คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ลำดับตอนที่ 6
บทที่ ๙ สังวาลสายฑูรย์
โกญญาเป็นแคว้นที่อยู่เหนือสุดของทวีป เป็นแคว้นขนาดกลางที่เต็มไปด้วยป่าไม้และมีฤดูหนาวยาวนานกว่าฤดูอื่น บูยาสเป็นเมืองที่เล็กที่สุดในแคว้น อยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่มากนัก แต่มีบรรยากาศและทิวทัศน์งดงามกว่าเมืองใด อีกทั้งยังเชื่อกันว่าเป็นเมืองที่ประชาชนมีความสุขที่สุดเพราะเจ้าเมืองปกครองด้วยความเมตตาอารี โดยเฉพาะเจ้าเมืองคนปัจจุบัน หากแต่บุคคลที่มีชื่อเสียงเรื่องความใจดีและเฉลียวฉลาดยิ่งกว่าใครกลับเป็นบุตรชายคนเล็กของเจ้าเมืองซึ่งเป็นชายหนุ่มที่มีนามว่า ไรน์
และตอนนี้เจ้าชายรัชทายาทแห่งบาคัสตากับคนติดตามก็เดินทางมาขอพบคุณชายหนุ่มถึงที่จวนเจ้าเมือง
หลังจากคนรับใช้วัยหนุ่มเข้าไปรายงานคุณชายหนุ่มได้ไม่นาน เขาก็กลับออกมาจากจวนอีกครั้งเพื่อเดินนำเจ้าชายออเรียสและฟินเรย์ผ่านบรรดาคนรับใช้ที่กำลังจัดเตรียมสิ่งของต่างๆ ใส่เกวียนหลายหลัง และผ่านสวนดอกไม้ฤดูหนาวที่กำลังออกดอกสวยสะพรั่งเข้าไปในห้องรับรองแขกในจวน
ภายในห้องรับรองที่ดูเรียบง่ายนั้นจุดไฟในเตาผิงด้วย อากาศจึงอุ่นกว่าภายนอกมากนัก เพราะแม้จะเป็นเวลาเที่ยงวันแล้วตะวันก็ยังสาดแสงไม่ร้อนแรง เพราะตอนนี้เป็นช่วงกลางฤดูหนาว
คนที่เจ้าชายออเรียสและฟินเรย์ต้องการพบนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งในชุดเก้าอี้สำหรับรับแขก ไรน์เป็นชายหนุ่มผิวขาว รูปร่างสูงแต่ค่อนข้างผอม ดวงหน้าดูเป็นชายหนุ่มที่สุภาพใจดีและเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีผู้หนึ่ง ทั้งรอยยิ้มและแววตามีแววอารีเมื่อบอกผู้มาขอพบทั้งสองคนว่า
“เชิญนั่งก่อนสิ”
เจ้าชายออเรียสประทับบนเก้าอี้ตัวหนึ่งด้านข้าง จากนั้นฟินเรย์จึงนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวข้างๆ กัน ทว่าขาข้างที่ถูกน้ำร้อนลวกเกิดอาการปวดแปลบขึ้นมากะทันหันจึงสะดุดขาเก้าอี้เกิดเสียงดังเล็กน้อย เจ้าชายหนุ่มจึงทรงหันมารับสั่งด้วยพระสุรเสียงได้ทีว่า
“ซุ่มซ่าม...ระวังหน่อยสิ”
“บอกตัวเจ้าเถอะ” ฟินเรย์ตอบกลับเรียบๆ และเจ้าชายหนุ่มก็ทรงทำพระพักตร์มุ่ย...เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเป็นห่วงนัก ตอนนี้พระพักตร์ของพระองค์คงซีดมาก เพราะขนาดทรงสวมฉลองพระองค์คลุมหนากว่าอีกฝ่ายตั้งมาก และห้องนี้ก็น่าจะอุ่น แต่พระองค์ยังทรงรู้สึกหนาว
