนังสือค้างไว้แล้วถอดแว่น

    เขาคงหาอะไรทำ

    ก่อนจะหยิบกุญแจรถบนโต๊ะออกมาทันทีที่ตัดสินใจได้

     

     

     

    ขับรถเล่น

    มันก็มีอยู่แค่นี้จริงๆเมื่อเขาไม่ได้รู้จักใครมากเท่าไหร่  ร่างบางขับรถไปเรื่อยๆตามท้องถนนที่ไม่ได้โล่งโปร่งสบายอะไรสักเท่าไหร่  เขาขับๆไปเรื่อยๆจนไปถึงเส้นที่ค่อนข้างโล่งหากเปรียบเทียบกับถนนเส้นอื่นๆในกรุงเทพ  ก่อนจะรู้สึกหิวขึ้นมาจึงตัดสินใจจอดทานที่ร้านอาหารข้างทางซึ่งไม่ใหญ่มากแต่ก็สงบและน่าทาน

    ยินดีต้อนรับค่ะ พนักงานสาวพูดเสียงใส  ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะอายุประมาณสิบสามสิบสี่  คงเป็นเพราะช่วงนี้กำลังปิดเทอมใหญ่พอดี  ใครที่พ่อแม่มีร้านหรืองานอะไรที่พอจะช่วยได้จึงช่วย

    นัทเลือกที่ที่นั่งที่สามารถมองเห็นรถบนถนนผ่านไปมาได้ทว่าสงบ  นานแล้วจริงๆที่ไม่มีโอกาสมานั่งเงียบๆแบบนี้  เขาดูเมนูไม่นานก็สั่งอาหารไปสองสามอย่าง

    แต่ทันใดนั้นเองที่ร่างบางกำลังมองถนนฝั่งตรงข้าม  ดวงตาคมก็หยุดค้างด้วยความตกใจ

    เด็กคนนั้น!

    ร่างบางจ้องอย่างไม่วางตา  อะไรที่ทำให้เจอกันที่นี่

    เขาเชื่อว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ  และความบังเอิญก็ไม่ได้มีในโลก

    เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้  ตัดสินใจข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ฟังเสียงทักของเด็กเสิร์ฟสาวคนนั้น

    เท้าของเขาแตะบนลงฟุตบาท…

    และพบว่าเด็กชายคนนั้นเองก็กำลังจ้องเขาอย่างไม่วางตาเช่นกัน

     

     

     

     

     

    กรอกที่เอกสารนี้อีกทีนะคะ หญิงวัยกลางคนพร้อมยื่นเอกสารกับปากกาให้  นัทรับมาแล้วกรอกลงไปเงียบ ๆ ท่ามกลางสายตาหญิงสาวที่มองดูชายหนุมตรงหน้าสลับกับเด็กในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าของเธอไปมา

    ปัจจุบันเด็กที่ไม่มีพ่อแม่และผู้ปกครองยังคงเป็นปัญหาของสังคม

    เด็กชายตรงหน้าเป็นหนึ่งในเด็กที่ถูกพ่อแม่ทิ้ง  จำได้ว่าเด็กชายเข้ามาในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งนี้เมื่อห้าปีที่แล้ว  จนถึงวันนี้ก็ยังมีเด็กเข้ามาในสถานที่แห่งนี้เรื่อยๆ   บางคนถูกรับไปเลี้ยงบ้าง   บางคนโตจนอายุเกินต้องออกไปโลกภายนอกบ้าง  ถึงแบบนั้นเธอก็รู้สึกในที่แห่งนี้  เด็กทุกๆคนคือลูกของเธอ

    พวกเขาน่าสงสารเมื่อต้องเกิดมาภาระของสังคม  หรือไม่มีพ่อแม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ

    เธอเฝ้าดูการเติบโตของเด็กในนี้มาเกือบยี่สิบปี  เห็นความรู้สึกและความหดหู่มาหลายรูปแบบ  วันนี้  จะได้มีเด็กอีกคนที่จะถูกรับไปเลี้ยงอีกคน…เธอก็ดีใจ

