ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    :: BE FORGOTTEN :: (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #2 : :: Chapter I :: Spring Rain Scene

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ค. 54


           a 

    Chapter I

    Spring Rain Scene

     

    เสียงเป่านกหวีดของตำรวจจราจรยังคงดังอยู่ข้างนอกรถอย่างน่ารำคาญ  ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องปกติของเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครที่เกิดขึ้นในทุกๆวัน  แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่ดี

                    ปกติเขาไม่เคยเป็นแบบนี้

                    คงเป็นเพราะเรื่องเมื่อวาน

                    ชายหนุ่มขมวดคิ้วหมุ่น  ตบเกียร์เมื่อรถทั้งหมดเริ่มเคลื่อนตัว  ท้องฟ้าภายนอกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา  บ่งบอกว่าฝนกำลังตก

                    หลายคนชอบฝนเพราะมันทำให้อากาศเย็น  ทำให้พืชพรรณชุ่มชื้น  หรือแม้แต่คู่รักบางคู่ที่ชอบอยู่ใต้คันร่มเดียวกันอันสุดแสนจะโรแมนติก

                    แต่เว้นเขาไว้คนหนึ่ง..

                    เขาเกลียดฝน

                    เกลียดฝนที่ทำให้ถนนเปียกแชะ  เกลียดกลิ่นดินหรือหญ้าที่ลอยขึ้นมาแตะจมูก  เกลียดเสียงของมันเวลาที่โปรยปรายลงมากระทบหลังคา  หรือแม้กระทั่งละอองฝนที่กระเด็นมาโดนตัว

                    มันน่ารำคาญ..

                    น่าขยะแขยง

                   

                   

     

     

     

                   

                    ผมดีใจที่วันนี้พี่เปิดร้าน เด็กหนุ่มวัยสิบแปดพูดเสียงใส  พวงแก้มเปลี่ยนเป็นสีเรื่อแล้วเกาหัวเก๊กๆแก้เก้อเขิน  เอ่อ  ผมหมายความว่าผมอยากจะยืมหนังสือเรื่องนี้อยู่พอดี

                    ยินดีบริการครับ ชายหนุ่มพูดแล้วเขียนชื่อหนังสือลงในแฟ้มบันทึกการยืมของลูกค้า รวมทั้งหมดสิบเจ็ดบาทครับ

                    อ่า  ครับๆ พูดแล้วหยิบเงินออกมาจ่าย  สีหน้าลังเลเหมือนคนที่ต้องการจะพูดอะไร  แต่แล้วก็ต้องคอตกแล้วเดินออกไปจากร้านด้วยความไม่กล้า

                    ชายหนุ่มเจ้าของร้านมองตามภาพนั้นไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย  เก็บแฟ้มเข้าชั้นตามเดิมแล้วอ่านหนังสือที่ค้างไว้ต่อ

    นัท  หรือยุทธนันท์  เจ้าของร่างสูงโปร่ง  ผมสีน้ำตาลอมส้มธรรมชาติยาวระต้นคอ  ผิวขาวซีด  เครื่องหน้าคล้ายผู้หญิงแต่ยังคงบ่งบอกถึงความเป็นบุรุษเพศ  อายุยี่สิบเจ็ดปี  เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพได้สามเดือนทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นต้องย้ายไปที่ประเทศอื่นบ่อย ๆ ด้วยเหตุผลเพราะงาน  แต่เขาเองก็ไม่เคยคิดรำคาญใจ  กลับรู้สึกยินดีมากกว่า  เมื่อจะได้ไม่ต้องยึดติดกับใคร

                    จะได้ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเสียใจเมื่อห่างไกล

                    และดูเหมือนใครบางคนจะรู้จักเขาดี  จึงทำให้เขาย้ายไปไหนมาไหนบ่อยๆ..