“พวกท่านคงไม่ใช่คนเมืองนี้ ดูไม่น่าใช่คนโกญญาด้วย” คุณชายหนุ่มตั้งขอสังเกตกึ่งถาม เจ้าชายออเรียสจึงตรัสตอบ
“ข้าเป็นคนบาคัสตา ชื่อออเรียส ส่วนนี่ฟินน์...เป็นคนลึกลับ แต่ข้าว่าบ้านมันคงอยู่แถวๆ แคว้นทางเหนือนี่แหละ หน้ามันพอจะกลมกลืนกับคนเมืองนี้ได้อยู่”
ไรน์มองหน้าฟินเรย์แล้วรู้สึกเห็นด้วย หากแต่ประโยคที่เขาทูลถามกลับเป็น
“ขอโทษที่ข้าอาจจะถามตรงไปตรงมา แต่ถ้าข้าเดาไม่ผิด ท่านคงเป็นเจ้าชายรัชทายาทแห่งบาคัสตา”
“ขอโทษที่ต้องบอกว่าท่านเดาผิด อย่างข้าหรือจะเป็นถึงเจ้าชาย ข้ามันแค่คนธรรมดา คนชื่อออเรียสในแคว้นข้ามีเป็นร้อย” เจ้าชายหนุ่มรับสั่งปกปิดกลั้วเสียงสรวลอย่างแนบเนียน และแม้ว่าไรน์จะปักใจว่าบุคลิกลักษณะอย่างพระองค์น่าจะทรงเป็นเจ้าชายไม่ผิดแน่ หากแต่เขาก็ไม่ได้คาดคั้นถามต่อ เพียงแต่ยิ้มละมุนแล้วสันนิษฐานกับถามต่อว่า
“พวกท่านคงเป็นนักเดินทาง มาถึงเมืองบูยาสแล้วได้รับความเดือดร้อนลำบากอะไรบ้างไหม”
“นักเดินทางไม่กลัวลำบากอยู่แล้ว และเมืองนี้ก็น่าอยู่มาก ข้าได้ยินชาวเมืองสรรเสริญความดีของท่านมาตลอดทางที่มาจวน” เจ้าชายหนุ่มทรงชมอย่างจริงใจและไรน์ก็ยิ้มนิดๆ อย่างถ่อมตน ทว่ายังไม่ทันได้ตอบอะไรออกไปสักคำสองคำ ฟินเรย์ซึ่งเป็นคนตรงไปตรงมาที่สุดก็บอกเรียบๆ ว่า
“ข้ามีเรื่องขอความช่วยเหลือ”
“ว่ามาสิ ข้ายินดีช่วย ถ้าช่วยได้” ไรน์ไม่ขัดข้องและฟินเรย์ก็ไม่อ้อมค้อม
“ข้าต้องการต้นยารุสพันปีที่ท่านมีอยู่ จะขายหรือต้องการให้แลกด้วยของมีค่าอื่นข้าก็ยินดี”
เรียวคิ้วยาวของคุณชายหนุ่มขมวดเข้าหากันนิดๆ แสดงความกังวล ก่อนถามว่า
“ใครในพวกท่านเป็นอะไรหรือ”
“ออเรียสสูดกลิ่นไอพิษของต้นฮุมไบเข้าไป อาจจะนานเกือบชั่วโมง ข้าใช้สมุนไพรชนิดอื่นช่วยขับพิษให้ไปบ้างแล้วแต่ช่วยไม่ได้มาก ถ้าไม่ได้ต้นยารุสมาช่วยขับพิษ ไอพิษในตัวคงจะกัดกร่อนจนอาจจะตายภายในหนึ่งเดือน ข้าได้ยินว่าท่านมียารุสพันปีอยู่ต้นหนึ่ง”
