ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บำเรอใจ

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๒

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 56


    บทที่ ๒

    คันธารัตน์มีเจ้าหญิงห้าพระองค์ เจ้าหญิงพระองค์ที่สี่ทรงพระนามว่า สาริมาจารุทรรศนา และเป็นเจ้าหญิงเพียงพระองค์เดียวที่มีวังส่วนพระองค์

    วังจารุทรรศน์   หรือที่เจ้าของวังทรงเรียกว่า วังแก้ว เป็นวังส่วนพระองค์ที่เจ้าหญิงทหารทรงได้มาเมื่อมีพระชนมายุครบยี่สิบห้าชันษา ว่ากันว่าวัยเบญจเพสเป็นวัยที่หากไม่เคราะห์ร้ายอย่างถึงที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต ก็จะเป็นวัยที่มีโชคอย่างมากมาย สำหรับเจ้าหญิงสาริมาแล้วเป็นทั้งสองอย่าง ก่อนหน้านั้นเพียงไม่นานชนเผ่านาธัสซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองขึ้นทางตะวันตกของคันธารัตน์เกิดแข็งข้อคิดกบฏ เจ้าหญิงสี่ทรงทูลอาสาเจ้าหลวงไปปราบ การปราบกบฏครั้งนี้ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อของทหารเลยแม้แต่คนเดียว

    เหตุการณ์ครั้งนั้น เจ้าหญิงทหารทรงบาดเจ็บหนักจากการต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับหัวหน้าเผ่าวัยหนุ่มฉกรรจ์ และเจ้าหลวงแห่งคันธาราก็เกือบจะทรงได้ ลูกเขย

    วังนี้เป็นบำเหน็จรางวัลแห่งความดีความชอบในครั้งนั้นของเจ้าหญิงสี่ พระองค์ไม่ได้ทรงขออะไรจากพระบิดาบ่อยนัก หลายครั้งถึงกับทรงปฏิเสธสิ่งของมีค่าที่พระบิดาจะพระราชทานให้ด้วยการกราบทูลตรงๆ ว่า

    หญิงไม่อยากได้ค่ะ เจ้าพ่อโปรดให้ท่านราชเลขาฯ จดมูลค่าเอาไว้ก่อนได้ไหมคะ เอาไว้รวมกันได้มากพอ หญิงจะขอสิ่งที่หญิงอยากได้

    หญิงอยากจะได้อะไร

    คันธารัตน์อุดมสมบูรณ์และร่ำรวย ทรัพย์สินส่วนพระองค์ของเจ้าหลวงก็มีมาก รับสั่งถามด้วยพระสุรเสียงเอ็นดู ลูกสาวที่ไม่มีแม่แบบนั้นทำให้คนฟังทรงคาดเดาได้ไม่ยากว่าหากพระองค์กราบทูล ก็มีหวังว่าพระบิดาจะทรงหามาพระราชทานให้เสียเดี๋ยวนั้น

    ยังไม่มีอะไรที่อยากได้หรอกค่ะ

    ตอนนั้นยังไม่มีจริงๆ แต่พอมี และทูลขอ ก็เป็นของชิ้นที่ใหญ่มากจริงๆ มูลค่าของสิ่งมีค่าที่เจ้าหลวงเคยจะพระราชทานให้ยังรวมกันไม่ได้ครึ่งของจำนวนเงินที่หมดไปกับการสร้างวัง แต่เมื่อพระราชธิดาทรงออกโอษฐ์ เจ้าหลวงก็พระราชทานให้ เป็นบำเหน็จความชอบที่ไม่มีใครกล้าค้านว่าไม่คู่ควร