                ..G.O.D

                    นั่นคือชื่อองค์กรที่เขาอยู่

                    องค์กรนักฆ่ายักษ์ใหญ่ที่กระจายอยู่ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก เยอรมัน บราซิล จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และไทย

                    นักฆ่าในองค์กรล้วนแบ่งเป็นหลายระดับ  ตัวเขาเองอยู่ในระดับ S…ซึ่งก็คือระดับผู้ดูแล  คอยรับหน้าที่จากหัวหน้าหน่วย  ซึ่งระดับน้อยกว่าผู้บัญชาการมาอีกที

                    หน้าที่ของเขาไม่ใช่ออกสู้

                    แต่เป็นการคอยดูแลลูกน้องในระดับที่ต่ำกว่า  และการล้วงข้อมูล

                    ใช่  นั่นไม่ได้หมายถึงแฮกเกอร์  แต่หมายถึง การล้วงอดีต

                    เป้าหมายของเขาส่วนใหญ่  คือต้องการข้อมูลจากบุคคลที่ฆ่าไม่ได้  จัดการไม่ได้  เปลืองแรงเกินไป  หรือเสี่ยงเกินไปที่จะซักไซ้เอาข้อมูล

                    การสืบโดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้จึงคือทางเลือกที่ดีที่สุด

                    เขาสามารถล้วงอดีตได้หากสัมผัสตัวของใคร  เพียงชั่วพริบตาก็สามารถรู้ได้ถึงอดีตของคนๆนั้น  ซึ่ง ณ ตอนนี้ที่ฝึกการใช้พรสวรรค์นั่นมาอย่างโชกโชน  ทำให้นัทสามารถอ่านอดีตไปไกลถึงแค่ไหนก็ได้เท่าที่ต้องการ

                    ฟังดูสะดวกสบายใช้ได้  แต่จงอย่าลืมโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีโดยไม่สูญเสียสิ่งใด

                    ยิ่งสิ่งที่ได้มาล้ำค่าหรือพิเศษมากเท่าไหร่ก็ต้องยิ่งสูญเสียมากเท่านั้น

                    ครั้งนี้ก็เช่นกัน

                    สิ่งที่ต้องสูญเสียในการแอบล่วงรู้อดีตของคนอื่นก็คือการถูกลืม

                    หากเขาแตะตัวใคร  เขาสามารถอ่านอดีตได้ก็จริง  แต่ยิ่งอ่านไปไกล  หรือเก่ามาแค่ไหน  เขาก็จะถูกคนที่เขาอ่านลืมเขาไปมากเท่านั้นจนกระทั่งลบหายออกไปจากความทรงจำ

                    เหมือนเขาไม่เคยเจอกัน

                    เหมือนเขาไม่มีตัวตน

                    เล่มนี้ค่ะพี่ เสียงใสเรียกเขาให้หลุดจากภวังค์  นัทเงยหน้าจากหนังสือที่แท้จริงแล้วใจไม่ได้จดจ่อกับมันเลย  เขาวางหนังสือลงแล้วหยิบแฟ้มออกมา  เขียนชื่อหนังสือลงไป  บอกราคา  และส่งหนังสือให้

                    ร้านพี่มีแต่หนังสือที่หนูอยากอ่าน เด็กสาวพูดพร้อมหยิบเงินออกมาให้ แถมยังอ่านได้ยากทั้งนั้น  เสียดายที่พี่ไม่เปิดร้านสม่ำเสมอ

                    คำพูดที่ตรงไปตรงมาทำนัทเงยหน้าขึ้นมอง  แต่คนตรงหน้าก็ยังคงพูดต่อ

                    ทำไมพี่ไม่จ้างพนักงานล่ะค่ะ

                    แล้วพี่จะเก็บไว้คิดดูอีกทีนะครับ ตอบพร้อมรอยยิ้มเบาบางทำหัวใจเจ้าหล่อนเริ่มกระตุก  ก้มหน้าลงแล้วบอกลาเดินออกจากร้าน  นัทหุบยิ้มลง  หยิบหนังสือที่ค้างไว้ขึ้นมาอ่านต่อ  เคยมีคนบอกเอาไว้ว่าหากเขายิ้มแล้วจะดูดีขึ้นเป็นกอง  แต่เขาไม่ชอบยิ้มพร่ำเพรื่อ

                    ในเมื่อเขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องยิ้มแบบนั้น

                    ยิ้มที่มีความสุขแบบนั้น

                    สวัสดีครับ กรอกเสียงลงไปหลังจากที่กดรับสายด้วยเสียงเรียบตามนิสัย  นัทนิ่งฟังอีกฝ่ายสักครู่ก่อนจะรับคำแล้วกดวาง  หยิบกุญแจขึ้นมาแล้วมองในร้านที่ตอนนี้ว่างเปล่าไร้ผู้คน

                    ร่างโปร่งจัดการปิดร้าน  สายเมื่อกี้คืองานด่วนที่เพิ่งเข้า  และมักจะเป็นแบบนี้เสมอทำให้เขาต้องปิดร้านก่อนกำหนดบ่อยๆ  จนกระทั่งเวลาเปิดปิดประจำของร้านที่เขากำหนดไว้มันชักจะไม่มีความหมาย