ฟินเรย์ตอบเรียบๆ เพราะเมืองนี้เต็มไปด้วยป่าไม้ การเดินทางจึงต้องผ่านป่า และเพราะเจ้าชายแห่งบาคัสตาทรงทราบแล้วว่าเขามีแผลน้ำร้อนลวกสาหัสอยู่ที่ต้นขาซ้าย เมื่ออากาศหนาวจัดจะรู้สึกปวดกระดูกบ่อยเป็นพิเศษ พระองค์จึงทรงอาสาไปหาผลไม้และอย่างอื่นที่พอจะเป็นอาหารได้มาให้ ฟินเรย์ปฏิเสธว่าให้ไปด้วยกัน ทว่าเจ้าชายหนุ่มทรงถือดีว่าพระองค์ไม่ทรงหลงป่าแน่ จึงเสด็จไปเพียงพระองค์เดียว ครั้นทรงหายไปนานแล้วยังไม่กลับ ฟินเรย์จึงออกตามหาและพบว่าเจ้าชายหนุ่มทรงสลบอยู่ใกล้ต้นฮุมไบสูงใหญ่ที่ทั้งต้นสามารถปล่อยไอพิษออกมาได้ ชายหนุ่มมองหาสมุนไพรต้นเล็กๆ ซึ่งขึ้นอยู่ห่างจากต้นฮุมไบไม่มากนัก เด็ดใบมันมาขยี้ให้กลิ่นฉุนๆ ของมันออกมาแล้วใช้ทาใต้จมูก จากนั้นจึงเข้าไปพยุงองค์เจ้าชายหนุ่มแล้วแบกขึ้นหลังตนจนกระทั่งออกมาพ้นจากรัศมีไอพิษ ทว่าเจ้าชายหนุ่มทรงสูดไอพิษเข้าไปมากแล้ว สมุนไพรขับพิษธรรมดาไม่สามารถขจัดได้หมด
“ใช่ ข้ามี”
ไรน์ยอมรับ ยารุสพันปีเป็นไม้ดอกที่สูงเพียงฝ่ามือ เป็นดอกไม้หายากที่ขึ้นอยู่กลางป่าดงดิบ ประมาณสิบปีจึงจะมีให้เห็นสักไม่กี่ต้น เป็นดอกไม้แปลกประหลาดที่ตั้งแต่ดอก ลำต้น ใบ และรากเป็นสีขาวราวแก้ว และโปร่งแสง สะท้อนแสงอาทิตย์เป็นสีรุ้ง เมื่อขุดขึ้นมาทั้งราก นำไปชุบน้ำสมุนไพรเจ็ดชนิดแล้วเก็บไว้ในกล่องไม้หอมจะเก็บไว้ได้นานหลายสิบปีโดยไม่เหี่ยวเฉาและสรรพคุณทางยาคือสามารถขจัดพิษได้ทุกชนิดก็จะยังคงเดิม ไรน์ได้มันมาจากพรานป่าผู้หนึ่ง เพราะเขาเคยช่วยชีวิตบุตรสาวของพรานไว้ด้วยการเชิญหมอหลวงมารักษาและเขาเป็นคนถ่ายเลือดให้นาง ทว่า
“แต่พวกท่านมาช้าไป เมื่อเกือบสองเดือนก่อนข้ามอบมันให้คนอื่นไปแล้ว ที่ข้าถามว่าใครในพวกท่านเป็นอะไรเพราะคิดว่าอาจจะพอมียาชนิดอื่นช่วยรักษาได้ แต่ว่า...” ชายหนุ่มเว้นจังหวะนิดหนึ่งแล้วจึงบอกกับเจ้าชายหนุ่มตามตรงว่า “คนที่ข้าให้ต้นยารุสไปรักษาก็สูดเอาไอพิษต้นฮุมไบเข้าไปเหมือนกัน”
“ข้าเสียใจ แต่บางทีพิษที่ท่านได้รับอาจไม่มากอย่างที่วิตก ถ้ายังไงข้าจะเชิญท่านหมอประจำตระกูลมาตรวจอาการ ถ้าพวกท่านยังไม่มีที่พักก็พักบ้านข้าไปก่อนก็ได้ ชาวเมืองบูยาสยินดีต้อนรับผู้มาเยือนเสมอ” คุณชายหนุ่มบอกด้วยความเอื้อเฟื้อ ทว่าฟินเรย์นิ่งคิดแล้วก็ตัดสินใจว่า
“ขอบคุณท่านมาก ข้าคิดว่าตัวเองตรวจอาการของออเรียสไม่ผิด แต่ข้ามีความรู้เรื่องแพทย์จำกัด บางทีอาจตรวจผิด แต่ถ้าแก้ไขไม่ได้จริงๆ คงต้องฝากออเรียสไว้ที่นี่สักพัก จนกว่าข้าจะเข้าป่าไปหายารุสพันปีหรือพืชชนิดอื่นที่มีสรรพคุณใกล้เคียงกันมาได้”