    วังจารุทรรศน์ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองษามิลซึ่งเป็นเมืองหลวง ตั้งอยู่บนเนินหญ้าเขียวขจี หลังวังเป็นป่า ด้านซ้ายเป็นทะเลสาบ ด้านหน้าและขวามือเต็มไปด้วยบ้านช่องและเรือกสวนไร่นาของราษฎร ตัววังไม่ได้ใหญ่โตมากนักแต่อาณาเขตภายในกำแพงวังสีขาวนั้นกว้างขวางมาก นอกจากพระตำหนักสูงสามชั้นที่ตั้งอยู่ตรงกลางแล้ว ยังมีเรือนนางกำนัล ที่พักทหารองครักษ์ เรือนครัว คอกม้า คลังอาวุธ และสนามฝึกซ้อมในร่มอีกอย่างละหนึ่งหลัง ด้านขวาของตัวตำหนักขุดเป็นสระน้ำขนาดใหญ่เอาไว้ปลูกบัว มีสะพานไม้แข็งแรงทอดยาวไปสู่กลางสระซึ่งปลูกเรือนไว้อีกหลังหนึ่ง เป็นเรือนขนาดกลางที่มีระเบียงกว้างสองเมตรและราวระเบียงสูงเพียงเอวล้อมรอบ ด้านนอกมีประตูอยู่เพียงหนึ่งบาน นอกนั้นเป็นหน้าต่างบานยาวแบบพับเปิด ภายในมีเพียงสี่ห้อง คือห้องนอน ห้องกินข้าว ห้องอาบน้ำ และห้องอเนกประสงค์ซึ่งเป็นห้องที่กว้างที่สุด ห้องเดียวที่มีประตูคือห้องอาบน้ำ ส่วนห้องอื่นๆ มีซุ้มไม้โค้งฉลุลายสวยติดผ้าม่านกั้นแยกส่วนเอาไว้

    ชิดกำแพงตลอดแนวทั้งสี่ด้านปลูกต้นแก้วเอาไว้ให้ร่มเงา ยามถึงฤดูออกดอกจะมีดอกงามสะพรั่ง ทิ้งเกสรและดอกพรูพราวลงเกลื่อนพื้นเขียวราวกับลาดด้วยพรมขาว อย่างไรก็ดี พื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งภายในกำแพงเป็นสวนที่แทบจะไม่มีอะไรนอกจากต้นหญ้า เพราะจุดประสงค์หลักของการมีสวนนี้อยู่ก็เพื่อให้เจ้าของวังได้ใช้เป็นสนามขี่ม้าข้ามเครื่องกีดขวาง

     

    ของใหญ่ที่เจ้าหญิงสาริมาเคยทูลขอจากพระบิดามีเพียงสองสิ่ง หนึ่งคือวังจารุทรรศน์ สองคือเครื่องบรรณาการจากตฤณดา สิ่งแรกเคยเป็นหัวข้อสนทนาในหมู่เชื้อพระวงศ์และขุนนางอยู่นานนับเดือน ทว่าสิ่งหลังยังสร้างกระแสฮือฮาได้มากยิ่งกว่าเป็นสองเท่า อย่างไรก็ดี เจ้าหญิงสี่มิได้ทรงใส่พระทัย สิ่งที่พระองค์ตัดสินพระทัยไปแล้วน้อยครั้งจะมีการเปลี่ยนแปลง หลังจากทรงปล่อยให้นายบำเรอคนแรกของพระองค์รออยู่ห้าวันเต็ม ในที่สุดเจ้าหญิงทหารก็ว่างพอจะโปรดให้นางพระกำนัลไปตามเขามาเข้าเฝ้าในศาลาทรงกระโจมที่ตั้งอยู่หน้าพระตำหนัก เยื้องไปทางด้านซ้ายซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่ใต้กิ่งก้านสาขาอันร่มรื่นของจามจุรีต้นใหญ่

    ศาลาหลังใหญ่แห่งนี้ทาสีขาว ติดม่านโปร่งบางสีครีมไว้โดยรอบ ทว่าเวลานี้ถูกรวบไว้เป็นสองไขทุกผืน ภายในตกแต่งด้วยเครื่องเรือนที่ทำจากหวาย กลางศาลามีโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งซึ่งวางแจกันแก้วทรงเตี้ยประดับด้วยดอกไม้น้ำสีม่วงครามไว้ตรงกลาง ขวามือเป็นเก้าอี้หวายตัวยาว ใหญ่ขนาดสามารถใช้นอนแทนเตียงได้ บุด้วยผ้าฝ้ายสีขาวและมีหมอนอิงสีครีมปักลายงามหลายใบ ซ้ายมือเป็นเก้าอี้เดี่ยวสองตัว คั่นกลางด้วยโต๊ะหวายทรงกลมสำหรับวางเครื่องดื่มตัวหนึ่ง

