คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : :: Chapter III :: Passing by (100%)
Passing By
ความฝัน
เขากำลังอยู่ในความฝัน
ในความฝันที่ฉายภาพความทรมานในอดีตซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้น
เขาจำไม่ได้ว่าเขาต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน หรือเสียน้ำตาจนมันเหือดแห้งไปมากเท่าไหร่
เวลาของคนเป็น กับเวลาของคนตาย
สำหรับเขา มันไม่ได้ต่างกัน
ใช้ชีวิตทุกวันเหมือนคนไร้ลมหายใจ เฝ้ารอกับปาฏิหาริย์ที่ไม่มีจริง
มีตัวตน
แต่ทว่าไร้ตัวตน
เหมือนต้องสาป
ต้องทนอยู่ในวงจรนรกนี้วนเวียนไปมาจนกว่าจะตาย
และในความตายที่เป็นทางออกทางเดียวนั้น
มันจะไม่มีทางเกิดขึ้น
จนกว่าจะถูกหยิบยื่นมาโดยใครบางคน
กลิ่นกาแฟที่หอมกรุ่นลอยมาแตะจมูกทำเขาเริ่มผ่อนคลาย วันนี้เป็นอีกวันที่เขาต้องตื่นมากับฝันที่ซ้ำๆซากๆแต่กลับชัดเจนตลอดเวลาในความทรงจำ
ฝันถึงคนที่เขาไม่อยากคิดถึงคนนั้น
ช่วงแรกๆที่เขาหนีออกมาได้สำเร็จ ไม่สิ มันคล้ายมันการถูกปล่อยออกมามากกว่า อยู่ในโลกแคบๆแบบนั้นเขาว่ามันทรมานเจียนตายจนแทบไร้ความรู้สึก แต่ออกมาเจอโลกภายนอกมันก็ยังทรมานไม่ต่างกัน เมื่อฤทธิ์ยาที่ใครบางคนยังฝากฝังไว้ในร่างกายมันซ้ำร้ายและรุนแรงนักเมื่อไม่ได้รับการเพิ่มเติมอย่างสม่ำเสมอ
เขาฝันร้ายทุกคืน ทั้งเมื่อยามหลับและยามตื่น กรีดร้องอย่างทรมานครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นแบบนี้ซ้ำๆติดต่อกันประมาณสี่ปี มันไม่ง่ายเลยจริงๆที่จะก้าวผ่านจุดนั้นมา
วันนี้
ทุกอย่างบรรเทาลง นับจากวันนั้นที่เขาเหมือนจะได้เป็นอิสระก็ผ่านมาหกปี ปีนี้เขาอายุยี่สิบหกและไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างอิสระแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน
เปรียบตัวเขาเองอีกทีก็คงจะคล้ายเหมือนตุ๊กตา
เล่นจนบอบช้ำ
แล้วรักษาใหม่ บอบช้ำ
แล้วรักษาใหม่ โยนทิ้ง
แล้วหยิบมาเล่นใหม่ บอบช้ำแล้วรักษา
เป็นแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนวงจรอุบาทว์
โยนทิ้ง
เขารู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังอยู่ในจุดนี้ และไม่รู้ว่าจะถูกเก็บไปเล่นอีกครั้งเมื่อไหร่
มันกำลังคิดอะไร
เขาจะอยู่แบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน
อะไรที่กำลังรออยู่ข้างหน้า
เขาไม่สามารถรู้อะไรได้เลยจริงๆ
ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวหมากที่ถูกเก็บไว้มันจะถูกจับให้ไปเดินตอนไหน
รู้เพียงแต่ว่า
คลื่นระลอกใหม่ มันมักจะรุนแรงกว่าคลื่นระลอกเก่าเสมอ
นัทวางแก้วกาแฟลง นาฬิกาตอนนี้บอกเวลาเจ็ดโมง วันนี้ไม่มีงาน และเรื่องร้านหนังสือไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้วเมื่อเขาตัดสินใจรับเด็กเข้ามาทำแทน ส่วนไผ่เองก็ไม่ว่างในวันนี้ ถ้าเป็นปกติแล้ว เขาจะปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปกับหนังสือ ทำอะไรเงียบๆเบาๆสบายๆในห้อง ก่อนจะออกไปหาความสุขในตอนกลางคืน
