คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนพิเศษ 5 (ภาคอรอุมารังษี) : ภวิศ+ชโลธรา
บางคนอยากอ่านแต่คงเขินที่จะขอ
ตอนแรกคิดว่าจะลงตอนนี้ให้ตอนที่หนังสือออกแล้ว
แต่ตอนนี้คิดว่าลงให้เลยดีกว่าค่ะ
หวังว่าคงจะชอบตอนนี้ไม่แพ้ตอนอื่นนะคะ
อ้อ...ตอนพิเศษทั้งหมดไม่ลบหรอกค่ะ...อยู่ถาวร ไม่ต้องรีบอ่านก็ได้ค่ะ ไว้อ่านเมื่อว่าง
ป.ล. ip - ขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะคะ^_^
***********************************************************
รักต้องห้าม (ภาคอรอุมารังษี)
ตอนพิเศษ 2 : ภวิศ + ชโลธรา
โรซาน่า.
คืนนี้เป็นคืนปลายฤดูฝน อากาศภายในบ้านเสนาบดีเกษตรค่อนข้างร้อนอบอ้าว ทว่าภายนอก สายลมเย็นกลับพัดกรูเกรียว อากาศเย็นสบายพอสมควร ต้นไม้บริเวณสวนหน้าบ้านเอนลู่ กระดิกใบเสียดสีกันตามแรงลม และเพราะเป็นคืนเดือนมืด ท้องฟ้าจึงเต็มไปด้วยแสงดาวที่กะพริบพร่างพราว หากแต่ไม่ให้แสงสว่างมากมายนัก แสงสว่างตามจุดต่างๆ ภายในสวนค่อนข้างกว้างจึงมาจากแสงโคมบนเสาสูงที่ถูกจุดไว้
ศาลากลางสวนสว่างเพราะตะเกียงน้ำมันที่ถูกจุดไว้ตามเสาทั้งสี่ ชุดเก้าอี้ที่อยู่ตรงกลางปราศจากคนนั่ง ทว่าตรงเสาต้นหนึ่งมีชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังยืนพิงอยู่
ภวิศกลับมาอยู่บ้านได้หลายเดือนแล้ว
เวลาห้าปีที่ได้รับโทษ ต้องไปเป็นกรรมกร เป็นคนงานประเภทเดียวกับที่เขาเคยดูถูกเหยียดหยามว่าเป็น 'คนชั้นต่ำ' ทำงานในกรมโยธาธิการ เปลี่ยนสถานที่ทำงานไปเรื่อยๆ ทำงานหนักและเหนื่อยอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ไม่เคยแม้แต่จะคิด ใช้ชีวิตอยู่กับ 'คนชั้นต่ำ' อีกนับร้อย ทำให้ชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปมาก
ผิวขาวๆ คล้ำลงอย่างมากมาย ร่างกายบึกบึนแข็งแรง สมชายชาตรีมากขึ้น ไม่เกี่ยงที่จะต้องทำงานหนัก เพราะมันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่มีคุณค่า และยังนึกสงสัยอยู่บ่อยๆ ว่าเขาผ่านช่วงเวลาที่ตัวเองเสเพล เที่ยวเล่น กินๆ นอนๆ อยู่กับบ้านโดยไม่รู้สึกอะไรเลยมาได้อย่างไร
ภวิศคิดว่าตัวเองใจเย็นขึ้น และปากเสียน้อยลง หลังจากต้องเจ็บตัวนับครั้งไม่ถ้วนเพราะไปดูถูกเหยียดหยามคนอื่น เวลาใช้ชีวิตร่วมกับคนงานเหล่านั้น ไม่มีใครสนใจว่าเขาเป็นใคร บารมีของพ่อเขาใช้ไม่ได้ แผ่ไปไม่ถึง ที่นั่นทุกคนเท่าเทียมกัน
โชคดีที่สุดของเขาคงเป็นเรื่องที่เขาได้พบกับเจ้าชายภูษณ เจ้าชายที่ทรงบ้าบิ่นและพระทัยเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก ทั้งที่วรองค์ไม่ได้สูงใหญ่น่าเกรงขาม แต่กลับทรงคุมผู้ใต้บังคับบัญชาและคนงานทั้งหมดไว้ได้ เป็นเจ้าชายที่ทำให้ทุกคนรู้สึกเคารพ กลัวเกรง และอบอุ่นเป็นกันเองได้ในขณะเดียวกัน
ทรงสอนให้เขาเข้าใจการต่อสู้แบบลูกผู้ชาย ไม่ใช่แบบอันธพาลหรือ 'หมาข้างถนน' เพราะพระองค์ เขาจึงได้รู้จักน้ำใจอันระอุอุ่นของคนที่เขาเหยียดหยามว่าต่ำชั้น ภวิศรู้สึกว่า ห้าปีที่ผ่าน เขาไม่ได้ถูกลงโทษ แต่ได้เรียนรู้ที่จะเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นกว่าเดิม
ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน คนแรกที่เขาได้พบคือเด็กหญิงตัวน้อยน่ารัก ถักเปียสองข้าง สวมชุดกระโปรงบานฟูฟ่อง ออกจะตัวเล็กและผอมไปบ้างเมื่อคิดว่าเป็นเด็กอายุประมาณห้าขวบ คงผอมเหมือนแม่ ว่ากันว่าถ้าเด็กผู้หญิงถ้าเหมือนแม่จะอาภัพ แต่เด็กหญิงตรงหน้า มองครั้งแรกก็รู้แล้วว่า หน้าตาถอดแบบมาจากเขา
ภวิศตกหลุมรักเด็กหญิงตัวน้อยทันทีที่คิดได้ว่าเธอน่าจะเป็นใคร น้ำตาเกือบจะไหลลงมาแล้ว หากไม่เพราะ
"หนูเล็ก! มาหาแม่ลูก"
เสียงคุ้นหู แม้จะไม่ได้ยินมานานถึงห้าปีเต็มดังขึ้นที่ประตู เมื่อชายหนุ่มมองตามเด็กหญิงที่วิ่งไปตามเสียงเรียก เขาก็ได้เห็น
เจ้าหญิงชโลธรายังทรงเป็นเช่นเดิม วรองค์บางระหงค่อนข้างผอม ไม่ต่างจากเมื่อห้าปีก่อน แม้แต่พระพักตร์เชิดๆ ที่ค่อนข้างบึ้งตึง ท่าทางการประทับยืนตรงสง่าราวนางพญานั่นก็เช่นกัน
ตอนนั้น ไม่มีรับสั่งกับเขาเลยสักคำเดียว จูงมือลูกแล้วก็สะบัดพระพักตร์เข้าไปในบ้าน
ระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ภวิศสามารถปรับความเข้าใจกับทุกคนได้หมดแล้ว ปรับความเข้าใจกับพ่อแลพี่ที่พร้อมจะให้อภัยเขาเสมอ ไม่กล้าไปงานแต่งงานของวิษณุ เพราะจัดยิ่งใหญ่ไม่แพ้พระราชพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าหลวง แต่เขาก็ไปกราบขอโทษพี่ชายต่างแม่แล้วเมื่อภายหลัง ไปขอขมาเจ้าชายอุณฤทธิ์ ส่วนแม่ของเขาและพระสนมรัตนาวดีนั้นเสียไปแล้วเพราะอุบัติเหตุเมื่อสามปีก่อน ทั้งที่ทะเลาะกันทุกวันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ส่วนเด็กหญิงชลธาร หรือ 'หนูเล็ก' เขาก็เข้ากับแกได้ดี แต่มีข้อแม้ว่าจะพูดคุยอย่างสนิทสนมและดึงตัวมากอดได้เฉพาะตอนที่แม่ของแกไม่อยู่เท่านั้น ปวดใจทุกครั้ง ที่เด็กหญิงเรียกเขาว่า 'ลุง' ไม่ใช่ 'พ่อ' ทุกคนให้อภัยเขาหมดแล้ว ยกเว้นคนที่เขาทำกรรมไว้กับเธอ
เจ้าหญิงชโลธราแทบจะไม่รับสั่งกับเขาเลย ถ้าไม่ทรงมองผ่านเขาไปราวกับเป็นอากาศธาตุ ก็ทอดพระเนตรมองเขาอย่างเหยียดหยัน เหมือนเขาเป็นตัวอะไรสักอย่างที่ไม่คู่ควรกับสายพระเนตร
ไม่ใช่ว่าภวิศไม่พยายามปรับความเข้าใจ ชายหนุ่มพยายามหลายครั้งแล้ว เสนาบดีเกษตรและภรณีต่างพยายามเปิดโอกาสให้นับครั้งไม่ถ้วน ชายหนุ่มฉวยโอกาสนั้นไว้ทุกครั้ง
พยายามพูดด้วยดีๆ ใจเย็นอย่างที่สุด หากแต่ปัญหาคือเจ้าหญิงชโลธราทรงมีความสามารถในการยั่วอารมณ์มากเกินไป
"กระหม่อมรู้ว่ากระหม่อมทำผิดต่อฝ่าบาทไว้มาก กระหม่อมไม่ทูลขอให้ประทานอภัย..."
