ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เร็ดความรู้ยุค เลียดก๊ก

    ลำดับตอนที่ #2 : อุทยานน้ำพุร้อนหัวชิงฉือ กับตำนานรักอมตะของพระสนมเอกหยางกุ้ยเฟย

    • อัปเดตล่าสุด 6 มี.ค. 50


    อุทยานน้ำพุร้อนหัวชิงฉือ กับตำนานรักอมตะของพระสนมเอกหยางกุ้ยเฟย

    อุทยานน้ำพุร้อนหัวชิงฉือ (HUA QING SE) อยู่เชิงเขาหลี่ซัน (หลี่ แปลว่าม้าสีดำเงา ที่มีลักษณะท่าทีที่งดงาม) ห่างจากเมืองซีอานไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๓๐ กิโลเมตร เป็นบ่อน้ำพุร้อนตามธรรมชาติ มีอุณหภูมิประมาณ ๔๓-๔๕ องศาเซลเซียส เป็นอุทยานสรงน้ำของกษัตริย์มาแต่สมัยราชวงศ์โจว ต่อมาจนถึงราชวงศ์ฮั่นและถัง และได้รับชื่อว่า หัวชิงฉือ ในสมัยจักรพรรดิถังเสวียนจง (TANG XUAN ZHONG)

    เมื่อเราเข้ามาเยือนอุทยานแห่งนี้ จุดสนใจอันดับแรกที่มองได้อย่างชัดเจนก็คือ รูปปั้นสีขาวของพระสนมเอกหยางกุ้ยเฟย (YANG GUI FEI) (ค.ศ. ๗๑๘-๗๕๖) ในท่วงท่าเพิ่งขึ้นจากสระน้ำอุ่น รูปปั้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความงามอันสะคราญยิ่งของนาง ที่มีสิริโฉมอันวิไลนัก ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าสระน้ำขนาดใหญ่ ท่วงท่านี้เองที่ไป๋จวีอี้ (BAI JU YI) กวีเอกในสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. ๗๗๒-๘๔๖) ได้บรรยายไว้ในบทกวีฉางเฮิ้นเกอ (CHANG HEN GE) ตอนหนึ่งว่า

    "...ฤดูกาลแห่งเหมันต์ใบไม้ผลิ

    ทรงดำริประทานเยือนหัวชิงฉือ

    น้ำแร่อุ่นปรุงชโลมไล้ผิวนาง

    ครั้นอาบเสร็จแสร้งจริตสิ้นเรี่ยวแรง

    เหล่านางในต้องเข้าคอยประคองกอด

    ผลัดภูษาพัสตราภรณ์อันพลิ้วไหว

    รูปหน้านางงามประดุจร้อยบุปผา

    แลเกศาดำมันขลับพลิ้วสลวย

    แซมประดับดอกไม้ไหวอ่อนระรวย

    ยลเสน่ห์ทรงหลงใหลทุกวันคืน..."

    ฉางเฮิ้นเกอ หรือ "บทเพลงแห่งความรักลุ่มหลงอันยาวนาน" เป็นบทกวีขนาดยาว ๘๔๗ ตัวอักษร ที่ไป๋จวีอี้ได้พรรณนาถึงความรักที่จักรพรรดิถังเสวียนจงมีต่อหยางกุ้ยเฟย นับเป็นบทกวีขึ้นชื่อที่มีขนาดยาวที่สุดในสมัยราชวงศ์ถัง ที่ผู้เขียนได้บรรยายภาพของความรัก และความอาลัยอาวรณ์ของทั้งสองได้อย่างสวยงาม และเจ็บปวดที่สุด

    พระสนมเอกหยางกุ้ยเฟย ได้รับการยกย่องว่าเป็น ๑ ใน ๔ สตรีที่สวยที่สุดในประวัติศาสตร์จีน (อีก ๓ นางคือ ไซซี, เตียวเสี้ยน และหวางเจาจวิน) นางแซ่หยาง มีชื่อจริงว่า ไท้เจิน (TAI ZHEN) มีชื่อเล่นว่า อวี้หวน (YU HUAN) แปลว่า ตุ้มหูหยก ส่วนคำว่า กุ้ยเฟย หมายถึง พระสนมเอก