    เจ้าหญิงสาริมาประทับบนเก้าอี้ตัวที่สองฝั่งซ้าย ฉลองพระองค์ด้วยชุดสำหรับทรงม้า รวบพระเกศาขึ้นเป็นหางม้าสูงอย่างเคย ประทับไขว้พระบาท เอนองค์พิงพนักเก้าอี้เต็มที่ ชันพระกัประทั้งสองไว้บนเท้าแขน ขณะสองหัตถ์ประคองถ้วยชาที่อุ่นกำลังดีเอาไว้โดยไม่คิดจะทรงดื่ม

    นั่งสิ

    คนรับสั่งทรงวางถ้วยชาลงบนจานรองด้านข้าง ขณะรอให้คนที่เพิ่งก้าวเข้ามาถวายคำนับงดงามค้อมศีรษะอีกครั้ง ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ยาวฝั่งตรงข้าม หลังจากหยิบหมอนอิงไปกองรวมๆ กันไว้ทางหนึ่งเพื่อให้มีที่ว่างพอจะนั่งได้

    คนตรงเบื้องพระพักตร์ยังคงเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาชนิดที่แทบไม่อยากจะหลับตาอยู่เหมือนเดิม ชุดสีครีมออกขาวที่สวมใส่อยู่ไม่เพียงไม่ทำให้เจ้าตัวดูจืดชืด แต่ยังทำให้แลดูยิ่งเจิดจ้าจนแสบตา นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้คนทอดพระเนตรมองยังพอพระทัยเขามากเหมือนครั้งแรกที่ได้พบ ต่างแต่ว่า คราวนี้พระทัยไม่ได้เต้นแรงมากอย่างคราวนั้นอีก

    เรือนกลางน้ำอยู่สบายไหม

    สบายมากพระเจ้าค่ะ ขอบพระทัย

    อึดอัดไหม เห็นรอยสงสัยในดวงหน้าที่มองทีไรก็งามจนแทบจะลืมหายใจนั่นแล้วก็รับสั่งขยายความ ที่ต้องอยู่แต่ในนั้น ไม่ได้ออกไปไหน

    กระหม่อมอยู่ได้พระเจ้าค่ะ

    คราวนี้คนถามเป็นฝ่ายแปลกพระทัยบ้าง แต่ก็ไม่ติดพระทัยพอจะซักไซ้

    ดีแล้ว เป็นแค่นายบำเรอก็ควรจะต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยม

    น่าแปลกที่อีกฝ่ายไม่ได้โกรธที่ถูกดูหมิ่นศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายอย่างที่ผู้ชายทั่วไปควรจะเป็น เขาเพียงแต่เลิกคิ้วนิดหนึ่งเมื่อได้ยินศัพท์แปลก

    อาหารของคันธารัตน์กินได้ไหม

    ได้พระเจ้าค่ะ

    เจ้าหญิงสาริมาโปรดคนอย่างนี้ คือตอบเท่าที่ถาม เพียงแต่ไม่ค่อยได้พบมากนัก หากไม่นับผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งเป็นทหาร รอบองค์ก็มีแต่คนพูดมาก แต่เมื่อมาเจอคนที่ดูจะถนอมปากถนอมคำโดยธรรมชาติอยู่แล้วก็อดจะทรงชะงักไปนิดหนึ่งไม่ได้

    ไม่มีปัญหาก็ดี ถ้ามีอะไรไม่สะดวก หรืออยากจะได้อะไรก็บอกนางกำนัลคนไหนก็ได้ ถ้าไม่แปลกจนเกินไปก็จะให้

    กระหม่อมขอชุดเครื่องเขียนกับหนังสือสักตู้ใหญ่ๆ พระเจ้าค่ะ

    คนฟังทรงงันไป ที่พูดนี่ไม่ได้หมายความว่าจะให้ขอได้ทันทีหรอกนะ ถือว่ารูปงามแล้วขออะไรก็จะได้ตามใจทุกอย่างรึยังไง