“เห็นข้าเป็นคนป่วยแล้วคิดว่าเจ้าจะทำยังไงกับข้าก็ได้รึไงฟินน์” เจ้าชายหนุ่มทอดพระเนตรมองคนติดตามแบบเขม่นๆ และพระสุรเสียงก็สะท้อนพระอารมณ์ขุ่นมัว “เห็นข้าเป็นแพะเป็นแกะรึไงถึงต้องฝากคนอื่นเลี้ยง มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันข้าไม่ให้เจ้าทิ้งข้าเด็ดขาด เห็นข้าใกล้ตายเลยจะทิ้งอย่างนั้นสิ”
“ข้าไม่ได้ทิ้งเจ้า” ตอบเรียบๆ แต่สายตามีแววเหนื่อยระอา
“อย่างน้อยก็เคยคิดจะทิ้งแหละน่า ตอนที่จะออกจากลหุลยานั่นไง” เจ้าชายหนุ่มรับสั่งพระพักตร์บึ้ง ทั้งพระพักตร์และรับสั่งดูไปดูมาเหมือนเด็กที่น่ารำคาญไม่น้อย ทว่าฟินเรย์ยอมรับได้เพราะรู้ดีว่าเป็นนิสัยส่วนตัวของอีกฝ่ายและเป็นอาการธรรมดาของคนป่วย
“เท่าที่ข้ารู้ ยารุสเป็นยาที่หายาอื่นมาเทียบยาก” ไรน์บอกเล่าความรู้ของตน “และออกดอกทุกสิบปี แต่เท่าที่ข้าประมาณดู รู้สึกว่านี่จะเพิ่งเก้าปี หลังจากมันออกดอกครั้งสุดท้าย” ตอนที่พรานป่าผู้นั้นมอบกล่องไม้หอมใส่ต้นยารุสให้เขาเมื่อสามปีที่แล้ว ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็เก็บมันมาได้หกปีแล้ว
“แต่ถ้าเป็นปีที่อากาศหนาวจัดมันก็อาจออกดอกเร็ว และปีนี้ก็หนาวมาก” ฟินเรย์เสริมความรู้ที่ไรน์ไม่รู้ให้ คุณชายหนุ่มนิ่งคิดแล้วจึงเสนอว่า
“ถ้าอย่างนั้นท่านเดินทางไปพร้อมข้าก็ได้”
ฟินเรย์เลิกคิ้วนิดหนึ่ง และเจ้าชายออเรียสก็ตรัสถามด้วยสายพระเนตร บุตรชายเจ้าเมืองบูยาสจึงยิ้มจางๆ แล้วอธิบายเพิ่มว่า
“พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปเมืองหลวง และต้องผ่านป่ามายาซึ่งเป็นป่าดงดิบ ถ้ายารุสจะออกดอกจริงท่านคงหามันได้จากที่นั่น หรือถ้าไม่ได้ก็คงพบสมุนไพรชนิดอื่นที่พอใช้ได้ เพียงแต่...ป่ามายาเต็มไปด้วยอันตรายจากพืชและอมนุษย์ ท่านคงต้องเสี่ยงและเตรียมตัวเตรียมใจ”
“จะเดินทางไปเมืองหลวงไม่จำเป็นต้องผ่านป่ามายา” ฟินเรย์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ท่านคงไม่ได้เพิ่งเปลี่ยนเส้นทางเมื่อกี้นี้เพื่อให้ข้าได้เข้าไปหาสมุนไพร”
ไรน์หัวเราะเบาๆ ยังคงมีรอยยิ้มค้างอยู่เมื่อปฏิเสธว่า
“ไม่ใช่หรอก มีพระบรมราชโองการจากองค์ราชาให้ข้าใช้เส้นทางนั้นและช่วยเหลือองค์หญิงเรซินที่ถูกมังกรจับไปออกมาให้ได้”
ฟินเรย์พยักหน้านิดๆ เป็นเชิงรับรู้ เจ้าชายออเรียสก็เช่นกัน ระหว่างทาง ทั้งสองได้ยินเรื่องที่เจ้าหญิงพระองค์เล็กของแคว้นถูกมังกรแห่งป่ามายาจับไปตั้งแต่สามเดือนก่อนมาบ้าง แม้มีอัศวินหลายคนอาสาเข้าไปปราบมังกรและพาเจ้าหญิงออกมา หากแต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครรอดกลับออกมาแม้แต่คนเดียว