    เมฆ  ไปเก็บของสิจ๊ะ เด็กชายพยักหน้ารับ  เดินออกจากห้องไปเพื่อไปเก็บของเพื่อไปบ้านใหม่  สังเกตเห็นได้ตอนที่เมฆเปิดประตูออกไป  เด็กมากมายกำลังรอฟังผลอย่างใจจดใจจ่อก็ถลาเข้ามารายล้อมเมฆ

    ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะถูกใครรับไปเป็นลูกบุญธรรม  คนๆนั้นก็ถือว่าโชคดีเหลือเกิน  เด็กหลายคนเฝ้ารอวันที่จะได้ออกไปจากสถานที่แห่งนี้  จึงไม่แปลกที่เมื่อเมฆกำลังออกไปเลี้ยงจึงมีเสียงฮือฮาจากเด็กคนอื่นๆมากมาย

    แกเป็นเด็กที่แปลก เธอพูดขึ้นเมื่อในห้องเหลือไว้เพียงเธอกับชายหนุ่ม ไม่สุงสิงกับใคร  และทำท่าเหมือนกำลังคุยกับใครอยู่ตลอดเวลาทั้งๆที่ตรงนั้นไม่มีคน   แต่แกเป็นเด็กที่เรียนรู้ได้เร็วมาก  ฉลาดจนฉันเองยังตกใจ”

    ทว่า…  คนตรงหน้าก็แปลกไม่แพ้กัน

    หญิงวัยกลางคนคิดในใจ  ดูยังไงคนตรงหน้าก็ยังเป็นวัยรุ่นที่อายุไม่เกินสามสิบ  หน้าตาก็ไม่ใช่ว่าจะขี้เหร่  ออกจะดีมากจนสะดุดตาด้วยซ้ำ  แต่กลับเงียบและสุขุม  ความคิดดูเกินอายุไปมาก  ดูยังไงก็ไม่เหมือนพวกข้าวใหม่ปลามันที่มีลูกไม่ได้เลยเก็บไปเลี้ยง   เพราะจากที่เธอถามตะกี้…ชายหนุ่มเองก็ตอบมาว่ายังไม่มีใคร

    แปลก…

    ยิ่งสายตาคู่นั้นมันยิ่งแปลก

    มือมน  อ้างว้าง  เย็นชา  เหมือนเด็กคนนั้นที่กำลังถูกรับไปเลี้ยง

    ทั้งคู่…เหมือนกันจนน่าตกใจ

    เสร็จแล้วครับ นัทเลื่อนเอกสารบนโต๊ะที่กรอกไปให้ยังหญิงวัยกลางคน  เธอรับมาแล้วพิจารณาดูอีกทีว่าตรงไหนยังตกหล่น  เมื่อไม่มีปัญหาจึงคืนเอกสารต่างๆที่ถือเป็นส่วนตัวคือให้  จัดการเก็บเอกสารการเลี้ยงดู  สำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประชาชนเอาไว้

    เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วค่ะ เธอกล่าว  ก่อนจะยื่นนามบัตรให้ ตรงนี้เป็นเบอร์โทร  มีทั้งของสถานและของดิฉัน  หากมีปัญหาก็โทรมาสอบถามได้ตลอดค่ะ

    ขอบคุณครับ แล้วเงียบไปชั่วอึดใจ  ก่อนที่เธอถามขึ้นอีกครั้ง

    ทำไมถึงรับเด็กคนนี้ไปเลี้ยงคะ ถึงแม้ว่าทุกอย่างตามกฏหมายและสิทธิจะถูกต้อง  เมฆจะปลอดภัย  เธอรู้  เธอดูคนออก  แต่บางอย่างมันทำให้เธอสงสัย

    มีเด็กตั้งมากมายที่นิสัยบริสุทธิ์และน่ารักสมวัย  แต่…

    ผมถูกชะตากับเด็กคนนี้ครับ นัทตอบแล้วยิ้มเบาบางให้ รักอยากได้แกเป็นลูก

    คำตอบที่ไม่กระจ่าง  แต่ก็มากพอที่ทำให้เธอเลือกที่จะไม่ถามอีก

     

     

    ไผ่เก็บรวบรวมเอกสารบนโต๊ะ ปิดโน๊ตบุ๊คเก็บใส่กระเป๋าก่อนจะสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง กว่างานจะสะสางเสร็จหมดก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว... 

    ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ยังรู้สึกว่างานของหัวหน้าหน่วยนั้นหนักเกินไปสำหรับเขา ซึ่งกำลังเรียนอยู่แค่มหาลัยปีสามเท่านั้น หัวหน้าหน่วยต้องรับผิดชอบชีวิตของลูกน้องทุกคน... เพราะหน้าที่ของเขาคือคัดสรรและพิจารณาว่าจะให้งานไหนกับใคร... ถ้าหากผิดพลาดไปแม้เพียงเล็กน้อยอาจหมายถึงความตายของลูกน้องเขา

    และมันก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว...

    ชีวิตของคนคนหนึ่งต้องเสียไปเพราะเขา...   

    ดังนั้นงานไหนที่ค่อนข้างเสี่ยงอันตรายชายหนุ่มก็มักจะเลือกมาทำเอง แม้ว่าฝีมือจะไม่ได้เก่งกาจอะไรนักแต่มันก็ดีกว่าจะให้ใครต้องมาตายเพราะเขาอีก

    แต่ถึงอย่างนั้น... เขาเองก็ตายไม่ได้เหมือนกัน

    ยังมีคนที่ต้องการเขาอยู่

     

    ชายหนุ่มตรงไปที่รถของตนและมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างรวดเร็ว หากไม่ลืมแวะซื้อเค้กติดมือเป็นของฝากด้วยเช่นเคย

    “กลับมาแล้ว” เขาเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ซึ่งไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ เมื่อร่างที่นอนอยู่บนโซฟานั้นกำลังหลับสนิท ไผ่วางกระเป๋าลงบนโต๊ะ หยิบรีโมทมาหรี่เสียงโทรทัศน์ก่อนย่อตัวนั่งลงข้าง ๆ เด็กหนุ่ม ถือโอกาสมองใบหน้าหวานของคนหลับเงียบ ๆ

    ไล่ลงมาจากคิ้วโก่งเรียว ขนตายาวแพพริ้ม จมูกโด่งรั้นและริมฝีปากบางรูปกระจับ โครงหน้ากลมมนรับกับเรือนผมสีน้ำตาลยาวระต้นคอ แถมแก้มที่ขาวเนียนแต้มสีแดงนิด ๆ ยิ่งทำให้เหมือนเด็กผู้หญิง

    ยิ่งมองยิ่งน่ารัก...

    หลิว... เป็นน้องชายของเขาที่อายุห่างกันสี่ปี และในตอนนี้มีพวกเขาอาศัยอยู่ด้วยกันเพียงแค่สองคนเท่านั้น...

    ใช่... พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตไปแล้วเมื่อประมาณเจ็ดปีก่อน นั่นเป็นตอนที่พวกท่านทิ้งเขาที่อายุเพียงสิบสี่กับหลิวเอาไว้แค่สองคน และไปต่างประเทศเพื่อทำงาน ซึ่งจะส่งเงินมาให้ทุกเดือน

    นั่นเป็นแค่ฉากหน้า

    แม่ทิ้งพวกเขาไว้กับพ่อโดยบอกว่าจะไปทำงานที่ต่างประเทศ แต่หากไม่นาน พ่อก็เก็บข้าวของ บอกว่าจะต้องตามไปทำธุระกับแม่ พวกเขาไปส่งพ่อที่สนามบินเหมือนกับตอนไปส่งแม่

    และทั้งคู่ก็ไม่กลับมาเช่นกันรวมถึงเงินที่ส่งมาให้ เพียงแค่สามเดือนเท่านั้นมันก็หายไป

    ก่อนหน้านั้นเขาได้รับข้อความจากแม่... ฝากให้ปกป้องหลิวกับพ่อ และอย่าพยายามตามหาเธอ... เพียงเท่านั้น เขาก็เข้าใจว่าแม่จะไม่กลับมาอีกแล้ว

    เขาพอจะรู้ว่าแม่พัวพันอะไรกับโลกมืด เพราะตอนที่เลี้ยงเขานั้น... เธอพร่ำสอนเทคนิคการต่อสู้และป้องกันตัวจนไปถึงการยิงปืนให้เขา... ในทีแรกก็เข้าใจว่าเพราะอยากให้ป้องกันตัวเป็น

    แต่ทุกอย่างนั้นหนักเหมือนเป็นการส่งลูกเรียนกวดวิชาทั้งวันเพื่อชิงทุนไปต่างประเทศ จึงเริ่มเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติที่พนักงานบริษัทธรรมดาจะทำกับลูกแล้ว...