"งั้นก็ไม่ต้องขอ ไปให้พ้นหน้า"
"โปรดให้กระหม่อมทำอะไรเพื่อเป็นการไถ่โทษก็รับสั่งมาได้..."
"ไปตายซะ"
"เรื่องคืนนั้น..."
"ฉันถือว่าทำทานให้หมา อย่าพูดถึงอีก"
"กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่าง..."
"ฉันบอกว่าอย่าพล่ามไง! คนสารเลว!"
"ใช่! กระหม่อมเลว! แต่เลวยังไงก็ไม่ข่มขืนผู้หญิงไม่เลือกหน้าหรอก โดยเฉพาะผู้หญิงที่ปากจัดอย่างฝ่าบาท ทำไมไม่ทรงคิดบ้างว่าเพราะตัวเองนั่นแหละที่ปากเสีย ยั่วอารมณ์ก่อน ถ้ารู้จักหุบปากซะบ้างก็คงไม่โดนอย่างนั้นหรอก ดีแต่โทษคนอื่น ตัวเองไม่เคยผิด" โธ่โว้ย! พูดดีๆ เท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ไม่มีไอ้บ้าที่ไหนมันใจเย็นพอหรอก
ตอนนั้น เจ้าหญิงชโลธราทรงตะลึง นิ่งอึ้งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะแย้มพระสรวล เป็นรอยยิ้มหยันที่ทำให้หัวใจของชายหนุ่มสะท้อนสะท้าน เจ็บปวดไปถึงทรวง ยิ้มอย่างนั้น สีหน้าอย่างนั้น แววตาอย่างนั้น ราวกับจะเยาะหยันว่า ต่อให้พยายามทำดีเท่าไหร่ สุดท้ายมันก็เป็นแค่ความพยายาม เขามันจอมเสแสร้ง 'สันดานเลว' และความ 'ปากเสีย' ของเขามันฝังราก ขุดถอนเท่าใดก็ไม่ขึ้น
ภวิศสำนึกเสียใจที่พ่ายแพ้ต่อคำยั่วของพระองค์อีกครั้ง ทั้งที่ภรณีเคยเตือนแล้ว ว่าไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ไม่ควรเอ่ยถึงความผิดของเจ้าหญิงชโลธรา เพราะแม้มันจะมีอยู่บ้าง แต่ก็เทียบไม่ได้กับความผิดมหันต์ที่เขาทำ
หลังจากที่พยายามด้วยการเจรจาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่สำเร็จ ภวิศก็พยายามด้วยการกระทำบ้าง เจ้าหญิงนรีนาถอุตส่าห์ทรงไว้วางใจเขา ตรัสเล่าเรื่องที่วิษณุเคยช่วยเจ้าหญิงชโลธราจากการจมน้ำประทานให้ฟัง รับสั่งว่าความดีนั้นอาจทำให้เกิดความประทับใจอย่างมาก แต่ภวิศกลับคิดอีกอย่าง เขาคิดว่าบางทีสิ่งที่ตรึงพระทัยเจ้าหญิงจอมหยั่งที่ไม่มีใครอย่าเข้าใกล้นั่นอาจเป็น 'จูบแรก'
ภวิศถือโอกาสตอนที่พระองค์ประทับตามลำพัง หันเบื้องพระปฤษฎางค์ให้ เอียงหน้าเข้าไปจรดปลายจมูกเข้ากับนวลปรางอย่างรวดเร็ว
ฉึบ!