“ข้าคงต้องขอร่วมทางไปกับท่าน” ฟินเรย์บอกเรียบๆ และไรน์ก็ยิ้มรับไม่ขัดข้อง ทว่าเจ้าชายออเรียสกลับรับสั่ง
“ข้าว่าเจ้าพูดแปลกๆ นะ ฟังขัดหูยังไงชอบกล ไหนลองพูดใหม่ซิ” ครั้นฟินเรย์ยังคงนิ่งเงียบ พระองค์จึงทรงหันไปแย้มพระสรวลกับคุณชายหนุ่มขณะรับสั่งว่า
“มันหมายความว่า ‘เรา’ คงต้องขอไปกับท่านด้วยน่ะ”
“เจียมตัวหน่อยเถอะ” ฟินเรย์พูดไม่ดังนัก หากแต่เจ้าชายหนุ่มทรงได้ยินถนัดชัดพระกรรณ ทว่ายังไม่ทันได้รับสั่งอะไรไรน็ก็สนับสนุนว่า
“ข้าก็ว่าท่านพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ดีกว่า เดินทางอาจทำให้อาการทรุดหนัก บางทีท่านหมออาจหาวิธีรักษาท่านได้โดยไม่ต้องใช้ต้นยารุส”
“ข้าแข็งแรงดีเดินทางได้สบายมาก อีกอย่างไปด้วยถ้าเจอยานั่นจะได้รักษาให้หายเลย ขืนรอให้หาเจอ กว่าจะออกจากป่าเอามาให้ข้าได้ข้าคงต้องตายก่อน” เจ้าชายหนุ่มรับสั่งบอกเหตุผล ทว่าผู้เป็นคนติดตามเสริมต่อว่า
“ถ้าต้องสู้หรือวิ่งหนีตัวประหลาดในป่าทั้งที่ยังป่วยอยู่เจ้าก็ต้องตายก่อนเหมือนกัน”
เจ้าชายออเรียสทรงแย้มพระสรวลกว้างขวางทีเดียวเมื่อรับสั่งอย่างหมายมาดว่า
“ไม่ต้องห่วงน่า รับรองข้าไม่ตายคนเดียวให้เหงาแน่ จะยึดเจ้าไว้ให้ตายเป็นเพื่อน”
สายตาเย็นชาของฟินเรย์กลับมาให้เจ้าชายแห่งบาคัสตาได้ทอดพระเนตรเห็นอีกแล้ว ทว่าเจ้าชายหนุ่มกลับไม่ทรงรู้สึกร้อนหนาวเท่าใดนัก ยังคงทรงแย้มพระสรวลดังเดิม และเมื่ออีกฝ่ายกราบทูลเสียงเข้มขึ้นนิดว่า
“ข้าไม่อยากตายกับเจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าอยู่ที่นี่ดีแล้ว” พระองค์ก็ทรงจุโอษฐ์แล้วรับสั่ง
“อย่าคิดจะทิ้งข้าได้ง่ายๆ เลย เจ้าซุ่มซ่าม”
ไรน์ไม่แน่ใจนักว่า ที่จริงแล้ว ใครทิ้งใคร หรือใครกันแน่ที่ไม่ทิ้ง แต่รู้ว่าหากรอฟังจนทั้งสองคนตกลงกันได้ งานที่ทำค้างอยู่วันนี้คงไม่เสร็จ เขาจึงช่วยตัดสินให้ว่า
“ไม่ว่าพวกท่านจะไปทั้งคู่หรือไปคนเดียวก็ร่วมขบวนไปกับข้าได้ ยังไงคืนนี้พวกท่านพักที่นี่ก่อน ข้าจะให้คนไปเชิญท่านหมอมาตรวจดูอาการ ถ้ารักษาวิธีอื่นไม่ได้จริงๆ พรุ่งนี้ค่อยเดินทางไปด้วยกัน”
“ขอบคุณ” ฟินเรย์เป็นคนพูด และเจ้าชายออเรียสก็ทรงแย้มพระสรวลเป็นมิตรให้ไรน์แทนความหมายเดียวกัน
“ไม่เป็นไร”