    ยังไม่ทันได้มีความดีความชอบอะไร ก็ขอตั้งขนาดนี้แล้วหรือ แล้วหนังสือที่ว่าน่ะหนังสืออะไร

    หอหนังสือหลวงของคันธารัตน์จัดหนังสือตามระบบดิวอี้หรือระบบอื่นพระเจ้าค่ะ

    เจ้าหญิงสี่ทรงขมวดพระขนง เท่านี้คุณชายจากเผ่ายากจนก็รู้ชัดว่าอีกฝ่ายทั้งไม่รู้ และไม่รู้จัก ถึงกระนั้นก็ยังกราบทูลต่อ

    กระหม่อมขอหนังสือในหอหนังสือหลวง เฉพาะหมวด 100 หมวด 200 และหมวด 800 พระเจ้าค่ะ

    คิ้วที่แต่เดิมก็ขมวดมากอยู่แล้วยิ่งขมวดเข้าหากันแนบแน่น ครั้นทอดพระเนตรเห็นรอยยิ้มน้อยๆ จากริมฝีปากที่สวยเสียจนผู้หญิงส่วนใหญ่คงจะอิจฉาแล้วก็ต้องทรงผ่อนพระปัสสาสะดังๆ

    คิดจะทดสอบความรู้ของฉันรึไง ไม่ต้องหรอก ฉันขอบอกเลยว่าฉันไม่ชอบอ่านหนังสือ ไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ เรื่องเครื่องเขียนจะบอกอารยาให้ ตั้งแต่พาผู้ชายคนนี้กลับมาถึงวัง พระองค์ก็ทรงแนะนำให้เขารู้จักพระพี่เลี้ยงวัยปลายสามสิบที่ยังคงความสะสวยไว้ได้อย่างดีเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องหนังสือต้องรอให้ฉันไปถามผู้อำนวยการหอก่อน แต่ก็อย่าคิดว่าจะให้ง่ายๆ ฉันจะเก็บไว้พิจารณาตอนที่เธอมีความดีความชอบก็แล้วกัน

    ชญาเทพยอมรับง่ายๆ ด้วยการยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่... ทั้งดูสะอาดและสูงส่งอย่างบอกไม่ถูก

    ว่าแต่อ่านหนังสือของเราออกด้วยหรือ

    กระหม่อมเคยเรียนมา จึงพออ่านได้พระเจ้าค่ะ   

    เจ้าหญิงสาริมาทรงพยักพระพักตร์ ไม่แปลกพระทัยเท่าใดนักเพราะชนชั้นสูงของเผ่าต่างๆ มักจะอ่านเขียนได้ทั้งภาษาคันธารัตน์และภาษานรมัน ส่วนเรื่องการพูด แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาของแต่ละเผ่าก็พูดได้ทั้งสองภาษา เจ้าหญิงทหารไม่ใช่คนชอบซักไซ้เรื่องราวของใครอย่างลึกซึ้ง และชญาเทพก็ไม่คิดจะบอก ว่าเขาพูด และอ่านเขียนได้ดีถึง ๑๐ ภาษา ได้แก่ ตฤณดา นรมัน คันธารัตน์ บาลี สันสฤต อังกฤษ และภาษาของชนเผ่าใกล้เคียงทั้งสี่เผ่า

    ชาในถ้วยเย็นลงมากแล้ว เมื่อเจ้าหญิงทหารทรงพยักพระพักตร์เป็นสัญญาณ นางพระกำนัลวัยกำดัดนางหนึ่งซึ่งยืนรอถวายงานอยู่ไม่ไกลก็ยกถาดใส่เหยือกชาและถ้วยชาที่วางอยู่บนโต๊ะข้างกายเข้ามาคุกเข่ารินใส่ถ้วยใหม่ถวาย เจ้าหญิงสี่ทรงปรายสายพระเนตรไปทางคนนั่งตรงข้าม หมายจะสังเกตปฏิกิริยาที่มีต่อนางพระกำนัลหน้าตาสะสวยของพระองค์ แต่แล้วก็ต้องเป็นฝ่ายชะงัก เมื่อพบว่าฝ่ายนั้นไม่ได้มองนางกำนัลเลย จ้องมองแต่พระองค์ไม่วางตา