ไม่ได้ผล แต่ได้เลือด มีดบางในพระหัตถ์ตวัดฉับเข้าที่ซีกแก้มซ้าย ไม่ต้องมองกระจกก็รู้ว่าได้เลือดแน่ ความรู้สึกว่าผิวแก้มถูกกรีดยังคงแจ่มชัด เจ้าหญิงชโลธราเหมือนจะตกพระทัยอยู่บ้าง หากนั่นก็เพียงชั่วแวบ หลังจากนั้นคือความเย็นชา นี่คืออีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลง ภวิศคิดว่าพระองค์ทรง 'เลือดเย็น' ขึ้นมาก
เจ้าหญิงชโลธราทรงเป็นเหมือนเดิมหลายสิ่ง และเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง ที่เหมือนเดิมคงเป็นความเย่อหยิ่ง กริ้วง่าย พระอารมณ์ฉุนเฉียว พระโอษฐ์จัด แต่นั่นอาจเป็นสิ่งที่เหมือนเดิมสำหรับชายหนุ่มคนเดียว ภวิศไม่เคยเห็นว่าจะทรงเป็นอย่างนี้กับคนอื่น แม้แต่กับคนรับใช้ รอยแย้มพระสรวลน้อยๆ ที่ประทานให้คนที่ต่ำชั้นกว่าทำให้ชายหนุ่มแปลกใจอย่างใหญ่หลวง
สิ่งที่ทรงเปลี่ยนแปลงไปมากคือการทำงาน เจ้าหญิงที่เคยแต่สบาย ไม่เคยทรงทำอะไร เวลานี้ทรงเป็น 'แม่บ้าน' แทนภรณีไปแล้ว ความเรียบร้อยภายในบ้านทุกอย่าง พระองค์ทรงควบคุมดูแล ไม่ใช่ว่าทรงยึดอำนาจมาจากภรณี แต่เพราะทรงหวังจะช่วยแบ่งเบาภาระหญิงสาวที่สุขภาพอ่อนแอลงเรื่อยๆ
งานค้าขายเป็นงานของคนชั้นต่ำ เจ้าหญิงไม่ควรต้องทำอย่างนั้น นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าหญิงชโลธราทรงมีพระดำริตลอดมา แต่เวลานี้กลับทรงรับทำขนมสำหรับงานเลี้ยงต่างๆ เป็นงานพิเศษจนเกือบกลายเป็นงานประจำด้วย ไม่เชิงเป็นรายได้เสริม แต่ไม่โปรดที่จะอยู่ว่างๆ อีกต่อไป
ภวิศได้แต่รับรู้อย่างอึ้งๆ ทึ่งๆ ในตอนแรก และเปลี่ยนเป็นชื่นชมในใจในเวลาต่อมา
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ความสัมพันธ์ก็มีแต่ย่ำแย่ลง ไม่ว่าภวิศจะพยายามอีกกี่ครั้งก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น หกเดือนที่ผ่านมา ชายหนุ่มไม่เคยได้ทานอาหารร่วมโต๊ะกับเจ้าหญิงชโลธราและลูกเลยสักครั้ง เจ้าหญิงพระองค์นั้นทรงยอมเสวยในครัวมากกว่าจะประทับร่วมโต๊ะกับเขา
"เห็นหน้าแล้วกินไม่ลง"
ประโยคนั้นทำให้เขาโกรธจนทะเลาะกับพระองค์อยู่หลายครั้ง แต่สุดท้าย ชายหนุ่มก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายแยกตัวออกมาเสียเอง รสชาติการกินข้าวคนเดียวนั้นขมขื่นสุดบรรยาย
เครื่องหล่อเลี้ยง กำลังใจเพียงอย่างเดียวและเพียรพยายามทำให้เจ้าหญิงชโลธราพระทัยอ่อนต่อไปก็คือลูก ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหนูเล็กเป็นไปด้วยดี เขารู้สึกรักแกมากขึ้นทุกวันๆ ความรัก ที่เขาแทบจะไม่เคยมีให้ใครนอกจากตัวเอง เวลานี้เขามีให้ลูกอย่างเต็มเปี่ยม
เด็กหญิงน่ารัก คุยเก่ง และช่างฉอเลาะ แต่แน่นอนว่าเฉพาะเวลาที่แม่ของแกไม่อยู่
ชายหนุ่มพยายามพูดจูงใจ หลอกล่อ แม้กระทั่งติดสินบนเพื่อให้หนูเล็กเรียกเขาว่าพ่อสักครั้ง แม้เด็กหญิงจะเคยลังเลบ้างเพราะ 'ลุงวิศใจดี' กระนั้น ก็ไม่เคยเอ่ยปากเรียกเขาว่า 'พ่อ'
"เดี๋ยวแม่โกรธ" นั่นคือเหตุผลของทุกครั้ง ทั้งที่ภวิศรู้มาว่า เด็กหญิงเคยถูกเด็กในหมู่บ้านล้อว่าเป็นเด็กไม่มีพ่อ ถูกแกล้งจนร้องไห้กลับมาบ้าน
"แม่บอกว่าเป็นลูกแม่ต้องเข้มแข็ง อย่าร้องไห้ ต้องอดทน"
หัวใจของภวิศสะท้อนสะท้าน อาดูร
"แม่บอกว่าถ้าอยากมีก็ให้เรียกคุณปู่ว่าพ่อ ไม่งั้นก็เรียกลุงวิษณุว่าพ่อก็ได้ แต่คุณปู่ก็เป็นคุณปู่ คุณลุงก็เป็นคุณลุง จะเป็นพ่อหนูเล็กได้ยังไง"
เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นอีกเมื่อชายหนุ่มกลับมาอยู่บ้านได้สามเดือน กลับมาจากทำงานนั่นแหละ เขาจึงได้รู้ว่าหนูเล็กถูกแม่ตี เพราะบอกว่าอยากเรียก 'ลุงวิศ' ว่า 'พ่อ' เด็กหญิงร้องไห้จนตาบวม ภวิศเห็นรอยไม้เรียวตามแนวขาเล็กๆ นั่นแล้วความโกรธก็พุ่งขึ้นสมอง ชายหนุ่มกอดลูกสาวไว้แน่น ปลอบประโลมด้วยคำหวาน เจ็บแทนลูก
"โอ๋ เจ็บมากไหมลูก"
"ฮือ...หนูเล็กจะไม่เรียกลุงวิศว่าพ่อหรอก ไม่เรียก...ฮือ...ไม่เรียกเด็ดขาด"
"อยากเรียกก็เรียกสิลูก เรียกตอนที่เราอยู่ด้วยกันสองคนก็ได้ แม่อะไรใจร้ายขนาดนั้น ลูกตัวเล็กแค่นี้ยังตีได้ลงคอ"
"อย่าว่าแม่นะ!" คนตัวเล็กขึ้นเสียง ตวาดแหวทั้งยังมีน้ำตาอยู่บนแก้ม "อย่าว่าแม่ แม่เป็นแม่ของหนูเล็ก หนูเล็กรักแม่"
"แล้วหนูเล็กไม่เจ็บหรือลูก" ชายหนุ่มถามหลังจากหายอึ้ง
"ไม่เจ็บ หนูเล็กไม่เจ็บ" เด็กหญิงสั่นหัวให้วุ่นวายไปหมด มองผู้เป็นพ่อด้วยดวงตาใสซื่อ พูดเสียงซื่อๆ ว่า
"แม่เจ็บกว่าหนูเล็กอีก แม่ตีหนูเล็กแล้วก็ร้องไห้ด้วย แม่ร้องไห้ตัวงอเลย คงเจ็บมากเลย หนูเล็กทั้งกอด ทั้งโอ๋ เป่าเพี้ยงแล้วแม่ก็ยังไม่หาย ไม่รู้ว่าแม่เจ็บตรงไหน แม่บอกว่าแม่เจ็บทั้งตัวเลย ถ้าหนูเล็กไม่อยากให้แม่เจ็บก็อย่าเรียกลุงวิศว่าพ่อ หนูเล็กมีแม่คนเดียวก็พอแล้ว แม่เลี้ยงหนูเล็กได้ แม่รักหนูเล็ก หนูเล็กก็รักแม่"
ภวิศไม่กล้าถาม ว่า 'แล้วพ่อล่ะลูก ไม่รักพ่อหรือ' ที่ทั้งแม่และลูกเป็นอย่างนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของเขาใช่ไหม ของเขาแต่เพียงผู้เดียว