แต่มันวันนี้มันไม่ใช่
น่าเบื่อ
นัทครุ่นคิด ตัดสินใจละสายตาออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ยังแปลหนังสือค้างไว้แล้วถอดแว่น
เขาคงหาอะไรทำ
ก่อนจะหยิบกุญแจรถบนโต๊ะออกมาทันทีที่ตัดสินใจได้
ขับรถเล่น
มันก็มีอยู่แค่นี้จริงๆเมื่อเขาไม่ได้รู้จักใครมากเท่าไหร่ ร่างบางขับรถไปเรื่อยๆตามท้องถนนที่ไม่ได้โล่งโปร่งสบายอะไรสักเท่าไหร่ เขาขับๆไปเรื่อยๆจนไปถึงเส้นที่ค่อนข้างโล่งหากเปรียบเทียบกับถนนเส้นอื่นๆในกรุงเทพ ก่อนจะรู้สึกหิวขึ้นมาจึงตัดสินใจจอดทานที่ร้านอาหารข้างทางซึ่งไม่ใหญ่มากแต่ก็สงบและน่าทาน
“ยินดีต้อนรับค่ะ” พนักงานสาวพูดเสียงใส ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะอายุประมาณสิบสามสิบสี่ คงเป็นเพราะช่วงนี้กำลังปิดเทอมใหญ่พอดี ใครที่พ่อแม่มีร้านหรืองานอะไรที่พอจะช่วยได้จึงช่วย
นัทเลือกที่ที่นั่งที่สามารถมองเห็นรถบนถนนผ่านไปมาได้ทว่าสงบ นานแล้วจริงๆที่ไม่มีโอกาสมานั่งเงียบๆแบบนี้ เขาดูเมนูไม่นานก็สั่งอาหารไปสองสามอย่าง
แต่ทันใดนั้นเองที่ร่างบางกำลังมองถนนฝั่งตรงข้าม ดวงตาคมก็หยุดค้างด้วยความตกใจ
เด็กคนนั้น!
ร่างบางจ้องอย่างไม่วางตา อะไรที่ทำให้เจอกันที่นี่
เขาเชื่อว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ และความบังเอิญก็ไม่ได้มีในโลก
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตัดสินใจข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ฟังเสียงทักของเด็กเสิร์ฟสาวคนนั้น
เท้าของเขาแตะบนลงฟุตบาท
และพบว่าเด็กชายคนนั้นเองก็กำลังจ้องเขาอย่างไม่วางตาเช่นกัน
“กรอกที่เอกสารนี้อีกทีนะคะ” หญิงวัยกลางคนพร้อมยื่นเอกสารกับปากกาให้ นัทรับมาแล้วกรอกลงไปเงียบ ๆ ท่ามกลางสายตาหญิงสาวที่มองดูชายหนุมตรงหน้าสลับกับเด็กในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าของเธอไปมา
ปัจจุบันเด็กที่ไม่มีพ่อแม่และผู้ปกครองยังคงเป็นปัญหาของสังคม
เด็กชายตรงหน้าเป็นหนึ่งในเด็กที่ถูกพ่อแม่ทิ้ง จำได้ว่าเด็กชายเข้ามาในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งนี้เมื่อห้าปีที่แล้ว จนถึงวันนี้ก็ยังมีเด็กเข้ามาในสถานที่แห่งนี้เรื่อยๆ บางคนถูกรับไปเลี้ยงบ้าง บางคนโตจนอายุเกินต้องออกไปโลกภายนอกบ้าง ถึงแบบนั้นเธอก็รู้สึกในที่แห่งนี้ เด็กทุกๆคนคือลูกของเธอ
พวกเขาน่าสงสารเมื่อต้องเกิดมาภาระของสังคม หรือไม่มีพ่อแม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ
เธอเฝ้าดูการเติบโตของเด็กในนี้มาเกือบยี่สิบปี เห็นความรู้สึกและความหดหู่มาหลายรูปแบบ วันนี้ จะได้มีเด็กอีกคนที่จะถูกรับไปเลี้ยงอีกคน
เธอก็ดีใจ
“เมฆ ไปเก็บของสิจ๊ะ” เด็กชายพยักหน้ารับ เดินออกจากห้องไปเพื่อไปเก็บของเพื่อไปบ้านใหม่ สังเกตเห็นได้ตอนที่เมฆเปิดประตูออกไป เด็กมากมายกำลังรอฟังผลอย่างใจจดใจจ่อก็ถลาเข้ามารายล้อมเมฆ
ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะถูกใครรับไปเป็นลูกบุญธรรม คนๆนั้นก็ถือว่าโชคดีเหลือเกิน เด็กหลายคนเฝ้ารอวันที่จะได้ออกไปจากสถานที่แห่งนี้ จึงไม่แปลกที่เมื่อเมฆกำลังออกไปเลี้ยงจึงมีเสียงฮือฮาจากเด็กคนอื่นๆมากมาย
“แกเป็นเด็กที่แปลก” เธอพูดขึ้นเมื่อในห้องเหลือไว้เพียงเธอกับชายหนุ่ม “ไม่สุงสิงกับใคร และทำท่าเหมือนกำลังคุยกับใครอยู่ตลอดเวลาทั้งๆที่ตรงนั้นไม่มีคน แต่แกเป็นเด็กที่เรียนรู้ได้เร็วมาก ฉลาดจนฉันเองยังตกใจ”
ทว่า
คนตรงหน้าก็แปลกไม่แพ้กัน
หญิงวัยกลางคนคิดในใจ ดูยังไงคนตรงหน้าก็ยังเป็นวัยรุ่นที่อายุไม่เกินสามสิบ หน้าตาก็ไม่ใช่ว่าจะขี้เหร่ ออกจะดีมากจนสะดุดตาด้วยซ้ำ แต่กลับเงียบและสุขุม ความคิดดูเกินอายุไปมาก ดูยังไงก็ไม่เหมือนพวกข้าวใหม่ปลามันที่มีลูกไม่ได้เลยเก็บไปเลี้ยง เพราะจากที่เธอถามตะกี้
ชายหนุ่มเองก็ตอบมาว่ายังไม่มีใคร
แปลก
ยิ่งสายตาคู่นั้นมันยิ่งแปลก
มือมน อ้างว้าง เย็นชา เหมือนเด็กคนนั้นที่กำลังถูกรับไปเลี้ยง
ทั้งคู่
เหมือนกันจนน่าตกใจ
“เสร็จแล้วครับ” นัทเลื่อนเอกสารบนโต๊ะที่กรอกไปให้ยังหญิงวัยกลางคน เธอรับมาแล้วพิจารณาดูอีกทีว่าตรงไหนยังตกหล่น เมื่อไม่มีปัญหาจึงคืนเอกสารต่างๆที่ถือเป็นส่วนตัวคือให้ จัดการเก็บเอกสารการเลี้ยงดู สำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประชาชนเอาไว้
“เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วค่ะ” เธอกล่าว ก่อนจะยื่นนามบัตรให้ “ตรงนี้เป็นเบอร์โทร มีทั้งของสถานและของดิฉัน หากมีปัญหาก็โทรมาสอบถามได้ตลอดค่ะ”
“ขอบคุณครับ” แล้วเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนที่เธอถามขึ้นอีกครั้ง
“ทำไมถึงรับเด็กคนนี้ไปเลี้ยงคะ” ถึงแม้ว่าทุกอย่างตามกฏหมายและสิทธิจะถูกต้อง เมฆจะปลอดภัย เธอรู้ เธอดูคนออก แต่บางอย่าง
มันทำให้เธอสงสัย
มีเด็กตั้งมากมายที่นิสัยบริสุทธิ์และน่ารักสมวัย แต่
“ผมถูกชะตากับเด็กคนนี้ครับ” นัทตอบแล้วยิ้มเบาบางให้ “รัก
อยากได้แกเป็นลูก”
คำตอบที่ไม่กระจ่าง แต่ก็มากพอที่ทำให้เธอเลือกที่จะไม่ถามอีก
ไผ่เก็บรวบรวมเอกสารบนโต๊ะ ปิดโน๊ตบุ๊คเก็บใส่กระเป๋าก่อนจะสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง กว่างานจะสะสางเสร็จหมดก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว...
ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ยังรู้สึกว่างานของหัวหน้าหน่วยนั้นหนักเกินไปสำหรับเขา ซึ่งกำลังเรียนอยู่แค่มหาลัยปีสามเท่านั้น หัวหน้าหน่วยต้องรับผิดชอบชีวิตของลูกน้องทุกคน... เพราะหน้าที่ของเขาคือคัดสรรและพิจารณาว่าจะให้งานไหนกับใคร... ถ้าหากผิดพลาดไปแม้เพียงเล็กน้อยอาจหมายถึงความตายของลูกน้องเขา
และมันก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว...
ชีวิตของคนคนหนึ่งต้องเสียไปเพราะเขา...