     

    โลกวันนี้มันไม่ได้สวยงามอะไรขนาดที่จะให้เขามานั่งคาดหวังว่าสักวันพ่อกับแม่จะกลับมา

    ทั้งคู่จะไม่กลับมาอีกแล้ว

    แต่หลิวยังคงเชื่อว่าพ่อและแม่ยังทำงานอยู่ที่นั่นจริง ๆ และยังคงส่งเงินมาให้ทุกเดือนเหมือนเคย

     

    “อือ...กลับมาแล้วเหรอ” เสียงพึมพำพลันดังขึ้นเรียกให้สะดุ้งจากภวังค์ คิดว่าจะตื่นแล้วแต่กลับเอนตัวลงมานอนตักเขาต่อเสียดื้อ ๆ

    “ง่วงก็ไปนอนที่เตียง” เขาทำเสียงดุอย่างไม่จริงจังเท่าไหร่ ลูบเรือนผมสีอ่อนเบา ๆ ด้วยความเคยมือ ร่างเล็กทำเพียงส่งเสียงงึมงำในลำคอ ไม่ยอมลุกไปไหน

    จนถึงตอนนี้เขาก็ไม่ได้บอกหลิวว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อและแม่... เพราะไม่อยากให้เด็กหนุ่มต้องมาเจ็บปวดกับความจริงเหมือนที่เขาเจอ...

    ในเวลาที่สงสัยเขาก็ให้ป้าปลอมเป็นแม่มาคุยด้วยแทน ตอนเด็ก ๆ หลิวแยกไปอาศัยอยู่กับพ่อจึงดูเหมือนจะจำเสียงของแม่ไม่ได้ ทำให้ยังพอปิดเรื่องนี้ต่อไปได้

     

    รอจนสักวันหนึ่งที่เด็กหนุ่มโตพอ... ต่อให้ต้องโดนโกรธเกลียดที่โกหกอย่างไรเขาก็ยอม

     

    เพราะเด็กหนุ่มเข้าใจว่าพวกท่านยังคอยส่งเงินมาให้ทุกเดือน แม้ป้าที่อยู่ต่างประเทศจะคอยช่วยเหลือเขาในเรื่องนี้บ้างแต่มันก็ยังไม่พอที่จะเลี้ยงตัวเขาทั้งสองคนได้

    นั่นทำให้เขาต้องทำทุกวิถีทาง ทำงานอะไรก็ได้เพื่อแลกกับเงิน... คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเข้ามาอยู่ในเส้นทางสายนี้...

     

    ย้อนกลับไปเมื่อสี่ปีก่อน...

    “เดี๋ยวพี่ไปทำการบ้านต่อก่อน”

    “โอเค อย่านอนดึกล่ะ” เด็กชายยื่นหน้ามาหอมแก้มเขาแล้วซุกตัวลงใต้ผ้าห่ม ไผ่ยิ้มบาง ลูบหัวของน้องชายเบา ๆ ก่อนจะก้าวเดินออกจากห้องไป

    อีกสามวันจะเป็นวันเกิดของหลิว...

    เผลอแป๊บเดียวเด็กชายก็อายุสิบสามแล้ว...

    แต่ปัญหาก็คือของขวัญ... เขารับปากเอาไว้แล้วว่าจะซื้อกีตาร์ให้หลิว... แต่เงินแค่มีกินมีใช้ตอนนี้ก็จะไม่พออยู่แล้ว เงินดือนงานพิเศษกว่าจะออกก็ตั้งสิ้นเดือน

    คงต้องทำ ‘งานนั้นอีกแล้วสินะ...