ทว่า วันหนึ่งเหมือนโชคเข้าข้าง ภวิศผ่านเข้าไปในหมู่บ้าน ลูกสาวของเขาซึ่งเจ้าหญิงชโลธราทรงยอมให้ออกมาเล่นกันเพื่อนวัยเดียวกันได้บ้างกำลังถูกรังแก สาวใช้ที่มาด้วยก็ไม่รู้หายไปไหน
"หนูเล็กไม่มีพ่อ ฮ่า ฮ่า เด็กไม่มีพ่อ"
"เด็กประหลาด เด็กไม่มีพ่อ"
"ใช่ ใช่ น่าอายจังเลย"
เด็กหญิงตัวเล็กได้แต่พยายามยืนกัดฟันนิ่ง กัดฟันจนตัวสั่น ท้ายสุดความอดทนก็ขาดสะบั้น
"มีพ่อนะ! หนูเล็กมีพ่อ!" เด็กหญิงตะโกนดังลั่น
"ฮ่า ฮ่า ไหนล่ะพ่อ เอามาให้ดูหน่อยสิ ไหนล่ะ"
เด็กปากกล้าถึงกับสะอึก สะดุ้งเฮือกเมื่อภวิศไปยืนซ้อนอยู่ข้างหลังบุตรสาวด้วยหน้าตาถมึงทึง ก่อนจะช้อนตัวเด็กหญิงขึ้นมาอุ้ม
"นี่ไง พ่อของเรา พ่อภวิศของเรา" เด็กหญิงอวดเสียงภาคภูมิ หลังจากสูดน้ำมูกและปาดน้ำตา
เด็กๆ เหล่านั้นทำหน้าไม่เชื่อ ภวิศจัดการข่มขู่เล็กน้อยจนพากันร้องไห้กลับบ้านไปฟ้องพ่อ เด็กหญิงชลธารปรบมืออย่างชอบใจ ภวิศกลายเป็นวีรบุรุษในดวงใจของบุตรสาว
ตลอดระยะทางกลับบ้าน สองพ่อลูกทำข้อตกลงร่วมกันว่าหนูเล็กจะเรียก 'ลุงวิศ' ว่า 'พ่อ' เมื่ออยู่กันตามลำพัง ชายหนุ่มขอให้แกเรียกเขาว่าพ่อตุนไว้อีกหลายๆ ครั้ง คำนั้นเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจให้ชุ่มฉ่ำ เขาคิดว่า คงไม่มีความสุขใดจะยิ่งไปกว่านี้
หลังจากประสบความสำเร็จไปแล้วบางส่วน ภวิศก็มีกำลังใจมากขึ้น ชายหนุ่มยิ้มกริ่มอารมณ์ดี แม้ถูกด่าว่าก็ยังพอจะยิ้มอยู่ได้ เขาอดทน เพียรพยายามเพื่อความหวังที่ว่า วันหนึ่ง จะสามารถนั่งร่วมโต๊ะอาหาร กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับทุกคน และฟังลูกสาวของเขาเรียกเขาว่าพ่อต่อหน้าแม่ของแก
ความสำเร็จคงยังอีกยาวไกลนัก แม้เจ้าหญิงชโลธราจะยังไม่ทรงญาติดีกับเขา แต่อาการแปลกพระทัยที่เห็นเขายิ้มเมื่อถูกด่าก็คงเป็นนิมิตหมายที่ดี ภวิศเริ่มสนุก รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นสีพระพักตร์บึ้งตึงของอีกฝ่าย ความสัมพันธ์ไม่คืบหน้า แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายลง เขาควรจะดีใจใช่ไหม
ภวิศขยับยิ้มเล็กน้อยเมื่อคิดถึงหนทางอีกยาวไกลของเขา ชีวิตที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ต้องใช้ความพยายามไปเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่หวังมันก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก ดี...ด้วยซ้ำไป
"ลุงวิศ"
เสียงเรียกดังแจ่มแจ๋วที่ดังมาก่อนตัวทำให้ภวิศขยับตัว และหันไปทางต้นเสียง ชายหนุ่มนั่งยองๆ ลงและอ้าแขนรับเด็กหญิงตัวเล็กในชุดสีชมพูหวานเข้ามาในอ้อมแขน นี่คือดวงใจของเขา
"แม่อยู่ในครัวกับป้าณีค่ะ หนูเล็กอยากคุยกับ..." เด็กหญิงเหลียวซ้ายแลขวาแล้วจึงเรียกขาน "อยากคุยกับพ่อก็เลยออกมาหา"
ภวิศไม่รู้สึกเจ็บแปลบอีกแล้ว เวลาที่เห็นบุตรสาวระวังตัวแจกว่าจะเรียกเขาว่า 'พ่อ' ได้ แม้จะเป็นพ่อบ้าง ลุงบ้าง แต่ขอเพียงในใจของหนูเล็กยอมรับว่าเขาเป็นพ่ออยู่ตลอดเวลาก็พอแล้ว
สองพ่อลูกคุยกันจนลืมเวลา ลืมว่าได้เวลาเข้านอนของเด็กหญิงแล้ว หากยังไม่กลับเข้าบ้าน ใครสักคนจะออกมาตาม
เด็กหญิงชลธารพูดจ้อยๆ ไม่หยุด ยิ่งพูดก็ยิ่งเสียงดัง ภวิศก็ฟังเพลินจนไม่ได้สังเกตว่า มารดาของเด็กหญิงออกมาตั้งแต่เมื่อไร ได้ยินหนูเล็กเรียกเขาว่าพ่อไปกี่ครั้ง รู้ตัวก็ตอนที่รับสั่งเรียกด้วยพระสุรเสียงเกรี้ยวกราด
"หนูเล็ก! เรียกใครว่าพ่อ"
ร่างเล็กๆ ในอ้อมแขนของชายหนุ่มสั่นนิดๆอย่างรู้สึกได้เมื่อเห็นสีหน้าบึ้งสนิทของผู้เป็นมารดา กระนั้น เด็กหญิงก็ยังอุตส่าห์ทำใจกล้า พูดออกไปทั้งที่เสียงสั่นว่า
"ก็พ่อ...พ่อภวิศเป็นพ่อ ไม่ได้เป็นลุง"
"หยุดนะ! บอกกี่ครั้งแล้วว่าเขาไม่ใช่พ่อ มีแค่คุณปู่ ป้าณี ลุงวิษณุ แล้วก็แม่ไม่พอหรือไง"
เจ้าหญิงชโลธราทรงก้าวเข้ามา สายพระเนตรที่ทอดมองภวิศวาวขึ้นด้วยความกริ้ว หากแต่ชายหนุ่มยังคงกอดบุตรสาวไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย
"แต่หนูเล็กอยากมีพ่อ" เด็กหญิงปากสั่น น้ำตาคลอ ขณะคนเป็นแม่ผงะไปเล็กน้อยราวกับต้องธนู
"ถ้าไม่มีแล้วจะตายหรือ ห้าปีที่ผ่านมาเคยมีไหม แล้วอยู่มาได้รึเปล่า"
ภวิศคิดว่าเขาเห็นหยาดน้ำวาววับที่คลอคลองอยู่ในดวงเนตร ก่อนมันจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
"มาหาแม่สิ อยู่กับแม่ ไม่ต้องมีพ่อไม่ได้หรือ เราอยู่กันแบบนี้มานานแล้วนะ หนูเล็กไม่มีความสุขหรือลูก ไม่รักแม่หรือยังไง" พระพาหาสองข้างกางออก เรียกให้เข้าไปหา ทว่าหนูน้อยกลับลังเล
"หนูเล็กรักแม่ แต่...หนูเล็กก็รักพ่อด้วย"
"งั้นก็เลือกเอาว่าจะอยู่กับใคร ถ้าอยู่กับพ่อก็อยู่ไป แต่ไม่มีแม่ ถ้าจะอยู่กับแม่ก็เตรียมตัวไปอยู่บ้านคุณทวดกัน เราจะไม่กลับมาที่นี่อีก" รับสั่งจบก็เสด็จเข้าไปในบ้านทันที ทิ้งให้ภวิศนิ่งอึ้งตะลึงงัน หัวใจสั่นสะท้าน เสียดลึกเข้าไปในอกเมื่อได้ยินเสียงเด็กหญิงร้องไห้ สะอื้นถามอย่างไม่เข้าใจ
"หนูเล็กไม่เลือกไม่ได้เหรอ หนูเล็กอยากอยู่กับแม่แล้วก็พ่อด้วย หนูเล็กรักทั้งสองคนเลย ฮือ..."