หลังจากเรียกคนรับใช้มาสั่งให้จัดเตรียมห้องพักสำหรับแขก และทุกคนออกจากห้องไปหมดแล้ว คุณชายหนุ่มก็เปิดประตูข้างห้องรับรองซึ่งเป็นประตูเชื่อมต่อสองห้องเข้าไปในห้องทำงาน และยิ้มอ่อนโยนเมื่อเห็นว่าบนโต๊ะทำงานมีสิ่งมีชีวิตที่แสนงดงามกำลังอ่านหนังสืออยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ
“อ่านอะไรอยู่หรือ” น้ำเสียงที่เอ่ยถามอ่อนโยนเหมือนสีหน้าและแววตา
คนถูกถามซึ่งเป็นหญิงสาวตัวสูงประมาณหนึ่งฝ่ามือครึ่ง ผิวขาวสะอ้านและใสราวแก้วเนื้อดี หน้าตางดงามจับใจล้อมกรอบด้วยผมสีน้ำตาลที่ยาวลงจรดกึ่งกลางหลังที่มีปีกบางใสคู่หนึ่งงอกออกมา และสวมอาภรณ์สีฟ้าจางเกือบขาวบางพลิ้วเงยหน้าขึ้นยิ้มอ่อนหวานให้แล้วตอบด้วยน้ำเสียงหวานใสว่า
“กฎหมายค่ะ”
ไรน์ยิ้มในความใฝ่รู้ของนาง เดินมานั่งที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานแล้วจึงเล่าเรื่องแขกสองคนที่มาพบให้ฟังแล้วตบท้ายว่า
“ข้าคิดว่าคนที่ชื่อออเรียสคงเป็นเจ้าชายรัชทายาทบาคัสตา แต่ในเมื่อพระองค์ทรงพระประสงค์จะไม่เปิดเผยก็ต้องตามพระทัย ต่อไปในอนาคตความสัมพันธ์ในวันนี้อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างโกญญากับบาคัสตางอกงาม”
“ถ้าเขาไม่ใช่ล่ะคะ” ภูตสาวถาม
“ถ้าไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร เพราะต่อให้เขาเป็นเพียงชายเข็ญใจข้าก็พร้อมจะช่วย พรุ่งนี้เราคงจะมีเพื่อนร่วมทางเพิ่มอีกสองคน” ไรน์บอกเล่าด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“ท่านชอบช่วยเหลือคนอื่น” หญิงสาวตัวน้อยยิ้มอ่อนโยนเมื่อบอก “ถ้าข้าไม่ขโมยต้นยารุสของท่านไป ท่านก็คงช่วยเขาได้”
“เจ้าไม่ได้ขโมย” ไรน์เน้นเสียงบอกแต่น้ำเสียงอ่อนโยนนัก “ข้าเป็นคนให้เจ้าเอง อย่าคิดอย่างนั้นอีก และข้าก็ไม่เคยรู้สึกเสียดาย ขอเพียงมันช่วยชีวิตคนได้ ไม่ว่าจะช่วยใครข้าก็ดีใจไม่ต่างกัน”
“แต่ท่านปู่...พวกเราไม่ใช่คน” ภูตสาวหลุบตาต่ำเมื่อบอก
“สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตมีค่า มนุษย์ไม่ได้ประเสริฐไปกว่าสัตว์อื่นที่มีจิตใจดีงาม...จิตใจของเจ้าดีงามและความกตัญญูของเจ้าน่ายกย่อง...รีวาร์” เสียงทุ้มๆ ของไรน์ละมุนละไมน่าฟังนัก และรีวาร์ก็เงยหน้าขึ้นยิ้มอย่างอ่อนหวานให้เขาแทนคำขอบคุณ