                    หากถามว่าแล้วทำไมเขาต้องเปิดร้านให้ยุ่งยาก  ในเมื่อเขาเองก็ไม่ได้ขาดแคลนเงิน  ออกจะเหลือกินเหลือใช้  คำตอบก็คือ  การเปิดร้านหนังสือเป็นสิ่งที่เขารักรองจากการแปลหนังสือ  ไม่มีเหตุผลใดอื่น

                    เพราะหนังสือคือสิ่งเดียวที่อยู่เคียงข้างเขาท่ามกลางการไร้ตัวตนในความทรงจำของใครๆตลอดมา   

     

     

                   

                อพากเมนต์รภาวดีห้องสองศูนย์สาม ซอยศาราศรี  จังหวัดนนทบุรี พูดเสียงเรียบพร้อมดึงทิชชู่ออกจากกระเป๋ามาเช็ดมือ  งานวันนี้ก็เป็นงานล้วงข้อมูลอีกเช่นกัน  แต่ง่ายหน่อยเพราะแค่จับเนื้อแตะตัวอีกฝ่ายนิดหน่อยก็รู้ข้อมูลได้แล้ว

                    แต่ยังไงมันก็น่าสกปรกอยู่ดีที่ต้องสัมผัสคนพรรคนั้น

                    ทั้งๆเขาเองมันก็สกปรกไม่แพ้กัน

                    นัทใช้กระดาษทิชชู่ขยี้มือจนเป็นรอยแดง  ก่อนจะโยนทิ้งถังขยะแล้วพูดต่อ     อาพกเมนต์เก่าหน่อย  แต่แถวนั้นจะรู้จักกันดีเพราะมันอยู่มานาน

                    อือฮึ คเชนทร์รับคำแล้วกรอกข้อมูลตามที่ได้ยินเมื่อกี้พิมลงไปบีบี  ถ้าถามว่าทำไมต้องบีบี  ก็เพราะจะได้ขอพินแชทกับสาวๆได้ง่ายๆไง  งานง่ายจัง  ไหนๆก็ไหนๆแล้วเราไปดื่มกันต่อมั้ย

                    ไม่ล่ะครับ  ขอบคุณ เอ่ยตอบเสียงเรียบไม่คิดแม้แต่จะชายตามอง  ทำคนถามเริ่มจะเจ็บจี๊ด

                    เสียดายจัง พูดเสียงอ่อยแต่หน้ากลับยิ้มแป้น  จริงๆคเชนทร์ก็รู้อยู่แล้วว่านัทจะต้องตอบกลับมาแบบนี้  เขาก็แค่แหย่เล่นอะไรหน่อยเท่านั้นเอง  ตามประสาผู้ชายลั้นลาที่รู้สึกใจเต้นตึกตักเมื่อเห็นคนหน้าสวยๆ

                    แถมหน้าสวยของนัทก็เป็นประเภทสวยมากจนหาตัวจับได้ยาก  ถึงขนาดไปเดินที่ไหนก็คงต้องสะดุดตา

                    ไม่ไปจริงๆน่ะเหรอ เสียงทะเล้นยังไม่เลิกรา   แต่ถึงแบบนั้นก็รู้สึกเหมือนกำลังคุยกับต้นไม้ยังไงชอบกล  ไม่เป็นไร  ชีวิตมันก็ต้องมีความเงียบงันบ้างเป็นธรรมดา คุณไปกับผม  สนุกก็นิดหน่อยแล้วค่อยอ่านอดีตลบความจำของผมก็ได้นะถ้าคุณอาย

                    ข้อเสนอเรียบง่ายแต่กลับกระตุกหนวดของคนข้างหน้าได้สำเร็จ   

                    นัทหันหน้ามามองคนที่ไม่ยอมหยุดพูดในที่สุด  ใบหน้าหวานเรียบสนิทไม่แม้จะแสดงสีหน้าใดๆคงมีเพียงแต่กำแพงกระมั้งที่คเชนทร์สัมผัสได้อย่างชัดเจน

                    กำแพงที่เจ้าตัวไม่ยอมให้ใครข้ามไป..

