ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ลำดับตอนที่ 5
บทที่ 3 หญิงสาวที่ถูกเลือก
กษัตริย์หนุ่มแห่งอาสลันทรงมีพระกิริยาอาการไม่แตกต่างกันเลย ไม่ว่าจะตอนก่อนหรือหลังจากทอดพระเนตรเห็นพระพักตร์ ‘องค์หญิงรองแห่งเนลซายด์’ แล้ว
สิ่งที่ทรงทำ คือ ‘แย้มพระสรวล’ นิดๆ อ่อนจางอย่างที่ ‘ฮาล’ พ่อค้าม้าต่างแคว้น ‘ยิ้ม’ ให้ ‘เซีย’ และ ‘ดานุส’ เห็นอยู่เสมอตลอดหลายวันที่ผ่านมา
ราชาแห่งอาสลันทรงหยุดหน้าพระพักตร์เจ้าหญิงองค์รองแห่งเนลซายด์ เหตุนี้ผู้ทรงศักดิ์น้อยกว่าจึงต้องทรงยอบพระวรกายถวายความเคารพตามมารยาทอันงดงาม แม้จะดูแข็งกระด้างอย่างเห็นได้ชัด กษัตริย์หนุ่มทรงค้อมพระเศียรลงนิดหนึ่งรับ ‘ความเคารพ’ ก่อนเสด็จผ่านไป
งานพระราชทานเลี้ยงดำเนินไปอย่างราบรื่นและรื่นเริงดังที่ควรจะเป็น การแสดงหลายชุดที่กรมวังจัดมาให้ทอดพระเนตรก็เป็นที่สบพระราชหฤทัย ‘แขกเมือง’ หรือหากพระองค์จะทรงรู้สึก ‘เฉยๆ’ ก็คงไม่มีใครรู้ เพราะพระองค์ทรงแย้มพระสรวลนิดๆ อยู่ตลอดเวลา
เจ้าหญิงทั้งสี่ประทับโต๊ะเดียวกับกษัตริย์ทั้งสอง บทสนทนาดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็นเพราะมารยาทหรือความรู้สึกที่แท้จริงก็ตาม ผู้ที่ทรงชวนพระราชอาคันตุกะ ‘คุย’ โน่นนี่มากที่สุดคือองค์หญิงใหญ่ที่วันนี้ฉลองพระองค์สีแดงเพลิงงดงามกว่าสตรีทุกนางในงาน องค์หญิงห้าทรงน่ารักแบบเด็กๆ และมีเรื่องรับสั่งมากมายเช่นกัน องค์หญิงสามรับสั่งแต่น้อยทว่าแย้มพระสรวลมาก ส่วนองค์หญิงรองซึ่งบังเอิญประทับตรงข้ามกับกษัตริย์หนุ่มพอดีกลับทรงปิดพระโอษฐ์เงียบ พระศอเชิดแข็งขึ้นมาอย่างไม่ทรงรู้สึกองค์ ทุกครั้งที่คนประทับตรงข้ามทรงแย้มพระโอษฐ์พระราชทานมา
ส่วนราชาฮาลัสก็รับสั่งกับเจ้าหญิงทุกพระองค์ตามปกติสมควร แต่ในเมื่อ ‘องค์หญิงรอง’ ทรงแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าไม่ทรงปรารถนาจะรับสั่งด้วย พระองค์ก็ไม่ได้ทรงเป็นฝ่าย ‘ชวนคุย’ ก่อนแต่อย่างใด
ช่วงเวลาสำคัญที่สุดในงานคือเวลาเต้นรำ หญิงสาวที่กษัตริย์หนุ่มแห่งอาสลันทรงเลือกเป็นคู่เต้นรำคนแรก คือคนที่พระองค์ต้องพระทัยหมายให้เป็นพระสนม ซึ่งเธอผู้นั้นอาจเป็นบุตรีขุนนางหรือเจ้าหญิงก็ได้ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ราชอาคันตุกะหนุ่มกลับถวายพระเกียรติให้ ‘เจ้าบ้าน’ ทรงเลือกคู่เต้นรำก่อน นั่นหมายความว่า องค์พระประมุขแห่งเนลซายด์มีสิทธิทรงเลือกว่าจะไม่ทรงยกพระราชธิดาพระองค์ใดให้กษัตริย์หนุ่ม
วันนี้ราชินีฝ่ายขวาทรงพระประชวร และทรงห้ามพระสนมองค์ใดเสด็จเคียงคู่องค์ราชาทั้งสิ้น ส่วนราชินีฝ่ายซ้ายนั้นสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ห้าปีก่อน ตามหลักเหตุผลและความเหมาะสม ราชาแห่งเนลซายด์ควรทรงเลือกพระราชธิดาพระองค์โต ซึ่งทรงเป็นเจ้าหญิงรัชทายาท ทว่า เจ้าหญิงโฉมงามกลับทรงผินพระพักตร์ไปทางอื่น แสดงออกอย่างเปิดเผยว่าไม่ทรงปรารถนาให้พระราชบิดาทรงเลือกพระองค์