    เปลี่ยนน้ำแก้วใหม่ให้เขาด้วย

    น้ำผลไม้ใส่น้ำแข็งเย็นจัดบัดนี้ละลายจนหยดน้ำเกาะข้างแก้วพราว

    ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกพระเจ้าค่ะ ขอบใจนะ คำท้ายบอกกับนางพระกำนัลสาว

    แค่เขาพูดด้วยสั้นๆ หญิงสาวก็สะเทิ้นอายจนดวงหน้าขาวๆ ขึ้นสีระเรื่อ กิริยาเรียบร้อยนุ่มนวลพลันดูเกะกะเก้งก้างขึ้นมาทันตา ต้องก้มหน้าก้มตาแล้วรีบเลี่ยงออกไป

    ชื่อวาลุกา เป็นน้องสาวของนางกำนัลคนหนึ่งของฉัน ฉันเพิ่งรับเข้ามาทำงานได้ไม่นาน ถ้าเธอถูกใจ ฉันจะให้ไว้รับใช้เป็นส่วนตัว

    จะทดสอบเขา กำลังประชดประชัน โกรธอยู่ หรือว่าจริงใจ น่าแปลกที่เขาดูไม่ออก

    กระหม่อมไม่ต้องการสาวใช้พระเจ้าค่ะ

    ถ้าคนนี้ยังหน้าตาดีไม่พอ ก็ยังมีคนอื่นให้เลือก

    ไม่ว่าคนไหน กระหม่อมก็ไม่ต้องการพระเจ้าค่ะ

    ทำไม

    กระหม่อมเป็นนายบำเรอของฝ่าบาท ได้ยินคำนี้ครั้งแรกก็แค่แปลกใจ แต่พอต้องพูดเองก็อดจะรู้สึกพิลึกๆ ขึ้นมาไม่ได้ กระอักกระอ่วนใจมากกว่าที่คิด มีผู้หญิงมาคอยดูแลรับใช้ในที่รโหฐานตามลำพังเห็นจะไม่เหมาะ

    คิดได้อย่างนี้ก็ดี ฉะนั้นทีหลังอย่าหว่านเสน่ห์

    ฝ่าบาททรงเข้าพระทัยผิด

    เจ้าหญิงสาริมาทรงเงียบไป อีกฝ่ายไม่ต้องอธิบาย พระองค์ก็เข้าพระทัย รู้มาตั้งนานแล้วว่าสำหรับผู้ชายหน้าตาดี แค่พูดด้วยนิด ยิ้มให้หน่อย ก็ทำให้ผู้หญิงหวั่นไหวได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจจะหว่านเสน่ห์ก็ตาม

    เอาเถอะ ฉันจะพูดให้เข้าใจไว้ก่อน ว่าถ้าเธอหว่านเสน่ห์ให้นางกำนัลของฉันคนไหน คนนั้นจะถูกไล่ออก และเธอเองก็จะต้องถูกลงโทษ

    พระเจ้าค่ะ กระหม่อมเข้าใจ

    เอ๊ะ ทำไมเข้าใจง่าย

    อยากรู้ไหมว่าโทษที่เธอจะได้รับคืออะไร อาจเพราะยังไม่รู้จึงไม่คิดจะโวยวาย

    ไม่อยากทราบพระเจ้าค่ะ

    ทำไม

    เพราะกระหม่อมจะไม่ทำความผิดข้อนี้

    ยังไม่รู้จักกันดี พูดคุยกันจริงๆ จังๆ ก็เพิ่งครั้งนี้ครั้งแรก เป็นคนยังไงก็ไม่รู้ จะพูดจริงหรือแค่โกหกเก่งก็ไม่แน่ใจ เชื่ออะไรไม่ได้สักอย่าง แต่แค่คำพูดนั้นกับดวงตาสวยซึ้งเกินชายที่มองมาตรงๆ ก็ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกดีขึ้นมามากมายได้ง่ายๆ เสียแล้ว