ดังนั้นงานไหนที่ค่อนข้างเสี่ยงอันตรายชายหนุ่มก็มักจะเลือกมาทำเอง แม้ว่าฝีมือจะไม่ได้เก่งกาจอะไรนักแต่มันก็ดีกว่าจะให้ใครต้องมาตายเพราะเขาอีก
แต่ถึงอย่างนั้น... เขาเองก็ตายไม่ได้เหมือนกัน
ยังมีคนที่ต้องการเขาอยู่
ชายหนุ่มตรงไปที่รถของตนและมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างรวดเร็ว หากไม่ลืมแวะซื้อเค้กติดมือเป็นของฝากด้วยเช่นเคย
“กลับมาแล้ว” เขาเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ซึ่งไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ เมื่อร่างที่นอนอยู่บนโซฟานั้นกำลังหลับสนิท ไผ่วางกระเป๋าลงบนโต๊ะ หยิบรีโมทมาหรี่เสียงโทรทัศน์ก่อนย่อตัวนั่งลงข้าง ๆ เด็กหนุ่ม ถือโอกาสมองใบหน้าหวานของคนหลับเงียบ ๆ
ไล่ลงมาจากคิ้วโก่งเรียว ขนตายาวแพพริ้ม จมูกโด่งรั้นและริมฝีปากบางรูปกระจับ โครงหน้ากลมมนรับกับเรือนผมสีน้ำตาลยาวระต้นคอ แถมแก้มที่ขาวเนียนแต้มสีแดงนิด ๆ ยิ่งทำให้เหมือนเด็กผู้หญิง
ยิ่งมองยิ่งน่ารัก...
หลิว... เป็นน้องชายของเขาที่อายุห่างกันสี่ปี และในตอนนี้มีพวกเขาอาศัยอยู่ด้วยกันเพียงแค่สองคนเท่านั้น...
ใช่... พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตไปแล้วเมื่อประมาณเจ็ดปีก่อน นั่นเป็นตอนที่พวกท่านทิ้งเขาที่อายุเพียงสิบสี่กับหลิวเอาไว้แค่สองคน และไปต่างประเทศเพื่อทำงาน ซึ่งจะส่งเงินมาให้ทุกเดือน
นั่นเป็นแค่ฉากหน้า
แม่ทิ้งพวกเขาไว้กับพ่อโดยบอกว่าจะไปทำงานที่ต่างประเทศ แต่หากไม่นาน พ่อก็เก็บข้าวของ บอกว่าจะต้องตามไปทำธุระกับแม่ พวกเขาไปส่งพ่อที่สนามบินเหมือนกับตอนไปส่งแม่
และทั้งคู่ก็ไม่กลับมาเช่นกัน
รวมถึงเงินที่ส่งมาให้ เพียงแค่สามเดือนเท่านั้นมันก็หายไป
ก่อนหน้านั้นเขาได้รับข้อความจากแม่... ฝากให้ปกป้องหลิวกับพ่อ และอย่าพยายามตามหาเธอ... เพียงเท่านั้น เขาก็เข้าใจว่าแม่จะไม่กลับมาอีกแล้ว
เขาพอจะรู้ว่าแม่พัวพันอะไรกับโลกมืด เพราะตอนที่เลี้ยงเขานั้น... เธอพร่ำสอนเทคนิคการต่อสู้และป้องกันตัวจนไปถึงการยิงปืนให้เขา... ในทีแรกก็เข้าใจว่าเพราะอยากให้ป้องกันตัวเป็น
แต่ทุกอย่างนั้นหนักเหมือนเป็นการส่งลูกเรียนกวดวิชาทั้งวันเพื่อชิงทุนไปต่างประเทศ จึงเริ่มเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติที่พนักงานบริษัทธรรมดาจะทำกับลูกแล้ว...
โลกวันนี้มันไม่ได้สวยงามอะไรขนาดที่จะให้เขามานั่งคาดหวังว่าสักวันพ่อกับแม่จะกลับมา
ทั้งคู่จะไม่กลับมาอีกแล้ว
แต่หลิวยังคงเชื่อว่าพ่อและแม่ยังทำงานอยู่ที่นั่นจริง ๆ และยังคงส่งเงินมาให้ทุกเดือนเหมือนเคย
“อือ...กลับมาแล้วเหรอ” เสียงพึมพำพลันดังขึ้นเรียกให้สะดุ้งจากภวังค์ คิดว่าจะตื่นแล้วแต่กลับเอนตัวลงมานอนตักเขาต่อเสียดื้อ ๆ
“ง่วงก็ไปนอนที่เตียง” เขาทำเสียงดุอย่างไม่จริงจังเท่าไหร่ ลูบเรือนผมสีอ่อนเบา ๆ ด้วยความเคยมือ ร่างเล็กทำเพียงส่งเสียงงึมงำในลำคอ ไม่ยอมลุกไปไหน
จนถึงตอนนี้เขาก็ไม่ได้บอกหลิวว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อและแม่... เพราะไม่อยากให้เด็กหนุ่มต้องมาเจ็บปวดกับความจริงเหมือนที่เขาเจอ...