    นางเกิดในปี ค.ศ. ๗๑๘ ตอนที่มารดาคลอดนางได้ฝันว่าเห็นสายรุ้งพาดโค้งจากฟากฟ้าลงมาที่เตียงนอน พร้อมส่งแสงประกายระยิบระยับงดงาม แต่เพียงชั่วครู่เดียวก็หายวับไป กลายเป็นดาวตกพุ่งตกลงมาสู่พื้น มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

    หยางอวี้หวน เมื่อเติบโตขึ้นมีรูปโฉมที่งดงามแล รูปร่างสรีระอวบอัดเต่งตึงเปล่งปลั่งชวนมองยิ่งนัก อีกทั้งยังมีผิวกายที่หอมจรุงยวนใจไปทุกซอกอณูผิวเป็นที่เลื่องลือไปทั้งหมู่บ้าน และตำบลที่พักอาศัย

    ในปีที่ ๒๕ ของรัชสมัยจักรพรรดิถังเสวียนจง พระองค์ทรงดำริที่จะหาพระชายาให้พระโอรสโส้วหวาง อาของหยางอวี้หวนทราบข่าวจึงนำนางเข้าไปถวาย และก็ไม่ผิดหวัง เมื่อโส้วหวางแรกได้แลเห็นนางนั้น ก็ถึงกับตะลึงพรึงเพริดไปในความสวยของนางในพลัน ดังนั้น นางจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาของโส้วหวาง ตั้งแต่นางมีอายุได้เพียง ๑๖ ปี ซึ่งกำลังอยู่ในวัยสาวแรกรุ่นงดงามดุจนางอัปสรมาจุติปานกระนั้น

    ครั้นต่อมา อู่หุ้ยเฟย พระสนมที่จักรพรรดิถังเสวียนจงทรงโปรดปรานเสียชีวิตลงกะทันหัน พระองค์ยังทรงหาพระชายาใหม่ที่ถูกพระทัยไม่ได้ ขันทีเกาลี่ซื่อผู้ใกล้ชิดจึงทูลเสนอว่า หญิงงามที่สุดในแผ่นดินไม่มีใครงามเกินหยางอวี้หวน พระชายาของโส้วหวาง แล้วเกาลี่ซื่อได้หาอุบายให้พระองค์ได้ทอดพระเนตรนาง เพียงแรกประสบพบเท่านั้น พระองค์ก็ถึงกับลุ่มหลงในความงามของนางโดยทันที แต่เนื่องจากติดขัดที่นางเป็นชายาของโส้วหวาง

    เกาลี่ซื่อจึงออกอุบายอันแยบยลให้พระองค์แต่งตั้งนางเป็นนักพรตหญิง แล้วหาพระชายาใหม่ให้โส้วหวาง และจากนั้นพระองค์จึงได้ครอบครองอย่างสมพระทัย

    หยางอวี้หวนได้เป็นพระสนมเอกของจักรพรรดิถังเสวียนจง เมื่ออายุ ๑๘ ปี ในขณะที่พระองค์มีพระชนมายุ ๕๓ ปี ซึ่งมีอายุต่างกันถึง ๓๕ ปี ได้รับการแต่งตั้งเป็น กุ้ยเฟย ชั้นพระสนมเอก บรรดาพี่น้องแลเครือญาติของนางทั้งหมดได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนนาง และฮูหยินทั้งหมด จนเป็นที่โจษจันกันไปทั่วว่า เพราะมีลูกสาวดี จึงได้ดิบได้ดีกันถ้วนหน้า

    ความรักของพระองค์กับหยางกุ้ยเฟย เป็นไปอย่างลุ่มหลง จนมีคำกล่าวเปรียบเปรยว่า "พระองค์ยามเช้าเฝ้าสีซอ ยามค่ำเข้าหอล่อกามา"

    ไป๋จวีอี้ ได้พรรณนาความงามของนางไว้ในฉางเฮิ้นเกอ อีกบทหนึ่งว่า

    "...ยามเมื่อนางหันมาแย้มสรวล

    ก็นำมาซึ่งเสน่ห์ร้อยประการ

    เป็นเหตุให้นางสนมทั้ง ๖ ตำหนัก ต้องด้อยรัศมีลง

    ยามเมื่อนางอาบน้ำในสระ (หัวชิงฉือ)

    เหล่านางสวรรค์กำนัลใน (๓,๐๐๐ นาง)

    ต่างก็พรึงเพริดด้วยโฉมอันงามวิไลนัก..."