“เซซีเลียเต้นรำสวยมาก คงไม่ทำให้ท่านพ่อผิดหวัง” เป็นรับสั่งแรกขององค์หญิงรองแห่งเนลซายด์ นับตั้งแต่ประทับร่วมโต๊ะเกียรติยศ
เพราะเหตุนี้ กษัตริย์เนลซายด์จึงทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทานให้องค์หญิงสาม เจ้าหญิงเซซีเลียทรงแย้มพระสรวลอ่อนหวาน ก่อนทรงยืนขึ้น ยอบวรองค์ลงนิด และวางพระหัตถ์ลงบนพระหัตถ์ใหญ่ของพระราชบิดา
องค์หญิงรองทรงแย้มพระโอษฐ์นิดๆ อย่างพึงพระทัย ขอเพียงพระน้องนางไม่ต้องถูกเลือก ‘ราชาแห่งอาสลัน’ จะทรงเลือกใคร พระองค์ก็ไม่ทรงสนพระทัย
ต่อไปเป็นนาทีแห่งความระทึกใจ ซึ่งกินเวลาไม่ยาวนานนัก
เพราะราชาฮาลัสไม่ได้ทอดพระเนตรมองไปทางใครเลย นอกจาก...ผู้ประทับอยู่ตรงข้าม
กษัตริย์หนุ่มเสด็จมาทรงยืนข้างๆ แย้มพระโอษฐ์นิดๆ และทรงยื่นพระกรมาให้ได้ครู่หนึ่งแล้ว เจ้าหญิงองค์รองแห่งเนลซายด์จึงเพิ่งทรงทราบว่าอะไรเป็นอะไร เสียงซุบซิบอื้ออึงคะนึงดังขึ้นทั่วทั้งห้องเพราะเป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในความคาดหมายของใคร
“ข้า...หม่อมฉันปวดขา ขอพระราชทานอภัยเพคะ”‘ผู้ถูกเลือกแล้ว’ รับสั่งออกมาได้ในที่สุด ทว่า
กษัตริยห์หนุ่มยังทรงรออยู่
“เจ้าพี่ฮาลัส นางปวดขาก็อย่างทรงทรมานนางเลยเพคะ” องค์หญิงใหญ่รับสั่งขึ้น
ราชาแห่งอาสลันทรงแย้มพระโอษฐ์พระราชทานให้ผู้รับสั่ง นิดหนึ่ง ก่อนทรงผินพระพักตร์กลับมาตรัสบอกผู้ที่ทรงยื่นพระกรพระราชทานให้นานแล้วว่า
“ทนหน่อยเถอะนะ นิดเดียวพอเป็นพิธีเท่านั้น”
พระสุรเสียงทุ้มนุ่มปลอบประโลม ดวงพระเนตรสีป่าลึกก็แลอ่อนโยนนักหนา
เสียงดนตรีบรรเลงอ่อนหวาน ภาพที่ทุกคนในงานพระราชทานเลี้ยงเห็น คือคนสองคู่กำลังเต้นรำอย่างพลิ้วไหวงดงามอยู่กลางห้องโถงใหญ่ที่จัดไว้สำหรับเป็นที่เต้นรำโดยเฉพาะ คู่หนึ่งงดงามน่ารัก ส่วนอีกคู่ซึ่งตกเป็นเป้าสายตามากกว่าก็งดงาม แต่ในความเป็นจริงแล้วห่างไกลจากคำว่า น่ารักอ่อนหวาน มากนัก
“ดานุสต้องทำหน้าที่หรือ ถึงมางานนี้ไม่ได้”
รับสั่งถามแรกของ ‘ราชาฮาลัส’ ช่างเหมือนคำถามของพ่อค้าม้าที่ชื่อ ‘ฮาล’ ยิ่งนัก
ทรงถาม ทั้งที่ทรงทราบ ‘อะไรๆ’ ดีทุกอย่าง ตั้งแต่วันแรกที่ทรงพบ ‘เซีย’ และ ‘ดานุส’ ก็ทรงทราบอยู่ก่อนแล้วว่าทั้งสองเป็นใคร
ดานุส เป็นบุตรชายโทนของผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งเนลซายด์ วันนี้ชายหนุ่มมีสิทธิมาร่วมงาน แต่ตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารรักษาวัง ทำให้เขาต้องทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยอย่างแข็งขันเข้มงวด
ส่วน เซีย นอกจากจะไม่ใช่หนุ่มน้อยแล้ว ยังไม่ได้เป็นเพียงทหารม้ารักษาพระองค์ธรรมดาอีกด้วย แต่รั้งตำแหน่งรองผู้บังคับการกรมทหารม้ารักษาพระองค์ และฐานะที่สูงยิ่งกว่านั้น คือเป็นเจ้าหญิงองค์ที่สองแห่งเนลซายด์
“เจ้าจะไม่พูดอะไรกับข้าหน่อยหรือเซีย”