    ไม่อยากทำเลย... แต่คงต้องทำ

    ถึงจะผ่านไปกว่าสองปีแล้วแต่ก็ยังไม่ชินเสียที ไผ่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์ของคนคนนั้น เพียงเวลาไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย

    พอดีเลย มีของเข้ามาให้แกไปส่งพอดี

    เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ๆ และเริ่มฟังรายละเอียดของมัน

     

    ตีสอง...

    รถจักรยานยนต์ของเขาหยุดลงในซอยตรงข้ามอพาร์ตเมนท์เก่า ๆ แห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มก้าวลงมาจากรถโดยไม่ถอดหมวกกันน็อค มือที่กำ ‘ของนั้นเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อแม้จะใส่ถุงมืออยู่ก็ตาม

    ไผ่กวาดตาสำรวจรอบ ๆ ตึกครู่หนึ่งก่อนจะย่ำเท้าขึ้นบันไดไปพร้อมจังหวะการเต้นของหัวใจที่ถี่รัวขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งหยุดลงหน้าห้องของเป้าหมาย มือชุ่มเหงื่อค่อย ๆ เคาะประตูห้องเบา ๆ

    บานประตูไม้ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วจนเขาสะดุ้งเล็กน้อย ชายร่างใหญ่บอกข้อความที่เป็นรหัสออกมาก่อนจะยื่นซองสีน้ำตาลให้ เขารับมาเปิดเช็คจำนวนเงิน เมื่อพบว่าครบจึงล้วงซองของ ‘สิ่งนั้นส่งให้

    และสิ่งที่เขากลัวที่สุดก็เกิดขึ้น...

    ปืนกระบอกหนึ่งถูกชักขึ้นมาพร้อมมือที่คว้าตัวเขาเอาไว้

     

    “คุณถูกจับในคดีลักลอบค้ายาเสพติด...”

     

     ไม่รอให้มันพูดจบเขาก็จับข้อมือของมันแล้วบิดขึ้นให้ตัวหลุดออกมา ใช้เท้าเตะปลายกระบอกปืนขึ้นแล้วยิงเข้าไปที่แขนของชายอีกคนในห้องที่กำลังจะชักปืนขึ้น ก่อนจะหันมายิงขาของตำรวจตรงหน้าไม่ให้ลุกขึ้นมา

    ฉับพลันก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากทางบันไดพร้อมเสียงหวอของรถตำรวจ เด็กหนุ่มวิ่งตรงไปที่ริมระเบียงของตึกพร้อม ๆ กับตำรวจอีกจำนวนหนึ่งที่วิ่งตามมา

    “โถ่เว้ย!” ไผ่สบถก่อนจะปีนระเบียงแล้วกระโดดข้ามไปอีกตึก ด้วยความสูงที่ห่างกันเกือบสองชั้นทำให้ร่างของเขากลิ้งถลันไปกับพื้น เสียงปืนที่ดังขึ้นตามหลังฉุดให้เขาต้องลืมความเจ็บลุกขึ้นและวิ่งต่อ

    แต่ยังมีพวกตำรวจบางคนชั่งใจกระโดดตามเขาลงมา ไผ่วิ่งไปจนสุดขอบตึก ก้มลงมองด้านล่างและพบว่าตกไปต้องอตายแน่นอน

    พลันสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับบางสิ่ง...

    “หยุด! อย่าขยับ!” เหมือนตำรวจจะรู้ว่าเขาเป็นเด็กอยู่จึงไม่กล้ายิงเลย เขาหันกลับไปช้า ๆ ก่อนจะตะโกนตอบ

    “ถ้าไม่วางปืนลง ผมจะกระโดด!” พร้อมปีนขึ้นไปยืนบนราวระเบียง พวกมันก็พลันหยุดกึก หันไปพูดคุยกันก่อนตำรวจคนหน้าสุดจะค่อย ๆ วางปืนลง

    “ลงมาก่อน ถ้าคุณยอมให้ความร่วมมือกับเรา โทษของคุณจะถูกลด” คำกล่อมต่อรองของตำรวจไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ พริบตาที่เขาเห็นตำรวจคนหนึ่งค่อย ๆ ชักปืนขึ้นมา เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจกระโดดลงไปทันที

    “!!” ตำรวจวิ่งกรูกันมาชะโงกดูด้านล่าง แต่มันกลับครอบคลุมไปด้วยความมืด

    “ตามไปดูข้างล่าง!!”