************
"จะไปจริงๆ น่ะหรือ" ภรณีเอ่ยถามเมื่อเข้ามาในห้องแล้วเห็นผู้เป็นน้องสะใภ้กำลังเก็บเสื้อผ้า
"ค่ะ" เจ้าหญิงชโลธรารับสั่งตอบสั้นด้วยพระพักตร์เรียบเฉยสนิท
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เสด็จเข้ามาในบ้านหลังนี้ก็โปรดให้ทุกคนใช้คำธรรมดากับพระองค์ เจ้าหญิงที่ถูกถอดยศศักดิ์ไม่ควรมีใครกราบทูลด้วยราชาศัพท์อีก ที่สำคัญที่สุด คือมันเสียดแทงพระทัย
ดังนั้น แม้แต่คนรับใช้ก็พูดกับ 'นายหญิง' ของบ้านด้วยคำธรรมดา คนเดียวที่ใช้คำราชาศัพท์คือภวิศ และพระองค์ก็ไม่ได้ทรงทักท้วง ไม่ใช่เพราะทรงเย่อหยิ่งหรือถือองค์ แต่นั่นเป็นสัญลักษณ์ว่า เวลาของพระองค์กับภวิศหยุดอยู่ที่เหตุการณ์ในคืนนั้นตลอดกาล
"แล้วยัยหนูเล็กล่ะ"
"ตามใจค่ะ จะอยู่ที่นี่หรือจะไปกับฉันก็ได้"
"ถ้าแกเลือกอยู่ที่นี่ จะตัดใจได้หรือ"
"ได้ค่ะ ฉันไม่ห้าม" คำตอบรวดเร็วจนน่ากลัว...กลัวใจ
"คิดดีแล้วหรือ"
"ค่ะ" ที่จริงไม่ได้คิด แต่นี่แหละ ดีแล้ว
"ชโลธรา วางมือ แล้วมาคุยกันอย่างจริงจังหน่อยไม่ดีหรือจ๊ะ"
เจ้าหญิงชโลธราทรงทอดถอนพระทัย ก่อนจะทรงวางมือจากกองเสื้อผ้าที่กำลังเก็บพับด้วยพระองค์เอง ผินพระพักตร์ไปทางภรณีที่กำลังทรุดนั่งลงบนมุมหนึ่งของเตียง จะยอมฟังสักครั้ง ครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย เห็นแก่ที่ภรณีไม่เคยทำตัวเป็นทูตเจรจาแทนน้องชายเลยสักครั้ง ปล่อยให้เป็นเรื่องที่ภวิศต้องแก้ไขตลอดมา
"พี่อยากให้ลองคิดดูดีๆ อีกสักครั้ง พี่ไม่ได้ขอให้เธออภัยให้ภวิศ แต่อยากขอเวลาให้กับทั้งภวิศและตัวเธอเอง ไม่เห็นแก่ใครก็เห็นแก่หนูเล็กเถอะจ้ะ"
"ฉันก็ให้โอกาสแกเลือกแล้วนี่คะ ถ้าแกจะอยู่ที่นี่ฉันก็ไม่ว่าอะไร ทั้งๆ ที่ฉันมีสิทธิ์ที่จะพาแกไปด้วย" ภวิศสละสิทธิ์นั้นไปแล้ว ตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจเลือกชีวิตของตัวเองแทนสิทธิ์ในตัวลูก แลกความเป็นพ่อกับการหลุดรอดจากโทษประหารชีวิต พระองค์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ในตัวหนูเล็ก
"ทุกคนที่นี่ไม่ได้รักแต่หนูเล็กหรอกนะจ๊ะ เราทุกคนรักเธอด้วยและอยากให้เธออยู่ที่นี่"
"มันมากเกินไปค่ะ ฉันทนมามากแล้ว ยอมมามากแล้ว ไม่ได้ต้องการให้แกเกิดมา ไม่เคยดีใจที่มีแก แล้วยังไม่เคยเลี้ยงดูสักนิด แค่ให้เรียกว่าลุงก็ดีเท่าไหร่แล้ว ยังไม่รู้จักพอ คิดเอาแต่ได้ไม่มีที่สิ้นสุด"
"แต่หนูเล็ก เด็กทุกคนต้องการพ่อนะจ๊ะ"
"ไม่จริง!" เพราะลืมองค์ พระสุรเสียงจึงทั้งห้วนและกระด้าง ดวงพระเนตรวาววับอย่างเอาเรื่อง ซ่อนแววเจ็บปวดไว้ภายใน "หนูเล็กมีแม่คนเดียวก็พอแล้ว พ่อไม่จำเป็น เด็กไม่จำเป็นต้องมีพ่อก็โตได้ ไม่ตายหรอกค่ะ"
ใช่ ไม่ตาย พระองค์ยังทรงเจริญพระชันษาขึ้นมาได้
"แต่ถ้ามีพ่อ แกจะมีความสุขกว่ารึเปล่าจ๊ะ"
เจ้าหญิงชโลธราทรงสะอึกอึ้ง อา...ความสุขจากการมีพ่อ มันเป็นยังไงนะ ไม่เคยทรงทราบ หากแต่ลึกๆแล้วกลับมั่นพระทัยอย่างประหลาด ว่าหากเคยลิ้มลองรสชาติอย่างนั้นสักครั้ง คงยากจะลืมเลือน คงจะติดงอมแงมและทรมานน่าดู หากต้องจำพราก
"ภวิศอาจไม่ใช่คนดีอะไรนัก ความผิดที่เขาทำอาจมากจนยากจะให้อภัย แต่ตอนนี้เขาก็ทำตัวดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ไม่เกเร ไม่เอาแต่ใจเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว มีความรับผิดชอบมากพอจะเป็นพ่อคนได้ ขอเพียงเธอให้เวลา ให้โอกาสเขาได้ทำความดีชดเชยความผิดที่ก่อ"
จริง ภวิศทำตัวดีขึ้นมาก มีความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน ขยันขันแข็ง แม้ว่าตำแหน่งเล็กๆ ในกรมโยธาธิการจะไม่สามารถทำให้พระองค์ทรงภาคภูมิได้ แต่ลาภยศ เกียรติอันสูงส่งก็เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงเลิกคาดหวัง เลิกใฝ่ฝันถึงมานานแล้ว แม้รูปร่างหน้าตาที่จัดว่าดีของภวิศก็ไม่เคยเป็นสิ่งที่อยู่ในสายพระเนตร ไม่เคยทำให้พระองค์ทรงชื่นชมหรือหวั่นไหวได้ และไม่ว่าหน้าตาหล่อเหลาคมคายของผู้ชายคนไหนก็ไม่สามารถทำให้พระองค์สะท้านหวั่นไหวได้อีก