****************************
ยามเช้ากลางฤดูหนาวอากาศเย็นยะเยือก ทว่าไรน์ก็เลือกออกเดินทางตั้งแต่ดวงตะวันในสายหมอกเพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาให้เห็นเพียงนิดเดียว ชายหนุ่มลาบิดามารดาและสั่งเคลื่อนขบวนเดินหน้าฝ่าหมอกที่โรยตัวบางๆ ปกคลุมทั่วบริเวณ ขบวนของเขาประกอบด้วยรีวาร์ เจ้าชายออเรียส ฟินเรย์ แพทย์สังกัดกองทัพรักษาเมืองสองนาย และทหารฝีมือเยี่ยมห้าสิบห้านายพร้อมเกวียนบรรทุกเสบียงและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นอีกสามเกวียน
“นี่รีวาร์ นางจะเป็นผู้นำทางให้เรา” ไรน์แนะนำภูตสาวให้เจ้าชายหนุ่มและคนติดตามรู้จักขณะขี่ม้านำขบวนไปพร้อมๆ กับทั้งสองคน
รีวาร์ยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ชายหนุ่มทั้งสองคน รอยยิ้มบนดวงหน้าแสนงามของนางสวยจับใจและเจ้าชายออเรียสก็ทรงแย้มพระสรวลตอบพลางทรงแนะนำพระองค์เองว่า
“ข้าชื่อออเรียส เดินทางครั้งนี้ต้องพึงเจ้าแล้ว”
“ข้าฟินเรย์” ชายหนุ่มผิวขาวร่างโปร่งแนะนำตนเองบ้างพลางยกมุมปากขึ้นนิดหนึ่งเป็นรอยยิ้ม ก่อนถาม “ท่านเป็นภูตหรือ” เขาหมายถึงวิญญาณธรรมชาติ
“ค่ะ ท่านไม่ต้องเรียกข้าว่า ‘ท่าน’ ก็ได้ ข้าไม่ชินน่ะค่ะ” ตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานแล้วรีวาร์ซึ่งกำลังเดินทางไปพร้อมกับขบวนด้วยปีกบางใสคู่งามที่งอกออกมาจากกลางหลังก็ขยายความว่า “ข้าเป็นภูตดอกไม้ฤดูหนาว มนุษย์จะเห็นข้าแค่ช่วงนี้เท่านั้น ถ้าไม่ใช่ฤดูหนาวข้าจะจำศีลยาวนาน หรือไม่ก็ย้ายไปทวีปอื่นที่กำลังอยู่ในช่วงฤดูหนาวน่ะค่ะ”
รีวาร์อธิบายยาวขณะที่ปีกสองข้างขยับบินตามไรน์ไปด้วยท่าทีไม่เหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด นางบอกเล่าเพราะภูตนั้นมีหลายประเภท ทั้งประจำอยู่ภูเขา ต้นไม้ ลำธาร สายน้ำ และธรรมชาติประเภทอื่นๆ ภูตหลายประเภทจะมีรูปร่างหน้าตาสวยงามจนคนที่พบเห็นตกตะลึงราวต้องมนต์
“เจ้าตัวเล็กเท่านี้ตลอดเลยหรือ” เจ้าชายแห่งบาคัสตาตรัสถามอย่างทรงสงสัย ก่อนที่จะทรงห่อองค์เล็กน้อยเพราะแม้จะทรงสวมฉลองพระองค์คลุมหลายชั้นแล้วลมหนาวที่พัดมาวูบยังทำให้ทรงรู้สึกหนาวสะท้าน
“ตอนเกิดตัวเล็กกว่านี้ค่ะ ตอนแก่ก็อาจจะเล็กกว่านี้เพราะหลังค่อม” รีวาร์ตอบด้วยรอยยิ้มอย่างมีอารมณ์ขัน ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามผู้ขี่ม้านำขบวนพลอยยิ้มขันตามไปด้วย “ที่จริงข้าสามารถแปลงตัวให้ใหญ่เท่ามนุษย์ได้ แต่ข้าชอบอยู่ในร่างนี้แล้วไปไหนมาไหนด้วยปีกมากกว่าน่ะค่ะ”