ในเวลาที่สงสัยเขาก็ให้ป้าปลอมเป็นแม่มาคุยด้วยแทน ตอนเด็ก ๆ หลิวแยกไปอาศัยอยู่กับพ่อจึงดูเหมือนจะจำเสียงของแม่ไม่ได้ ทำให้ยังพอปิดเรื่องนี้ต่อไปได้
รอจนสักวันหนึ่งที่เด็กหนุ่มโตพอ... ต่อให้ต้องโดนโกรธเกลียดที่โกหกอย่างไรเขาก็ยอม
เพราะเด็กหนุ่มเข้าใจว่าพวกท่านยังคอยส่งเงินมาให้ทุกเดือน แม้ป้าที่อยู่ต่างประเทศจะคอยช่วยเหลือเขาในเรื่องนี้บ้างแต่มันก็ยังไม่พอที่จะเลี้ยงตัวเขาทั้งสองคนได้
นั่นทำให้เขาต้องทำทุกวิถีทาง ทำงานอะไรก็ได้เพื่อแลกกับเงิน... คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเข้ามาอยู่ในเส้นทางสายนี้...
ย้อนกลับไปเมื่อสี่ปีก่อน...
“เดี๋ยวพี่ไปทำการบ้านต่อก่อน”
“โอเค อย่านอนดึกล่ะ” เด็กชายยื่นหน้ามาหอมแก้มเขาแล้วซุกตัวลงใต้ผ้าห่ม ไผ่ยิ้มบาง ลูบหัวของน้องชายเบา ๆ ก่อนจะก้าวเดินออกจากห้องไป
อีกสามวันจะเป็นวันเกิดของหลิว...
เผลอแป๊บเดียวเด็กชายก็อายุสิบสามแล้ว...
แต่ปัญหาก็คือของขวัญ... เขารับปากเอาไว้แล้วว่าจะซื้อกีตาร์ให้หลิว... แต่เงินแค่มีกินมีใช้ตอนนี้ก็จะไม่พออยู่แล้ว เงินดือนงานพิเศษกว่าจะออกก็ตั้งสิ้นเดือน
คงต้องทำ ‘งานนั้น’ อีกแล้วสินะ...
ไม่อยากทำเลย... แต่คงต้องทำ
ถึงจะผ่านไปกว่าสองปีแล้วแต่ก็ยังไม่ชินเสียที ไผ่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์ของคนคนนั้น เพียงเวลาไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย
‘พอดีเลย มีของเข้ามาให้แกไปส่งพอดี’
เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ๆ และเริ่มฟังรายละเอียดของมัน
ตีสอง...
รถจักรยานยนต์ของเขาหยุดลงในซอยตรงข้ามอพาร์ตเมนท์เก่า ๆ แห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มก้าวลงมาจากรถโดยไม่ถอดหมวกกันน็อค มือที่กำ ‘ของ’ นั้นเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อแม้จะใส่ถุงมืออยู่ก็ตาม
ไผ่กวาดตาสำรวจรอบ ๆ ตึกครู่หนึ่งก่อนจะย่ำเท้าขึ้นบันไดไปพร้อมจังหวะการเต้นของหัวใจที่ถี่รัวขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งหยุดลงหน้าห้องของเป้าหมาย มือชุ่มเหงื่อค่อย ๆ เคาะประตูห้องเบา ๆ
บานประตูไม้ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วจนเขาสะดุ้งเล็กน้อย ชายร่างใหญ่บอกข้อความที่เป็นรหัสออกมาก่อนจะยื่นซองสีน้ำตาลให้ เขารับมาเปิดเช็คจำนวนเงิน เมื่อพบว่าครบจึงล้วงซองของ ‘สิ่งนั้น’ ส่งให้
และสิ่งที่เขากลัวที่สุดก็เกิดขึ้น...
ปืนกระบอกหนึ่งถูกชักขึ้นมาพร้อมมือที่คว้าตัวเขาเอาไว้
“คุณถูกจับในคดีลักลอบค้ายาเสพติด...”