“หม่อมฉันชื่ออารีเซีย ทรงเรียกให้ถูกด้วย” พระสุรเสียงห้วนกระด้างดุจเดียวกับพระพักตร์ ทว่า
“อารีเซีย” พระสุรเสียงขณะอีกฝ่ายทรงเรียกขานพระนามเต็มกลับอ่อนโยนจนเกือบจะเป็นอ่อนหวาน อย่างที่ ‘ฮาล’ พ่อค้าม้าต่างแคว้นไม่เคยเรียกให้ทหารม้าที่ชื่อ ‘เซีย’ ได้ยิน
พระพักตร์ของผู้ถูกเรียกบึ้งตึงสนิท ทั้งยังเบือนไปทางอื่นอีกด้วย
“เมื่อตอนเย็น” ราชาหนุ่มตรัส “ที่ข้าบอกเจ้าว่าไม่อยากให้ ‘พระราชาอาสลัน’ เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างเรา ข้าพูดจริงๆ”
เงียบ
“อารีเซีย ความเป็นเจ้าหญิงดึงเอารอยยิ้มของเจ้าไปหรือ ถ้าพรุ่งนี้ข้าพบกับทหารม้าที่ชื่อ เซีย ที่ร้านเดิมอีก ข้าจะได้เห็นรอยยิ้มของเขาอีกมั้ย”
“รับสั่งเรื่องอะไรหรือเพคะ เซียไหนหม่อมฉันไม่รู้จัก”
“เซีย”
“อย่าเรียกนะ” เจ้าหญิงองค์รองแห่งเนลซายด์ทรงกริ้วแหว แม้พระสุรเสียงจะไม่ดังมากนัก แต่พระพักตร์ดุดัน
“คนโกหกหลอกลวงอย่างท่านไม่คู่ควร”
“ขอโทษ” กษัตริย์หนุ่มทรงยอมรับผิดโดยดี “แต่นอกจากผิดที่ไม่บอกความจริงกับเจ้าว่าข้าเป็นใครแล้ว ข้าคงไม่มีความผิดอื่นอีกใช่ไหม”
“ใครจะกล้าระบุความผิดของพระราชาได้”
“ถ้าข้าผิดจริง แม้แต่คนที่ยากไร้ที่สุดในอาสลันก็กล่าวโทษข้าได้”
คราวนี้คนฟังส่งเสียง ‘หึ’ ขึ้นพระนาสิก ทว่าอีกฝ่ายนอกจากจะไม่ทรงทุกข์ร้อนแล้วยังทรงกระชับอ้อมพระพาหาเข้ามาอีกด้วย และแม้คนในอ้อมแขนจะทรงขืนองค์ไว้ พระองค์ก็ยังแย้มพระสรวลเมื่อรับสั่งว่า
“จำเลยพร้อมรับฟังข้อกล่าวหาแล้ว โจทก์จะไม่กรุณาบอกหน่อยหรือ”
องค์หญิงรองแห่งเนลซายด์ไม่ทรงมีอารมณ์ร่วมด้วย พระเนตรคมๆ ที่เงยขึ้นมองอีกฝ่ายคล้ายต้องการถาม...ท่านโง่หรือแกล้งโง่กันแน่
กษัตริย์หนุ่มทรงสบสายพระเนตรอีกฝ่าย รอคอยคำตอบ
“ไม่มีกษัตริย์ดีๆ ที่ไหนไร้เหตุผลเช่นฝ่าบาท” แค่ประโยคแรกก็รุนแรงแล้ว หากแต่ผู้ฟังคล้ายมีสีพระพักตร์แบบเดียวตลอดกาล คือคล้าย ‘ยิ้ม’ น้อยๆ อยู่ตลอดเวลา “ใครๆ ก็ทราบว่าทรงมีพระคู่หมั้นแล้ว ทำแบบนี้ไม่เกิดผลดีกับใครเลย แคว้นของฝ่าบาทสงบสุขเกินไปจนต้องหาเรื่องผิดพ้องหมองใจกับแคว้นใหญ่อย่างเซนทาเนีย แล้วลากเนลซายด์ไปเกี่ยวข้องเพื่อให้มีแนวร่วมด้วยหรือยังไง”
องค์ราชาฮาลัสทรงขยับแย้มพระสรวลมากขึ้น ไม่รู้ว่าเรื่องมันดังหรือฝ่ายข่าวของคนตรงหน้าดี แต่ดูเหมือนจะมีองค์หญิงรองแห่งเนลซายด์อีกหนึ่งล่ะ...นอกจากกษัตริย์เนลซายด์ ที่ทรงทราบว่าเซนทาเนียปรารถนาให้พระองค์เป็นตัวแทนของ ‘เจ้าชายรัชทายาทคาซิม’ อภิเษกกับเจ้าหญิงซินเรน่า และหากพระองค์ทรงปฏิเสธ ความยุ่งยากใหญ่หลวงอาจตามมา
“ข้าเพียงแต่ไม่ได้รักเจ้าหญิงของเซนทาเนีย”
“นั่นมันเรื่องของท่าน” พระอารมณ์หงุดหงิดทำให้ทรงเปลี่ยนสรรพนาม เรียกตามความเคยชิน “เกี่ยวอะไรกับเนลซายด์”
พระราชาหนุ่มทรงส่ายพระเศียร แย้มพระสรวลละมุนเมื่อรับสั่ง
“ไม่เกี่ยวกับเนลซายด์ ข้าแค่หลงรักเจ้า”