                    มันไม่เกี่ยวกับคุณนัทยังคงเป็นนัท  ดวงตาคู่นั้นเชิ่ดมองเขาอย่างเย่อหยิ่งเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกไปโดยไม่มีการพูดคุยอะไรกันอีก  คเชนทร์ยิ้มกริ่มหัวเราะหึในลำคอ  หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดไฟแล้วสูบเข้าไปเต็มปอด

                    เขาถูกใจนัท  แต่คนแบบนั้นไม่เหมาะกับการผูกมัด

                    นิสัยเผ่อหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตนเอง  ดวงตาคมเชิ่ดหยิ่งราวกับกำลังเหยียดโลกใบนี้อย่างชิงชัง  การพูดจาชวนห่างไกลอย่างไร้เยื่อใย  มองดูก็รู้  นัทคงผ่าอะไรมาก  บางอย่างที่เขาอาจคาดไม่ถึง

                    แต่ความอ่อนแอมันมีอยู่ในตัวของทุกคน

                    ความเหงาที่ทำเท่าไหร่ใจก็ไม่มีวันชิน

                    นัทมีทั้งสองสิ่งนั้น  แม้พยายามปกปิดแต่ก็ยังคงสะท้อนอยู่ในดวงตา

                    ทำไมเขาจะดูไม่ออก

                    คนที่คอยสังเกตมานานอย่างเขาทำไมจะไม่รู้

                    ยิ่งเขาเป็นคนที่อยากได้อะไรต้องได้  ถูกใจอะไรสักอย่างแล้วไม่มีทางปล่อยทำไมจะไม่มีทาง

                    คเชนทร์ทิ้งบุหรี่ลงพื้นแล้วเท้าเหยียบซ้ำเหยียบมันอย่างที่เคยทำกับคนอื่นที่ขวางทาง

                    ใช่  นัทไม่เหมาะกับการผูกมัด

                    แต่หากชายหนุ่มไม่ใช่ของเขา

                    ก็สมควรที่จะไม่ใช่ของใครด้วยเช่นกัน

     

     

                   

     

                ฝนตกอีกแล้ว

                    นัทล็อกเกียร์รถ  เบื้องหน้าเป็นภาพของสายถนนที่รถติดเป็นสายยาว   เขาเดาว่าข้างหน้าน่าจะเกิดอุบัติเหตุเพราะได้ยินเสียงรถพยาบาล  ยิ่งฝนตกขนาดนี้สงสัยจะยาว

                    นัทเอื้อมมือไปเปิดวิทยุ  เปลี่ยนคลื่นไปเรื่อยๆจนหยุดอยู่ที่เพลงบรรเลงเปียโน  ร่างโปร่งเอนตัวลงกับเบาะ  นั่งฟังเสียงดนตรีที่บรรเลงคลอไปกับเสียงสายฝนอย่างเลื่อนลอย

                    สาเหตุที่เขาเกลียดฝนที่แท้จริง

                    นั่นก็เพราะมันพรากคนรักของเขาไป

                    พรากใจที่รักเขาไปจากคนที่เขารัก

                    ตายทั้งเป็น

                    นั่นคือสิ่งที่เขารู้สึก

                    อยากตายแต่ตายไม่ได้  รู้สึกเหมือนล้มทั้งยืน  ขาดมือใดช่วยคอยประคองดั่งที่ผ่านมา  รับรู้กับความโหดร้ายของโลกใบนี้เพียงลำพัง  อยากจะหันหน้าไปหาใครก็ไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น

                    การมีพลังอ่านอดีตไม่ใช่สิ่งเลวร้าย

                    มันดี  หากสามารถควบคุมพลังนั่นได้และไม่ต้องกลายเป็นอดีตไปเสียเอง

                    แต่การที่ฝนตก  มันจะทำให้เขาไม่สามารถควบคุมมันได้

                    ยิ่งตกแรงเท่าไหร่ยิ่งควบคุมไม่ได้เท่านั้น

                    ทำไมถึงรู้?