ไม่รอให้มันพูดจบเขาก็จับข้อมือของมันแล้วบิดขึ้นให้ตัวหลุดออกมา ใช้เท้าเตะปลายกระบอกปืนขึ้นแล้วยิงเข้าไปที่แขนของชายอีกคนในห้องที่กำลังจะชักปืนขึ้น ก่อนจะหันมายิงขาของตำรวจตรงหน้าไม่ให้ลุกขึ้นมา
ฉับพลันก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากทางบันไดพร้อมเสียงหวอของรถตำรวจ เด็กหนุ่มวิ่งตรงไปที่ริมระเบียงของตึกพร้อม ๆ กับตำรวจอีกจำนวนหนึ่งที่วิ่งตามมา
“โถ่เว้ย!” ไผ่สบถก่อนจะปีนระเบียงแล้วกระโดดข้ามไปอีกตึก ด้วยความสูงที่ห่างกันเกือบสองชั้นทำให้ร่างของเขากลิ้งถลันไปกับพื้น เสียงปืนที่ดังขึ้นตามหลังฉุดให้เขาต้องลืมความเจ็บลุกขึ้นและวิ่งต่อ
แต่ยังมีพวกตำรวจบางคนชั่งใจกระโดดตามเขาลงมา ไผ่วิ่งไปจนสุดขอบตึก ก้มลงมองด้านล่างและพบว่าตกไปต้องอตายแน่นอน
พลันสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับบางสิ่ง...
“หยุด! อย่าขยับ!” เหมือนตำรวจจะรู้ว่าเขาเป็นเด็กอยู่จึงไม่กล้ายิงเลย เขาหันกลับไปช้า ๆ ก่อนจะตะโกนตอบ
“ถ้าไม่วางปืนลง ผมจะกระโดด!” พร้อมปีนขึ้นไปยืนบนราวระเบียง พวกมันก็พลันหยุดกึก หันไปพูดคุยกันก่อนตำรวจคนหน้าสุดจะค่อย ๆ วางปืนลง
“ลงมาก่อน ถ้าคุณยอมให้ความร่วมมือกับเรา โทษของคุณจะถูกลด” คำกล่อมต่อรองของตำรวจไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ พริบตาที่เขาเห็นตำรวจคนหนึ่งค่อย ๆ ชักปืนขึ้นมา เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจกระโดดลงไปทันที
“!!” ตำรวจวิ่งกรูกันมาชะโงกดูด้านล่าง แต่มันกลับครอบคลุมไปด้วยความมืด
“ตามไปดูข้างล่าง!!”
หากลงไปก็ไม่มีวันพบใคร... ในเมื่อเด็กหนุ่มยังคงอยู่ในตึก!
เขาอาศัยบานหน้าต่างชั้นบนสุดที่เปิดอยู่คว้าเอาไว้แล้วเหวี่ยงตัวเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว หากก็พบกับหญิงแก่คนหนึ่งที่กำลังช็อคค้างเพราะจู่ ๆ ก็มีมนุษย์หัวหมวกกันน็อคปีนเข้ามาในห้อง
เมื่อเจ้าหล่อนทำท่าจะกรี๊ด เขาก็ชักปืนขึ้นมาจ่อหน้าเอาไว้ทันที
“ช่วยเงียบไปก่อนสักพักนะครับ” ทันทีที่เห็นปืนหญิงแก่ก็แทบจะเป็นใบ้ “ผมจะไม่ทำร้ายคุณแน่นอน ถ้าหากคุณช่วยบอกทางออกด้านหลังให้ผม”
เขาเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะลดปากปืนลง แต่เมื่อเห็นท่าทีของเธอที่ดูเหมือนจะไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรก็ต้องตะคอกออกมาเสียงดัง “ผมมีเวลาไม่มาก!!”
“...อ...อยู่ชั้นสอง มีบันไดลงไปหลังตึก อย่ายิงฉันเลย” เธอยกมือขึ้นไหว้ปลก ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
“ขอบคุณมาก ๆ ครับ ขอโทษด้วยที่ทำให้ตกใจ” ไผ่รีบเปิดประตูออกไป เธอคงไม่สังเกตว่ามือที่ถือปืนของเขาเองก็สั่นไม่แพ้กัน ทั้งเจ็บ เสียใจ และกลัว...
กลัวว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา...
แล้วใครจะดูแลหลิวกันล่ะ?
เด็กหนุ่มก้าววิ่งลงไปไม่รู้กี่ชั้นกว่าจะถึงชั้นสอง พร้อมกันนั้นก็เริ่มได้ยินเสียงตำรวจที่เอะอะทางด้านล่างของตึก คงจะรู้ตัวแล้วว่าเขาอยู่ข้างในนี้ ถ้าหากความจริงไม่มีทางออกตามที่หญิงแก่คนนั้นบอกเอาไว้เขาก็คงต้องถูกจับ
เขาสวดภาวนาว่าให้ทางออกนั้นมีจริงในใจ เมื่อลงไปถึงชั้นสองก็กวาดตาหาและก็พบกับประตูบานหนึ่งตามที่ว่าเอาไว้จริง ๆ เด็กหนุ่มวิ่งตรงไปแต่ไม่ทันจะได้ดีใจก็พบว่า...