    เล่ากันว่า ทั้ง ๒ ทรงโปรดปรานในการมาสรงน้ำที่หัวชิงฉือเป็นยิ่งนัก ตลอดระยะเวลาที่ทรงอยู่ร่วมกัน ได้มาสรงน้ำที่นี่ถึง ๔๙ ครั้ง จนมีสระหนึ่งของที่นี่ เรียกว่า สระหยางเฟย เป็นที่สรงน้ำของนางโดยเฉพาะ

    ความที่พระองค์ทรงลุ่มหลงอยู่แต่นาง และเล่นดนตรี จนละเลยการปกครองว่าราชการเมือง ทำให้หยางกั๊วจง (YANG KUA ZHONG) พี่ชายของนางได้รวบอำนาจการปกครองไว้ถึง ๔๐ ตำแหน่ง จนมีตำแหน่งเทียบเท่าสมุหนายก กินสินบนอย่างเปิดเผย ใช้ระบบอุปถัมภ์ในการคัดเลือกคนเข้ารับราชการหรือเลื่อนตำแหน่ง ทำให้เกิดความเดือดร้อนไปถ้วนทั่ว

    เป็นเหตุให้อันลู่ซาน (AN LU SHAN) ได้หยิบยกข้ออ้างนี้มาก่อกบฏ โดยนำทหารจากชายแดนและทหารทิเบตเข้ามายึดนครฉางอานโดยง่ายดายในปี ค.ศ. ๗๕๖ ทำให้องค์จักรพรรดิถังเสวียนจงจำต้องทรงลี้ภัยชั่วคราวไปในทางตอนใต้มณฑลซื่อชวน (เสฉวน)

    ในระหว่างทางที่ทรงลี้ภัยไปนั่นเอง หยางกั๋วจงได้ถูกเหล่าทหารรุมจับสังหารเสีย จากนั้นเหล่าทหารได้ทูลพระองค์ว่า "การที่เกิดกบฏเข้ายึดบ้านครองเมือง ทำให้ราชวงศ์ต้องเสื่อมถอยก็เพราะหยางกั๊วจงเป็นต้นเหตุ เมื่อหยางกั๊วจงตายไปแล้ว แต่โดยรากยังคงอยู่นั่นคือ หยางกุ้ยเฟย ฉะนั้นนางก็ไม่สมควรอยู่ให้เป็นที่ครหาด้วย"

    จักรพรรดิถังเสวียนจงทรงโทมนัสในพระทัยอย่างสุดพรรณนา เมื่อเกาลี่ซื่อผู้นำนางมาถวายพระองค์ ได้นำผ้าแพรขาวไปมอบให้นางเพื่อให้แขวนคอตาย

    หยางกุ้ยเฟยได้จบชีวิตลงอย่างน่าสงสารในปี ค.ศ. ๗๕๖ ระหว่างทางลี้ภัยไปมณฑลซื่อชวนในขณะนั้น นางมีอายุเพียง ๓๘ ปีเท่านั้น

    นอกจากนี้ ยังมีคำร่ำลือกันว่า หยางกุ้ยเฟย เธอมีกลิ่นกายที่หอมกรุ่น เนื่องจากนางได้นำเอากลีบดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมนานาพรรณ มาบดให้ละเอียดเป็นแป้งแล้วใช้ชโลมกาย ในยามที่เธอมีเหงื่อไหลในช่วงฤดูร้อนนั้น ร่ำลือกันว่ายิ่งส่งกลิ่นหอมอบอวลให้เป็นที่ใหลหลงยิ่งนัก ซึ่งทำให้หญิงสาวจีนในยุคนั้นเอาตามอย่างนาง โดยนำกลีบดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมมาทำเป็นแป้งใช้ทาชโลมกาย จนถือเป็นต้นกำเนิดของแป้งฝุ่นจีนมาตราบจนทุกวันนี้