    บางที นี่อาจเป็นอิทธิพลของคนหน้าตาดีผิดมนุษย์

    ฉันจะสั่งเฆี่ยน ให้คุกเข่า ถอดเสื้อให้คนของฉันเฆี่ยนตรงลานหน้าตำหนักไม่อยากรู้ก็ไม่เป็นไร แต่พระองค์จะรับสั่งบอก

    ทำไมถึงไม่ทรงเฆี่ยนเอง

    เจ้าหญิงสาริมาทรงเบิกพระเนตรกว้างขึ้น นี่ไม่มีอะไรอย่างอื่นจะสงสัยแล้วเรอะ ไม่คิดจะลุกขึ้นมาเอ็ดตะโรโวยวาย คัดค้านหรือเรียกร้องอะไรบ้างรึไง

    ฉันจะให้เธอคุกเข่าเชียวนะ เธอจะถูกเฆี่ยนต่อหน้าผู้หญิงเป็นสิบ สองเรื่องนี้ไม่น่ากังวลมากกว่าฉันไม่ได้เป็นคนเฆี่ยนเธอเองหรอกหรือ เธอมีศักดิ์ศรีบ้างไหม

    พระองค์ยังทรงจำได้แม่น ประมาณสี่เดือนก่อนหน้านี้ ก่อนที่พระองค์จะทรงอาสาเป็นแม่ทัพไปรบกับนรมัน พระขนิษฐาต่างพระมารดา เจ้าหญิงห้าแห่งคันธาราทรงรุดมากราบทูลพระองค์ถึงวัง

    พี่ภูมัยขอพี่หญิงมญแต่งงานแล้วค่ะพี่แก้ว หญิงสงสัยอยู่แล้วเชียวว่าต้องเป็นวันนี้เพราะพี่ภูมัยถือดอกกุหลาบช่อใหญ่มาด้วย พอเขาไปเดินเล่นกันในสวนหญิงเลยตามไปแอบดู แหวนเพชรวงใหญ่มากค่ะ แต่ตอนแรกพี่หญิงมญยังไม่รับ เธอบอกให้พี่ภูมัยคุกเข่าแล้วขอแต่งงานใหม่ แต่พี่ภูมัยบอกว่าผู้ชายไม่คุกเข่าให้ผู้หญิงเพราะจะเสียศักดิ์ศรี พี่หญิงมญคงจะไม่อยากมีคู่หมั้นเป็นผู้ชายไร้ศักดิ์ศรี แต่พี่หญิงมญก็ยังขอให้พี่ภูมัยทำนะคะ เธอบอกว่าถ้ารักเธอจริงก็ต้องทำได้เพราะไม่มีใครเห็นเสียหน่อย แต่ยังไงๆ พี่ภูมัยก็ไม่ยอมทำ พี่หญิงมญเลยต้องยอมแพ้ค่ะ

    ภูมัยเป็นผู้ชายแบบนั้น เจ้าหญิงสาริมาทรงทราบดี แล้วก็ทรงเห็นด้วยว่าการคุกเข่าให้ผู้หญิงเป็นการทำร้ายศักดิ์ศรีของผู้ชาย หากคนที่เขาขอเป็นพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงเรียกร้องให้เขาทำอะไรมากไปกว่า แค่พูดแต่นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

    ผู้ชายอย่างภูมัยเป็น ผู้ชายแท้ๆแล้วผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าพระองค์นี่ล่ะ

    ศักดิ์ คืออำนาจ ศรี คือความสง่างาม สำหรับกระหม่อม อำนาจที่ทำให้ผู้ชายสง่างามไม่ได้อยู่ที่การยืนตรง แต่อยู่ที่การเป็นคนกล้าทำกล้ารับ

    ผู้ชายคนนี้... สง่างาม เจ้าหญิงสี่ทรงทราบอยู่แล้ว แต่ความสง่างามในวันนี้แตกต่างจากความสง่างามในครั้งแรกที่พระองค์ทรงได้พบกับเขา เจ้าหญิงสาริมาทอดพระเนตรคนตรงหน้าอย่างพิจารณา ปรารถนาจะรู้จักให้มากขึ้น เรื่องความสามารถในการดูคนนั้นพระองค์ทรงมี เพียงแต่ต่อให้เก่งกาจเพียงใดก็ไม่อาจหยั่งรู้ได้เพียงแค่วันแรกที่ได้พูดคุย