คนถูกบอกรักมีอาการคล้ายสะอึก ก่อนทรงขมวดพระขนงฉับ ทว่ายังไม่ทันรับสั่งอะไร เพลงแรกก็จบลง
“จะเต้นต่ออีกสักเพลงไหม หรือจะไปหาที่คุยกัน” พระดำรัสถามให้เลือกแสดงความ ‘พระทัยกว้าง’
เจ้าหญิงอารีเซียทรงดึงพระหัตถ์ออกจากพระอังสาและพระหัตถ์ใหญ่ของอีกฝ่าย ผละจากไปแทนคำตอบ ปล่อยให้คู่เต้นรำเสด็จไปขอพระราชทานพระราชานุญาตจากพระประมุขแห่งเนลซายด์ และเสด็จตามพระองค์มาเพื่อ ‘คุยกันให้เข้าใจ’ เจ้าหญิงรัชทายาทไดแอนด์มีทีท่าว่าจะเสด็จตามไปอีกพระองค์ ทว่าติดขัดที่พระราชบิดาตรัสชวนเสียก่อนว่า
“เต้นรำกับพ่อสักเพลงสิหญิงใหญ่”
ระเบียงกว้างหน้าพระตำหนักมีชุดเก้าอี้เหล็กทาสีขาว ดัดเป็นลวดลายเครือเถาโปร่งจัดวางอยู่หลายชุด และมีผู้นั่งอยู่บ้างแล้วพอสมควร ทว่าเมื่อหนึ่งราชาต่างแคว้นและหนึ่งองค์หญิงเสด็จมา คนทั้งหลายก็ค่อยๆ เลี่ยงกลับเข้าไปในงานบ้าง เดินไปมุมอื่นบ้าง สายลมยามค่ำคืนพัดโชยแผ่วเบา กระนั้นก็ยังพาเอากลิ่นดอกไม้หอมจางลอยมาสัมผัสจมูก
“กลิ่นดอกอะไรหรือ” คนตามมาทีหลังตรัสถามคนที่ทรงยืนชิดราวระเบียงหินอ่อน หันพระพักตร์ไปทางราชอุทยาน
“นาซิส เพคะ” เพราะมารยาทเท่านั้นที่ทำให้คนถูกถามทูลตอบ ก่อนเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว
“เราต้องคุยกัน หม่อมฉันอยากให้ทรงตรงไปตรงมา ฝ่าบาททรงมีจุดประสงค์อะไรกันแน่” ทว่าคนจะต้องตอบกลับพระทัยเย็น ตรัสชวน
“นั่งไหม” แล้วก็ทรงเลื่อนเก้าอี้พระราชทานให้
เจ้าหญิงทหารแห่งเนลซายด์ทรงเม้มโอษฐ์เล็กน้อยอย่างขัดพระทัย ก่อนทรงยอบวรองค์ลงนิดเป็นเชิงขอบพระทัยและประทับลง กษัตริย์หนุ่มประทับตรงข้ามแล้วจึง ‘ตอบ’ คำถามด้วย ‘คำถาม’
“เจ้าก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
“ท่านอยากทำสงครามหรือยังไง” พระสุรเสียงของเจ้าหญิงจริงจัง ทั้งยังทรงพยายามทำสีพระพักตร์ให้ดูเหมือนกำลังทูลถามด้วย ‘เหตุผล’ ไม่ใช่ ‘อารมณ์โกรธ’ ทว่าผู้เป็นพระราชากลับแย้มพระโอษฐ์อย่างพึงพระทัยและรับสั่งนุ่มนวล
“ใช้ ‘ท่าน’ กับ ‘ข้า’ แบบนี้ตลอดไปได้ไหม ข้าชอบมากกว่า ‘ฝ่าบาท’ กับ ‘หม่อมฉัน’ เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือ ถือซะว่า ‘พระราชา’ กับ ‘เจ้าหญิง’ ไม่เกี่ยวอะไรกับเราสองคนก็แล้วกัน”
แทนคำตอบ ‘เจ้าหญิง’ ทรงเปลี่ยนสรรพนามทันที
“หม่อมฉันไม่บังอาจเป็นเพื่อนกับฝ่าบาท แต่หากจะทรงพระกรุณา ก็อย่านอกเรื่องเลยเพคะ”
กษัตริย์หนุ่มทรงคิดอยู่ในพระทัยอย่างรื่นรมย์ ดื้อ...เหมือนเดิม
“เจ้าไม่คิดหรือ ว่าถ้าเราเป็นเพื่อนกันจะพูดกันง่ายขึ้น”
อีกฝ่ายทรงชะงักไปนิด ครุ่นคิด แล้วก็ทรงยอมเพื่อผลประโยชน์
“ถ้าทรงคิดว่าหม่อมฉันเป็นเพื่อน ยกเลิกเรื่องบ้าๆ นี่ได้ไหม หม่อมฉันเคยทูลแล้วว่าเนลซายด์ต้อนรับคนที่มาอย่างมิตรเสมอ ฝ่าบาทจะประทับอยู่ที่นี่กี่วันก็ได้ แต่อย่าทรงทำเรื่อง...ไร้เหตุผลแบบนี้” ดีที่ทรงเก็บคำว่า ‘งี่เง่า’ ไว้ได้ทัน กระนั้น ดวงพระเนตรสีป่าลึกของอีกฝ่ายก็เปล่งประกายคล้ายรู้ทัน
“ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล แต่เพราะ...ข้ารักเจ้า”
เจ้าหญิงอารีเซียทรงนิ่ง ระงับพระอารมณ์ ก่อนทูลถาม
“ทรงรักคนที่เพิ่งพบหน้าได้ด้วยหรือเพคะ”
“ข้าไม่ได้เพิ่งพบเจ้า” คราวนี้สีแห่งป่าในดวงพระเนตรยิ่งทอประกายนุ่มนวล...หากคนมองจะทรงสังเกต
“จะทรงบอกว่าทรงรักทหารรักษาวังที่ชื่อ เซีย หรือเพคะ”
“ไม่ว่าทหารรักษาวัง เจ้าหญิง หรือ...” ไม่ได้รับสั่งต่อ แต่ทรงตัดไปแล้วต่อให้จบว่า “ก็ล้วนแต่คือ ‘เจ้า’ ไม่ใช่หรือ”
“หม่อมฉันไปทำอะไรให้ทรงขุ่นเคืองพระทัยตั้งแต่เมื่อไหร่” ทำไมต้องแกล้งกันรุนแรงอย่างนี้
“ขอโทษ” รับสั่งคำเดียวทำให้คนฟังงุนงง “ที่ข้าให้เจ้าได้เพียงตำแหน่งสนม แต่เจ้าจะไม่ต้องเป็นรองใคร เจ้าจะเป็นผู้หญิงคนเดียวในชีวิตของข้า...ข้าสัญญา”
ถ้า ‘เจ้าหญิง’ สามารถทรงอ้าโอษฐ์ค้างและทำพระเนตรโตๆ ได้ องค์หญิงอารีเซียก็อาจทรงทำ หากแต่ปกติแล้วเวลาที่ทรงงุนงงปนกริ้ว จะทรงขมวดพระขนงแนบแน่น และรับสั่งพระสุรเสียงห้วน
“หม่อมฉันไม่อยากได้อะไรจากฝ่าบาททั้งนั้น ไม่ว่าตำแหน่ง ความรัก หรือแม้แต่ความเป็นเพื่อน” รับสั่งออกไปแล้วจึงทรงคิดได้ว่าอาจจะรุนแรงและไร้มารยาทเกินไป ทว่าอีกฝ่ายยังคงมีสีพระพักตร์เป็นปกติ จะมีก็เพียงนัยน์ตาสีป่าลึกคู่นั้นเท่านั้นที่ดูจะยิ่งลึกเข้าไปอีกจนไม่สามารถจับความรู้สึกได้
“สายไปแล้วล่ะ ข้าตัดสินใจแล้ว ขอโทษเจ้าด้วย”
“ตัดสินพระทัยแล้วก็ทรงเปลี่ยนใหม่ได้ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับฝ่าบาทพระองค์เดียว ทรงเห็นประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้บ้าง เสี่ยงทำให้เซนทาเนียไม่พอใจ แคว้นของฝ่าบาทอาจไม่ปลอดภัย ส่วนแคว้นของหม่อมฉัน ถึงจะใหญ่พอกับเซนทาเนียแต่เราก็ไม่ปรารถนาสงครามถ้าไม่จำเป็น อีกอย่าง...คงมีเจ้าหญิงหรือสตรีชั้นสูงคนอื่นที่ดีพร้อมรอให้ทรงเลือกมากมาย จะทรงเลือกคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันแล้วก็แข็งกระด้างอย่างหม่อมฉันทำไม หม่อมฉันไม่ได้รักฝ่าบาท ฝ่าบาทจะไม่ทรงมีความสุขหรอก”
“สักวัน...เจ้าอาจจะรักข้า”
“ไม่มีวันนั้น” รับสั่งสวนทันควัน
เสียงดนตรีอ่อนหวานจากภายในดังออกมาภายนอก แต่กลับไม่สามารถผ่อนความตึงเครียดระหว่างสองคนที่มองตากันโดยมีเพียงโต๊ะคั่นให้คลายลงได้ ที่สุด ผู้เป็นองค์หญิงจึงรับสั่งขึ้นมาก่อนด้วยพระสุรเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย
“บุญคุณที่ทรงช่วยชีวิตท่านพ่อไว้ หม่อมฉันยินดีตอบแทนด้วยทุกอย่างตามแต่จะทรงเรียกร้อง แต่ทรงหลีกเลี่ยงวิธีที่ทำให้เนลซายด์ต้องผิดใจกับเซนทาเนีย และทำให้เราอับอายเถอะเพคะ ไม่ใช่ว่าแคว้นที่มีขนาดเล็กกว่าอย่างอาสลันจะมีศักดิ์ศรีน้อยกว่าแคว้นใหญ่ แต่ต่อให้ทรงเป็นกษัตริย์ของแคว้นที่ใหญ่กว่าเนลซายด์กับเซนทาเนียรวมกันสามเท่า แต่มาขอเจ้าหญิงของแคว้นที่ไม่ใช่แคว้นเมืองขึ้นไปเป็นแค่สนม มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าถูกหมิ่นเกียรติได้เหมือนกัน”