ขบวนเดินทางของไรน์ผ่านเข้าไปในใจกลางเมือง แม้จะเป็นเวลาเช้าตรู่ ทว่าชาวเมืองส่วนใหญ่ก็ตื่นแล้วเพื่อรอส่งคุณชายหนุ่มเดินทาง ไม่ว่าจะผ่านบ้านไหน ไรน์ล้วนแต่ได้สิ่งของจากบ้านนั้น บ้างเป็นเสบียงอาหาร บ้างเป็นช่อดอกไม้ คนเฒ่าคนแก่ คนหนุ่มสาว หรือแม้กระทั่งเด็กล้วนแต่อวยพรขอให้ชายหนุ่มเดินทางโดยสวัสดิภาพ เจ้าชายออเรียสและฟินเรย์มองภาพไรน์รับสิ่งของและพูดคุยกับชาวเมืองด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนแล้วก็ไม่นึกแปลกใจที่ชายหนุ่มเป็นที่รักของพวกเขา
กว่าขบวนของไรน์จะเดินทางผ่านกลางเมืองมาได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร สายหมอกเริ่มจางหาย แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดแสงอ่อนๆพอให้รู้สึกอุ่นขึ้นมานิด ทว่าอากาศก็ยังคงหนาวเย็นจับใจอยู่ดี ยิ่งตอนนี้สองข้างทางเป็นทุ่งกว้างที่มีพืชผลของเกษตรกรปลูกอยู่ และมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นแซมหนาตา ก็ยิ่งทำให้อากาศเย็นขึ้น ลมหนาวพัดโชยต่อเนื่องจนต้นอ่อนของพืชผลเอนลู่ราบ
“ปกติพวกภูตน่าจะพยายามหลีกหนีไม่ให้มนุษย์มองเห็น เจ้ามาเป็นคนนำทางให้ไรน์ได้ยังไงหรือ” ฟินเรย์ถาม เพราะคิดว่าคำถามนี้คงไม่จัดว่าเป็นคำถามส่วนตัวจนเกินไป
รีวาร์หันไปมองหน้าไรน์ และชายหนุ่มก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ ยกการตัดสินใจให้เป็นของนาง
“ไม่สะดวกใจจะตอบก็ไม่เป็นไร ข้าถามไปอย่างนั้นเอง” ฟินเรย์จับความรู้สึกของผู้อื่นเก่งเสมอ และรีวาร์ก็เลือกที่จะตอบเพียงครึ่งเดียวว่า
“มนุษย์เลือกคบคน ภูตก็เลือกเหมือนกันค่ะ” นั่นหมายถึงนางเชื่อใจในตัวไรน์ว่าเขาจะไม่คิดร้ายต่อนาง
ฟินเรย์ยิ้มนิดๆ รับคำตอบ ก่อนจะกลับมาเป็นคนเงียบขรึม เดินทางเงียบๆ ดังเดิม มองวิวทิวทัศน์เบื้องหน้าและสองข้างทาง ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมสังเกตอาการของผู้เป็น ‘เจ้านาย’ อยู่เนืองๆ ว่าผิดปกติไปบ้างหรือไม่ ทว่าเจ้าชายออเรียสก็ทรงทราบดีว่าอีกฝ่ายเอาใจใส่พระองค์อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแม้จะทรงรู้สึกทั้งเหน็บหนาวและทรงเวียนพระเศียรเป็นระยะก็ทรงพยายามไม่แสดงออกให้อีกฝ่ายจับได้
ความคิดเห็น