    หากลงไปก็ไม่มีวันพบใคร... ในเมื่อเด็กหนุ่มยังคงอยู่ในตึก!

    เขาอาศัยบานหน้าต่างชั้นบนสุดที่เปิดอยู่คว้าเอาไว้แล้วเหวี่ยงตัวเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว หากก็พบกับหญิงแก่คนหนึ่งที่กำลังช็อคค้างเพราะจู่ ๆ ก็มีมนุษย์หัวหมวกกันน็อคปีนเข้ามาในห้อง

    เมื่อเจ้าหล่อนทำท่าจะกรี๊ด เขาก็ชักปืนขึ้นมาจ่อหน้าเอาไว้ทันที

    “ช่วยเงียบไปก่อนสักพักนะครับ” ทันทีที่เห็นปืนหญิงแก่ก็แทบจะเป็นใบ้ “ผมจะไม่ทำร้ายคุณแน่นอน ถ้าหากคุณช่วยบอกทางออกด้านหลังให้ผม”

    เขาเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะลดปากปืนลง แต่เมื่อเห็นท่าทีของเธอที่ดูเหมือนจะไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรก็ต้องตะคอกออกมาเสียงดัง “ผมมีเวลาไม่มาก!!”

    “...อ...อยู่ชั้นสอง มีบันไดลงไปหลังตึก อย่ายิงฉันเลย” เธอยกมือขึ้นไหว้ปลก ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

    “ขอบคุณมาก ๆ ครับ ขอโทษด้วยที่ทำให้ตกใจ” ไผ่รีบเปิดประตูออกไป เธอคงไม่สังเกตว่ามือที่ถือปืนของเขาเองก็สั่นไม่แพ้กัน ทั้งเจ็บ เสียใจ และกลัว...

    กลัวว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา...

    แล้วใครจะดูแลหลิวกันล่ะ?

    เด็กหนุ่มก้าววิ่งลงไปไม่รู้กี่ชั้นกว่าจะถึงชั้นสอง พร้อมกันนั้นก็เริ่มได้ยินเสียงตำรวจที่เอะอะทางด้านล่างของตึก คงจะรู้ตัวแล้วว่าเขาอยู่ข้างในนี้ ถ้าหากความจริงไม่มีทางออกตามที่หญิงแก่คนนั้นบอกเอาไว้เขาก็คงต้องถูกจับ

    เขาสวดภาวนาว่าให้ทางออกนั้นมีจริงในใจ เมื่อลงไปถึงชั้นสองก็กวาดตาหาและก็พบกับประตูบานหนึ่งตามที่ว่าเอาไว้จริง ๆ เด็กหนุ่มวิ่งตรงไปแต่ไม่ทันจะได้ดีใจก็พบว่า...

    มันล็อคอยู่

    ไผ่สบถออกมาอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงตะโกนลอดขึ้นมาจากชั้นหนึ่งว่าให้ล้อมตึกนี้เอาไว้ เขารีบกวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบหน้าต่างบานหนึ่ง เด็กหนุ่มตัดสินใจกระแทกมันให้แตกแล้วกระโดดออกไปทันที

    แต่ด้วยขาที่ช้ำมาจากรอบก่อนทำให้เขาเสียหลักล้มลงหัวกระแทกกับพื้น ถือว่าเป็นบุญที่ยังสวมหมวกกันน็อคอยู่จึงแค่มึน ๆ เท่านั้น

    “โอ๊ย!” เมื่อพยายามลุกขึ้นกระดูกข้อเท้าก็ลั่นดังกร็อบ “เชี่ยเอ้ย มาซ้นอะไรตอนนี้วะ”