ราชาหนุ่มทรงปล่อยให้ความเงียบช่วยเตรียมใจของอีกฝ่ายให้พร้อมและเย็นลงครู่หนึ่ง ก่อนตรัส
“ปล่อยให้เรื่องตำแหน่งเป็นเรื่องการเมือง ความรักเป็นเรื่องระหว่างเรา และเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์อะไรหลายๆ อย่างไม่ดีหรือ”
“ระหว่างเราไม่มีความรักเพคะ และสิ่งที่ฝ่าบาททรงทราบดี...กษัตริย์กับการเมืองแยกกันไม่ได้”
“ข้าคงเป็นกษัตริย์ที่ไม่ดีนัก แต่ยังหวังว่าจะเป็นคนรักที่ดี”
“เห็นแก่ตัวต่างหาก” ถ้อยคำประณามรุนแรงไม่ปรานี “ไม่ว่าในฐานะกษัตริย์หรือคนรัก” รักบ้าบออะไรก็ไม่รู้ล่ะ “ท่านก็เห็นแก่ตัวเองทั้งนั้น”
เนิ่นนาน กว่าที่คนถูกวิพากษ์จะทรงยอมรับ
“คงจะเป็นอย่างนั้น” แต่สีพระพักตร์ยังดูอ่อนโยนไม่เปลี่ยน
“ฮาล” เจ้าหญิงอารีเซียทรงเปลี่ยนใช้ไม้อ่อน คนประทับตรงข้ามทรงขยับแย้มพระสรวลกว้างขึ้น สีพระพักตร์และแววพระเนตรกระจ่างใสเมื่อรับสั่ง
“ข้าอยากให้เจ้าเรียกอย่างนี้ทุกวัน”
“ถ้าท่าน...รัก...ข้าจริง ก็ปล่อยข้าไปเถอะ ถ้าข้าไม่เคยทำอะไรให้ท่านไม่พอใจก็อย่าบังคับให้ข้าต้องไปกับท่าน ความรักต้องไม่เห็นแก่ตัวไม่ใช่หรือ”
“ขอโทษอีกครั้ง เซีย ความรักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน รักของข้าคงมาพร้อมกับความเห็นแก่ตัวอย่างที่เจ้าว่า”
“พอทีเถอะ” คนอารมณ์ร้อนไม่ทรงปิดบังความหงุดหงิด “นี่เป็นกลวิธีทางการเมืองแบบใหม่รึไงที่เอาความรักมาอ้าง”
ราชาหนุ่มยังคงพระทัยเย็น ตรัสถามพระสุรเสียงเรียบเรื่อยว่า
“เจ้าคิดว่าข้ามีจุดประสงค์อะไรหรือที่ทำอย่างนี้”
“ครอบครองเนลซายด์”
พระสุรเสียงคนตอบหนักแน่น มั่นพระทัย สองฝ่ายมองสบสายพระเนตรกันและกันแน่วนิ่ง สายลมยามค่ำคืนหยุดโชยพัดไปนานแล้ว หากรอยแย้มพระสรวลอ่อนบางยังไม่จางไปจากริมโอษฐ์งามที่มีรอยพระมัสสุจางๆ อยู่ด้านบน
“ขอคำอธิบาย”
“ท่านไม่แต่งงานกับเจ้าหญิงของเซนทาเนียเพราะกลัวว่าอีกหน่อยอาสลันจะถูกเซนทาเนียผนวก” สายพระเนตรที่คอยจับสังเกตของคนพูดเห็นเพียงสีพระพักตร์เป็นปกติของอีกฝ่ายเท่านั้น “และที่ต้องการเจ้าหญิงของเนลซายด์ไปเป็นสนมเพราะวันหนึ่งข้างหน้า ลูกชายของท่านจะมีสิทธิ์เหนือบัลลังก์กษัตริย์ของเนลซายด์ด้วย”
ขณะที่คนหนึ่งจริงจังอย่างยิ่ง แววพระเนตรคมๆ เปล่งประกายแสดงความรู้ทันและชั้นเชิงที่เหนือกว่า อีกคนกลับเพียงผงกพระเศียรนิดๆ รับสั่งเป็นเชิงเห็นด้วยว่า
“ก็อาจเป็นไปได้ อย่างนั้นข้าก็คงโง่ที่เลือกเจ้า...ไม่ใช่เจ้าหญิงรัชทายาท”
“ฉลาดต่างหาก” อีกฝ่ายทรงโต้กลับทันที ราชาหนุ่มเพียงทรงรอฟัง
“ถ้าท่านเลือกไดแอนด์จะดูเปิดเผยเกินไป การเลือกข้าทำให้ท่านไม่ถูกเพ่งเล็งมากนัก ถ้าวันหนึ่งไดแอนด์ 'ป่วย' หรือ ‘ประสบอุบัติเหตุ’ ตายไป ข้าที่เป็นองค์หญิงรองจะเลื่อนขึ้นมาเป็นรัชทายาท คราวนี้ลูก...”