                    นั่นมันเพราะเขาเคยเจอ

                    คืนวันนั้นที่ฝนตกหนัก  แต่กลับตกหนักยิ่งกว่าในใจของคนรู้สึก  เมื่อเพียงสัมผัสแค่วูบเดียว  แต่กลับทำลายความรู้สึกดีๆที่เคยมีให้กันมาทั้งชีวิต

                    ทั้งทำลายตัวตนที่เขาเคยมี

                    ทั้งทำลายที่ๆเขาเคยยืน

                    ทั้งทำลายวันเวลาที่เคยใช้ร่วมกัน

                    หลงเหลือไว้แค่คำว่าคนแปลกหน้า

                    แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้ง  เมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจากด้านนอกรถ

                    ด้านนอกนั่นที่ฝนกำลังตก

                    เด็กชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงข้างถนน  ทั้งตัวเปียกไปด้วน้ำฝน  เนื้อตัวและเสื้อผ้ามอมแมมไปทั้งตัว  หากแต่มีเพียงสีดำเท่านั้นที่เด็กคนนั้นใส่  ยกเด่นให้สร้อยที่เป็นจี้สีเงินบิดๆนั่นให้ดูชัดเจน

                    มันจะไม่มีปัญหาอะไร  หากดวงตาสีดำสนิทราวกับความมืดมิดนั่นไม่กำลังจ้องมองมาที่เขา

                    จ้องอย่างไม่วางตา

                    นัทจ้องดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้นกลับ  ใบหน้านั้นไม่แม้แต่จะแสดงอารมณ์ใดๆ  กระทั่งมองลึกเข้าไปในดวงตาก็พบได้แต่ความว่างเปล่า

                    แปลก

                    เขามั่นใจว่าเขาไม่เจอเคยเด็กคนนี้

                    แต่ทำไมเขากลับคุ้นเคยดวงตานั่นคู่นั้นอย่างประหลาด

                    มันเหมือนกำลังจ้องมองตัวเองในกระจก

                    ฉับพลันที่นัทต้องสะดุ้งหลุดจากภวังค์  เมื่อได้ยินเสียงแตรรถไล่จากด้านหลัง  เขารีบตบเกียร์รถขับเคลื่อนมันไปข้างหน้า ทว่าในใจยังติดค้างด้วยความสงสัย  อดไม่ได้ที่จะเหลือบตาไปมองกระจกด้านข้าง  แต่แล้วก็ต้องแปลกใจ  เมื่อข้างถนนที่เพิ่งมองเมื่อสักครู่มีแต่เพียงความว่างเปล่า 

                    ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน  นัทก็จัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อทันที  ภาพของเด็กคนนั้นยังอยู่ในห้วงความคิด  ได้แต่นึกสงสัยแต่ทำอะไรคงไม่ได้เมื่อไม่รู้อะไรเลยแม้แต่ข้อมูล

                    ร่างโปร่งหยิบนาฬิกาสีดำเรือนโปรดขึ้นมาใส่  แล้วส่องตัวเองในกระจกเพื่อดูความเรียบร้อย  มองดวงตาคู่นั้นในกระจกที่เป็นสีน้ำตาลใสซึ่งใครต่อใครต่างก็บอกว่าช่างสวยและมีเสน่ห์  แต่กลับดูว่างเปล่าหลือเกินสำหรับเขา  เมื่อดวงตาคู่นั้นไม่แม้แต่จะสะท้อนความรู้สึกใดๆ

                    นัทยกนาฬิกาขึ้นมามองอีกครั้ง  เที่ยงคืนนี่คงเป็นเวลาที่เหมาะแล้วสำหรับการจะไปที่ๆแห่งนั้น..

                   

     

                    ผู้คนมากมายหลายตาที่ไม่รู้จัก

                    สัมผัสกันเพียงข้ามคืนแล้วหายไป

                    นัทมองผู้คนมากกว่าเหล่านั้นจากโต๊ะของเคาวน์เตอร์พลางยกไวน์แดงขึ้นจิบ  ผู้คนที่มาที่นี่ต่างก็มีจุดหมายที่แตกต่างกัน  และเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

                    หนึ่งในคนที่มาหาความสุขอันจอมปลอม

                    คนแล้วคนเล่าที่เดินเข้ามาทัก  แล้วเขาปฏิเสธไป  แต่กระนั้นก็ยังไม่เอคนที่ถูกใจเสียที  นัทเริ่มเอนหัวอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย  พลันหางตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่อยู่อีกฝ่ายตรงโซฟาด้านซ้าย  ร่างโปร่งที่ดูดีในเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์มีสไตล์ ผมซอยสั้นปัดข้างลวกๆ บวกกับใบหน้าหล่อคมติดหวานนิด ๆ ที่นิ่งเฉยราวกับรูปปั้นนั้น ยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์โดดเด่นมากกว่าคนอื่น ๆ นัทเลิกคิ้วขึ้น  ยกไวน์แดงจิบขึ้นอีกครั้ง  ก่อนดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นจะทอประกายอย่างมีความหมาย..