    แต่เสียงตำรวจที่เริ่มดังใกล้เข้ามาทำให้เด็กหนุ่มต้องกัดฟันยันตัวขึ้นด้วยขาอีกข้างที่ระบมน้อยกว่า อาจจะด้วยอะดรีนาลีนที่กำลังเดือดพล่านอยู่จึงทำให้เขาสามารถวิ่งออกไปจากซอยได้โดยไม่มีใครเห็น

    เด็กหนุ่มชันกำแพงเอาไว้ก่อนจะหอบหายใจออกมาแรง ๆ ปาดเหงื่อที่ชุ่มคอแล้วส่ายตามองไปรอบ ๆ โชคดีที่ยังพอมีรถผ่านอยู่บ้าง ถือว่าเป็นข้อดีของกรุงเทพในย่านนี้จริง ๆ

    เขาถอดหมวกกันน็อคออกแล้วกวักมือโบกแท็กซี่ที่ค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษในช่วงเวลานี้ ถึงแม้คนขับจะสงสัยว่าเขาไปทำอะไรมาก็หาข้ออ้างว่ารถล้มเอาตัวรอดไปได้ ส่วนเรื่องรถจริง ๆ ที่จอดอยู่นั้น ไว้พรุ่งนี้ค่อยกลับไปเอา... รวมถึงไปเอาเรื่องกับเจ้าของงานนี้ด้วย

    เด็กหนุ่มแทบจะสลบในรถด้วยความเหนื่อย แต่ว่าเมื่อถึงเวลาเข้านอนแล้วกลับนอนไม่ลง กระสับกระส่ายด้วยความหวาดระแวง ถึงจะเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าสักวันอาจจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็ตาม

    ถ้าหากตำรวจเจอรถของเขาขึ้นมา... ยังดีหน่อยที่ไม่มีของสำคัญที่จะระบุเจ้าของได้ในนั้น อย่างดีที่สุดก็แค่ต้องซื้อรถใหม่...

    แต่ถ้าตำรวจรู้ตัวเขาขึ้นมา... แล้วหลิวล่ะ...

    แม้จะระลึกถึงสิ่งนี้ทุกครั้งที่ลงมือทำงาน แม้จะกลัวเท่าไหร่แต่ก็ต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำ...

    เดิมทีงานพิเศษของเขาก็ได้เงินเดือนแค่ไม่กี่พันอยู่แล้ว มันไม่พอจะเลี้ยงทั้งเขาและหลิวหรอก

    อีกทั้งที่หลิวยังคิดว่าพ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่และส่งเงินเข้าธนาคารมาให้ทุกเดือนก็ด้วย... เขาต้องหาจำนวนเงินนั้นมาแทนตบตาไม่ให้เด็กหนุ่มรู้ความจริง

    “เฮ้อ...” เขาเผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยอ่อน เหลือบมองหน้าคนที่หลับอยู่ก่อนจะพลิกตัวไปกอดร่างนั้นเอาไว้เบา ๆ ราวกับปลอบขวัญให้ตนเอง...

     

     

    เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งหลิวและเด็กหนุ่มต่างอึ้งในสภาพข้อเท้าซ้ายของเขา เมื่อมันบวมเป่งจนน่ากลัว

    “ไปทำอะไรมาเนี่ย”

    “ก็สะดุดขั้นบันไดล้ม ไม่คิดว่าจะเป็นขนาดนี้” เด็กหนุ่มโกหกไปหน้าตาย ถึงแม้หลิวจะขมวดคิ้วมุ่นแต่ก็ดูท่าทางเหมือนจะไม่สงสัยอะไร วิ่งไปหยิบกล่องพยาบาลมาทำแผลให้เขา

    เมื่อกินข้าวอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ไผ่ก็ปลีกตัวออกมาขณะที่เด็กชายกำลังวุ่นกับการวาดรูป นั่งแท็กซี่ไปยังซอยที่เขาจอดรถเอาไว้ เด็กหนุ่มชะโงกมองดูทาง เมื่อพบว่าไม่มีใครจึงวิ่งตรงไปที่จักรยานยนต์ของตน ก้มหน้าสตาร์ทรถแต่ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็พบกับร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่ง