    ฉันมือหนักนะ

    ชญาเทพยิ้ม และเป็นอีกครั้งที่คนมองเห็นทรงรู้สึกว่า สมแล้วที่เป็นรอยยิ้มของเทพ เพราะแม้จะไม่ได้เห็นเป็นครั้งแรก ก็ยังเผลอหยุดหายใจไปวูบหนึ่งไม่ได้อยู่ดี

    กระหม่อมเป็นนายบำเรอของฝ่าบาท หากทำผิดก็ควรให้ฝ่าบาททรงลงพระอาญา

    แล้วทำไมฉันต้องลงมือเอง

    เพราะกระหม่อมเป็นคนของฝ่าบาท หากกระหม่อมทำผิด ส่วนหนึ่งก็ต้องเป็นเพราะฝ่าบาททรงอบรมสั่งสอนได้ไม่ดีพอพระเจ้าค่ะ

    มันก็ใช่ ถูกทีเดียวล่ะ เพียงแต่ยังไงดีล่ะ ไม่เคยคิด ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามันเอามาใช้อ้างอิงในกรณีนี้ได้ด้วย คงไม่ได้คิดอยู่หรอกนะ ว่าพระองค์จะไม่ทรงกล้าลงมือ เพราะถ้าคิดอย่างนั้นก็คิดผิดมหันต์ทีเดียว สองหัตถ์ของพระองค์ไม่รู้ว่าเคยฆ่าคนมาแล้วมากมายเท่าไหร่ ฆ่าอย่างไม่ลังเลเสียด้วย

    ก็ได้ อีกฝ่ายยิ้มอีกแล้ว รู้ล่ะว่าเป็นเพราะได้ในสิ่งที่ต้องการ เพียงแต่มันออกจะพร่ำเพรื่อเกินไปหน่อย พระองค์ทรงปรับพระทัยรับไม่ทัน เธอมีอะไรอยากจะขอฉันอีกไหม

    มีอีกเรื่องหนึ่งพระเจ้าค่ะ

    ผู้ชายหน้าตาดีใช่ว่าจะเป็นคนมีมารยาท รู้จักเกรงอกเกรงใจผู้อื่นเสมอไป ดูกรณีของผู้ชายคนนี้เป็นตัวอย่าง แค่ถามตามมารยาทไปอย่างนั้นเองก็ยังอุตส่าห์ตอบว่ามีได้หน้าตาเฉย

    ว่ามาสิ

    คุณอารยาบอกว่าวัดที่ใกล้ที่สุดอยู่ในหมู่บ้านข้างล่าง แต่พระสงฆ์ไม่ได้เดินมาบิณฑบาตที่นี่ หากฝ่าบาทจะประทานพระกรุณา กระหม่อมขอไปนิมนต์พระคุณเจ้ามารับบิณฑบาตที่นี่ทุกวัน และขอไปฟังเทศน์ที่วัดทุกวันพระใหญ่ ครั้นเห็นพระพักตร์ที่ดูยุ่งๆ ของเจ้าหญิงทหารเข้าก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้ว่าวันพระใหญ่คืออะไร ขึ้นสิบห้าค่ำกับแรมสิบห้าค่ำ หรือสิบสี่ค่ำ รวมเดือนละสองวันพระเจ้าค่ะ

    เจ้าหญิงสาริมาทรงเงียบไปนาน แสงแดดตอนกลางวันในฤดูร้อนทั้งจัดจ้าและเต้นเป็นเปลวระยับอยู่นอกศาลา ทว่าไม่รู้เพราะอะไรจึงทรงอุปาทานไปว่าราวกับเป็นรัศมีที่ทอแสงแผ่ซ่านออกมาจากตัวของผู้ชายผิวขาวจัดตรงหน้าก็มิปาน

    จู่ๆ รับสั่งสุดท้ายในวันก่อนของเจ้าชายอาร์ชวัสก็แว่วเข้ามาในความคิดคำนึง เจ้าพี่รับสั่งว่าอะไรนะ

                    อ้อ... สาธุ

    เจริญพร

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×