พระองค์ไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสา ไม่ใช่สตรีแรกเริ่มรัก ทรงผ่านวัยนั้นมาแล้ว เพิ่งแรกเริ่มรู้จักความรักได้ไม่นาน ก็กลับกลายเป็นคนที่หัวใจด้านชาโดยใช้เวลาแค่ชั่วข้ามคืน ความรักไม่ใช่สิ่งที่สูงค่าและบริสุทธิ์งดงาม และสัตว์โลกที่ถูกเรียกว่า 'ผู้ชาย' ก็ช่างน่าขยะแขยง น่าชิงชัง น่ารังเกียจที่สุด
ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนอีกอย่างหนึ่งของภวิศคือความใจเย็น หรืออาจเป็นแค่พยายามทำให้ดูใจเย็น ถูกด่าว่าเท่าไรก็ล้วนแต่ยอมรับ
"หน้าด้าน" พระองค์เคยทรงด่าว่า เมื่อยั่วให้โกรธเท่าใดไม่ขึ้น
"ถ้าหน้าด้านแปลว่าไม่เจ็บ ไม่รู้สึก กระหม่อมก็ไม่ได้หน้าด้านหรอกนะพระเจ้าค่ะ แต่ถ้าทรงด่ากระหม่อมแล้วทำให้สบายพระทัย ก็ทรงด่ามาได้เลย ด่ามาได้เรื่อยๆ"
ตอนนั้น วูบหนึ่งทรงรู้สึก ว่าพระทัยหวั่นไหว เอนเอียง
แต่ความทรงจำฝังใจทำให้ไม่ลืมเลือน คืนนั้นก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ คำที่บอกว่า 'กระหม่อมพึ่งพาได้ยิ่งกว่ามีดสั้น' นั่น เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใดเล่า
คำพูดสวยหรู พูดง่าย เชื่อถือไม่ได้เลย
"ภวิศรักหนูเล็กนะจ๊ะ เขารักแกไม่น้อยไปกว่าที่เธอรัก แล้วหนูเล็กก็คงรักและต้องการทั้งพ่อและแม่ เด็กต้องการความรักจากทั้งพ่อและแม่จึงจะเติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์และมีความสุข"
ใช่ ต้องการ ต้องการอย่างที่สุด แต่พระองค์ทรงจำไม่ได้ว่าเคยได้รับ เคยรู้สึก เพราะฉะนั้น หนูเล็กก็ควรจะไม่ได้รับเช่นเดียวกับพระองค์...อย่างนั้นหรือ
"ชโลธรา" ภรณีเรียกขานน้องสะใภ้ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล มีแววขอร้องอยู่ในที
"คะ พูดมาเถอะค่ะ พี่ณีอยากพูดอะไรก็พูด พูดจบแล้วก็ไปพักผ่อนเถอะค่ะ ฉันจะได้จัดของต่อ" พระสุรเสียงยังคงราบเรียบ ไร้เยื่อไยไมตรี สีพระพักตร์เฉยเมย คาดเดาความคิดไม่ออก ภรณีมองแล้วก็ได้แต่คราง
"ชโลธรา..." ให้เอาแต่ใจ ช่างโวยวายเหมือนตอนแรกๆ ที่มาอยู่บ้านนี้ก็คงจะดีหรอก อย่างน้อยเป็นแบบนั้นก็ไม่ทำให้ดูเหมือนเป็นคนจิตใจด้านชาอย่างเวลานี้
ภรณีออกจากห้องไปแล้ว เจ้าหญิงชโลธราประทับอยู่ในห้องเพียงลำพัง พระหัตถ์ที่แสร้งทำเป็นง่วนอยู่กับการพับผ้าชะงักค้าง วางไว้บนผ้าเฉยๆ
ไม่ให้อภัย ยังไงก็อภัยให้ไม่ได้ เหตุการณ์ในคืนนั้น ถึงเวลานี้แม้จะทรงจำได้เพียงเลือนราง หากแต่ยังรู้สึกเจ็บใจทุกครั้งที่นึกถึง ใช่ 'เจ็บใจ' ไม่ใช่ 'เจ็บปวด'
การปรับปรุงตัว พยายามอ่อนข้อ เอาอกเอาใจ ทำความดีชดเชยความผิดมาตลอดครึ่งปีนี้มากพอที่จะได้รับการให้อภัยแล้วหรือ ไม่ ไม่ ไม่! หัวใจบอกว่าอย่าให้อภัย ผู้ชายที่ทำลายชีวิตและฉุดให้พระองค์ลงต่ำคนนั้นไม่ควรค่าที่จะได้รับการอภัย
แต่ชีวิตที่ 'ตกต่ำ' ของพระองค์ ไยมิใช่เป็นชีวิตที่มีความสุขกว่าตอนที่ทรงเป็นเจ้าหญิงมากนัก
ตอนที่ตัดสินพระทัยเสด็จเข้าไปในสวนป่า อะไรเล่าที่ทรงคาดหวัง การได้รับความรัก ชีวิตที่มีความสุขและไม่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว อ้อมแขนอบอุ่นของผู้ชายที่มีความรับผิดชอบ ใช่ไหม
บ่ายวันหนึ่งกลางฤดูร้อน พระองค์ทรงพักผ่อน ประทับนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้หวายใต้ร่มไม้หลังบ้าน พระเนตรปิดสนิท เสียงฝีเท้าใครคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ใครคนนั้นทรุดตัวลงตรงหน้า มือข้างหนึ่งเอื้อมมาวางและกอบกุมพระหัตถ์บางไว้ในอุ้งมือของตัวเอง ภวิศพูดด้วยน้ำเสียงเบา กึ่งเจ็บปวด
"อย่าหยิ่ง อย่าพระทัยแข็งนักได้ไหม ถ้าสองมือของกระหม่อมเคยทำร้ายฝ่าบาท ก็ทรงให้โอกาสกระหม่อมได้ใช้มันปกป้องฝ่าบาทและลูกบ้างไม่ได้หรือยังไง อย่าใจร้ายนักเลย...ได้โปรด"
อุ่นวาบ...ทั้งพระหัตถ์ข้างที่ถูกกุม และตรงขอบพระเนตร
แต่ก็นั่นแหละ คำพูดที่สวยหรูเพียงใดก็ไม่ทำให้ทรงหลงกลอีกแล้ว ทรงมีความสุขดี แม้ไม่มีภวิศ ชีวิตของพระองค์ก็บริบูรณ์แล้ว
แต่พระองค์ไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว มีลูกแล้ว ไม่ควรเอาแต่พระทัย ไม่ควรคิดถึงแต่พระองค์เองใช่ไหม
...หนูเล็กอยากมีพ่อ...