    นี่คือประวัติโดยย่อของหยางกุ้ยเฟย หญิงงามที่สุด ๑ ใน ๔ ของประวัติศาสตร์จีน ซึ่งถ้าเราได้เข้าถึงความงามและความรักแท้ของนางแล้ว การเที่ยวชมอุทยานน้ำพุร้อนหัวชิงฉือแห่งนี้จะมีความหมายมาก เพราะสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศจีนนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า ๔,๐๐๐ ปี และชาวจีนเป็นนักบันทึกประวัติศาสตร์มากที่สุดชาติหนึ่งในโลก

    ดังนั้นทุกสถานที่มักจะมีประวัติศาสตร์อยู่ และประวัติศาสตร์นี่แหละที่จะทำให้การมาเยือนของเรามีความหมายมากยิ่งขึ้น

    อาจารย์โจวพาพวกเราไปดูบ่อน้ำร้อนที่ผุดขึ้นจากตาน้ำเชิงเขาหลี่ซานซึ่งเป็นปราการอยู่เบื้องหลัง บ่อน้ำร้อนนี้ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี เขาต่อท่อออกมาทำเป็นน้ำพุพุ่งออกมากลางดอกบัว ให้คนเข้าไปตักดื่มและลูบหน้า ลูบตา แต่ต้องเสียค่าเข้าไปใช้น้ำนี้คนละถึง ๕ หยวนเลยทีเดียว อาจารย์โจวบอกว่าหยางกุ้ยเฟยเธออาบน้ำที่นี่เป็นประจำจึงมีผิวที่สวยงามละเอียด ละมุนละไม พวกเราจึงไม่รีรอที่จะเข้าไปสัมผัสน้ำแร่ที่ร้อนกว่า ๔๓ องศาเซลเซียส บางคนนำมาลูบหน้า ลูบตัว เผื่อจะได้งามอย่างหยางกุ้ยเฟย ผู้สร้างตำนานรักอมตะมากว่า ๑,๐๐๐ ปี บางคนถึงกับเอาขวดมารองเพื่อนำไปเป็นที่ระลึกแก่คนทางบ้านที่ไม่ได้ร่วมเดินทางมาด้วย

    จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของที่นี่ก็คือ ต้นทับทิมโบราณ ที่มีอายุมาแต่สมัยราชวงศ์ถัง ในวันที่พวกเราไปเยือนนั้น ต้นทับทิมเพิ่งผลิแตกหน่อใบอ่อน ทับทิมที่นี่ต้นโตกว่าที่บ้านเรามากนัก อาจารย์โจวบอกว่าต้นทับทิมนี้ถือเป็นต้นไม้ประจำเมืองซีอาน เป็นพรรณไม้ที่นำเข้ามาจากตะวันตกแถบเปอร์เซียในสมัยราชวงศ์ถัง มีอยู่ต้นหนึ่งอายุกว่า ๑,๒๐๐ ปี เชื่อกันว่าเป็นต้นทับทิมที่หยางกุ้ยเฟยเป็นผู้ปลูกไว้ อาจารย์โจวเล่าอีกว่า ต้นทับทิมในเมืองซีอานนี้มีปลูกกันมากจนเขานำมาใช้เลี้ยงผึ้ง น้ำผึ้งจากดอกทับทิมถือเป็นสินค้าที่มีชื่ออย่างหนึ่งของเมืองซีอานเลยทีเดียว

    ห่างจากอุทยานน้ำพุร้อนหัวชิงฉือขึ้นไปทางเหนือเล็กน้อย เราจะผ่านสุสานของฉินสื่อหวงตี้ หรือจักรพรรดิจิ๋นซี อันลือลั่น


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×