“ของข้ากับเจ้า” อีกฝ่ายทรงต่อให้ด้วยพระสุรเสียงคล้ายรื่นรมย์ ผู้เป็นเจ้าหญิงทรงนิ่วพระพักตร์ ไม่ทวนคำ แต่รับสั่งต่อจนจบว่า
“ก็จะมีสิทธิครองบัลลังก์ หรือรวบเนลซายด์เข้าไปเป็นของอาสลันได้ไม่ยากนัก ที่ขอไปเป็นแค่สนมยังเป็นการถ่วงเวลาไม่ให้ถูกเซนทาเนียยกทัพมาโจมตีด้วย”
พระราชาแห่งอาสลันทรงเผยแย้มพระสรวลกว้าง ดวงพระเนตรคล้ายมีรอยเอื้อเอ็นดู เช่นเดียวกับพระสุรเสียงเมื่อรับสั่ง ‘ชม’ ว่า
“เจ้าเป็นคนมีจินตนาการ”
“ท่าน!”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คิดว่าข้าจะถ่วงเวลาไว้ได้นานแค่ไหนกันเชียว หรือพอมีลูกกับเจ้าแล้วข้าต้องปิดบังไม่ให้เซนทาเนียรู้ จนกว่าเขาจะมีอายุครบยี่สิบและมีสิทธิในบัลลังก์เนลซายด์”
รับสั่ง ‘แทงใจดำ’ ของกษัตริย์หนุ่มทำเอา ‘เจ้าหญิงเนลซายด์’ ตรัสไม่ออก
“อีกอย่าง เจ้าหญิงของเนลซายด์ก็ไม่ได้มีแค่สอง แต่มีถึงสี่” ทอดพระเนตรมองสีพระพักตร์และดวงพระเนตรราวกับจะหยันของคนตรงหน้าแล้ว พระองค์ก็ตรัสถามด้วยพระสุรเสียงนุ่มนวล “ในความคิดของเจ้า ‘ฮาล’ ที่เจ้ารับเป็นเพื่อน เลือดเย็นโหดร้ายขนาดจะทำให้เจ้าหญิงทุกองค์ของเนลซายด์ ‘ป่วย’ หรือ ‘ประสบอุบัติเหตุ’ กันหมดได้เลยหรือ”
“คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ตัดสินโดยใช้เวลาไม่กี่วันไม่ได้”
อา...นั่นสินะ สำหรับนาง...ระยะเวลาที่ได้พบและรู้จักกันมันก็แค่ ‘ไม่กี่วัน’ เท่านั้นเอง อีกครั้งแล้ว ที่ป่าในดวงพระเนตรของกษัตริย์หนุ่มดูลึก...ยิ่งลึก
“ถ้าท่านไม่ได้วางแผนไว้ ท่านก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการทำอย่างนี้เลย”
“ตำแหน่งสนมอาจเป็นเรื่องการเมือง แต่ข้าบอกแล้วว่าที่เลือกเจ้า...เป็นเรื่องหัวใจ สำหรับข้า แค่มีเจ้า ข้าก็มีทุกอย่าง”
ท่านพูดจาไม่รู้เรื่อง องค์หญิงรองแห่งเนลซายด์ปรารถนาจะรับสั่งเช่นนั้นดังๆ ทว่าที่รับสั่งออกมาจริงๆ กลับเป็นว่า
“ถ้านี่เป็นเรื่อง ‘หัวใจ’ ใจท่านคงต้องทุกข์ทนไปตลอดชีวิต เพราะข้าไม่ได้รักท่าน” บอกเป็นรอบที่สองแล้ว เข้าใจเสียทีเถอะ
“ข้ารู้” พระสุรเสียงของกษัตริย์หนุ่มยังเรียบ พระพักตร์บ่งบอกชัดเสียด้วยซ้ำว่า เจ้าบอกข้าแล้ว ไม่ต้องบอกซ้ำก็ได้
“ข้ามีคนรักแล้ว” เจ้าหญิงทหารทรงเปิดไพ่ใบสุดท้าย ทว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าตกพระทัยหรือแปลกพระทัยแต่อย่างใด และทั้งๆ ที่ทรงทราบอยู่แล้ว ราชาหนุ่มยังตรัสถามด้วยพระสุรเสียงคล้ายใคร่รู้
“ใครหรือ”
ราวกับคนที่กำลังจะถูกเอ่ยชื่อทราบจังหวะการปรากฏกายของตน ผู้บังคับการกรมทหารรักษาวังแห่งเนลซายด์บังเอิญเดินนำทหารหมู่หนึ่งมาตรวจตราแถวๆ นี้พอดี เจ้าหญิงอารีเซียทรงปรายสายพระเนตรไปเห็นจึงตรัสเรียก
“ดานุส”
นายทหารร่างสูงเจ้าของชื่อชะงักแม้เป็นเพียงเสียงเรียกที่ไม่ดังนัก ชายหนุ่มสั่งให้ทหารเดินตรวจตราต่อ ส่วนตัวเองเดินตรงมาทางผู้รับสั่งเรียก หยุดยืนอยู่ในระยะห่างที่เหมาะสมและถวายความเคารพตามพิธีการ
“องค์ราชาฮาลัส พระราชาแห่งอาสลัน” เจ้าหญิงอารีเซียทรงแนะนำผู้ประทับตรงข้ามให้นายทหารหนุ่มรู้จัก ดานุสเก็บซ่อนความแปลกใจตั้งแต่แรกเห็น ‘พ่อค้าม้าต่างแคว้น’ ในฉลองพระองค์สำหรับกษัตริย์ไว้ ค้อมกายถวายคำนับอีกฝ่ายอย่างต่ำตามที่ควรกระทำ