...หนูเล็กรักแม่ แต่หนูเล็กก็รักพ่อด้วย...
...ภวิศรักหนูเล็กนะจ๊ะ เขารักแกไม่น้อยไปกว่าที่เธอรัก...
"กระหม่อมรักลูก" ภวิศเคยบอก
"ไม่ต้องรัก! มันไม่ได้เกิดมาจากความรัก"
"แล้วไม่ทรงคิดจะมีลูกที่เกิดจากความรักบ้างหรือพระเจ้าค่ะ"
ตอนนั้น อะไรที่อยู่ใกล้พระหัตถ์ถูกขว้างลอยละลิ่วไปจนหมด ภวิศหลบหลีกเป็นพัลวัน หากแต่ไม่ยอมหนีไป สงครามฝีปากครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้ง
ตอนนี้ เจ้าหญิงชโลธราทรงครุ่นคิด ลูกที่เกิดจากความรักงั้นหรือ ความรักที่พระองค์ไม่แน่พระทัยด้วยซ้ำว่าเคยทรงรู้จักจริงๆ หรือไม่ ที่ทรงรู้สึกกับวิษณุ นั่นใช่ความรักหรือไม่ หรือแค่ความหลงใหลไปกับอารมณ์และสัมผัสที่ไม่เคยได้รับ
หากจะมีความรัก มีลูกที่เกิดจากความรัก จะทรงรักใคร ภวิศ...อย่างนั้นหรือ หึ!คงจะเป็นไปได้หรอก มีแต่คนสติไม่ดีเท่านั้นแหละที่จะรักคนที่ข่มขืนตัวเอง พระองค์ไม่มีวันรักคนเลวที่ย่ำยีพระองค์ได้ ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติไหน แต่ว่า ถ้ามือของคนที่เคยย่ำยีนั้นเป็นมือคู่เดียวกับที่ช่วยเหลือล่ะ
วันนั้น วันที่ทรงเดินกลับจากตลาดแล้วพบกับอันธพาลที่คุณหนูบ้านหนึ่งจ้างวานให้มาหาเรื่อง ภวิศที่ตื๊อขอตามมาตลาดด้วยเป็นคนช่วยพระองค์ไว้ ในสวนป่าคืนนั้น ภวิศถอดเสื้อนอกออกมาห่มคลุมพระวรกาย และทิ้งพระองค์ไว้เพียงลำพังอย่างคนเลวที่ขี้ขลาด แต่วันนั้น ชายหนุ่มเป็นคนบอกให้พระองค์หนีไปก่อน ส่วนตัวเองพยายามต่อสู้และถูกผู้ชายสามคนรุมจนสะบักสะบอม แม้คนใช้ที่บ้านจะตามไปช่วยเหลือกลับมาได้ แต่ชายหนุ่มก็ได้ทั้งเลือดและแผลมาเต็มตัว แถมด้วยอาการไข้หนัก ตลอดเวลาที่ภวิศป่วย พระองค์ไม่เคยทรงแยแสสนพระทัย พยายามแสดงออกว่าไม่ทรงหวั่นไหวไปกับสายตาตัดพ้อต่อว่ากลายๆ ของภวิศแม้แต่น้อย
แต่มีอยู่คืนหนึ่ง ที่ทรงเข้าไปในห้องของชายหนุ่มเพราะภรณีวานให้เอายาไปให้ ภวิศที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงและมีผ้าพันแผลเต็มตัวดูไม่เหมือนคนชั่วร้ายน่ารังเกียจเลยแม้แต่น้อย พระองค์ทรงเลือกที่จะไม่ปลุก เสด็จไปวางถ้วยยาไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง แล้วก็จะเสด็จกลับออกมา ทว่า ตอนนั้นทรงนึกอย่างไรก็ไม่รู้ จึงทรงแตะพระหัตถ์ลงบนผ้าผืนเล็กที่วางอยู่บนหน้าผากของคนหลับ รู้สึกว่าเริ่มอุ่น จึงได้หยิบออกมาจุ่มน้ำเย็น บิดหมาดนิดๆ และวางไว้บนหน้าผาก โดยไม่คาดคิด ภวิศเอื้อมมือมาจับพระหัตถ์ไว้มั่น ทั้งที่ยังไม่ลืมตา
"ปล่อย" รับสั่งพระสุรเสียงห้วน หลังจากหายตกพระทัยแล้ว
เงียบ...ไม่มีคำพูดใดออกมาจากของภวิศ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แน่นอนว่ามือใหญ่ก็ยังไม่ยอมคลาย พระองค์ทรงนิ่งเช่นกัน ครู่หนึ่ง จึงทรงยกพระหัตถ์ขึ้นมาอย่างช้าๆ มือของภวิศที่กุมพระหัตถ์ของพระองค์ไว้ย่อมยกสูงขึ้นมาด้วย
หงับ!
ภวิศสะดุ้ง กระตุกมือทันทีที่พระองค์ทรงขบพระทนต์ลงบนมือใหญ่นั้นเต็มแรง หากทว่า มือนั้นยังคงจับพระหัตถ์ของพระองค์ไว้มั่น แม้จะปรากฏรอยพระทนต์เห็นเด่นชัดและมีเลือดซึมออกมา อีกทั้งสีหน้าเจ้าของมือก็ดูบิดเบี้ยวกว่าเดิมเล็กน้อย พระองค์ทรงยกหัตถ์ขึ้นมาอีกครั้ง ตอนแรกภวิศออกแรงยื้อไว้เล็กน้อย ทว่าครู่เดียวก็กลับยอมโอนอ่อน ยกมือขึ้นมาตามพระหัตถ์ของพระองค์แต่โดยดี ทั้งที่ก็น่าจะรู้ว่าคงต้องถูกกัดอีกรอบแน่
สิ่งที่น่าแปลกที่สุดในคืนนั้นไม่ใช่การกระทำของภวิศ แต่เป็นการกระทำของพระองค์เอง พระองค์ไม่เคยทรงหาเหตุผลได้เลย ว่าทำไมจึงทรงยอมให้ภวิศกุมพระหัตถ์ไว้อยู่อย่างนั้น จนทรงเผลอบรรทมหลับฟุบไปบนเตียงของชายหนุ่ม
เจ้าหญิงชโลธราทรงยกพระหัตถ์ขาวบางของพระองค์ขึ้นมาทอดพระเนตรนิ่ง นาน
อะไรกันหนอที่อยู่ในพระหัตถ์ข้างนี้...ชะตากรรมของภวิศ อนาคตของหนูเล็ก ความสุขของพระองค์เอง หรือว่า...ความว่างเปล่า
แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร พระองค์เท่านั้นใช่ไหมที่เป็นคนเลือก
**********************
เช้าวันรุ่งขึ้น
ภวิศชะงัก เมื่อเดินมาตามระเบียงทางเดินหน้าห้องแล้วพบกับเจ้าหญิงชโลธราที่เพิ่งทรงเปิดประตูออกมา
"ฝ่าบาท อย่าพระทัยร้ายนักได้ไหม พระโอษฐ์ร้ายแล้วยังพระทัยร้ายอีก กระหม่อมรู้ตัวว่าทำผิด จะทรงลงโทษยังไงก็ได้ แต่ทำไมต้องไปทรงลงกับลูกด้วย หนูเล็กร้องไห้จนหลับไป ไม่ทรงสงสารแกบ้างหรือ ไหนรับสั่งว่าทรงรักลูกไง"
พูดไม่หยุดเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเดินหนี พูดจบแล้วจึงสำนึกได้ว่าไม่ควรพูด โรคปากเสียนี่คงฝังอยู่ในสันดานเขาจริงๆ ทั้งที่เมื่อคืนก็ซ้อมพูดดีๆ อยู่ตั้งหลายรอบ
เจ้าหญิงชโลธรายังคงมีสีพระพักตร์เฉยเมย ทอดพระเนตรมองชายหนุ่มนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ทรงหมุนวรองค์หันพระขนองให้ เสด็จไปอีกทาง
"ฝ่าบาท! อย่าไปเลยนะ" เสียงร้องเรียกอย่างร้อนรนทำให้ผู้ทรงเป็นเจ้าหญิงชะงักพระบาท
"อย่าไปเลย" ภวิศย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ปลงตก และตัดสินใจได้
"กระหม่อมจะไปเอง ทรงอยู่ที่นี่กับลูกเถอะ ขอแค่ให้กระหม่อมได้มาเยี่ยมแกบ้าง สักอาทิตย์ละสาม เอ่อ...อาทิตย์ละครั้ง" ไม่มีเสียงตอบรับ ภวิศจึงเอ่ยต่ออย่างจำใจ จำยอมที่สุด "เดือนละสองครั้งก็ได้ กระหม่อมก็รักลูก..."