    เขาผวาเฮือก มือที่กำลังจะบิดกุญแจชะงักค้าง คนตรงหน้าเป็นชายอายุราว ๆ ห้าสิบปลาย ๆ แต่หน้าตากลับแจ่มใสและมีรอยยิ้มขี้เล่นที่ไม่เข้ากับชุดสูทสีดำนั้นเลยแม้แต่น้อย

    แต่ด้วยสัญชาตญาณ เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายความอันตรายของคนตรงหน้า อยากจะขับรถหนีแต่กลับเหมือนโดนอะไรบางอย่างกดดันให้เขาไม่กล้าขยับตัว

    “ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ใช่ตำรวจหรอก” คำพูดหลังนั้นทำให้เขาใจกระตุกวูบ

    “คุณ... เห็น?”

    “เห็นตั้งแต่เธอเอารถมาจอดในซอยนี้” ก่อนจะชี้มือไปยังอาร์ตเมนท์ที่เกิดเรื่องเมื่อวาน “แล้วขึ้นไปบนนั้น ยิงตำรวจก่อนจะกระโดดข้ามไปอีกตึก ปีนเข้าไปในหน้าต่าง ชักปืนขู่เจ้าของห้องแล้วพังกระจกชั้นสองวิ่งหนีออกไป”

    ทุกคำพูดทำให้เขาต้องตัวเย็นเฉียบ เหงื่อชื้นหน้าด้วยความตกใจสุดขีด

    ทำไม...ถึงรู้ทุกอย่าง!!

    “ค...คุณเป็นใคร” ในตอนนี้... เขารู้สึกว่าชายคนนี้น่ากลัวกว่าตำรวจเมื่อวานเสียอีก!

    “ฉันแค่คนที่อยู่ตึกข้าง ๆ แล้วบังเอิญเห็นเท่านั้นล่ะ” ชายวัยกลางคนตอบด้วยรอยยิ้มเช่นเคย แต่มันทำให้เขาอยากจะประสาท ถึงจะอยู่ตึกข้าง ๆ ก็คงไม่มีทางเห็นทั้งหมดแบบนี้!

    “ต้องการอะไร จะจับผมส่งตำรวจใช่ไหม” เขาพยายามเค้นเสียงถามกลับโดยที่ฟันยังกระทบกันกึก ๆ ... แต่ชายคนนั้นกลับหัวเราออกมาราวกับเป็นเรื่องขำขัน

    “ฉันไม่ทำอะไรเหยาะแหยะแบบนั้นหรอก” ร่างสูงก้าวเดินเข้ามาใกล้ จ้องหน้าเขาด้วยสายตาที่คมกริบราวกับเหยี่ยว “เหมือนว่าเธอจะเก่งวิชาไอคิโด? เพิ่งอายุแค่นี้แท้ ๆ ... แม่เป็นคนสอนมาสินะ”

    เพียงเท่านี้เขาก็พึงเข้าใจว่าชายตรงหน้า... ไม่ใช่คนธรรมดาแล้วแน่นอน

    “ฉันแค่ต้องการคนฝีมือดีอย่างเธอมาทำงาน”

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เมื่อสบเข้ากับดวงตาสีดำสนิทนั้นเขาก็รู้สึกราวกับตนเองกลายเป็นเหยื่อ... และไม่สามารถปฏิเสธคำพูดจากคนตรงหน้าได้เลย

    “งานผิดกฎหมาย... แต่ไม่ต้องคอยวิ่งหนีตำรวจ”

    ใช่... ตอนนี้เด็กหนุ่มเข้าใจสถานะตัวเองดีว่าเขาไม่สามารถหนีไปไหนได้อีกแล้ว

    “ตกลงสินะ?” พร้อมรอยยิ้มที่พรายขึ้นบนใบหน้าเข้มอีกครั้งราวกับมนต์สะกด หัวสมองของเขาขาวโพลน มีเพียงความคิดเดียวที่ดังอยู่ในประสาทสัมผัส

    ชายคนนี้...

    “ฉันชื่อเอกภพ... องค์กร G.O.D ยินดีต้อนรับ”

     

    เป็น...ปิศาจ

     

     

    ---------------------------------------------------------------------------





    เรื่องนี้มันดาร์คดราม่าเนอะ \(- _-)/

     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×