“เขาเป็นคนรักของหม่อมฉันเพคะ” สรรพนามเรียกขานเปลี่ยนไปอีกคราแล้ว
กษัตริย์ต่างแคว้นแย้มพระโอษฐ์ทักทายนายทหารหนุ่มอย่างมิตร ดุจเดียวกับที่ ‘ฮาล’ พ่อค้าม้าต่างแคว้นเคยยิ้มให้ พระสุรเสียงยังทุ้มนุ่ม และเรียบเรื่อยไม่เปลี่ยนเช่นกัน เมื่อตรัส ‘สัญญา’ ว่า
“ข้าจะดูแลและปกป้องเซียให้ดีที่สุด เจ้าไม่ต้องห่วง”
คราวนี้ดานุสไม่ปกปิดความงุนงงที่สื่อผ่านสีหน้าและดวงตาไว้อีกต่อไป ส่วนราชาแห่งอาสลันก็ทอดพระเนตรมองเพียงหน้าของนายทหารหนุ่ม กระนั้นก็มิใช่ว่าจะไม่ทรงทราบ ว่าคนประทับตรงข้ามพระพักตร์บึ้งตึง พระเนตรลุกวาวราวจะฆ่าพระองค์ด้วยสายตา
“ทรงหมายความว่าอย่างไรพระเจ้าค่ะ” ชายหนุ่มทูลถามเป็นประโยคแรก
“พรุ่งนี้นางจะเดินทางไปอยู่กับข้าที่อาสลัน”
“ในฐานะอะไรพระเจ้าค่ะ” คิดว่ารู้ ทว่าก็ยังข่มกลั้นความโกรธทูลถาม
“คนรัก” รับสั่งไม่ลังเลหรือขัดเขิน หากแต่ผู้ถูกเรียกขานว่าเป็น ‘คนรัก’ กลับทรงนึกหยันระคนขุ่นเคือง หึ...คนรัก ช่างหาคำมาพูดได้สวยหรูนัก ต่างจากความจริงสุดกู่ ทำไมไม่บอกตรงๆ ล่ะ ว่าก็แค่เมียน้อย
“องค์หญิงอารีเซียทรงเป็นคนรักของกระหม่อมพระเจ้าค่ะ” นอกจากสีหน้าจะกระด้าง น้ำเสียงยังห้าวห้วนอย่างข่มอารมณ์
“นางเป็นเจ้าหญิง” กษัตริย์หนุ่มรับสั่งเรียบๆ
“กระหม่อมก็ไม่ใช่คนไร้สกุล”
“เจ้าหญิงคงต้องเห็นแก่แว่นแคว้นและเลือกความกตัญญู” อีกฝ่ายรับสั่งต่อจนจบ
“แต่พระราชาสามารถไร้เหตุผลและเป็นทรราชได้” พระขนงคมเข้มของผู้เป็นเจ้าหญิงเลิกขึ้นนิดๆ แสดงคำถามปนหยันและท้าทาย
คำตอบ...คือรอยยิ้ม
“คนรักของฝ่าบาท ใช้วิธี ‘เลือก’ เถอะเพคะ อย่า ‘แย่ง’ เลย” เจ้าหญิงรองแห่งเนลซายด์ยังทรงพยายาม ทว่า
“ข้า ‘เลือก’ แล้ว...เซีย”
“ทรงมีความสุขนักหรือที่ทำให้คนรักต้องแยกจากกัน เรากำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มผู้ถูกรวมเป็น ‘เรา’ แปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำ ‘กำลังจะแต่งงาน’ หากแต่ก็ไม่ได้ทูลขัด เพราะแม้ไม่เคยคุยกันไว้ก่อน แต่สักวันก็ต้องเป็นอย่างนั้น
“ดานุสเหมาะกับเซซีเลียมากกว่า เขากับเจ้าเหมาะจะเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น”
“ท่านคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้เที่ยวกำหนดกะเกณฑ์ จับคู่ให้คนนั้นคนนี้” ความกริ้วจัดพลอยทำให้พระสุรเสียงดังตามไปด้วย พระเนตรคมวาวสีน้ำตาลเข้มดุดันราวพร้อมเผาผลาญคนตรงหน้าให้มอดไหม้เป็นจุณได้เดี๋ยวนี้ ทว่าดวงพระเนตรคู่ที่สบกลับมาโดยไม่หลบเลี่ยงกลับแลดูอ่อนโยนปรานีเป็นนักหนา
คงเพราะคืนนี้จันทร์เสี้ยวดูซีดเซียว และเมฆทะมึนกำลังเคลื่อนตัวมาบดบังรัศมีจันทร์กระมัง จึงทำให้ดวงพระเนตรสีแปลกของกษัตริย์หนุ่มแห่งอาสลันแลดูทั้งอ่อนโยนและคลุมเครือ รอยแย้มพระสรวลบนริมโอษฐ์อ่อนบางจางจนเกือบเลือนหายไปพร้อมแสงจันทร์ พระสุรเสียงทุ้ม นุ่มนวลเกือบกึ่งเศร้าอย่างประหลาดเมื่อรับสั่งตอบ
“ไม่ว่าในฐานะกษัตริย์หรือปุถุชนธรรมดาที่มีเลือดเนื้อและหัวใจ...ข้าก็คงเป็นได้แค่คนเห็นแก่ตัว”
*****************
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น