มันล็อคอยู่
ไผ่สบถออกมาอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงตะโกนลอดขึ้นมาจากชั้นหนึ่งว่าให้ล้อมตึกนี้เอาไว้ เขารีบกวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบหน้าต่างบานหนึ่ง เด็กหนุ่มตัดสินใจกระแทกมันให้แตกแล้วกระโดดออกไปทันที
แต่ด้วยขาที่ช้ำมาจากรอบก่อนทำให้เขาเสียหลักล้มลงหัวกระแทกกับพื้น ถือว่าเป็นบุญที่ยังสวมหมวกกันน็อคอยู่จึงแค่มึน ๆ เท่านั้น
“โอ๊ย!” เมื่อพยายามลุกขึ้นกระดูกข้อเท้าก็ลั่นดังกร็อบ “เชี่ยเอ้ย มาซ้นอะไรตอนนี้วะ”
แต่เสียงตำรวจที่เริ่มดังใกล้เข้ามาทำให้เด็กหนุ่มต้องกัดฟันยันตัวขึ้นด้วยขาอีกข้างที่ระบมน้อยกว่า อาจจะด้วยอะดรีนาลีนที่กำลังเดือดพล่านอยู่จึงทำให้เขาสามารถวิ่งออกไปจากซอยได้โดยไม่มีใครเห็น
เด็กหนุ่มชันกำแพงเอาไว้ก่อนจะหอบหายใจออกมาแรง ๆ ปาดเหงื่อที่ชุ่มคอแล้วส่ายตามองไปรอบ ๆ โชคดีที่ยังพอมีรถผ่านอยู่บ้าง ถือว่าเป็นข้อดีของกรุงเทพในย่านนี้จริง ๆ
เขาถอดหมวกกันน็อคออกแล้วกวักมือโบกแท็กซี่ที่ค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษในช่วงเวลานี้ ถึงแม้คนขับจะสงสัยว่าเขาไปทำอะไรมาก็หาข้ออ้างว่ารถล้มเอาตัวรอดไปได้ ส่วนเรื่องรถจริง ๆ ที่จอดอยู่นั้น ไว้พรุ่งนี้ค่อยกลับไปเอา... รวมถึงไปเอาเรื่องกับเจ้าของงานนี้ด้วย
เด็กหนุ่มแทบจะสลบในรถด้วยความเหนื่อย แต่ว่าเมื่อถึงเวลาเข้านอนแล้วกลับนอนไม่ลง กระสับกระส่ายด้วยความหวาดระแวง ถึงจะเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าสักวันอาจจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็ตาม
ถ้าหากตำรวจเจอรถของเขาขึ้นมา... ยังดีหน่อยที่ไม่มีของสำคัญที่จะระบุเจ้าของได้ในนั้น อย่างดีที่สุดก็แค่ต้องซื้อรถใหม่...
แต่ถ้าตำรวจรู้ตัวเขาขึ้นมา... แล้วหลิวล่ะ...
แม้จะระลึกถึงสิ่งนี้ทุกครั้งที่ลงมือทำงาน แม้จะกลัวเท่าไหร่แต่ก็ต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำ...
เดิมทีงานพิเศษของเขาก็ได้เงินเดือนแค่ไม่กี่พันอยู่แล้ว มันไม่พอจะเลี้ยงทั้งเขาและหลิวหรอก
อีกทั้งที่หลิวยังคิดว่าพ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่และส่งเงินเข้าธนาคารมาให้ทุกเดือนก็ด้วย... เขาต้องหาจำนวนเงินนั้นมาแทนตบตาไม่ให้เด็กหนุ่มรู้ความจริง
“เฮ้อ...” เขาเผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยอ่อน เหลือบมองหน้าคนที่หลับอยู่ก่อนจะพลิกตัวไปกอดร่างนั้นเอาไว้เบา ๆ ราวกับปลอบขวัญให้ตนเอง...
เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งหลิวและเด็กหนุ่มต่างอึ้งในสภาพข้อเท้าซ้ายของเขา เมื่อมันบวมเป่งจนน่ากลัว
“ไปทำอะไรมาเนี่ย”
“ก็สะดุดขั้นบันไดล้ม ไม่คิดว่าจะเป็นขนาดนี้” เด็กหนุ่มโกหกไปหน้าตาย ถึงแม้หลิวจะขมวดคิ้วมุ่นแต่ก็ดูท่าทางเหมือนจะไม่สงสัยอะไร วิ่งไปหยิบกล่องพยาบาลมาทำแผลให้เขา
เมื่อกินข้าวอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ไผ่ก็ปลีกตัวออกมาขณะที่เด็กชายกำลังวุ่นกับการวาดรูป นั่งแท็กซี่ไปยังซอยที่เขาจอดรถเอาไว้ เด็กหนุ่มชะโงกมองดูทาง เมื่อพบว่าไม่มีใครจึงวิ่งตรงไปที่จักรยานยนต์ของตน ก้มหน้าสตาร์ทรถแต่ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็พบกับร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่ง
เขาผวาเฮือก มือที่กำลังจะบิดกุญแจชะงักค้าง คนตรงหน้าเป็นชายอายุราว ๆ ห้าสิบปลาย ๆ แต่หน้าตากลับแจ่มใสและมีรอยยิ้มขี้เล่นที่ไม่เข้ากับชุดสูทสีดำนั้นเลยแม้แต่น้อย
แต่ด้วยสัญชาตญาณ เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายความอันตรายของคนตรงหน้า อยากจะขับรถหนีแต่กลับเหมือนโดนอะไรบางอย่างกดดันให้เขาไม่กล้าขยับตัว
“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ใช่ตำรวจหรอก” คำพูดหลังนั้นทำให้เขาใจกระตุกวูบ
“คุณ... เห็น?”
“เห็นตั้งแต่เธอเอารถมาจอดในซอยนี้” ก่อนจะชี้มือไปยังอาร์ตเมนท์ที่เกิดเรื่องเมื่อวาน “แล้วขึ้นไปบนนั้น ยิงตำรวจก่อนจะกระโดดข้ามไปอีกตึก ปีนเข้าไปในหน้าต่าง ชักปืนขู่เจ้าของห้องแล้วพังกระจกชั้นสองวิ่งหนีออกไป”
ทุกคำพูดทำให้เขาต้องตัวเย็นเฉียบ เหงื่อชื้นหน้าด้วยความตกใจสุดขีด
ทำไม...ถึงรู้ทุกอย่าง!!
“ค...คุณเป็นใคร” ในตอนนี้... เขารู้สึกว่าชายคนนี้น่ากลัวกว่าตำรวจเมื่อวานเสียอีก!
“ฉันแค่คนที่อยู่ตึกข้าง ๆ แล้วบังเอิญเห็นเท่านั้นล่ะ” ชายวัยกลางคนตอบด้วยรอยยิ้มเช่นเคย แต่มันทำให้เขาอยากจะประสาท ถึงจะอยู่ตึกข้าง ๆ ก็คงไม่มีทางเห็นทั้งหมดแบบนี้!
“ต้องการอะไร จะจับผมส่งตำรวจใช่ไหม” เขาพยายามเค้นเสียงถามกลับโดยที่ฟันยังกระทบกันกึก ๆ ... แต่ชายคนนั้นกลับหัวเราออกมาราวกับเป็นเรื่องขำขัน
“ฉันไม่ทำอะไรเหยาะแหยะแบบนั้นหรอก” ร่างสูงก้าวเดินเข้ามาใกล้ จ้องหน้าเขาด้วยสายตาที่คมกริบราวกับเหยี่ยว “เหมือนว่าเธอจะเก่งวิชาไอคิโด? เพิ่งอายุแค่นี้แท้ ๆ ... แม่เป็นคนสอนมาสินะ”
เพียงเท่านี้เขาก็พึงเข้าใจว่าชายตรงหน้า... ไม่ใช่คนธรรมดาแล้วแน่นอน
“ฉันแค่ต้องการคนฝีมือดีอย่างเธอมาทำงาน”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เมื่อสบเข้ากับดวงตาสีดำสนิทนั้นเขาก็รู้สึกราวกับตนเองกลายเป็นเหยื่อ... และไม่สามารถปฏิเสธคำพูดจากคนตรงหน้าได้เลย
“งานผิดกฎหมาย... แต่ไม่ต้องคอยวิ่งหนีตำรวจ”
ใช่... ตอนนี้เด็กหนุ่มเข้าใจสถานะตัวเองดีว่าเขาไม่สามารถหนีไปไหนได้อีกแล้ว
“ตกลงสินะ?” พร้อมรอยยิ้มที่พรายขึ้นบนใบหน้าเข้มอีกครั้งราวกับมนต์สะกด หัวสมองของเขาขาวโพลน มีเพียงความคิดเดียวที่ดังอยู่ในประสาทสัมผัส
ชายคนนี้...
“ฉันชื่อเอกภพ... องค์กร G.O.D ยินดีต้อนรับ”
เป็น...ปิศาจ
---------------------------------------------------------------------------
เรื่องนี้มันดาร์คดราม่าเนอะ \(- _-)/
ความคิดเห็น