     

     

     

    ท่ามกลางแสงไฟกะพริบวับวามและเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มไปทั่ว แม้ผู้คนรอบกายจะมากหน้าหลายตาแต่กลับรู้สึกเหมือนยังอยู่ตัวคนเดียวเสมอ

    “ไอ้ไผ่! มาดริ๊งกันทั้งทีทำตัวให้สดชื่นหน่อยสิวะ” เพื่อนในกลุ่มตบหลังเขาพลางซัดเบียร์ไปอีกกรึ๊บ เขาไม่ได้มีเวลาว่างเหลือเฟือเหมือนพวกมัน ในเวลาแบบนี้อยากจะกลับไปนอนให้เต็มอิ่มเพื่อจะเผชิญงานในวันพรุ่งนี้มากกว่า

    เขาเหลือบตามองไปรอบ ๆ แก้เบื่อ พลันสายตาก็ไปสบเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ ใบหน้าที่สวยราวกับผู้หญิงดึงดูดให้เขาเผลอจ้องไปอย่างลืมตัว

    “มองอะไรวะไผ่ เจอสาวถูกใจแล้วงั้นเรอะ” เสียงทักของเพื่อนทำให้เขารีบผละสายตาออกมา ต่อให้สวยก็ใช่ว่าจะชอบผู้ชายเหมือนกันสักหน่อย... หากเมื่อมองไปก็สบตากันอีกรอบ

    ...ไม่แน่แฮะ...

    ดูเหมือนอีกฝ่ายเองก็สนใจเขาอยู่เหมือนกัน ด้วยใบหน้าเรียบเฉยหากแววตาเชิดมองอย่างเย่อหยิ่งนั้นราวกับกำลังเชิญชวนเขาอยู่ก็ไม่ปาน

    ไผ่วางแก้วเบียร์ลงบนโต๊ะ ขณะที่อีกฝ่ายค่อย ๆ ลุกขึ้นและเดินไปทางหลังร้าน ชายตามองมาทางเขาอีกครั้งก่อนจะเปิดประตูเข้าไป เขาไม่รอช้าที่จะลุกขึ้นตามไปด้านหลังทันที

    ร่างโปร่งบางยืนพิงกำแพงรออยู่ที่มุมห้อง เขาย่างเท้าเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับสำรวจใบหน้าที่นิ่งเฉยนั้น นัยน์ตาคมหยิ่งเหมือนแมว คิ้วเรียวสวย จมูกโด่งรั้นริมฝีปากบาง เครื่องหน้าเหมือนผู้หญิง อีกทั้งเรือนผมสีน้ำตาลออกส้มที่โดดเด่นอย่างเป็นธรรมชาตินั้นยิ่งถูกใจเขามากเลยทีเดียว

    “รอใครอยู่เหรอ ใช่ผมหรือเปล่านะ” เขาถามลองเชิงอีกฝ่าย แววตาแมวนั้นทอดมองเขาเล็กน้อยราวกับพิจารณาก่อนริมฝีปากบางสวยจะค่อย ๆ ขยับเอ่ย

    “คุณตามผมมาเองไม่ใช่เหรอ” พูดอย่างนั้นหากกลับเดินเข้ามาใกล้ เหยียดตามองอย่างยั่วยวน เขาดันร่างโปร่งเข้าไปแนบกำแพง ใบหน้าชิดกันจนได้กลิ่นไวน์ชั้นดีอ่อน ๆ จากร่างตรงหน้า

    “ขอถือว่าเป็นคำชวนละกัน” เบียดหน้าเข้าไปขยี้ริมฝีปากชายหนุ่มที่ไล้มือมากอดคอเขาตอบรับ เผยอปากน้อย ๆ ให้ลิ้นอุ่นรุกรานเข้ามาแลกเปลี่ยนความหอมหวานของไวน์แดง มอบจุมพิตอันแสนวาบหวามให้แก่กันจนยากที่จะหยุดใจ

    ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายผละปากออกก่อนแม้จะเสียดายน้อย ๆ ก่อนจะโอบหลังบางเข้ามา มองร่างโปร่งหอบเล็กน้อยพลางระงับอารมณ์ที่เริ่มตื่นขึ้น จูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากแดงชุ่มอีกครั้งก่อนเอ่ยถาม

    “สะดวกไปที่ไหนบ้างครับ...?”

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×