"เมื่อไหร่จะไป" พระสุรเสียงที่ดังแทรกบ่งบอกว่าทรงรำคาญเต็มที "ไปเสียทีสิ"
ภวิศมองเบื้องพระปฤษฎางค์เหยียดตรง พระศอเชิดๆ นั่นแล้วก็คิดว่า ช่างเป็นผู้หญิงที่ใจร้ายเสียจริง ชายหนุ่มกัดฟันอดทนที่จะไม่พูดอะไรร้ายๆ ออกไป ก้มหน้ารับกรรมแต่โดยดี หันหลังกลับ จะเดินไปห้องของตัวเอง
"จะไปไหนอีก บันไดอยู่ทางนี้"
"จะไม่ให้เวลาเก็บของบ้างหรือยัง..."
"หนูเล็กแกตื่นเช้า ป่านนี้ลงไปรออยู่ที่โต๊ะกินข้าวแล้ว ไหนว่ารักลูกไม่ใช่หรือ งั้นก็อย่าปล่อยให้แกรอนานสิ" เจ้าหญิงชโลธรารับสั่งเรียบๆ ทั้งที่ยังหันพระขนองให้ รับสั่งจบก็เสด็จไปก่อนด้วยท่าทางที่ภวิศลงความเห็นว่า 'เชิด หยิ่ง ราวกับนางพญา' หากแต่คราวนี้กลับมองไม่ขัดตาแต่อย่างใด
สีหน้าขึ้งโกรธของชายหนุ่มชะงักค้าง อารมณ์พลันแปรเปลี่ยนจนคิดตามไม่ทัน ทว่าทันทีที่คิดได้ ว่ารับสั่งนั้นหมายความว่าอย่างไร รอยยิ้มก็ระบายทั่วใบหน้า ภวิศยิ้มกว้างทั้งปากและนัยน์ตา หัวใจลิงโลดจนเขาคิดว่าถ้าอ้าปากกว้างๆ หัวเราะเสียงดังมันคงจะกระดอนออกมาทางปาก
เจ้าหญิงจอมหยิ่งทรงอภัยให้เขาแล้ว เขาอยู่ที่นี่กับลูกได้!
ภวิศพยายามระงับความตื่นเต้นดีใจ ไม่แสดงออกจนมากเกินไป ทั้งที่ถ้าทำอย่างนั้นก็คงไม่มีใครเห็น ทว่า เมื่อจิตใจสงบลงบ้าง สมองก็คิดได้มากขึ้น
...เจ้าหญิงพระองค์นั้นไม่ได้รับสั่งสักคำว่าทรงให้อภัยเขา...
แต่จะสำคัญอะไร ในเมื่อจุดมุ่งหมายของเขาอยู่ที่ลูก อยู่ที่ลูก...จริงหรือ แล้วความรู้สึกโหวงๆ เหมือนในอกเป็นโพรงเมื่อคิดว่าเขายังไม่ได้รับการอภัยนี่มันคืออะไร หวังว่าคงไม่ใช่...ความรัก หรอกนะ ไม่ใช่แน่ๆ
ห้าปีที่ผ่านมา เขาปฏิเสธการมีสัมพันธ์กับผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาหา แม้จะเป็นเพียงการระบายความต้องการทางธรรมชาติก็ไม่มี ไม่ใช่ไม่ปรารถนา แต่เพราะว่า ภาพของเจ้าหญิงจอมหยิ่งและลูกที่เขาไม่เคยเห็นหน้าเข้ามาในความคิดคำนึง เขายังเคยสบถด่าว่าคนที่ไม่มีส่วนรู้เห็นนั้นว่า 'ยัยตัวมาร' เพราะฉะนั้นที่เขาห้ามตัวเองไว้ได้จึงไม่ใช่เพราะรักแน่ๆ
คนที่เขาพูดว่ารักได้อย่างเต็มปากเต็มคำก็คือลูกเท่านั้น
ส่วนเจ้าหญิงชโลธรา หากเขาจะรู้สึกอะไรสักอย่างกับพระองค์ ก็คงจะรู้สึกผิดกระมัง เป็นความรู้สึกสำนึกผิดที่กัดกร่อนจิตใจมายาวนาน
ภวิศมองตามวรองค์บางโปร่งระหงที่กำลังเสด็จลงบันไดอย่างสง่างาม มองดูเชิดๆ หยิ่งๆ นั้นไป และบอกกับตัวเอง ว่าเขารักลูก ไม่ได้รัก และไม่เคยรักเจ้าหญิงชโลธรา
แต่วันนี้ น้ำพระทัยของพระองค์ทำให้เขารู้สึกสำนึกตื้นตัน
เขามีความสัมพันธ์กับพระองค์เพียงแค่เป็นคนฉุดให้พระองค์ลงต่ำ ทำให้พระองค์แปดเปื้อนมัวหมอง เกี่ยวข้องกับพระองค์เพียงแค่เป็นพ่อแม่ของลูกคนเดียวกันเท่านั้น
แต่สักวันหนึ่ง...สักวันหนึ่ง
เขาคงสามารถเรียกความสัมพันธ์ ความรู้สึกนี้ได้ว่า... 'ความรัก'
ถึงวันนั้น เขาคงบอกคนที่เขารักได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า
"กระหม่อมรักลูก...และรักฝ่าบาทด้วย"
จบตอนพิเศษ
ความคิดเห็น